เสียงเป่านกหวีด “ปรี๊ด”ส่งสัญญาณเริ่มต้นขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เริ่มแล้ว
เป็นการเริ่มต้นจากแนวร่วมเดิมๆที่แยกกันเดิน แยกกันตีมาพักใหญ่
เมื่อเป้าหมายเริ่มน่วมก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
หลังขาใหญ่พันธมิตรฯประกาศใกล้ถึงเวลาทำสงครามครั้งสุดท้าย ดูเหมือนว่าเงื่อนไขที่จะเข้าสู่สงครามเริ่มมีมากขึ้น
น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ ที่มีภาพปรากฏไปต่อว่านางดารุณี กฤตบุญญาลัย กลางห้างดัง โดยมีเรื่องสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง
ก่อนหน้านี้เป็นใครไม่มีใครรู้ แต่วันนี้ได้รับการหนุนหลังจากพันธมิตรฯเต็มแรง
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายมือหนึ่งของพันธมิตรฯ ที่โชว์ฝีมือสะท้านวงการนักกฎหมาย ทำให้ไม่มีใครในเสื้อเหลืองต้องติดคุกสักวินาทีเดียวทั้งที่มีคดีความติดตัวยาวเป็นหางว่าว
ตั้งแต่คดีเล็กอย่างหมิ่นประมาท จนถึงคดีใหญ่ก่อการร้ายยึดสนามบิน โดดเข้ามาช่วยเหลือทางคดีแก่ น.ส.มนัสนันท์เต็มตัว
ไม่เพียงเท่านั้น แกนนำพันธมิตรฯยังออกแถลงการณ์สนับสนุนอย่างเป็นทางการ
โยนการปะทะระหว่างม็อบ 2 สีที่หน้ากองปราบปราม เป็นการการยั่วยุ คุกคาม โดยคนเสื้อแดงและตำรวจ
ตอกย้ำความคิด “เสื้อเหลือง เสื้อหลากสี ไม่มีวันผิด”
“เราขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า จุดยืนของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้กำลังใจและสนับสนุนผู้ที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์”
แสดงท่าทีชัดเจนเพื่อรักษามวลชน เลี้ยงกระแส ไม่ให้ก้มหัวยอมอีกฝ่ายที่ถูกประทับตราว่าไม่จงรักภักดี
ประเด็นเรื่องสถาบันจึงคุกรุ่นพร้อมปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
น่าจับตาว่า วันที่ 29 ต.ค. ที่กองปราบปรามเรียกตัว น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ มาให้ปากคำอีกครั้ง จะมีการปะทะเดือดระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นหรือไม่
ทางหนึ่งแสดงจุดยืน ตอกย้ำท่าทีเพื่อรักษามวลชน
อีกทางหนึ่งก็ยกคำพิพากษาศาลอาญา ที่ยกฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล คดีหมิ่นสถาบันจากการนำคำพูดของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” มาถ่ายทอดซ้ำบนเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ มาตอกย้ำว่ากฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะศาลดูที่เจตนา
“จะใช้มาตรา 112 กลั่นแกล้งใครหรือไม่ขึ้นอยู่กับสันดานคน”
บลั๊ฟกลับกลุ่มเคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรา 112 ให้ขาดความชอบธรรมไปในตัว
การหลุดพ้นข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบันเหมือนปลดพันธนาการให้แกนนำพันธมิตรฯมีความชอบธรรม เพิ่มน้ำหนักต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 ได้มากขึ้น
แสดงตนเป็นผู้มีความจงรักภักดีมากกว่าฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น เต็มปากขึ้น
จะใช้ประเด็นปกป้องสถาบันออกมาเคลื่อนไหวเพื่อยกระดับขยายผลไปเรื่องอื่นๆเหมือนที่เคยทำมาในอดีต ก็ทำได้ง่ายมากขึ้น
เงื่อนไขเริ่มเข้าทาง
และที่วางใจไม่ได้เลยคือ ประเด็นการตีความคุณสมบัติของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
แม้จะชิงยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองว่าขัดต่อข้อกำหนดรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ที่เคยถูกไล่ออก ให้ออก จากราชการ เป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าหาก กกต. ชี้ว่าขัดต่อข้อกำหนดความซวยจะไม่ตกไปถึงนายกฯยิ่งลักษณ์
ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่รอการตัดสินของ กกต. ชิงส่งเรื่องตรงขึ้นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ ก็ได้เสียวกันอีกรอบ
เพราะทุกเรื่องที่ขึ้นถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผลออกมาในทางไม่ค่อยเป็นคุณกับลูกข่ายทักษิณเท่าไร
หากชี้ว่าขาดคุณสมบัติ มีคนขยายผลเอาผิดถึงนายกฯยิ่งลักษณ์แน่ที่ไม่ปรับออกจากคณะรัฐมนตรี
คำยืนยันจากคณะกรรมการกฤฎีกา สำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ว่าได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินปี 2550 แล้ว ไม่อาจใช้เป็นหลักเกาะยึดโต้งแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญได้ เหมือนกับที่มีบทเรียนมาแล้วหลายกรณี
ไม่เพียงแค่นี้ นายอดิศร อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า ยังยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 วรรค 1 ที่ระบุว่า รัฐบาลต้องสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาดที่มีการแข่งขัน โดยต้องยกเลิกการทำธุรกิจที่มีลักษณะแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่ว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐและส่วนรวม หรือไม่อีก
เข้าคิวให้ได้ลุ้นเสียวกันอีกเรื่อง
