--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

อารยะขัดขืน : จากโผทหารสู่ พ.ร.บ.กลาโหม ภารกิจที่ไม่สะเด็ดน้ำ !!?

เป็นอาฟเตอร์ช็อก! เขย่ากันมาเป็นระลอกคลื่น สำหรับ “โผทหาร” ประจำฤดูโยกย้าย ที่ปีนี้ดูจะวุ่นวายเป็น พิเศษ โดยเฉพาะคิว “เรียกน้ำย่อย” ในศึกสายเลือด “ตท.10-11” ที่กำลังยื้อแย่ง เก้าอี้ “ปลัดกลาโหมคนใหม่” กันอย่างอีนุงตุงนัง

แม้ศึก “ภายในกองทัพ” หรือเหตุพิพาทกับ “คนการเมือง” จะไม่ดุเดือด ถึงขั้นลากเอารถถังออกมาปฏิวัติ แต่ก็มีอาการ “อารยะขัดขืน” กันอยู่ในทียิ่งคิวที่ “บิ๊กเปี๊ยก” พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ออกมาเล่นกับไฟด้วยการเปิดหน้าแลกหมัด “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กระทรวงกลาโหม ที่ขัดแย้งรุนแรงในเรื่องการตั้งปลัดกลาโหมคนใหม่ ซึ่ง “พล.อ.เสถียร” หวังจะผลักดันศิษย์ก้นกุฏิอย่าง “บิ๊กกี๋” พล.อ.ชาตรี ทัตติ ตท.14 เข้ามาสืบทอดอำนาจต่อ แต่นั่นเท่ากับไปหักหน้าเจ้ากระทรวงกลาโหม ที่ได้ล็อกตัวปลัดใหม่เอาไว้แล้ว หลังนำพา “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน “ตท.11” มาโชว์ตัวกับนายกฯ ปู “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ถึงทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ “บิ๊กเล็ก” ได้ย้ายข้ามห้วยจาก “ผช.ผบ.ทบ.” เข้าไปเสียบเก้าอี้ “ปลัดกลาโหม”
เป็นเหตุให้นำไปสู่วิวาทะ “การเมือง ล้วงลูก” ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ “บิ๊กโอ๋” เกิดอาการระคายหูที่ถูกปลัด กห.ตบหน้าอย่าง แรง กระทั่งมีคำสั่งเด้งฟ้าผ่า “พล.อ. เสถียร” ไปล่อเป้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่วันข้างหน้า

ปัญหาการเมืองงัดข้อคนในกองทัพ ได้ถูกฝ่ายค้านเติม “เชื้อไฟ” ให้กับมวยคู่เปิดรายการ โดยผู้นำฝ่ายค้าน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ออกมา “โหนกระแส” ซัดไปว่า “การเมืองล้วงลูก” ทว่านั่นเป็นแค่ “ไฟการเมือง” ที่ถูกโหมขึ้นมาเพียงวูบเดียว แต่ไร้ซึ่ง “เชื้อ” ที่จะทำให้ “ติดไฟ” แม้กระทั่ง พล.อ.เสถียร ยังไม่ติดใจกับการ ถูก “ฟ้าผ่าเก้าอี้” ทั้งที่เคยมีวิวาทะกันอย่างรุนแรง ยิ่งมีข่าวลือสะพัดกลาโหมว่า เหตุที่ยอมถอยเป็นเพราะ...โดนจี้จุดอ่อน! ซึ่งอาจทำให้ภาพของ พล.อ.เสถียร แปดเปื้อน

เพราะขณะกำลังประกาศว่าที่ทำอยู่ ทุกวันนี้ก็เพื่อปกป้อง “กระทรวงกลาโหม” จากการถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซง และต้องการผลักดันคนในมากกว่าคนนอก แต่ ความจริงแล้ว “พล.อ.เสถียร” ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งปลัดกลาโหม ด้วย “ช่องทางพิเศษ” ซึ่งได้มีเหตุแห่งวิพากษ์ว่า...ข้ามหัวคนอื่นขึ้นมาใหญ่ ไม่ใช่เติบโตมาตามระบบ ขั้นตอนแต่อย่างใด ฉะนั้นจึงน่าสนใจว่า พล.อ.เสถียร มีความมุ่งมั่นที่จะรักษาระบบ ของกลาโหม หรือมีเบื้องลึกเบื้องหลังมาก ไปกว่านี้

