เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆเพื่อขอคลิปวิดีโอเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่มีการเผยแพร่ภาพ “ชายชุดดำ” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ” ซึ่งกว่า 2 ปีที่ผ่านมายังไม่สามารถตามจับ “ชายชุดดำ” ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นำออกมาเผยแพร่ทุกสื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยกล่าวหาว่าการชุมนุมของ นปช. มีกลุ่ม “ผู้ก่อการร้าย” แอบแฝง จนทำให้เกิดความรุนแรงในวันที่ 10 เมษายน 2553 และทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 27 ราย เป็นทหาร 5 ราย และพลเรือน 22 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่น สำนักข่าวรอยเตอร์ส และมีผู้บาดเจ็บกว่า 800 คน
นพ.เหวงจึงต้องการได้คลิปทั้งหมดเพื่อตรวจสอบเบื้องต้นว่า “ชายชุดดำ” มีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการสร้างภาพของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยจะประสานไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบคลิปมาร่วมพิจารณาด้วย ในฐานะที่เป็น ส.ส. ไม่ใช่แกนนำเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏ
นอกจากนี้ นพ.เหวงเปิดเผยว่า ได้ข้อมูลว่าจุดที่ชายชุดดำยิงต่อสู้ไม่ใช่บริเวณถนนดินสอและถนนตะนาว ซึ่งขัดกับการให้สัมภาษณ์ของนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีต เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รวมถึงการ เสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรอง เสธ. พล.ร.2 รอ. ก็ไม่ได้เสียชีวิตจากอาวุธปืนเอ็ม 79 แต่เสียชีวิตจากเอ็ม 67 และพื้นที่ที่เสียชีวิตไม่มีคนเสื้อแดงอยู่
นพ.เหวงยืนยันว่า การเปิดประเด็น “ชายชุดดำ” ไม่ได้ต้องการดิสเครดิตกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ไปชี้แจงเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่ต้องการเห็นความปรองดองของคนในชาติ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องมี 3 ขั้นตอนคือ 1.ความจริงต้องปรากฏ 2.ความยุติธรรมต้องคืนมา ใครสั่งฆ่าประชาชนต้องถูกลงโทษ และ 3.จะนิรโทษกรรมหรือไม่ต้องไปว่ากันภายหลัง
ผลการชันสูตรพลิก
ย้อนเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนที่มีการตั้งคณะ กรรมการร่วมชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตเนื่องจากเหตุการณ์ปะทะกัน โดยมีคณาจารย์ด้านนิติเวชวิทยาจากหลายสถาบัน เช่น โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยา บาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลพระ มงกุฎเกล้า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และโรงเรียนแพทย์อื่นๆ เป็นกรรมการร่วมกันชันสูตรพลิกศพ เพื่อให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส นอกจากนั้นคณะกรรมการดังกล่าวได้เชิญตัวแทนจาก นปช. ไปร่วมด้วย โดยศพของประชาชนมีการชันสูตรพลิกศพโดยคณะกรรมการร่วมชันสูตรฯที่โรงพยาบาลตำรวจทุกราย เช่นเดียวกับศพของทหารที่เสียชีวิต ยกเว้น พ.อ.ร่มเกล้า เพราะศพถูกนำไปฌาปนกิจก่อน
โดยการชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นสรุปว่าแผลที่เกิดขึ้นในร่างกายของผู้เสียชีวิตฝั่งประชาชนในวันที่ 10 เมษายน ส่วนใหญ่น่าจะเกิดจากกระสุน 5.56x45 mm (มิลลิเมตร) มาตรฐาน NATO ซึ่งทหารใช้มากกว่ากระสุน 7.62x39 mm มาตรฐานรัสเซีย ที่มีคนอ้างว่าชายชุดดำใช้ ถ้าเชื่อว่าชายชุดดำมีปืนอาก้าตามรูปที่เอามาลงกันจริงๆก็แปลว่าชายชุดดำไม่มีส่วนในการฆ่าประชาชน เพราะชายชุดดำไม่ได้ถือ M16 HK33 หรือ Tavor ในขณะที่ทหารที่เข้าปฏิบัติการสังหารประชาชนในวันที่ 10 เมษายนมีหลักฐานชัดเจนว่ามีปืน M16 Tavor และปืนซุ่มยิง
ปริศนาสะเก็ดระเบิด
สลักธรรม โตจิราการ ตัวแทน นปช. ที่ร่วมคณะกรรมการชันสูตรพลิกศพ เปิดเผยว่า ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ร่างผู้เสียชีวิตเกินครึ่งหนึ่งแผลกระสุนเข้าไปอยู่ที่ศีรษะ ปรกติศีรษะคนมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาด ร่างกายทั้งหมด ถ้าไม่เล็งยิงโอกาสโดนน้อยมาก แปลว่าคนยิงมีเจตนายิงให้เสียชีวิตอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีศพถูกยิงเข้าที่อกด้วยกระสุน 5.56x45 mm มาตรฐาน NATO แต่วิถีกระสุนพุ่งดิ่งจากบนลงล่างด้วยมุมชันมาก ซึ่งสันนิษ ฐานว่าเกิดจากการโดนกระสุนที่ยิงขึ้นฟ้าแล้วตกลงมา
สำหรับทหารที่เสียชีวิตเกิดจากสะเก็ดระเบิดที่เป็นโลหะรูปร่างบิดเบี้ยวเป็นแผ่นที่แตกออกมาด้วยความเร็วสูงพุ่งทะลุเข้าไปในสมอง ซึ่งสลักธรรมให้ความเห็นว่าน่าจะเสียชีวิตจากระเบิดมือมากกว่า M79 เพราะกระสุนระเบิดขนาด 40 mm ที่ใช้กับ M79 หรือ M203 ส่วนมากเป็นกระสุนที่มีอำนาจการทำลาย จากตัวแรงระเบิดเอง (High Explosive) มากกว่า ยกเว้นจะใช้หัวกระสุนชนิดคล้ายปืนลูกซอง ซึ่งจะให้ลูกปรายออกมาเป็นลูกกลม ในขณะที่ระเบิดมือชนิดทำลายบุคคลจะใช้การแตกสะเก็ด (Fragmentation) เพื่อให้สะเก็ดระเบิดพุ่งตามแรงระเบิดไปทำลายบุคคล
จากการชันสูตรพบว่าทหารที่เสียชีวิตไม่ได้เสียชีวิตจากตัวแรงระเบิดเอง แต่เสียชีวิตจากสะเก็ดระเบิด โดยสะเก็ดระเบิดที่พบในศีรษะทหารที่เสียชีวิตมีลักษณะเป็นแผ่นแบบที่แตกออกมาจากผิวของระเบิดมือชนิดแตกสะเก็ด ไม่ใช่หัวลูกปรายในกระสุน M79 แบบพิเศษ จึงเป็นไปได้ว่าผู้ลงมือต้องอยู่ใกล้กับพื้นที่มาก เพราะระยะขว้างของระเบิดมือโดยปรกติ จะไม่เกิน 50-100 เมตร เช่น ระเบิดขว้างแบบแตกสะเก็ดชนิด M67 ของสหรัฐอเมริกา มีระยะขว้างปรกติ 40 เมตร เพราะฉะนั้นผู้ที่สังหารต้องอยู่ใกล้แนวหลังหรือ กองบัญชาการของ พ.อ.ร่มเกล้าและทีมงาน ตามปรกติ แล้วการรักษาความปลอดภัยในบริเวณแนวหลังหรือกองบัญชาการต้องเข้มงวดมาก โอกาสที่บุคคลภายนอกจะเล็ดลอดเข้าไปยังพื้นที่แนวหลังหรือกองบัญชาการในระยะไม่เกิน 40 เมตร ในสถานการณ์สงครามและสามารถขว้างระเบิดมือแล้วหลบหนีออกจากพื้นที่โดยไม่ถูกตรวจจับหรือมีการปะทะถือว่าน้อยมาก ยกเว้นการรักษาความปลอดภัยย่อหย่อนอย่างร้ายแรง หรือเป็นการกระทำจาก “คนใน”
