--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

10 เรื่องน่าสนใจ เกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่อยู่ใกล้ตัวคุณ !!?

ในปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อันทันสมัยก็เริ่มกลายเป็นของใช้จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ นาฬิกา หูฟัง หรือแม้กระทั่งกล้องถ่ายรูป เชื่อว่าอุปกรณ์แทบทุกชิ้นที่ยกตัวอย่างมา ทุกคนที่กำลังอ่านอยู่น่าจะมีใช้งานกัน"อย่างน้อย" คนละหนึ่งชิ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น วันนี้เราจะมาสำรวจเทคโนโลยีใกล้ตัวของเราไปพร้อม ๆ กัน เพราะอุปกรณ์ใกล้ตัวเรานี่แหละ สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด

1. Smartphone อวัยวะลำดับที่ 33 ของทุกคน

คนแทบทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพน่าจะต้องมีโทรศัพท์มือถือเป็นของใช้ประจำกายกันแทบทุกคน แต่รู้หรือเปล่าว่าสมาร์ทโฟนในยุคนี้ทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด ปัจจุบันเราสามารถพูดคุยกับมือถือของเรา สั่งงานด้วยเสียงได้โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม สมาร์ทโฟนใหม่ ๆ แทบทุกรุ่นมี GPS ติดตั้งในตัว เราสามารถใช้เป็นเครื่องมือนำทางได้ ล่าสุดมีการประยุกต์ใช้สมาร์ทโฟนให้กลายเป็นเครื่องมือนำทางของคนตาบอด โดยใช้ความสามารถของการสั่งงานด้วยเสียงและการระบุตำแหน่งด้วยระบบ GPS ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ เมื่อเราอยากจะตัดสินใจอะไร เราอาจจะต้องหันมาพูดคุยปรึกษากับอวัยวะลำดับที่ 33 นี้ก็เป็นได้นะ

2. Bluetooth Headset เทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่ข้างใบหู

รู้หรือเปล่าว่าหูฟังชิ้นเล็ก ๆ นี้มีเทคโนโลยีมากมายที่ได้ถูกบรรจุเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในการตัดเสียงรบกวนรอบข้างที่จะช่วยให้การสนทนาของเรา เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งมีเทคโนโลยีหลายรูปแบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เช่น การใช้ไมค์รับเสียงแบบพิเศษที่สามารถตรวจสอบคลื่นรบกวน เสียงลม เสียงรอบข้างที่ไม่ใช่เสียงพูดได้ หรือการใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจจับการขยับของกล้ามเนื้อเพื่อใช้เป็นข้อมูล ประกอบการตัดสินใจในการตัดเสียงรบกวน นอกจากนี้หูฟังบลูทูธอย่าง Jawbone ยังสามารถลงแอพพลิเคชั่นเพื่อเพิ่มความสามารถ เพิ่มฟังก์ชั่นการทำงานได้อีกด้วย

3. Headphone นวัตกรรมเพื่อความบันเทิง

รู้หรือเปล่าว่าเสียงคุณภาพดีที่ได้จากหูฟังแต่ละประเภทมีเทคโนโลยีระดับสูง ซ่อนอยู่มากมาย การออกแบบหูฟังตัวใหญ่ ๆ กับการออกแบบหูฟังแบบ In-Ear ก็จะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน พื้นฐานของการออกแบบหูฟัง ก็คือการพยายามย่อขนาดส่วนประกอบต่าง ๆ ของลำโพงมาบรรจุไว้ในหูฟัง โดยรักษาระดับคุณภาพของเสียงไว้ให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นหูฟังจึงมีหลายระดับราคา ในหูฟังราคาระดับหมื่นบาทนั้นภายในจะประกอบด้วยวงจรตัวขับที่ออกแบบอย่าง พิถีพิถัน เพื่อให้ได้เสียงร้องที่ชัดเจน เสียงเบสที่หนักแน่น ลองฟังเพลงเดิมด้วยหูฟังดี ๆ สักตัวดูสิ แล้วจะรู้ว่าความแตกต่างของคุณภาพเสียงเป็นอย่างไร

4. Watch เมื่อนาฬิกาเป็นมากกว่าเครื่องบอกเวลา

ถามว่านาฬิกาเรือนนี้ "ทำอะไรได้บ้าง?" คงจะได้คำตอบมากมายเพราะนาฬิกาในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดแบบนี้ เพราะมักมีฟังก์ชั่นการทำงานที่นอกเหนือจากความสามารถพื้นฐานอย่างใช้จับ เวลา หรือใช้บอกเวลาทั่วโลก นาฬิกาบางรุ่นสามารถเดินได้เองโดยไม่ต้องใช้ถ่านและยังคงความเที่ยงตรงไว้ ได้สมบูรณ์ 100% ซึ่งยากที่นาฬิกาแบบออโตเมติกรุ่นก่อน ๆ จะทำได้ หรือนาฬิกาที่ใช้เป็นโทรศัพท์ นาฬิกาที่ออกแบบมาเพื่อนักดำน้ำ นักปีนเขา หรือกิจกรรมเฉพาะด้าน ลองมองดูนาฬิกาที่เราสวมอยู่สิครับว่าทำอะไรได้บ้าง? มองดูแล้วอยากจะเปลี่ยนนาฬิกากันบ้างหรือยัง?

5. Tablet เมื่อความบันเทิงพกติดตัวไปได้ทุกที่

ตั้งแต่แอปเปิลเปิดตัว iPad เราก็ได้เห็นพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในยุคดิจิตอลเปลี่ยนไปพอ สมควร และในตอนนี้ก็มีแท็บเล็ตออกมามากมายหลายรุ่นให้เลือกใช้งาน แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ? รู้หรือไม่ว่าเราสามารถเข้าไปศึกษาหรือเข้าเรียนคอร์สต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศแบบออนไลน์ได้ เราสามารถแก้ไขไฟล์เอกสารงานต่าง ๆ ได้ด้วยชุดแอพพลิเคชั่นออฟฟิศที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ อีกต่อไป และถ้าเราเป็นผู้ที่ชื่นชอบความบันเทิงรูปแบบใหม่ ๆ เดี๋ยวนี้มีเกมบนแท็บเล็ตที่เราสามารถเล่นกับเพื่อน ๆ ที่ออนไลน์อยู่อีกฝั่งนึงของโลกได้แบบเรียลไทม์เลยทีเดียว


6. E-Reader เพื่อนคู่ใจหนอนหนังสือ

หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับอุปกรณ์ E-Reader อย่าง Amazon Kindle หรือ Nook อุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์คู่ใจหนอนหนังสือยุคไอที แต่ไม่ช้าก็เร็วเจ้า E-Reader จะเข้ามาแทนที่หนังสือเกือบ 100% อย่างแน่นอน รู้หรือเปล่าว่าเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ช่วยให้เราสามารถขนหนังสือเป็นพัน ๆ เล่มติดตัวไปได้โดยมีน้ำหนักไม่ถึงหนึ่งกิโลกรัม เทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผลก็ให้รู้สึกในการอ่านที่ใกล้เคียงกับกระดาษอ่าน สบายตา และยังมีฟังก์ชั่นดี ๆ อย่างระบบ Note และ Bookmark ที่เราสามารถซิงค์ข้อมูลการอ่านของเราได้กับอุปกรณ์หลายตัว ทำให้สามารถอ่านหนังสือเล่มโปรดได้ทุกที่ทุกเวลาเลยล่ะ

