--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

พลังเสื้อแดง คานเผด็จการ !!?

ท่านพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์พูดเมื่อไม่นานนี้ว่า จุดยืนสำคัญ ของพรรคคือการต่อต้านอำนาจเผด็จการทหารทุกรูปแบบที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย เมืองไทยเรื่อยมา และนั่นคือผลงานในอดีตที่ประชาชนให้การต้อนรับด้วยความศรัทธา มายาวนาน

แต่แล้วศรัทธาประชาชนที่มีต่อพรรคนี้ ก็เสื่อมคลายลงนับแต่เกิดรัฐประหารครั้งล่าสุดปี 2549 โดยแกนนำและสมาชิกจำนวนหนึ่ง “แอบลอกคราบ” กลมกลืนไปกับมวลชนเสื้อเหลืองที่มีแผนยั่วยุให้ทหารตัดสินใจยึดอำนาจจากระบอบประชาธิปไตย

ทั้งๆ ที่กระแส “ทักษิณฟีเวอร์” ขณะนั้นถดถอยถึงจุด “เจียนอยู่เจียนไป” รอมร่ออยู่แล้ว

แม้ภาพที่ปรากฏพรรคไทยรักไทยครั้งสุดท้ายก่อนปฏิวัติ ชนะเลือกตั้งเกินครึ่ง สภา เป็นรัฐบาลพรรคเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองไทย...แต่ก็เป็นภาพ “มายาคติ” ที่ครอบงำความคิดพรรคเก่าแก่ ซึ่งควรมีจุดยืนโดดเด่นของตัวเองอย่างมั่นคงมายาวนาน แม้จะสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่หากมี “จิตสำนึกประชาธิปไตยที่แท้จริง” ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้กับ “เผด็จการรัฐสภา” อย่างทระนง

เพราะที่สุดแล้ว ถ้าฝ่ายรัฐบาลเป็น “เผด็จการรัฐสภา” จริง...วันหนึ่งที่ถึงซึ่ง “ฟางเส้นสุดท้าย” พลังประชาชนก็จะลุกฮือขึ้นมาขับไล่ “อำนาจอยุติธรรม” เอง โดยพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องออกแรงเปลี่ยนจุดยืนแต่อย่างใด แต่นักการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านมานานจนอดรนต่อสภาวะที่เป็นอยู่ไม่ไหว จึงคิดเอาเองว่าขืนปล่อยเป็นฝ่ายค้านเนิ่นนานต่อไปอีก มีหวังพรรคทักษิณ “กินเมือง” เป็นแม่นมั่น ก็เลย “คิดสั้น” ยุส่งให้เกิดการยึดอำนาจเสียให้รู้แล้วรู้รอด

คิดว่ายังไงๆ ถ้าเกิดการต่อต้านทหารเผด็จการ ทหารต่างหากล่ะที่เสียหาย หาใช่ พวก “บ่างช่างยุ” ไม่นับเป็นกุศโลบายที่แสนเนียน และใช้กลยุทธ์ “ยืมดาบทหารฆ่าศัตรู” ที่เหนือชั้น สุดบรรยายแต่ด้วยอาราม “ย่ามใจ” คิดว่าคนทั่วไปโง่ “อ่านเกมไม่ออก” ก็เลยแสดงธาตุแท้ “เกลียดปลาไหล กินน้ำแกง” หันไปแสดงบท “รักงูเห่า” และ “กอดเผด็จการ” ต่อหน้าธารกำนัล ถึงขั้น “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร”

ภาพรังเกียจเผด็จการ และชูประชาธิปไตยในอดีตจึงเสมือน “แก้ผ้าล่อนจ้อน” ประจานตัวเองเพราะความโลภหวังกุมอำนาจรัฐเสียเองอย่างไม่สง่างาม ไม่ประทับใจชาวบ้านเอาเสียเลยเมื่อเจือสมกับได้อำนาจรัฐ ไม่รู้จักขีดจำกัดแห่งการใช้อำนาจ เมื่อเกิดกรณีม็อบ ประท้วงแล้วก็ยังลุแก่อำนาจ กล้าคิดใช้กำลังทหารล้อมปราบจนประชาชนต้องเสียชีวิต ร่วมร้อยศพและบาดเจ็บนับพัน กลับไร้สำนึกแห่งจิตวิญญาณนักการเมืองที่ศรัทธาระบอบประชาธิปไตยมันจึงกลับตาลปัตรเป็น รัฐบาลมือเปื้อนเลือด จารึกในประวัติศาสตร์การเมืองที่ไม่อาจลบเลือนได้กลายเป็นมวลชนคนเสื้อแดง เข้ากุมสภาพ “นักสู้ผู้ต้านเผด็จการ และทวงหา ความยุติธรรม” แทนที่จุดยืนเดิมของพรรคประชาธิปัตย์โดยอัตโนมัติ

และวันนี้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มวลชนคนเสื้อแดงจึงได้เวลารวมพลังรำลึก ครบรอบ 2 ปีแห่งการต่อสู้ของพวกเขาอย่างแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว และภาคภูมิใจที่ได้สละเลือดและชีวิต...เพื่อจะบอกให้ฝ่ายเผด็จการ หรือพวกที่ลืมตัว “ใช้เผด็จการเป็นเครื่องมือเข่นฆ่าประชาชน” ได้รู้ว่า พลังมวลชนยังเข้มแข็งและพร้อมผนึกกำลังเป็นอำนาจที่เข้มข้นเพื่อ “ต้านอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ” ต่อไป

หากคนเสื้อแดงสามารถดำรงพลังมวลชนคานอำนาจเผด็จการได้เป็นเอกภาพยิ่งใหญ่เพื่อปกปักรักษาประชาธิปไตยยืนระยะได้ยาวนาน รวมทั้ง “ต้านอำนาจนอกระบบ” ที่แอบบ่อนทำลายประชาธิปไตยให้ฝ่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยระบอบประชาธิปไตยจะได้มีโอกาสฟื้นฟูเดินหน้าพัฒนาไปเสียที... อย่างมากก็อาจลบล้างสมองของทหารที่ยังติดยึดกับอำนาจเบ็ดเสร็จได้เข้าใจและเข้าถึง ระบอบที่เป็นอิสระเสรีของประชาชนโดยรวมเสียบ้างไม่ใช่รำคาญอะไรนิด ก็คิดแต่จะเอาปืนมายึดอำนาจประชาชนร่ำไป!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น