ปลุกกระแส “ไอ้โม่งชุดดำ”
หลังเหตุการณ์ 10 เมษายน นายอภิสิทธิ์ก็เก็บตัวเงียบจนมีข่าวออกมาว่าอาจตัดสินใจลาออก แต่วันที่ 12 เมษายน นายปณิธาน วัฒนายากร ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ขณะนั้น ออกมาแถลงว่ารัฐบาลตรวจสอบพบว่ามีผู้ปะปนในกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ใช่ทหาร และผู้ชุมนุมถืออาวุธหนักเข้ามาในพื้นที่ที่เกิดการปะทะกัน มีทั้งระเบิด M79 ระเบิด M87 รวมทั้งอาวุธปืน โดยมีการบันทึกภาพที่สามารถยืนยันได้ ขณะเดียวกัน ศอฉ. ได้นำภาพ “คนสวมชุดดำ” ใส่หมวกไอ้โม่งถือปืนอยู่ในม็อบและอยู่ในเหตุการณ์ปะทะเผยแพร่ซ้ำแล้วซ้ำอีก วนไปวนมาตลอดทั้งวัน โดยโยงการตายของ พ.อ.ร่มเกล้ากับภาพชายชุดดำขึ้นมาอ้าง “ความชอบธรรม” ในการ “ขอคืนพื้นที่”
ส่วนสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11) กระบอกเสียงของ ศอฉ. ได้เผยแพร่ภาพวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สี่แยกคอกวัวในเวลา 22.00 น. เศษ ของวันที่ 10 เมษายน โดยระบุว่านำภาพมาจากช่องโมเดิร์น ไนน์ทีวี วิดีโอดังกล่าวปรากฏภาพกลุ่มบุคคลยิงปืน คาด ว่าเป็น M16 และ M79 มาจากระเบียงตึกฝั่งผู้ชุมนุม ไปยังฝั่งที่มีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่หลายนัด อีกทั้งยังมีภาพการซุ่มยิงจากหลังเสาไฟฟ้าไปยังเจ้าหน้าที่ด้วย
แต่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ออกมาระบุว่ากองทัพใช้คนซุ่มยิงจากหลังคาตึกโรงเรียนสตรีวิทยาใส่ประชาชนก่อน ทำให้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายหรือนักรบโรนินยิงตอบโต้ บังเอิญลูกระเบิด M79 ลูกแรกที่ยิงเข้าไปตกบริเวณเต็นท์ทหารข้างโรงเรียนสตรีวิทยาที่ใช้เป็นกอง บัญชาการรบครั้งนี้ ทำให้โดน พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.2 รอ.) ซึ่งเป็นแม่ทัพในการทำศึกครั้งนี้ บาดเจ็บสาหัส และโดนนายทหารชั้นสัญญาบัตรหลาย คนได้รับบาดเจ็บ ทำให้ศึกครั้งนี้ไม่มีคนสั่ง ไม่มีแม่ทัพ ไม่มีคนบัญชาการ ทำให้ทหารปราชัยถอยออกไป
แต่ “ไอ้โม่งชุดดำ” ก็ถูกอุปโลกน์จากรัฐบาลและ ศอฉ. ให้เป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่ใช้อาวุธสงคราม และระเบิดฆ่าทั้งทหารและประชาชน โดยไม่สามารถ จับได้แม้แต่คนเดียว ขณะที่คนเสื้อแดงกลับถูกยิงตาย นับจากวันที่ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากฝีมือของ “สไนเปอร์” ซึ่ง ศอฉ. อ้างว่าเป็นฝีมือของ “ชายชุดดำ” เช่นเดิม แม้จะมีภาพทหารบนตึกสูงและรางรถไฟฟ้ากำลังชี้เป้าและส่องปืนติดกล้องอย่าง ชัดเจนก็ตาม
“อภิสิทธิ์” ยัน “ชายชุดด
ส่วนนายอภิสิทธิ์ที่เก็บตัวเงียบและไม่ปรากฏตัวเลย หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน จนกระทั่งเมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 19 เมษายน ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษผ่าน สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11) และถ่ายทอดผ่านวิทยุและโทรทัศน์ทุกช่องเกี่ยวกับการสลายการชุมนุม คนเสื้อแดง โดยระบุว่าผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงและมีกองกำลังติดอาวุธปะปนอย่างภาพที่ ศอฉ. นำมาเผยแพร่