7. Laptop เมื่อต้องพกคอมพิวเตอร์ติดตัวไปทุกที่

ไม่ว่าเราจะทำงานในสาขาอาชีพอะไร เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ดูจะเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานไปแล้ว และนับตั้งแต่วันที่แล็ปท็อปเครื่องแรกถือกำเนิดขึ้น ทำให้เราหอบหิ้วเครื่องคอมพิวเตอร์ไปได้ทุกที่ จนถึงวันนี้ก็มี Ultrabook ที่เป็นแล็ปท็อปดีไซน์บางเฉียบ มีน้ำหนักเบา พกพาสบายไม่เป็นภาระ แต่ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพระดับเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ ๆ หรือแล็ปท็อปเครื่องหนัก ๆ ที่น่าสนใจคือแล็ปท็อปรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยทั้งแบบสแกน นิ้วมือและแบบจดจำใบหน้า มีหน้าจอการแสดงผลที่ละเอียดและแสดงผลได้สวยงามไม่แพ้จอรุ่นใหญ่ ๆ ในอนาคตอันใกล้เราคงจะได้เห็นการรวมกันระหว่างแท็บเล็ตและแล็ปท็อปก็เป็นได้

8. Compact Camera กล้องขนาดเล็กคุณภาพเกินตัว

กล้องคอมแพคถือเป็นกล้องที่ขายดีที่สุด เพราะมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก ราคาไม่แพง เมื่อก่อนการใช้งานกล้องคอมแพคก็เพียงเพื่อเก็บภาพประทับใจโดยไม่ได้คาดหวัง กับคุณภาพของภาพสักเท่าไร แต่รู้หรือเปล่าว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีที่อยู่ในกล้องตัวเล็ก ๆ นี้ก้าวหน้าไปมาก กล้องคอมแพคสามารถโฟกัสใบหน้าคนได้อัตโนมัติ สามารถจดจำใบหน้าของคนที่เรารู้จัก และยังสามารถบันทึกพิกัดของสถานที่ที่เราเก็บภาพได้ด้วยระบบ GPS แถมยังสามารถส่งข้อมูลผ่าน WiFi เพื่อโอนหรือแชร์ภาพถ่ายได้ทันที และนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า Mirrorless ซึ่งเป็นกล้องตัวเล็กที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ก็ช่วยให้เราได้ภาพในระดับมืออาชีพเลยทีเดียว


9. GPS เพื่อนคู่ใจในการเดินทาง

ไลฟ์สไตล์ของคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวชอบการเดินทาง อุปกรณ์นำทางอย่าง GPS Navigator ก็คงจะเป็นอุปกรณ์คู่ใจที่ช่วยให้การเดินทางมีสีสันมากยิ่งขึ้น บางคนอาจจะใช้เพียงฟังก์ชั่นพื้นฐานเท่านั้น แต่รู้หรือเปล่าว่าอุปกรณ์ GPS ในสมัยนี้มีราคาที่ถูกลงมาก แถมมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจุด POI ที่ครอบคลุมมากขึ้น ระบบการจับสัญญาณดาวเทียมเพื่อคำนวณพิกัดที่ดียิ่งขึ้น ลูกเล่นในการบอกเส้นทาง เช่น การแสดงภาพทางร่วมทางแยกต่าง ๆ เป็นรูปภาพพร้อมแสดงช่องจราจรให้เสร็จสรรพ ป้องกันการเข้าเลนผิดช่องในเมืองใหญ่ ๆ ที่ถนนพันกันเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นของการพูดบอกเส้นทางเป็นภาษาต่าง ๆ ทั้งไทยและเทศ ไทยเหนือ ไทยอีสาน เสียงผู้ชาย เสียงผู้หญิง และลูกเล่นอีกมากมายที่จะช่วยให้การเดินทางเป็นเรื่องน่าสนุกมากยิ่งขึ้น

10. Handheld Game Console พกความสนุกไปทุกที่

ในยุคดิจิตอลที่เกมและความบันเทิงเป็นของคู่กัน เครื่องเกมแบบพกพา จึงเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เครื่องเล่นเกมแบบพกพาอย่าง Nintendo DS, 3DS และ Sony PSP, Vita เป็นเครื่องเล่นเกมแบบพกพาที่อัดแน่นทั้งความบันเทิงและเทคโนโลยี แต่รู้หรือเปล่าว่าเครื่องเล่นเกมเครื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อเล่น เกมออนไลน์ได้ และถึงจะมีหน้าจอเล็ก ๆ แบบนี้แต่ก็สามารถใช้ดูหนังฟังเพลงด้วยการแสดงผลภาพและเสียงที่ทำได้อย่างดี เยี่ยม นอกจากนี้ การเล่นเกมยังเพิ่มอรรถรสด้วยระบบสั่นสะเทือนในตัว สามารถเล่นเกมที่แสดงผลในแบบ 3 มิติได้ ทั้งยังมีเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง AR (Augmented Reality) ที่พลิกโฉมรูปแบบในการเล่นเกมแบบพกพาไปอย่างสิ้นเชิง ใครที่ยังไม่ไม่เคยเล่น ลองหาโอกาสไปสัมผัสกันดูนะครับ

ที่มา: TENN Magazine IT PLAZA
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

เต็ง เส่ง. ชม ซูจี. บนเวทียูเอ็น !!?



ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ของพม่า กล่าวชื่นชมนางอองซาน ซูจี ในที่ประชุมสหประชาชาติ

ประธานธิบดี เต็ง เส่ง ของพม่า กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ครั้งที่ 67 ที่นครนิวยอร์กว่า พม่าอยู่บนเส้นทางที่ไม่ย้อนกลับเพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาธิปไตย และกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ เพื่อเป็นสมาชิกใหม่ร่วมกับประชาคมโลก

ผู้นำพม่า ยังกระทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ด้วยการกล่าวชื่นชมนางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านว่า เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการปฏิรูปการเมือง และประเทศของเขาได้ทิ้งยุคแห่งความเป็นเผด็จการของเมื่อ 5 ทศวรรษก่อนไว้เบื้องหลัง อันเป็นการสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในพม่าในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนางซูจี ได้รับเลือกตั้งให้เป็น ส.ส. หลังถูกกักบริเวณในบ้านพักนานถึง 15 ปี

นับเป็นครั้งแรก ที่การกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ท่ามกลางผู้นำโลก ได้ถูกถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ของพม่าด้วย และเป็นครั้งแรกที่ผู้นำพม่ากล่าวยกย่องนางซูจี โดยบอกว่า ในฐานะพลเมืองของพม่า เขาขอแสดงความยินดีต่อนางซูจี ที่ได้รับเกียรติสูงสุดในสหรัฐ ที่เล็งเห็นถึงความมุ่งมั่นของเธอในการพัฒนาประชาธิปไตย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นางซูจีเพิ่งได้รับมอบเหรียญเชิดชูเกียรติ จากสภาคองเกรสสหรัฐ ซึ่งถือเป็นรางวัลสูงสุดที่สภาสหรัฐมอบให้กับพลเรือน

ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 18 เดือนก่อน และได้พยายามให้มีการปฏิรูปออกมาหลายรูปแบบ ขณะที่ล่าสุด ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้ประกาศว่า สหรัฐจะผ่อนคลายมาตราการคว่ำบาตรเพื่อนำเข้าสินค้าจากพม่า

ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ยังบอกให้นานาประเทศ มองพม่าในมุมมองที่ต่างไปจากเดิม เพราะจำเป็นที่จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์และดีกว่าเดิม เขายังได้กล่าวถึงความสำเร็จที่รัฐบาลพม่า ดำเนินการไปแล้ว รวมถึงการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองหลายร้อยคน การจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม และยกเลิกการคงวบคุมสื่อและยอมให้มีการใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศ

เขาบอกด้วยว่า สิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับการปฎิรูปทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ก็คือความพยามที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเพื่อสร้างความปรองดองกับชนกลุ่มน้อย ซึ่งรัฐบาลได้ตกลงหยุดยิงกับกลุ่มติดอาวุธแล้ว 10 กลุ่ม เพื่อสร้างมาตราการความมั่นใจว่าจะมีการเจรจาสันติภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้มีข้อตกลงทางสันติภาพในที่สุด

เขายังได้พูดถึงความรุนแรงในรัฐยะไข่ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธยะไข่และมุสลิม โรฮิงญา โดยบอกว่า ประชาชนชาวพม่ามีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ในพม่า และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยชาวคริสต์ พุทธ มุสลิมและฮินดูเพื่อสอบสวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนำเสนอรายงานและข้อเสนอแนะต่อเขาต่อไป

ประธานธิบดีเต็ง เส่ง เยือนนครนนิวยอร์ก ช่วงเดียวกับที่นางซูจี อยู่ระหว่างเยือนสหรัฐนาน 17 วัน แม้ว่าบางคนจะมองว่าการเยือนของนางซูจี จะดึงความสนใจ แต่ดูเหมือนประธานาธิบดีเต็ง เส่ง จะไม่ได้คิดเช่นนั้น และยังแสดงความยินดีต่อนางซูจีด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ถึงศาล-ลุ้นเสียวการเมืองถล่ม ยิ่งลักษณ์. !!?

