เชียงราย - ชาวนาเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก ชัยนาท สกลนคร
หนองคาย ปลูกข้าวญี่ปุ่น ขายตันละ 5-7 หมื่นบาท โบรกเกอร์ ไทย-ฮ่องกงกว้านซื้อเรียบ
ปล่อยต่อตลาดคนรวย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป และประเทศในตะวันออกกลาง ขณะ
ที่ข้าวสังข์หยดพัทลุง ขายในห้าง กิโลกรัมละ 80 บาท หรือตันละ 8 หมื่นบาท
‘เจ้าสัวซี.พี.’ แนะลดพื้นที่เพาะปลูกจาก 63 ล้านไร่เหลือ 25 ล้านไร่ เน้นขายตลาดบน
ส่วนตลาดล่างรับจากพม่ามาปล่อยแทน
แหล่งข่าวระดับสูงในวงการข้าว เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งปลูกข้าวพันธุ์ดีอีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งนอกเหนือจากสายพันธุ์ที่ปลูกและคิดค้นโดยคนไทยแล้ว ยังมีข้าวสายพันธ์จากต่างประเทศเช่นข้าวญี่ปุ่นปลูกขายอีกด้วย โดยเฉพาะข้าวญี่ปุ่นนั้นทำรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดเชียงรายอย่างมาก เพราะมีราคาขายค่อนข้างสูง คือข้าวสารราคาตันละ 5 หมื่นบาท (เปรียบเทียบข้าวสารไทยราคาตันละ 2-3 หมื่นบาท) โดยมีการประกันราคารับซื้อจากโบรกเกอร์ในจังหวัดเชียงรายหลายราย ซึ่งโบรกเกอร์เหล่านี้จะส่งไปขายต่อญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง เท่าที่ทราบญี่ปุ่นรับซื้อในราคาตันละ 7 หมื่นบาท ปัจจุบันปลูกกันมากในหลายอำเภอ เช่น อำเภอแม่จัน อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอพาน เป็นต้น
“สยามธุรกิจ” ได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่า ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย เป็นศูนย์วิจัยข้าวแห่งแรกที่นำ “ข้าวญี่ปุ่น” เข้ามาทดลองปลูกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2507 โดยได้ดำเนินการที่สถานีทดลองข้าวพาน และสถานีทดลองข้าวสันป่าตอง จากนั้นนำไปปลูกทดสอบผลผลิตในนาเกษตรกรจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก ชัยนาท สกลนคร และจังหวัดหนองคาย ใช้ชื่อพันธุ์ว่า ‘ข้าวญี่ปุ่น ก.วก.1 และข้าวญี่ปุ่น ก.วก.2’ มีลักษณะเด่นคือให้ผลผลิตสูงในสภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถปรับตัวได้ดีในพื้นที่ดินนาเขตภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนได้ดีกว่าข้าวญี่ปุ่นพันธุ์อื่นๆ คุณภาพการหุงต้มและรับประทานดี ตรงตามมาตรฐานสำหรับผู้บริโภคข้าวญี่ปุ่น ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากข้าวญี่ปุ่นแล้ว ข้าวที่มีคุณลักษณะพิเศษ อาทิ ข้าวกล้อง ข้างสังข์หยดจังหวัดพัทลุง ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก จำหน่ายในราคาตันละ 4-5 หมื่นบาท แปรรูปเป็นข้าวสารขายกิโลกรัมละ 80 บาทหรือตันละ 8 หมื่นบาท โดยมีโบรกเกอร์ชาวฮ่องกงบินมากว้านซื้อเพื่อไปปล่อยต่อในตลาดโลก เท่าที่ทราบโบรกเกอร์ชาวฮ่องกงจะได้ออเดอร์จากต่างประเทศก่อน แล้วจึงมาหาซื้อสินค้าในเมืองไทย
สอดคล้องกับข้อมูลที่ “สยามธุรกิจ” ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ว่ามีกลุ่มพ่อค้าคนกลางหรือเทรดเดอร์ จากฮ่องกงบินมาเจรจาขอซื้อข้าวสารไทยไปขายต่อในตลาดโลก โดย นายพอลล์ อลัน คาร์โดนา ผู้แทนบริษัท ไคลอง บิสซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เซอร์วิส จำกัด ที่เป็นทั้งเทรดดิ้งและเป็นตัวแทนจัดหาจัดซื้อสินค้าให้แก่ลูกค้า ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในหลายตลาด เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และประเทศในตะวันออกกลาง นอกจากบริษัท ไคลอง บิสซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เซอร์วิส แล้วยังมีบริษัทฮ่องกงอีกอย่างน้อย 3-5 บริษัทสั่งซื้อข้าวไทยไปปล่อยต่อ