และวันที่ 30 เมษายน นายอภิสิทธิ์ได้ออกแถลง การณ์ว่า ผู้ชุมนุมข่มขู่ คุกคามด้วยการเดินทางออกปั่นป่วนนอกพื้นที่การชุมนุม หากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปจะเกิดสภาวะไร้วินัยและเหิมเกริม ศอฉ. จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ให้ดำเนินการข่มขู่ คุกคาม หรือเคลื่อนการชุมนุมไปในที่ต่างๆ และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามหลักสากล แต่จำเป็นต้องป้องกันและแก้ไขปัญหาไปพร้อมๆกัน เพื่อไม่ให้มีการลำเลียงอาวุธและนำคนไปสมทบในที่ชุมนุม
จนวันนี้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็ยังยืนยันว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” คือผู้ก่อการร้ายที่ฆ่าทหารและประชาชน ขณะที่การสอบสวนและตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการต่างๆก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเรื่อง “ไอ้โม่งชุดดำ” มีจริงหรือไม่
คอป. ไม่รู้ใครคือ “ชายชุดดำ”?
แม้แต่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งหมดวาระการทำหน้า ที่อย่างเป็นทางการไปแล้ว ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่า “ชายชุดดำ” มีอยู่จริงหรือไม่ โดย นพ.รณชัย คงสกนธ์ รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี หนึ่งใน คอป. และประธานคณะอนุกรรม การเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความรุนแรง ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 2555 ว่ายังไม่รู้เลยว่า “ชายชุดดำ” เป็นใคร แม้พยายามสอบสวนจากพยานแวดล้อมและหลักฐานอื่นอย่างละเอียด แต่ยังไม่พบตัวตน
ขณะที่นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานมูลนิธิหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและรองประธาน คอป. เปิดเผยว่า ได้สอบสวนทุกฝ่ายทุกด้านเรื่องชายชุดดำ แต่ก็ไม่ได้คำตอบ เห็นในคลิปหลายคลิป รูปหลายรูป ถือปืนด้วย จนมีคนพยายามทำให้เรื่อง “ชายชุดดำ” เป็นเรื่องตลก สร้างภาพชายชุดดำไปปรากฏในทุกๆแห่งและถือปืนเด็กเล่น ใส่หน้ากาก ถ้าเขาเป็นทหารจะแต่งทำไม และถ้าเขาเป็นเสื้อแดงเขาจะแต่งทำไม เพราะถ้าเป็นเสื้อแดงก็ต้องใส่ชุดแดง และปืนที่ถือก็เป็นปืนจริงๆ ไม่ใช่ไม้ ไม่ใช่ปืนเด็กเล่น ไม่ใช่ปืนการ์ตูน แต่ไม่มีภาพที่ชายชุดดำกำลังยิงอยู่ เราก็ไม่รู้ว่า เป็นใคร เป็นฝ่ายไหน แต่มีคนนำรูปมาเทียบให้ดูว่ารูปนี้เป็นการ์ดนะ อย่างนี้นะ เป็นต้น เป็นเพียงบางรูป เท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด เท่าที่ดูมีหลายแห่ง เช่น สี่แยกคอกวัว ที่ยิงมาจากบนเฉลียงของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแห่งที่ 2 แล้วข้างล่างที่ยิงขึ้นไป และอื่นๆอีก