เสียงเป่านกหวีด “ปรี๊ด”ส่งสัญญาณเริ่มต้นขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มแล้ว เป็นการเริ่มต้นจากแนวร่วมเดิมๆที่แยกกันเดิน แยกกันตีมาพักใหญ่ เมื่อเป้าหมายเริ่มน่วมก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
หลังขาใหญ่พันธมิตรฯประกาศใกล้ถึงเวลาทำสงครามครั้งสุดท้าย ดูเหมือนว่าเงื่อนไขที่จะเข้าสู่สงครามเริ่มมีมากขึ้น

น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ ที่มีภาพปรากฏไปต่อว่านางดารุณี กฤตบุญญาลัย กลางห้างดัง โดยมีเรื่องสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง

ก่อนหน้านี้เป็นใครไม่มีใครรู้ แต่วันนี้ได้รับการหนุนหลังจากพันธมิตรฯเต็มแรง
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายมือหนึ่งของพันธมิตรฯ ที่โชว์ฝีมือสะท้านวงการนักกฎหมาย ทำให้ไม่มีใครในเสื้อเหลืองต้องติดคุกสักวินาทีเดียวทั้งที่มีคดีความติดตัวยาวเป็นหางว่าว
ตั้งแต่คดีเล็กอย่างหมิ่นประมาท จนถึงคดีใหญ่ก่อการร้ายยึดสนามบิน โดดเข้ามาช่วยเหลือทางคดีแก่ น.ส.มนัสนันท์เต็มตัว

ไม่เพียงเท่านั้น แกนนำพันธมิตรฯยังออกแถลงการณ์สนับสนุนอย่างเป็นทางการ
โยนการปะทะระหว่างม็อบ 2 สีที่หน้ากองปราบปราม เป็นการการยั่วยุ คุกคาม โดยคนเสื้อแดงและตำรวจ
ตอกย้ำความคิด “เสื้อเหลือง เสื้อหลากสี ไม่มีวันผิด”

“เราขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า จุดยืนของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้กำลังใจและสนับสนุนผู้ที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์”

แสดงท่าทีชัดเจนเพื่อรักษามวลชน เลี้ยงกระแส ไม่ให้ก้มหัวยอมอีกฝ่ายที่ถูกประทับตราว่าไม่จงรักภักดี
ประเด็นเรื่องสถาบันจึงคุกรุ่นพร้อมปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

น่าจับตาว่า วันที่ 29 ต.ค. ที่กองปราบปรามเรียกตัว น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ มาให้ปากคำอีกครั้ง จะมีการปะทะเดือดระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นหรือไม่
ทางหนึ่งแสดงจุดยืน ตอกย้ำท่าทีเพื่อรักษามวลชน

อีกทางหนึ่งก็ยกคำพิพากษาศาลอาญา ที่ยกฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล คดีหมิ่นสถาบันจากการนำคำพูดของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” มาถ่ายทอดซ้ำบนเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ มาตอกย้ำว่ากฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะศาลดูที่เจตนา

“จะใช้มาตรา 112 กลั่นแกล้งใครหรือไม่ขึ้นอยู่กับสันดานคน”
บลั๊ฟกลับกลุ่มเคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรา 112 ให้ขาดความชอบธรรมไปในตัว
การหลุดพ้นข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบันเหมือนปลดพันธนาการให้แกนนำพันธมิตรฯมีความชอบธรรม เพิ่มน้ำหนักต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 ได้มากขึ้น

แสดงตนเป็นผู้มีความจงรักภักดีมากกว่าฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น เต็มปากขึ้น
จะใช้ประเด็นปกป้องสถาบันออกมาเคลื่อนไหวเพื่อยกระดับขยายผลไปเรื่องอื่นๆเหมือนที่เคยทำมาในอดีต ก็ทำได้ง่ายมากขึ้น
เงื่อนไขเริ่มเข้าทาง

และที่วางใจไม่ได้เลยคือ ประเด็นการตีความคุณสมบัติของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

แม้จะชิงยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองว่าขัดต่อข้อกำหนดรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ที่เคยถูกไล่ออก ให้ออก จากราชการ เป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าหาก กกต. ชี้ว่าขัดต่อข้อกำหนดความซวยจะไม่ตกไปถึงนายกฯยิ่งลักษณ์

ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่รอการตัดสินของ กกต. ชิงส่งเรื่องตรงขึ้นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ ก็ได้เสียวกันอีกรอบ

เพราะทุกเรื่องที่ขึ้นถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผลออกมาในทางไม่ค่อยเป็นคุณกับลูกข่ายทักษิณเท่าไร
หากชี้ว่าขาดคุณสมบัติ มีคนขยายผลเอาผิดถึงนายกฯยิ่งลักษณ์แน่ที่ไม่ปรับออกจากคณะรัฐมนตรี
คำยืนยันจากคณะกรรมการกฤฎีกา สำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ว่าได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินปี 2550 แล้ว ไม่อาจใช้เป็นหลักเกาะยึดโต้งแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญได้ เหมือนกับที่มีบทเรียนมาแล้วหลายกรณี

ไม่เพียงแค่นี้ นายอดิศร อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า ยังยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 วรรค 1 ที่ระบุว่า รัฐบาลต้องสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาดที่มีการแข่งขัน โดยต้องยกเลิกการทำธุรกิจที่มีลักษณะแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่ว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐและส่วนรวม หรือไม่อีก

เข้าคิวให้ได้ลุ้นเสียวกันอีกเรื่อง

เงื่อนไขหลายเรื่องกำลังถูกปั่น ถูกเร่งให้โต ถ้ารัฐบาลและนายกฯยิ่งลักษณ์ประมาท เตรียมรับมือไม่ดี อาจหมดอายุก่อนครบวาระ 4 ปี

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

จะเอาตัวรอดในอาเซียนอย่างไร ? เมื่อความท้าทายไม่ใช่แค่ ภาษาอังกฤษ อย่างเดียว !!?

โดย ชัชชล อัจนากิตติ





ชั่วโมงนี้ไม่ว่าใครก็พูดถึง "อาเซียน"


เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2558 เป็นต้นไป สมาชิกทั้ง 10 ประเทศจะก้าวเข้าสู่ "ประชาคมอาเซียน" ซึ่งเป็นความร่วมมือเพื่อสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค โดยเฉพาะในส่วนของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่เป็นความร่วมมือหาศักยภาพของตนเองภายใต้ภาวะที่ตลาดโลกมีการแข่งขันสูง

จึงไม่แปลกที่ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนภาคประชาชน จะออกมาแสดงความพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่ตลาดภายในของแต่ละประเทศจะหลอมรวมกับประเทศเพื่อนบ้าน ในลักษณะตลาดเดียว ฐานการผลิตเดียว ซึ่งจะเป็นการเปิดเสรีทางการค้า, การบริการ, การลงทุน, การเงิน และการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือ

และความเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตเราๆ ท่านๆ อย่างแน่นอน จะมากหรือน้อย จะดีหรือร้าย ก็คงไม่อาจเลี่ยง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดา "บัณฑิตจบใหม่"ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่ต้องเร่งปรับตัวให้ทันอนาคต