เงื่อนไขหลายเรื่องกำลังถูกปั่น ถูกเร่งให้โต ถ้ารัฐบาลและนายกฯยิ่งลักษณ์ประมาท เตรียมรับมือไม่ดี อาจหมดอายุก่อนครบวาระ 4 ปี
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
หลังขาใหญ่พันธมิตรฯประกาศใกล้ถึงเวลาทำสงครามครั้งสุดท้าย ดูเหมือนว่าเงื่อนไขที่จะเข้าสู่สงครามเริ่มมีมากขึ้น
น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ ที่มีภาพปรากฏไปต่อว่านางดารุณี กฤตบุญญาลัย กลางห้างดัง โดยมีเรื่องสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง
ก่อนหน้านี้เป็นใครไม่มีใครรู้ แต่วันนี้ได้รับการหนุนหลังจากพันธมิตรฯเต็มแรง
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายมือหนึ่งของพันธมิตรฯ ที่โชว์ฝีมือสะท้านวงการนักกฎหมาย ทำให้ไม่มีใครในเสื้อเหลืองต้องติดคุกสักวินาทีเดียวทั้งที่มีคดีความติดตัวยาวเป็นหางว่าว
ตั้งแต่คดีเล็กอย่างหมิ่นประมาท จนถึงคดีใหญ่ก่อการร้ายยึดสนามบิน โดดเข้ามาช่วยเหลือทางคดีแก่ น.ส.มนัสนันท์เต็มตัว
ไม่เพียงเท่านั้น แกนนำพันธมิตรฯยังออกแถลงการณ์สนับสนุนอย่างเป็นทางการ
โยนการปะทะระหว่างม็อบ 2 สีที่หน้ากองปราบปราม เป็นการการยั่วยุ คุกคาม โดยคนเสื้อแดงและตำรวจ
ตอกย้ำความคิด “เสื้อเหลือง เสื้อหลากสี ไม่มีวันผิด”
“เราขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า จุดยืนของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้กำลังใจและสนับสนุนผู้ที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์”
แสดงท่าทีชัดเจนเพื่อรักษามวลชน เลี้ยงกระแส ไม่ให้ก้มหัวยอมอีกฝ่ายที่ถูกประทับตราว่าไม่จงรักภักดี
ประเด็นเรื่องสถาบันจึงคุกรุ่นพร้อมปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
น่าจับตาว่า วันที่ 29 ต.ค. ที่กองปราบปรามเรียกตัว น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ มาให้ปากคำอีกครั้ง จะมีการปะทะเดือดระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นหรือไม่
ทางหนึ่งแสดงจุดยืน ตอกย้ำท่าทีเพื่อรักษามวลชน
อีกทางหนึ่งก็ยกคำพิพากษาศาลอาญา ที่ยกฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล คดีหมิ่นสถาบันจากการนำคำพูดของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” มาถ่ายทอดซ้ำบนเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ มาตอกย้ำว่ากฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะศาลดูที่เจตนา
“จะใช้มาตรา 112 กลั่นแกล้งใครหรือไม่ขึ้นอยู่กับสันดานคน”
บลั๊ฟกลับกลุ่มเคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรา 112 ให้ขาดความชอบธรรมไปในตัว
การหลุดพ้นข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบันเหมือนปลดพันธนาการให้แกนนำพันธมิตรฯมีความชอบธรรม เพิ่มน้ำหนักต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 ได้มากขึ้น
แสดงตนเป็นผู้มีความจงรักภักดีมากกว่าฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น เต็มปากขึ้น
จะใช้ประเด็นปกป้องสถาบันออกมาเคลื่อนไหวเพื่อยกระดับขยายผลไปเรื่องอื่นๆเหมือนที่เคยทำมาในอดีต ก็ทำได้ง่ายมากขึ้น
เงื่อนไขเริ่มเข้าทาง
และที่วางใจไม่ได้เลยคือ ประเด็นการตีความคุณสมบัติของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
แม้จะชิงยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองว่าขัดต่อข้อกำหนดรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ที่เคยถูกไล่ออก ให้ออก จากราชการ เป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าหาก กกต. ชี้ว่าขัดต่อข้อกำหนดความซวยจะไม่ตกไปถึงนายกฯยิ่งลักษณ์
ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่รอการตัดสินของ กกต. ชิงส่งเรื่องตรงขึ้นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ ก็ได้เสียวกันอีกรอบ
เพราะทุกเรื่องที่ขึ้นถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผลออกมาในทางไม่ค่อยเป็นคุณกับลูกข่ายทักษิณเท่าไร
หากชี้ว่าขาดคุณสมบัติ มีคนขยายผลเอาผิดถึงนายกฯยิ่งลักษณ์แน่ที่ไม่ปรับออกจากคณะรัฐมนตรี
คำยืนยันจากคณะกรรมการกฤฎีกา สำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ว่าได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินปี 2550 แล้ว ไม่อาจใช้เป็นหลักเกาะยึดโต้งแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญได้ เหมือนกับที่มีบทเรียนมาแล้วหลายกรณี
ไม่เพียงแค่นี้ นายอดิศร อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า ยังยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 วรรค 1 ที่ระบุว่า รัฐบาลต้องสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาดที่มีการแข่งขัน โดยต้องยกเลิกการทำธุรกิจที่มีลักษณะแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่ว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐและส่วนรวม หรือไม่อีก
เข้าคิวให้ได้ลุ้นเสียวกันอีกเรื่อง
เงื่อนไขหลายเรื่องกำลังถูกปั่น ถูกเร่งให้โต ถ้ารัฐบาลและนายกฯยิ่งลักษณ์ประมาท เตรียมรับมือไม่ดี อาจหมดอายุก่อนครบวาระ 4 ปี
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น