“อย่างกรณีการเสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า สรุปสุดท้ายพบว่าเสียชีวิตเพราะระเบิด M67 ซึ่งขว้างมาจากฝั่งตรงข้าม 2 ลูกด้วยกัน เวลาห่างกันเพียงไม่กี่วินาที เราก็ไปดูกระเดื่อง 2 ลูกที่ตกอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยาว่าไปไหน คนที่อยู่ในบ้านก็บอกว่ารุ่งเช้าวันที่ 11 เมษายน มีคนที่แต่งตัวดีๆมาขอเอาไป คือเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ และก็ไปถามเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ทางดีเอสไอไปถามตำรวจท้องที่ ทางท้องที่ก็ไม่รู้ กรณีของมูราโมโต ช่างภาพญี่ปุ่นที่เสียชีวิต เราก็ดูจากภาพของกล้องมูราโมโต ซึ่งตั้งเวลาก่อนเมืองไทย 2 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังมาดูมุมภาพว่าเขาล้มทันทีหรือล้มเอียง สุดท้ายก็รู้ว่าเขาต้องล้มเอียงนิดๆ เพราะเขาถือกล้องใหญ่มาก วิถีกระสุนมาจากไหน ซึ่งถามช่างภาพว่าวิถีกระสุนมาจากอนุสาวรีย์หรือเปล่า เขาบอกว่ามาจากด้านสะพานวันชาติซึ่งเป็นฝ่ายที่ทหารอยู่”
“ชายชุดดำ” กับ “ควายบุญมา”?
แม้วันนี้ “ชายชุดดำ” จะยังเป็นปริศนา แต่หาก มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงและดำเนินคดี 98 ศพอย่างจริงจัง อย่างล่าสุดวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมาที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเดินทางไปพบพนักงานสอบ สวนคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และประชาชน 91 ศพของดีเอสไอนั้น หากทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจังและโปร่งใสก็ต้อง มีคำตอบเรื่อง “ชายชุดดำ” หรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับ การใช้ความรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย
อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เคยตอบโต้นายสุเทพที่กล่าวหาว่า ร.ต.อ.เฉลิมตาบอดสีจึงไม่เห็นว่าชายชุดดำเป็นคนลงมือสังหารประชาชน ว่า ไม่ได้ตาบอดสี แต่ก็ไม่เห็น “ชายชุดดำ” แต่รู้ว่าการที่ พล.ต.ขัตติยะเสียชีวิตนั้นไม่ใช่ฝีมือทหาร แต่เป็นการยิงของตำรวจ การยิงในสถานที่ต่างๆก็เป็น ฝีมือตำรวจ มีการนำปืนทราโวไปใส่ไว้ในรถของบางคนแล้วบอกว่าจับอาวุธได้ที่เวที นปช. ทั้งที่ไม่มีเลย
ส่วนที่มีการพาดพิงความรุนแรงเหตุการณ์เมษา ยน-พฤษภาคม 2553 ถึงนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพนั้น ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่าเป็นทหาร ไม่ใช่รัฐบาล เพราะทหารบอกว่าการปฏิบัติการครั้งนั้นเป็นไปตามคำสั่ง ศอฉ. ไม่ใช่อยู่ดีๆรัฐบาลหยิบเรื่องนี้ขึ้นมา แต่รัฐบาลที่ผ่านมาทำช้า รัฐบาลชุดนี้ทำเร็วและตรงไปตรงมา และไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องฆาตกรรม ซึ่ง พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษกของ ศอฉ. ได้เข้าให้การกับตำรวจเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 ว่า ศอฉ. ไม่ใช่องค์กรที่เกิดขึ้นเอง แต่มีขึ้นโดยคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และมีนายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ.