สำหรับข้าวสังข์หยดเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองจังหวัดพัทลุงที่มีการปลูกและเป็นที่นิยมในท้องถิ่นมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว โดยเป็นข้าวนาสวนที่มีคุณภาพ ต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี และที่สำคัญเมื่อหุงสุกแล้ว ข้าวสังข์หยดจะมีความอ่อนนุ่ม ค่อนข้างเหนียว ทำให้ย่อยง่าย เหมาะกับผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่ใช้แรงงานหนัก ปัจจุบันกระแสความนิยมของผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญกับอาหารสุขภาพ ปลอดภัยจากสารพิษ ข้าวสังข์หยดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันขยายพื้นที่เพาะปลูกไปในภาคอีสานด้วย
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า สิวสเซอร์แลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องการข้าวคุณภาพสูง เนื่องจากมีการวิจัยในยุโรปว่าข้าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ และเนื่องจากสวิสเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป ปัจจัยสำคัญของข้าวที่จะได้รับความนิยมและสามารถจำหน่ายในสวิสได้ต้องเป็นข้าวคุณภาพสูงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคา เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง ฯลฯ
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ จุดเปลี่ยนการค้าโลก ไทยจะเดินอย่างไร ในงานวันสถาปนากระทรวงพาณิชย์ ครบรอบ 92 ปีว่า ควรลดพื้นที่ปลูกข้าวลงให้เหลือเพียง 25 ล้านไร่ในเขตชลประทาน จากปัจจุบัน 63 ล้านไร่ โดยพัฒนาการผลิตให้สมบูรณ์แบบ ดีกว่าปลูกมากแต่ไม่ได้คุณภาพ เพื่อเพิ่มระดับราคาให้สูงขึ้น และรักษาระดับตลาดบนไว้ ในขณะที่ตลาดระดับล่าง ควรให้ภาคเอกชนซื้อข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่ามาส่งออกแทน
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
แหล่งข่าวระดับสูงในวงการข้าว เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งปลูกข้าวพันธุ์ดีอีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งนอกเหนือจากสายพันธุ์ที่ปลูกและคิดค้นโดยคนไทยแล้ว ยังมีข้าวสายพันธ์จากต่างประเทศเช่นข้าวญี่ปุ่นปลูกขายอีกด้วย โดยเฉพาะข้าวญี่ปุ่นนั้นทำรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดเชียงรายอย่างมาก เพราะมีราคาขายค่อนข้างสูง คือข้าวสารราคาตันละ 5 หมื่นบาท (เปรียบเทียบข้าวสารไทยราคาตันละ 2-3 หมื่นบาท) โดยมีการประกันราคารับซื้อจากโบรกเกอร์ในจังหวัดเชียงรายหลายราย ซึ่งโบรกเกอร์เหล่านี้จะส่งไปขายต่อญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง เท่าที่ทราบญี่ปุ่นรับซื้อในราคาตันละ 7 หมื่นบาท ปัจจุบันปลูกกันมากในหลายอำเภอ เช่น อำเภอแม่จัน อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอพาน เป็นต้น
“สยามธุรกิจ” ได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่า ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย เป็นศูนย์วิจัยข้าวแห่งแรกที่นำ “ข้าวญี่ปุ่น” เข้ามาทดลองปลูกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2507 โดยได้ดำเนินการที่สถานีทดลองข้าวพาน และสถานีทดลองข้าวสันป่าตอง จากนั้นนำไปปลูกทดสอบผลผลิตในนาเกษตรกรจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก ชัยนาท สกลนคร และจังหวัดหนองคาย ใช้ชื่อพันธุ์ว่า ‘ข้าวญี่ปุ่น ก.วก.1 และข้าวญี่ปุ่น ก.