ถึงตรงนี้แล้ว คงได้เห็นภาพชัดขึ้นว่า เหตุใด “พล.อ.เสถียร” ต้องออกมาขวางลำตั้งปลัดใหม่ ทั้งๆ ที่ “นายกฯ ปู” ทั้งผลักทั้งดันขึ้นเก้าอี้ตัวนี้มากับมือ และยังไม่ เคยล้วงลูกการทำงานแม่แต่น้อย ทั้งที่เก้าอี้ ตัวนี้สามารถไปนั่งควบในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ใหญ่ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าและหาผลประโยชน์ได้อย่างมากมายจะกี่มากน้อย “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ก็ถึงกับส่ง “ราศี บัวเลิศ” เจ้าแม่วงการค้าอาวุธ เข้ามาจัดการเรื่องผลประโยชน์ และสอดประสานการทำงานร่วมกับ “ปลัดกลาโหม”

ด้วยเหตุนี้เอง แม้ “พล.อ.ทนงศักดิ์” จะเป็นเตรียมทหารรุ่น 11 เช่นเดียวกัน แต่ หากปล่อยให้เพื่อนข้ามห้วย ข้ามไลน์มา ก็คงไม่เข้าขาเหมือนรุ่นน้องคนกันเองอย่าง “พล.อ.ชาตรี ทัตติ” รองปลัดกลาโหม เตรียมทหารรุ่น 14 ซึ่งมีข้อได้เปรียบ ที่ แม้จะเป็นรุ่นน้องแต่ครองอัตราจอมพล เนื่องจากนั่งแท่นบนเก้าอี้รองปลัดกลาโหมว่ากันในเรื่องเฉดสี แม้ทั้ง “พล.อ. เสถียร” และ “พล.อ.ชาตรี” จะเป็นสเปก “นายพลแตงโม” เช่นเดียวกัน แต่ด้วยความที่คนใกล้ชิดของ “พล.อ.เสถียร” เป็นแดงต่างขั้วและคนละสายกับ “พล.อ. ชาตรี” มันจึงบังเกิดเกมการประลองกำลังกันเองของเหล่าทัพแตงโม ประจวบเหมาะกับความสัมพันธ์ที่เริ่มก่อเกิดขึ้น ระหว่างคนที่ถูกส่งมาดูแลการบริหารจัดการผลประโยชน์อย่าง “ราศี บัวเลิศ” กับผู้ถูกควบคุมดูแลอย่าง “พล.อ. เสถียร” ก่อนที่หลายสิ่งหลายอย่างจะถูกจูน จนมีเคมีตรงกันได้
จากเดิมที่เข้าตรวจสอบ ณ ปัจจุบัน จึงพัฒนากลายเป็นเนื้อเดียวกัน..! และที่สำคัญ “ราศี” เป็นประเภทท่อร้อยสายพันคอนเน็กชั่น และหนึ่งในคอนเน็กชั่นสำคัญ คือเป็นไลน์เดียวกันกับ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และเหมือนกันตรงที่ “พล.อ. ชาตรี” เป็นนายพลสาย “บิ๊กจิ๋ว” ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดทั้งปวง หนุนนำให้ “พล.อ. ชาตรี” ได้แบ็กอัพชั้นดีเป็นสตรีที่เข้าถึงตัว “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ได้อย่างง่ายดาย ตรงนี้จึงกลายเป็น “ธุระ” ของ “ราศี บัวเลิศ” ที่เป็นฝ่ายล็อบบี้ให้ “นายใหญ่” ต้องออกแรงงัดข้ออีกรอบกับ “น้องเลิฟ” ด้วยการเข้ามาถือหาง “พล.อ.ชาตรี” ในทางพฤตินัย