ดังนั้น ไม่ว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจะนำบันทึกเอกสารและหลักฐานจำนวนกี่ร้อยหน้าให้กับ
ดีเอสไอ แต่คำให้การของทหารที่เป็นผู้ปฏิบัติยืนยันชัดเจนว่าไม่สามารถนำกำลังหลายหมื่นนายพร้อมอาวุธสงครามสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงได้หากไม่มีคำสั่งพิเศษจาก ศอฉ. ซึ่งใครมีอำนาจสั่งนั้น นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพน่าจะตอบคำถามได้ดีที่สุด
เช่นเดียวกับ “ชายชุดดำ” ที่กว่า 2 ปีแล้วก็ยังไร้ตัวตน แต่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพยืนยันว่ามีจริง ซึ่งจากภาพถ่ายและคลิปวิดีโอก็ต้องยอมรับความจริงว่ามีคนใส่ชุดดำจริง แต่จะเป็น “ชายชุดดำ” ที่เป็น “ผู้ก่อการร้าย” อย่างที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพกล่าวหา หรือจะลงเอยเหมือน “ผังล้มเจ้า” ที่กลายเป็น “ผังกำมะลอ” ที่ ศอฉ. ยอมรับว่าอุปโลกน์ขึ้นมาหรือไม่นั้น หากไม่หยุดค้นหาความจริงก็ต้องรู้คำตอบว่า “ชายชุดดำ” ที่แท้จริงนั้นเป็นใคร
ไม่เหมือน “ควายบุญมา” ควายเผือกที่ครูสาวมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ไถ่ชีวิตมาและบริจาคให้ศูนย์อนุรักษ์กระบือไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์เลี้ยง แต่กลับหายไปอย่างลึกลับ ทำให้ครูสาวสอบถามไปยังศูนย์อนุรักษ์ฯแต่ไม่มีคำตอบ จนเป็นข่าวที่ทำให้คนทั่วไปรู้สึกสะเทือนใจหาก “ควายบุญมา” ถูกนำไปฆ่า จึงมีการสอบสวนกันอย่างจริงจัง ทำให้รู้ว่ามีการนำ “ควายบุญมา” ไปแลกกับควายแม่ลูกของชาวบ้านและต่อมาถูกนำไปขายให้พ่อค้าชื่อ เสี่ยเส็ง ส.แสงทอง ที่ตลาดโคกระบือในอุตรดิตถ์ ราคา 35,000 บาท และเสี่ยเส็งได้ขายต่อให้พ่อค้าชาวจีน ซึ่งขณะนี้คาดว่าถูกส่งไปจีนแล้ว แต่เชื่อว่ายังไม่ถูกฆ่าเพราะเพิ่งอายุ 2-3 ปี
ส่วนเสี่ยเส็งเมื่อรู้ความจริงของ “ควายบุญมา” ก็รู้สึกเสียใจและยืนยันว่าจะหาทางนำ “ควายบุญมา” กลับคืนมาให้ได้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ถือเป็นการทำบุญร่วมกับผู้บริจาค แม้ “ควายบุญมา” จะยังไม่ได้กลับบ้าน แต่อย่างน้อยก็รู้ว่า “ควายบุญมา” หายไปไหน ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ก็ยอมรับผิดและตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาความจริง
การหายไปของ “ควายบุญมา” หลังจากที่มหาวิท ยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์นำไปแลกเปลี่ยนในตลาดโคกระบือ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็รู้แล้วว่าวันนี้ “ควายบุญมา” หายไปไหน? ตรงข้ามกับ 98 ศพในเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตที่มีภาพและหลักฐานมากมายทั้ง “คนสั่งและคนฆ่า” แต่กว่า 2 ปีสังคมไทยกลับเหมือนคนตาบอดหูหนวกที่เชื่อ “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” ว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็น “ผู้ก่อการร้าย” โดยไม่ทำความจริงให้ปรากฏและเอา “ฆาตกรตัวจริง” มาลงโทษ อีกทั้งยังไม่เคยมีการเอ่ยคำ “ขอโทษ” หรือการแสดงความรับผิดชอบใดๆจากรัฐบาลที่อยู่ในเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 เลย
จนบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” หายไปไหน?
การตามหา “ควายบุญมา” จึงง่ายกว่าการตามหา “ไอ้โม่งชุดดำ” ยิ่งนัก
หรือแท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะ “ควายบุญมา” มีตัวตนจริง ต่างจาก “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่เป็นเพียงแค่ “แพะ” ในจินตนาการเท่านั้น?
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น