ทั้งอนาคตของตนเอง และอนาคตของประเทศชาติ

ด้วยเหตุนี้เอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ "มาตรฐานวิชาชีพอาเซียน : ความท้าทายที่บัณฑิตไทยต้องไปให้ถึง" โดยมี ดร.ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติ รองผู้อำนวยการโครงการพิเศษหลักสูตรพัฒนาแรงงานและสวัสดิการมหาบัณฑิต อาจารย์ประจำสาขาพัฒนาแรงงานและสวัสดิการ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาให้ความรู้แก่นักศึกษาและผู้สนใจ

ดร.ธัญญลักษณ์กล่าวว่า ปัจจุบันนักเรียน นักศึกษา ซึ่งจะเป็นแรงงานในอนาคต ยังขาดความรู้ความเข้าใจทั้งต่อประชาคมอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และการเคลื่อนย้ายแรงงาน ซึ่งประเด็นสุดท้ายนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อการประกอบอาชีพในอนาคต

"จากการสำรวจทัศนคติและการตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียน โดยใช้กลุ่มตัวอย่างนักศึกษา 2,170 คน จาก มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ชี้ว่า นักศึกษาไทยมีความรู้และมีทัศนคติต่อความรู้เกี่ยวกับอาเซียนในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับนักศึกษาในชาติอาเซียนอื่นๆ และเมื่อถามว่าคุ้นเคยกับอาเซียนแค่ไหน มีเพียง 68% ที่คุ้นเคย แต่เมื่อถามว่ามีความรู้เกี่ยวกับอาเซียนหรือไม่ นักศึกษาไทยกลับตกลงมาเป็นอันดับสุดท้าย มี 27.5% เท่านั้นที่มีความรู้"


ดร.ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติ
ดร.ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติ
ดร.ธัญญลักษณ์ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของนักศึกษาไทย ก่อนจะอธิบายว่า หลายคนอาจจะไม่ให้ความสำคัญกับการเปิด "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" เพราะคิดว่าเดิมการไหลเวียนเหล่านี้ก็มีอยู่แล้ว แต่จริงๆ การเปิดเสรีอย่างเป็นทางการนั้นจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์เข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น อีกทั้งปกติทุนไทยลงทุนในภูมิภาคอาเซียนกว่า 75% เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าอัตราการส่งออกและนำเข้าในอาเซียนขยายตัวโดยตลอด และที่สำคัญยังมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้อีก

"นี่เป็นโอกาสจากการเปิดเสรีทางการค้าสินค้า การบริการ และการลงทุน เนื่องจากภูมิภาคอาเซียนมีตลาดขนาดใหญ่ ประชากรกว่า 580 ล้านคน ดึงดูดการค้าการลงทุนจากประเทศทั้งภายในและภายนอก นอกจากนี้ อาเซียนยังมีแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลาย และอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ราคาวัตถุดิบถูกลง ต้นทุนผลิตสินค้าต่ำลง และขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น เป็นการเพิ่มกำลังการต่อรองในเวทีการค้าโลก" ดร.ธัญญลักษณ์ กล่าว

อย่างไรก็ดี โอกาสใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ก็เป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายต่อบัณฑิต หรือแรงงานมีฝีมือที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต

ดร.ธัญลักษณ์กล่าวว่า ข่าวดีของแรงงาน คือ มีโอกาสในการขยายประสบการณ์การทำงาน มีโอกาสในการมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น และที่สำคัญ ทักษะฝีมือจะเป็นตัวกำหนดระดับรายได้ ขณะเดียวกัน ข่าวร้าย คือ ความสามารถด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและภาษาของประเทศอื่นในอาเซียน ในระดับที่จะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างชำนาญ ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องภาษานั้นเป็นปัญหาเก่าๆ ที่ถูกพูดถึงเป็นประจำอยู่แล้ว

แต่ข้อจำกัดอื่นที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก คือ พฤตินิสัยของคนไทยที่มักจะขาดความกระตือรือร้น ไม่กล้าตัดสินใจ และไม่สามารถการดูแลตัวเอง หรือเรียกรวมๆ ว่าขาดทักษะผจญภัย (adventurous skill) ที่จะไปประกอบอาชีพในต่างแดน ซึ่งต้องอาศัยทักษะการคิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา ทำงานเป็นทีม ตรงต่อเวลา และมีระเบียบวินัย

"เด็กสมัยนี้ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้เทคโนโลยี พวกเขาเติบโตมากับการสื่อสารสมัยใหม่ที่เข้าถึงได้ง่ายและมีความรวดเร็ว ทำให้พวกเขาเป็นคนที่กล้าแสดงออก คิดเร็ว ทำเร็ว แต่มีข้อเสียคือ พูดไม่รู้เรื่อง ไม่มีความอดทน รอไม่เป็น ขาดการจัดระบบความคิด และระเบียบในการใช้ชีวิต" รองผู้อำนวยการโครงการพิเศษหลักสูตรพัฒนาแรงงาน ชี้ให้เห็นข้อด้อยของแรงงานไทยในอนาคต

ปัจจุบันประเทศไทยได้ลงนามข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพแล้ว7 สาขา คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล นักบัญชี วิศวกร สถาปนิก ช่างสำรวจ ส่วนสาขาวิชาชีพอื่นๆ จะทยอยทำข้อตกลงร่วมกันในอนาคต อาทิ สาขาวิชาชีพท่องเที่ยว ที่ทั้ง 9 ประเทศได้ลงนามข้อตกลงร่วมกันแล้ว แต่ไทยยังอยู่ในกระบวนการเตรียมความพร้อม

อย่างไรก็ดี บรรดาบัณฑิตจะนิ่งนอนใจ รอคอยการช่วยเหลือจากภาครัฐแต่ฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองด้วย ทั้งนี้ จากการสำรวจจุดแข็งจุดอ่อนแรงงานไทยในทรรศนะนายจ้าง พบว่า จุดแข็งของแรงานไทยอยู่ที่ฝึกฝนได้ เรียนรู้ง่าย มีความสุภาพอ่อนน้อม และไม่ก้าวร้าว ส่วนจุดอ่อนคือ ขาดการฝึกอบรมอย่างเพียงพอ ขาดทักษะที่เป็นมาตรฐาน และระเบียบในการทำงานต่ำ

ในตอนท้าย ดร.ธัญลักษณ์ได้สรุป "คุณลักษณะบัณฑิตไทยที่พึงประสงค์ในประชาคมอาเซียน" ไว้ 7 ข้อด้วยกัน ได้แก่ 1.มีทักษะและความสามารถใช้ภาษาอังกฤษ-ภาษาประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน 2.มีความรู้เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน ทั้งในด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ 3.ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับอาเซียนและเรียนรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ ของอาเซียน 4.พัฒนาทักษะฝีมือให้สามารถปรับตัวเข้ากับมาตรฐานการทำงานที่เป็นสากล 5.พัฒนาความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 6.ปรับกระบวนทัศน์การเรียนรู้ในการพัฒนาศักยภาพรอบด้าน และ 7.สร้างความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะการทำงานกับผู้คนต่างวัฒนธรรม

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และข้อเสนอทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่บัณฑิตและแรงงานทั้งหลายต้องรับฟัง

หากต้องการปรับตัวให้เท่าทันกระแสการค้าเสรีเพื่อความอยู่รอด

อย่าตระหนก แต่ต้องตระหนัก!