แม้วันนี้ “โผทหาร” จะนิ่งแล้วนิ่งอีก และวางคาอยู่ที่สภากลาโหมแล้ว แต่เงื่อนงำแห่งเรื่องราวต่างๆ ก็ยังไม่สามารถ พูดคุยกันได้ สืบเนื่องจากปัญหายังติดที่เก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งก็คงจะทราบผลกันแล้ว สำหรับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กันยายน ที่จะได้ “ตัวตายตัวแทน” เข้ามาครองตำแหน่งปลัดคนใหม่

ขณะเดียวกัน ในเรื่องการ “ล็อกโผ” ตั้งปลัดกลาโหมคนใหม่ ยังทำให้เกิดรอยร้าวในสายสัมพันธ์ระหว่าง “พ.ต.ท.ทักษิณ- ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เพราะมีความเห็นไม่ตรงกัน พลันให้โฟกัสไปยัง “โผทหาร” ที่จวนจะคลอดเต็มที เมื่อกองทัพกับรัฐบาล วันนี้ดูจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ดูได้จากคอนเน็กชั่นระหว่าง “นายกฯ ปู” กับจ่าฝูงกองทัพบกอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เรียกได้ว่ากลมเกลียวกันถึงขั้นน่าเชื่อได้ว่า “กองทัพ” ไม่มีทางจะลากรถถังออกมาปฏิวัติ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เป็นแน่... นั่นเท่ากับว่า “บูรพาพยัคฆ์” จะ ได้รับอาณัติในการจัดโผโยกย้ายกองทัพไปเสียส่วนใหญ่

ทว่า...คงยกเว้นเฉพาะเก้าอี้ “ปลัดกลาโหม” ที่ดูจะเป็นปัญหาบานปลาย แม้ว่า “นายกฯ ปู” กับ “บิ๊กตู่” ได้ประสานมือผลักดัน แต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววที่จะตกผลึก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ “บิ๊กตู่” ได้จูงมือ “บิ๊กโอ๋” เข้าพบ “นายกฯ ปู” ซึ่งว่ากันว่าการเข้าพบปะพูดคุยกันรอบนั้น เป็นการเจรจาต่อรองเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมให้กับ “พล.อ.ทนงศักดิ์”

ซึ่งผลการเจรจาเป็นไปอย่าง “วิน วิน” ...ทั้ง “นายกฯ ปู”...“บิ๊กตู่” ...“บิ๊กโอ๋” ที่ประสานเสียงให้ “พล.อ.ทนงศักดิ์” ขึ้นแท่นปลัดกระทรวงกลาโหม กระนั้นแม้จะเข้าจังหวะพร้อมกัน ชนิดคีย์ไม่เพี้ยน แต่สิทธิ์ขาดทั้งหมดกลับไปขึ้นกับ “สภากลาโหม” ที่ได้ตรากฎหมายไว้ชัดใน “รัฐบาลขิงแก่” ให้การแต่งตั้งโยกย้ายระดับ “ผบ.เหล่าทัพ”และ “ปลัดกลาโหม” ต้องผ่านมติสภากลาโหมเท่านั้น

ส่งผลให้วงประชุม “พรรคเพื่อไทย” ในช่วงปลายเดือนกันยายน จะมีการหยิบ ยกประเด็น “ยื่นแก้ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ปี 2551” หรือ “พ.ร.บ.สภากลาโหม” ขึ้นมาปัดฝุ่นกันใหม่ แน่นอนว่า “พรรคเพื่อไทย” ที่มีเสียงในสภาฯ เต็มอัตราศึกที่ 265 ที่นั่ง เกิน กว่าครึ่งทำให้การเสนอ “แก้ พ.ร.บ. กลาโหม” คงไม่ใช่เรื่องยาก แค่ให้ ครม.ยื่นเรื่องเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา หรือให้ ส.ส.เข้าชื่อขอแก้ไขเพียง 20 คน ก็ถือว่าเข้าขั้นตอนแล้ว