วก.2’ มีลักษณะเด่นคือให้ผลผลิตสูงในสภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถปรับตัวได้ดีในพื้นที่ดินนาเขตภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนได้ดีกว่าข้าวญี่ปุ่นพันธุ์อื่นๆ คุณภาพการหุงต้มและรับประทานดี ตรงตามมาตรฐานสำหรับผู้บริโภคข้าวญี่ปุ่น ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากข้าวญี่ปุ่นแล้ว ข้าวที่มีคุณลักษณะพิเศษ อาทิ ข้าวกล้อง ข้างสังข์หยดจังหวัดพัทลุง ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก จำหน่ายในราคาตันละ 4-5 หมื่นบาท แปรรูปเป็นข้าวสารขายกิโลกรัมละ 80 บาทหรือตันละ 8 หมื่นบาท โดยมีโบรกเกอร์ชาวฮ่องกงบินมากว้านซื้อเพื่อไปปล่อยต่อในตลาดโลก เท่าที่ทราบโบรกเกอร์ชาวฮ่องกงจะได้ออเดอร์จากต่างประเทศก่อน แล้วจึงมาหาซื้อสินค้าในเมืองไทย
สอดคล้องกับข้อมูลที่ “สยามธุรกิจ” ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ว่ามีกลุ่มพ่อค้าคนกลางหรือเทรดเดอร์ จากฮ่องกงบินมาเจรจาขอซื้อข้าวสารไทยไปขายต่อในตลาดโลก โดย นายพอลล์ อลัน คาร์โดนา ผู้แทนบริษัท ไคลอง บิสซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เซอร์วิส จำกัด ที่เป็นทั้งเทรดดิ้งและเป็นตัวแทนจัดหาจัดซื้อสินค้าให้แก่ลูกค้า ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในหลายตลาด เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และประเทศในตะวันออกกลาง นอกจากบริษัท ไคลอง บิสซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เซอร์วิส แล้วยังมีบริษัทฮ่องกงอีกอย่างน้อย 3-5 บริษัทสั่งซื้อข้าวไทยไปปล่อยต่อ
สำหรับข้าวสังข์หยดเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองจังหวัดพัทลุงที่มีการปลูกและเป็นที่นิยมในท้องถิ่นมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว โดยเป็นข้าวนาสวนที่มีคุณภาพ ต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี และที่สำคัญเมื่อหุงสุกแล้ว ข้าวสังข์หยดจะมีความอ่อนนุ่ม ค่อนข้างเหนียว ทำให้ย่อยง่าย เหมาะกับผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่ใช้แรงงานหนัก ปัจจุบันกระแสความนิยมของผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญกับอาหารสุขภาพ ปลอดภัยจากสารพิษ ข้าวสังข์หยดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันขยายพื้นที่เพาะปลูกไปในภาคอีสานด้วย
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า สิวสเซอร์แลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องการข้าวคุณภาพสูง เนื่องจากมีการวิจัยในยุโรปว่าข้าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ และเนื่องจากสวิสเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป ปัจจัยสำคัญของข้าวที่จะได้รับความนิยมและสามารถจำหน่ายในสวิสได้ต้องเป็นข้าวคุณภาพสูงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคา เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง ฯลฯ
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ จุดเปลี่ยนการค้าโลก ไทยจะเดินอย่างไร ในงานวันสถาปนากระทรวงพาณิชย์ ครบรอบ 92 ปีว่า ควรลดพื้นที่ปลูกข้าวลงให้เหลือเพียง 25 ล้านไร่ในเขตชลประทาน จากปัจจุบัน 63 ล้านไร่ โดยพัฒนาการผลิตให้สมบูรณ์แบบ ดีกว่าปลูกมากแต่ไม่ได้คุณภาพ เพื่อเพิ่มระดับราคาให้สูงขึ้น และรักษาระดับตลาดบนไว้ ในขณะที่ตลาดระดับล่าง ควรให้ภาคเอกชนซื้อข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่ามาส่งออกแทน
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น