เกร็ดอาเซียน

หน่วยงานของ"อาเชียน"

เกี่ยวกับหน่วยงานที่สำคัญของอาเซียนนั้น มีอยู่ 2 ระดับ

1. คือ สำนักเลขาธิการอาเซียน หรือ ASEAN Secretariat ตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เปรียบเสมือนศูนย์กลางในการติดต่อระหว่างประเทศสมาชิก โดยมีเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretary -General) ซึ่งมีวาระตำแหน่ง 5 ปี เป็นหัวหน้าสำนักงาน ซึ่งปัจจุบันคือ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

2. คือ สำนักงานอาเซียนแห่งชาติ หรือ ASEAN National Secretariat เป็นหน่วยงานระดับกรม ในกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกอาเซียน มีหน้าที่ประสานกิจการอาเซียนในประเทศนั้นและติดตามผลการดำเนินงาน สำหรับประเทศไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมี ร.ท.อรรถยุทธ์ ศรีสมุทร เป็นอธิบดี


ที่มา นสพ.มติชนรายวัน
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ชาวนา เหนือ-อีสาน รวยเงียบปลูกข้าวพรีเมี่ยม ตันละ 7 หมื่น ส่งญี่ปุ่น-อเมริกา !!?

เชียงราย - ชาวนาเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก ชัยนาท สกลนคร หนองคาย ปลูกข้าวญี่ปุ่น ขายตันละ 5-7 หมื่นบาท โบรกเกอร์ ไทย-ฮ่องกงกว้านซื้อเรียบ ปล่อยต่อตลาดคนรวย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป และประเทศในตะวันออกกลาง ขณะ ที่ข้าวสังข์หยดพัทลุง ขายในห้าง กิโลกรัมละ 80 บาท หรือตันละ 8 หมื่นบาท ‘เจ้าสัวซี.พี.’ แนะลดพื้นที่เพาะปลูกจาก 63 ล้านไร่เหลือ 25 ล้านไร่ เน้นขายตลาดบน ส่วนตลาดล่างรับจากพม่ามาปล่อยแทน

แหล่งข่าวระดับสูงในวงการข้าว เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งปลูกข้าวพันธุ์ดีอีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งนอกเหนือจากสายพันธุ์ที่ปลูกและคิดค้นโดยคนไทยแล้ว ยังมีข้าวสายพันธ์จากต่างประเทศเช่นข้าวญี่ปุ่นปลูกขายอีกด้วย โดยเฉพาะข้าวญี่ปุ่นนั้นทำรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดเชียงรายอย่างมาก เพราะมีราคาขายค่อนข้างสูง คือข้าวสารราคาตันละ 5 หมื่นบาท (เปรียบเทียบข้าวสารไทยราคาตันละ 2-3 หมื่นบาท) โดยมีการประกันราคารับซื้อจากโบรกเกอร์ในจังหวัดเชียงรายหลายราย ซึ่งโบรกเกอร์เหล่านี้จะส่งไปขายต่อญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง เท่าที่ทราบญี่ปุ่นรับซื้อในราคาตันละ 7 หมื่นบาท ปัจจุบันปลูกกันมากในหลายอำเภอ เช่น อำเภอแม่จัน อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอพาน เป็นต้น

“สยามธุรกิจ” ได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่า ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย เป็นศูนย์วิจัยข้าวแห่งแรกที่นำ “ข้าวญี่ปุ่น” เข้ามาทดลองปลูกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2507 โดยได้ดำเนินการที่สถานีทดลองข้าวพาน และสถานีทดลองข้าวสันป่าตอง จากนั้นนำไปปลูกทดสอบผลผลิตในนาเกษตรกรจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก ชัยนาท สกลนคร และจังหวัดหนองคาย ใช้ชื่อพันธุ์ว่า ‘ข้าวญี่ปุ่น ก.วก.1 และข้าวญี่ปุ่น ก.วก.2’ มีลักษณะเด่นคือให้ผลผลิตสูงในสภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถปรับตัวได้ดีในพื้นที่ดินนาเขตภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนได้ดีกว่าข้าวญี่ปุ่นพันธุ์อื่นๆ คุณภาพการหุงต้มและรับประทานดี ตรงตามมาตรฐานสำหรับผู้บริโภคข้าวญี่ปุ่น ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากข้าวญี่ปุ่นแล้ว ข้าวที่มีคุณลักษณะพิเศษ อาทิ ข้าวกล้อง ข้างสังข์หยดจังหวัดพัทลุง ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก จำหน่ายในราคาตันละ 4-5 หมื่นบาท แปรรูปเป็นข้าวสารขายกิโลกรัมละ 80 บาทหรือตันละ 8 หมื่นบาท โดยมีโบรกเกอร์ชาวฮ่องกงบินมากว้านซื้อเพื่อไปปล่อยต่อในตลาดโลก เท่าที่ทราบโบรกเกอร์ชาวฮ่องกงจะได้ออเดอร์จากต่างประเทศก่อน แล้วจึงมาหาซื้อสินค้าในเมืองไทย

สอดคล้องกับข้อมูลที่ “สยามธุรกิจ” ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ว่ามีกลุ่มพ่อค้าคนกลางหรือเทรดเดอร์ จากฮ่องกงบินมาเจรจาขอซื้อข้าวสารไทยไปขายต่อในตลาดโลก โดย นายพอลล์ อลัน คาร์โดนา ผู้แทนบริษัท ไคลอง บิสซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เซอร์วิส จำกัด ที่เป็นทั้งเทรดดิ้งและเป็นตัวแทนจัดหาจัดซื้อสินค้าให้แก่ลูกค้า ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในหลายตลาด เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และประเทศในตะวันออกกลาง นอกจากบริษัท ไคลอง บิสซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เซอร์วิส แล้วยังมีบริษัทฮ่องกงอีกอย่างน้อย 3-5 บริษัทสั่งซื้อข้าวไทยไปปล่อยต่อ
สำหรับข้าวสังข์หยดเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองจังหวัดพัทลุงที่มีการปลูกและเป็นที่นิยมในท้องถิ่นมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว โดยเป็นข้าวนาสวนที่มีคุณภาพ ต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี และที่สำคัญเมื่อหุงสุกแล้ว ข้าวสังข์หยดจะมีความอ่อนนุ่ม ค่อนข้างเหนียว ทำให้ย่อยง่าย เหมาะกับผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่ใช้แรงงานหนัก ปัจจุบันกระแสความนิยมของผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญกับอาหารสุขภาพ ปลอดภัยจากสารพิษ ข้าวสังข์หยดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันขยายพื้นที่เพาะปลูกไปในภาคอีสานด้วย

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า สิวสเซอร์แลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องการข้าวคุณภาพสูง เนื่องจากมีการวิจัยในยุโรปว่าข้าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ และเนื่องจากสวิสเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป ปัจจัยสำคัญของข้าวที่จะได้รับความนิยมและสามารถจำหน่ายในสวิสได้ต้องเป็นข้าวคุณภาพสูงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคา เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง ฯลฯ

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ จุดเปลี่ยนการค้าโลก ไทยจะเดินอย่างไร ในงานวันสถาปนากระทรวงพาณิชย์ ครบรอบ 92 ปีว่า ควรลดพื้นที่ปลูกข้าวลงให้เหลือเพียง 25 ล้านไร่ในเขตชลประทาน จากปัจจุบัน 63 ล้านไร่ โดยพัฒนาการผลิตให้สมบูรณ์แบบ ดีกว่าปลูกมากแต่ไม่ได้คุณภาพ เพื่อเพิ่มระดับราคาให้สูงขึ้น และรักษาระดับตลาดบนไว้ ในขณะที่ตลาดระดับล่าง ควรให้ภาคเอกชนซื้อข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่ามาส่งออกแทน

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ยุทธศาสตร์ ดับไฟใต้ขยายวง สันติภาพ ลบภาพแดนมิคสัญญี !!?

เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่รวดเร็ว เกินคาด หลังจากกองทัพและฝ่าย ความมั่นคงออกตัวเร็ว...ไขยุทธศาสตร์ “ดับไฟใต้” ตามนโยบายเร่งด่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่พยายามจะเปิด “เวทีสันติภาพ” ร่วมกับกลุ่มก่อความไม่สงบ เพื่อลดการ สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่

จนเมื่อเวทีเจรจาเปิดกว้าง ก็ดูเหมือน ว่าดีกรีความรุนแรงจะลดลงไปในชั่วอึดใจ และส่อเค้าไปในทางดี เพราะจากที่เคยหันคมดาบปลายปืน เข้าห้ำหั่นกันอย่างโหดเหี้ยม ก็มีการปูหนทางใหม่ที่ใช้ทั้ง “ปาก” และ “ใจ” เพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกันยิ่งไปกว่านั้น “นายกฯ ปู” ยังคงเปิดประตูทำเนียบรัฐบาล ต้อนรับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำทีม ส.ส. ภาคใต้ เข้าไปร่วมเวทีกับรัฐบาลเป็นครั้งแรก

ปรากฏการณ์ดังกล่าว ยังเป็นตัวช่วย “จุดประกายความหวัง” ว่าอย่างน้อยก็ถือเป็น “จุดเริ่มต้นที่ดี” ในการร่วมแก้ไขปัญหาอย่างมี “เอกภาพ” เพราะแต่เดิม บทบาทของทั้ง “รัฐบาล” และ “พรรคฝ่ายค้าน” แยกกันคิด แยกกันเดินมาตลอด นับตั้งแต่มีการโหมความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ เมื่อราวปี 2547 เป็นต้นมา

ยิ่งท่ามกลางสถานการณ์ที่ข้นคลั่ก และเกิดเหตุรุนแรงตลอดช่วงหนึ่งถึงสองเดือนมานี้ กระทั่งล่วงเข้าสู่ 2 เหตุการณ์สำคัญ ที่น่าจะถือเป็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” สำหรับการจัดการ “สถานการณ์ชายแดนใต้” ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการจับตามากเป็นพิเศษ

ประเด็นแรกคือการที่ “แวอาลี คอปเตอร์ วาจิ” คีย์แมนสำคัญของแนวร่วม ปฏิบัติการ “อาร์เคเค” นำเครือข่าย 93 คน เข้าเจรจากับฝ่ายความมั่นคง ซึ่งถือเป็นครั้ง แรกที่เครือข่ายกลุ่มก่อความไม่สงบแสดงตัว พร้อมกับเสนอ “เงื่อนไข 3 ข้อ” เรียกร้องผ่านการเจรจาครั้งสำคัญกับฝ่ายความมั่นคง ของรัฐบาลไทย

การเข้ามอบตัวครั้งนี้ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เรียกให้ดูดีว่า “ประสานใจ เพื่อสันติจังหวัดชายแดนภาคใต้” มุ่งให้กลุ่มก่อความไม่สงบเข้าแสดงตน ประกาศวางอาวุธ ยุติการต่อสู้ เพื่อเข้าสู่กระบวนการ ยุติธรรมถึงแม้ว่า “พล.ท.อุดมชัย” จะยืนกราน ว่าการเข้ามอบตัวครั้งนี้ไม่มีเงื่อนไขเจรจาต่อรอง เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความคิด เห็นต่างจากรัฐ มีอุดมการณ์ทางการต่อสู้ ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น และร่วมกันหาทางออกจากความขัดแย้งด้วยสันติวิธี เพื่อ นำสันติสุขกลับคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทว่ายังคงมีบางส่วนตั้งคำถาม เพราะ ไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องการเจรจามาก่อน พอมี กลุ่มก่อความไม่สงบเข้ามอบตัวจำนวนมาก ก็พาให้สงสัยกันว่า มีอะไรอยู่เบื้องหลัง หรือ มีเงื่อนไขใดเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่?!!

นั่นเพราะปัญหาความไม่สงบในแดนมิคสัญญีแห่งนี้ ได้รับรู้กันมาตลอดว่า มาจาก หลายเหตุ หลายปัจจัย และมีความสลับซับซ้อน มองมุมปัญหาที่แตกต่างกัน ซึ่งรัฐบาล ที่เข้ามาบริหารประเทศแต่ละชุด ยังล้วนแก้ กันไม่ตก ไม่ว่าจะใช้ “ไม้อ่อน” หรือ “ไม้แข็ง” หรือมีการจรจาทั้งทางลับและเปิดเผย แต่ก็ ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ลงได้

อีกหนึ่งประเด็นที่เป็น “มิติใหม่” ทาง การเมืองไทย นั่นคือ การเปิดเวทีประชุมร่วม กันของ “รัฐบาล” และ “ฝ่ายค้าน” เพื่อแลกเปลี่ยน “แนวคิด” และ “วิธีการ” เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้ไป “กลั่นกรอง” และนำไปใช้ประโยชน์ ทั้งในด้านการกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ในการจัดการปัญหา “ไฟใต้”

ด้านหนึ่ง “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ดูจะให้น้ำหนักความสำคัญกับการประชุมร่วมมากเป็นพิเศษ หลังจากที่ก่อนหน้านั้น รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ส่งสัญญาณออกไปเป็นระยะ ทว่าไม่มีสัญญาณตอบรับจาก “ผู้นำฝ่ายค้าน” ตราบจน “ยิ่งลักษณ์” ตัดสินใจ “เคาะ” ร่วมวงประชุมด้วยตัวเอง ซึ่งภาพที่ปรากฏ แม้จะถูกมองว่าเป็น เพียงการจับมือกัน..อย่างหลวมๆ เช่นที่เคย ปรากฏคราวน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีกลาย แต่ก็นับเป็น “ก้าวแรก” แห่งการปรองดอง

ในส่วนของ “ประชาธิปัตย์” ก็ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ไม่น้อยเช่นกัน โดย “อภิสิทธิ์” ได้เรียกประชุม ส.ส.ภาคใต้ โดยเฉพาะที่เป็น “นักการเมืองขาใหญ่” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก่อนจะมีการสรุปข้อเสนอแนะ “9 เงื่อนไขสำคัญ” คือ

1.ยึดมั่นในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า...“เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”

2.ใช้นโยบาย “การเมืองนำการทหาร” ใช้นโยบายแก้ไขปัญหาและพัฒนาให้ต่อเนื่อง จากรัฐบาลประชาธิปัตย์

3.ให้ยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษทั้ง 2 ฉบับ และใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงแทน โดยเฉพาะการดำเนินการตามมาตรา 21 เพื่อความสงบสุขในพื้นที่

4.ยกเลิกการใช้กำลังทหารจากต่างถิ่นให้เร็วที่สุด และให้ใช้กองกำลังจากกองทัพ ภาค 4 กองพลทหารราบที่ 15 ให้เต็มอัตรา กำลัง รวมทั้งกำลังตำรวจและชุดรักษาความ ปลอดภัยหมู่บ้าน

5.สนับสนุนส่งเสริมให้ประชาชนใน พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา รับราชการและทำหน้าที่ ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้น

6.ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือ ศอ.บต. เป็นหน่วยงาน หลักในการพัฒนา การให้ความยุติธรรม เป็น ธรรม การฟื้นฟู เยียวยา โดยให้ กอ.รมน. เป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคง

7.ให้รัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาให้พลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่ากับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2548-2553

8.คัดค้านการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษ หรือร่างพ.ร.บ.ปัตตานีมหานคร หรือเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้

9.ให้นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ในฐานะ ผอ.รมน. และ ผอ.ศอ.บต. เพื่อรับผิดชอบต่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะเกิด เอกภาพทั้งการบังคับบัญชาการกำหนดนโยบาย และนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ

นอกจาก “ฝ่ายการเมือง” ที่เข้ามา สร้างฉาก “ร่วมคิด ร่วมทำ” แล้วยังคงมีนักวิชาการและแนวร่วมใน “ภาคประชาชน” ได้ให้ “ข้อเสนอ” ในการจัดการปัญหาไฟใต้ ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง...!!! “ดร.ตายูดิน อุสมาน” อาจารย์ประจำ ภาควิชาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏ ยะลา ในฐานะที่ทำงานใกล้ชิดกับชุมชนมายาวนาน ให้ทรรศนะเชิงวิเคราะห์ถึงการพบ กันระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำฝ่ายค้าน เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ว่า...เป็นสิ่งที่ดี ที่ทั้ง 2 ได้มีโอกาสมาพูดคุยกัน เพื่อให้สถานการณ์ใต้สงบลง