สำหรับ “พ.ร.บ.สภากลาโหม” ก่อกำเนิดขึ้นสมัยรัฐบาล “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่ยึดอำนาจล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” จนพังครืน ขณะนั้น “พล.อ.บุญรอด สมทัต” รมว.กระทรวงกลาโหม ได้ยกร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ขึ้นมา เพื่อให้เป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ไว้ป้องกันกองทัพ ไม่ให้มีการเมืองแทรกแซงปรากฏว่า ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ด้วยเสียง ข้างมากในเวลาอันรวดเร็ว 3 วาระรวด แต่ระหว่างนั้นเกิดคาบเกี่ยว มีการเลือกตั้ง ใหญ่ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ขึ้นเสียก่อน “พ.ร.บ.สภากลาโหม” เลยมามีผลบังคับใช้เอาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2551 ในสมัยรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” ยุคที่พรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

“พ.ร.บ.สภากลาโหม” มีกรอบจำกัดอยู่หลายประเด็น แต่ที่เป็น “กำแพง” ไม่ให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซง คือ “มาตรา 25” ว่าด้วยแต่งตั้งนายทหารระดับชั้นยศ “นายพล” ให้ดำเนินการโดยคณะกรรมการ 7 คน ที่มาจากตำแหน่งหลัก ประกอบด้วย รมว.กระทรวงกลาโหม-รมช.กระทรวงกลาโหม-ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการสี่เหล่าทัพ “บก-เรือ-อากาศ-บก.สูงสุด” ทว่าในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีเพียง รมว. กระทรวงกลาโหมคนเดียว ไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย เท่ากับว่าคณะกรรมการเหลือเพียง 6 คน สัดส่วนจึงค่อนข้างเหลื่อม ล้ำ กินขาดระหว่าง 5 ต่อ 1 ...“รมว. กระทรวงกลาโหม” จึงแทบจะไร้ซึ่งอำนาจ ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโผโยกย้ายในกองทัพ

“ฝ่ายการเมือง” นำทีมโดย “เพื่อไทย” จึงได้เล็งขับเคลื่อน “แก้ไข พ.ร.บ. สภากลาโหม” ให้กลับคืนสู่มิติเดิม เพื่อให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือกองทัพ!!

ยิ่งก่อนหน้านี้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ได้มีความพยายามที่จะเข้าไปแก้ไข “พ.ร.บ. สภากลาโหม” มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เต็มไปด้วยเสียงคัดค้านของคนในกองทัพ และที่ค้านหัวชนฝา ก็คือ “พล.อ.ประยุทธ์” โดยมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ขานรับเป็น ทอดๆ แต่ก็ไม่ได้เดินหน้าค้านเต็มตัว เพราะถ้าออกนอกหน้าเกินไป เกรงว่าจะถูกข้อครหาว่ารับใช้อำนาจทหาร “ประชาธิปัตย์” เลยแค่ “ค้านแก้เกี้ยว” เท่านั้นเอง

เมื่อถึงเวลาอันสุกงอม ศึกแก้ “พ.ร.บ. สภากลาโหม” ก็ถูกโหมโรงขึ้นมาอีกครั้ง โดยเชื่อว่า “พรรคเพื่อไทย” คงไม่ยุติลงโดยง่าย เพราะรัฐบาลยังกุมความได้เปรียบ ในสภาฯ ถึงแม้ “กฎหมายร้อน” ฉบับนี้จะแก้ได้ไม่ยากนัก ทว่าคงแลกมาด้วย “ความ เสี่ยง” ที่ทหารจะเอารถถังออกมาปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาล...ที่สุดคงต้องวัดใจ “นายใหญ่-นายหญิง” ว่าจะยอมหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพื่อแลกกับ “ผลประโยชน์เชิงอำนาจ” ในสภากลาโหมหรือไม่ เพราะมี “ปัจจัยซ้อนทับ” ที่นำไปสู่การเปลี่ยนตัว “ผบ.เหล่าทัพ” และ “ปลัดกระทรวงกลาโหม” ที่ไม่ตรงสเปก...ได้ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ?!!

ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น