“แต่ว่าการพูดในครั้งนี้จะมีนัยยะอะไร หรือไม่ หากทั้งสองมีความตั้งใจจริงตนเห็น ว่าเป็นสิ่งที่ดี ถ้าหวังผลอะไรบางอย่างทาง การเมือง หรือเป็นการแสวงหาเพื่อเป็นผลงานของการเมืองก็น่าเป็นห่วง คนที่จะให้ข้อมูลให้กับทั้งสองคนก็คงเป็น ส.ส.ในพื้นที่ ซึ่งเป็น ส.ส.ฝ่ายค้านเป็นส่วนใหญ่ แต่หลาย ฝ่ายเห็นด้วยกับการพูดคุยของทั้งคู่ เพื่อหา แนวทางในการแก้ไขปัญหา”

ขณะที่การให้ความยุติธรรมกับคนใน พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ความยุติธรรม ยังไม่เต็มที่ ยังมีความอยุติธรรมอยู่ ซึ่งหาก ย้อนไปดูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ดีขึ้น กว่าเดิมมากเพราะประชาชนกล้าพูดมากขึ้น กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น กล้าที่จะถามถึง ความยุติธรรม ทำให้ความอยุติธรรมน้อยลง แต่ความยุติธรรมก็ยังไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังมีผู้สูญเสีย และมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่อีกมากมาย

“ดร.ตายูดิน” ยังกล่าวทิ้งท้ายให้กับผู้ที่ทำหน้าที่ในการดูแลและแก้ไขปัญหา ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกว่าอยากให้ใช้เหตุผล ใช้คนให้ถูกที่ การแก้ปัญหาในพื้นที่เป็นสิ่งที่มีความสลับสับซ้อน ต้องเชิญ ผู้มีความรู้ผู้มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหา และต้องเจรจากับผู้ที่มีแนวคิดในการแบ่งแยกดินแดน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเหตุการณ์ก็จะเกิดขึ้นไม่จบสิ้น ตนเองอยากจะให้กำลังใจ กับทุกส่วนที่ทำหน้าที่แก้ไขปัญหา อยากให้ในพื้นที่เกิดความสงบสุขโดยเร็ว

นายยะโก๊บ หร่ายมณี อิหม่ามประจำมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ไม่เคยปรากฏที่ทางรัฐบาลและผู้นำฝ่ายค้านมาพูดคุยหารือในเรื่องการแก้ปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัญหาทุกปัญหา เป็นไปได้ ก็อยากให้แก้ปัญหาประเทศชาติควบคู่ไปด้วย หนึ่งในปัญหาก็อยากให้นำความจริงมาพูดคุยกันว่าปัญหาใน 3 จังหวัด มันเกิดอะไรขึ้น ที่สำคัญอย่าไปฟังการรายงาน อย่างเดียว อยากให้ลงมาฟังข้อมูลของคน ในพื้นที่ด้วยว่าเค้าต้องการอะไร อย่างน้อยๆ ที่สุดก็อยากให้คนในพื้นที่ร่วมประชุมหารือกันด้วย อย่างน้อยจะได้รับรู้ข้อมูลที่แท้จริง ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นสาเหตุมันเกิดจากอะไร

เนื่องจากในพื้นที่ 80 เปอร์เซ็นต์นับถือ ศาสนาอิสลาม ฉะนั้นก็จะยึดหลักปฏิบัติการดำรงชีวิตแบบอิสลามโดยยึดคำสั่งสอน ของท่านศาสดาที่ว่า “มนุษย์ที่ประเสริฐ มนุษย์ที่ดีที่สุดก็คือมนุษย์ที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน” และยิ่งในฐานะที่เป็นผู้นำศาสนา ก็อยากให้เหตุการณ์ชายแดนภาคใต้สงบลงสักที หากทุกฝ่ายมีความจริงใจในการแก้ปัญหา อนาคตข้างหน้าบ้านเมืองก็จะสงบสุข สิ่งหนึ่งที่ควร จะแก้ปัญหาเร่งด่วนคือการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนในพื้นที่หลากหลายชุดความคิดในสังคมที่ร่วมกันกลั่นออกมาเป็น “ข้อเสนอ” แม้จะดูแตกต่างกันไปสำหรับการแก้ปัญหา “ไฟใต้” แต่กระนั้นยังคงมี “จุดมุ่งหมายเดียวกัน” คือ “ยุติและขจัดความไม่สงบ” ในแดนแห่งมิคสัญญีให้ได้ ยิ่งในการเจรจา สันติภาพ ตลอดจนเวทีประชุมร่วมของรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างก็มุ่งหวังในการ จัดการปัญหาเรื้อรังในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน ซึ่งไม่ว่า “ผลเจรจา” จะออกมาหน้าใด สุดท้ายแล้วยังเชื่อว่า “สถานการณ์” จะเป็นเครื่องพิสูจน์?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ปรีดิยาธร-ณรงค์ชัย-ธีระชัย ป้อง ธปท. ชี้ขาดทุนแค่ทางบ/ช. !!?



ปรีดิยาธร.ไม่ห่วงผลขาดทุนธปท. ย้ำแค่บัญชี ด้าน ณรงค์ชัย.ย้ำนโยบายกรอบเงินเฟ้อดูเศรษฐกิจภาพรวม ขณะที่ ธีระชัย.ระบุให้ ธปท.ทำความเข้าใจสังคม

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “บทบาทหน้าที่ของธนาคารกลางท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง” ซึ่งจัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ว่า การขาดทุนของ ธปท.นั้นในความเห็นเขาแล้ว ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการทำหน้าที่ แต่อย่างใด เพราะผลขาดทุนส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนทางบัญชีที่แปลงจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท
"แบงก์ชาติ มีสินทรัพย์ในรูปของดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทแล้ว ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้น แบงก์ชาติย่อมมีผลขาดทุน แต่ไม่ได้หมายความว่า สินทรัพย์ที่แบงก์ชาติถืออยู่ในรูปดอลลาร์จะด้อยค่าลง ดังนั้น หากเป็นไปได้ อยากเสนอให้แบงก์ชาติ ทำบัญชีในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐขึ้นมาอีกบัญชีเพื่อใช้ดูเปรียบเทียบ"ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

เขากล่าวว่า ถ้าดูพันธกิจของ ธปท.นั้น มีหน้าที่หลักคือ ดูแลเสถียรภาพด้านราคา แต่ทั้งนี้ ธปท.ควรคำนึงถึงเสถียรภาพด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ดังนั้นประเทศไทย ควรเลิกถกเถียงกันเรื่องการทำนโยบายการเงินได้แล้วว่า ระหว่างกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) กับอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Targeting) ว่าอย่างไหนดีกว่ากัน เพราะประเทศไทยใช้ทั้ง 2 ส่วนผสมผสานกัน

สำหรับประเด็นที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ค่อนข้างเป็นห่วงคือ การทำหน้าที่ของธนาคารรัฐที่ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการดำเนินนโยบายประชานิยมต่างๆ เพราะเกรงว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้นจะกลายเป็นหนี้สาธารณะของประเทศได้

"เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่เราต้องจี้ให้ระวังตัวกัน เพราะปัจจุบันมีธนาคารเฉพาะกิจของรัฐหนึ่งแห่งที่กู้หนี้จากธนาคารกรุงไทยจำนวนมาก และเริ่มที่จะใช้ไม่ไหวแล้ว ซึ่งถ้าหนี้ธนาคารเฉพาะกิจเหล่านี้ปล่อยไปเป็นปัญหา สุดท้ายก็มาโผล่ที่หนี้สาธารณะของประเทศ ดังนั้น เราต้องเตรียมใจว่าหนี้สาธารณะวันหนึ่งมันอาจเพิ่มขึ้น"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

นอกจากนี้ อยากให้ธปท.หันมาให้ความสำคัญกับพอร์ตลงทุนของธนาคารพาณิชย์ด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่ากรณีการล้มของ เลห์แมน บราเธอร์ส ไม่ได้เกิดจากการปล่อยสินเชื่อที่ไม่ดี แต่เกิดจากการขาดทุนของพอร์ตการลงทุน จึงไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาธปท.ให้ความสำคัญกับพอร์ตลงทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยมากน้อยแค่ไหน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังกล่าวด้วยว่า สิ่งที่คิดว่าประชาชนทั่วไปอยากเห็นจากธปท.คือ เป็นองค์กรที่สามารถพึ่งพาได้ในเรื่องเศรษฐกิจ สามารถดำเนินนโยบายที่จะป้องกันปัญหาหรือช่วยจัดการหากเกิดปัญหาขึ้นมาได้ ขณะเดียวกันอยากให้ธปท.บริหารจัดการค่าของเงินบาทไม่ให้เสื่อมค่าลง โดยต้องทำควบคู่กับการสนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ และสุดท้ายคืออยากเห็นสถาบันการเงินไทยมีความเข้มแข็ง

ธปท.ขาดทุนเหตุเพื่อดูแลเสถียรภาพการเงิน

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การขาดทุนของธปท.ถือว่าไม่มีความสำคัญมากนักถ้าเป็นการขาดทุนเพื่อดูแลเสถียรภาพโดยรวมของระบบการเงิน อีกทั้งการขาดทุนส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนทางบัญชี แม้จะมีส่วนที่ขาดทุนจริงอยู่บ้างจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่มากกว่าดอกเบี้ยรับ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดยการที่ธปท.ไม่เข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนมากจนเกินไป

ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินของธปท.นั้น ช่วงที่ผ่านมาถือว่าทำได้ค่อนข้างดีแม้จะมีต้นทุนที่เกิดจากการดำเนินการบ้างก็ตาม และแม้ปัจจุบันธปท.จะดำเนินนโยบายโดยยึดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งเป็นผู้พิจารณาดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้ดูเฉพาะเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว แต่ดูปัจจัยอื่น เช่น การเติบโตของเศรษฐกิจประกอบด้วย

"กนง.ไม่ได้ยึดแค่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นหลัก เพราะนโยบายการเงินต้องดูเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นในเรื่องการเติบโตเราก็ดูด้วย และการพิจารณาของกนง.ก็พิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่อง อัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ย รวมไปถึงสินเชื่อ พวกนี้เราดูหมด"นายณรงค์ชัย กล่าว

สำหรับเรื่องธนาคารเฉพาะกิจของรัฐนั้น เขากล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ควรต้องให้ความห่วงใย เพราะที่ผ่านมาธนาคารเฉพาะกิจของรัฐถูกนำไปใช้ตอบสนองนโยบายรัฐในทางที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้อาจมีคำถามตามมาว่า กระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแลธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ แต่ถ้าธนาคารเฉพาะกิจเหล่านี้เกิดปัญหาขึ้นจนส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินโดยรวม แล้วธปท.จะสามารถดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งได้หรือไม่

ส่วนการทำนโยบายการเงินด้วยการพิมพ์เงินนั้น เขากล่าวว่า ตั้งแต่เป็นนักเศรษฐศาสตร์มายังไม่เคยเห็นประเทศไหนที่ประสบความสำเร็จจากการดำเนินนโยบายดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมามักพบว่าประเทศที่ดำเนินนโยบายการเงินด้วยการพิมพ์เงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ส่วนใหญ่แก้ปัญหาจนเศรษฐกิจจริงพังทุกราย

ชี้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อไม่เหมาะศก.ไทย

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงปัญหาการขาดทุนของธปท.ว่าการดำเนินนโยบายของธปท.ไม่ควรห่วงเรื่องการขาดทุน หรือหาทางแก้ปัญหา เพราะเป็นการขาดทุนจากการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งก่อให้เกิดผลดีกับเศรษฐกิจมหาศาล โดยผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ทันและผลผลิตของภาคเอกชนและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นก็มาจากการขาดทุนของธปท. นอกจากนี้โครงสร้างประชากรไทยกำลังเปลี่ยนไปสู่สังคมสูงวัยทำให้แนวโน้มการลงทุนในอนาคตจะลดลงเมื่อถึงจุดนั้นเงินบาทจะอ่อนค่าลงและธปท.จะพลิกมาเป็นกำไรได้ อย่างไรก็ตามธปท.ต้องสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนจะเป็นการดีที่สุดขณะเดียวกันต้องบริหารทุนสำรองให้มีความเสี่ยงน้อย เช่นหากนำไปลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเอเชียที่ออกโดยรัฐบาลหรือกองทุนเฉพาะกิจก็จะเป็นการจัดการทุนสำรองที่มีผลตอบแทนสูง

นายธีระชัย ยังกล่าวว่า การกำหนดกรอบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงินไม่เหมาะสมกับประเทศไทยที่มีการนำเข้าเพียง 70% ของจีดีพี ต่างจากสิงคโปรที่มีกว่า 180 % ของจีดีพี ขณะที่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยอยู่ที่ภาคเอกชนไม่ใช่ขึ้นกับการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของธปท.หรือการทำให้เงินบาทอ่อนค่า ดังนั้นการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อให้ภาคเอกชนแข็งแกร่งคือการเน้นเสถียรภาพทางด้านราคา การดูแลให้สถาบันการเงินจัดหาแหล่งเงินทุนให้เอกชนได้อย่างคล่องตัว อย่างไรก็ตามแม้ว่าธปท.ควรใช้กรอบเงินเฟ้อในการดำเนินนโยบายการเงินแต่หนีไมพ้นที่ธปท.ต้องเข้าไปดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่ผู้ประกอบการปรับตัวได้

สำหรับการรับมือกับการไหลเข้าออกของเงินทุนนั้นที่ผ่านมามีการพัฒนาตลาดตราสารหนี้เพื่อเป็นแก้มลิงไว้พักเงินทุนและชะลอผลกระทบจากการไหลเข้าออกขณะเดียวกันควรเร่งผลักดันให้เกิดการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งภารเอกชนได้ทำข้อเสนอไปยังภาครัฐเพื่อขอยกเว้นภาษีการนำกำไรกลับเข้าประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังควรพิจารณา

ห่วงคิวอี 3 ก่อฟองสบู่รอบใหม่

นายธีระชัย ยังกล่าวว่า ในขณะนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาลุกลามระบบจากมาตรการQE3ที่เริ่มเห็นธนาคารพาณิชย์กู้เงินต่างประเทศเป็นดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อยุโรปมีการแก้ปัญหาในอนาคตจะทำให้เงินทุนไหลเข้าประเทศกำลังพัฒนาจนเกิดเป็นฟองสบู่ขึ้นมาได้อีก นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์เช่นผลิตภัณฑ์การออมของบริษัทลูกที่ขายผ่านสาขาธนาคารหากวันหนึ่งเกิดปัญหาเศรษฐกิจจนลูกค้าขาดทุนอาจเกิดผลกระทบมาที่ธนาคารพาณิชย์ได้ อย่างไรก็ตามในอนาคตหากสถาบันการเงินมีปัญหาธปท.จะต้องปรึกษากระทรวงการคลังก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาหรืออาจมีปัญหาข่าวรั่วได้ทำให้การจัดการทำได้ยากดังนั้นธปท.โดยคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงินหรือกนส.ควรหารือกับกระทรวงการคลังทุก 6 เดือนเพื่อปรับตัวให้ทันกับความเสี่ยงเชิงระบบดังกล่าว

ทั้งนี้บทบาทของกนส.ควรเน้นการพัฒนาระบบให้มีความก้าวหน้า และมีการแข่งขันมากขึ้นจากเดิมที่เน้นการกำกับและมองหาจุดอ่อนของระบบอยู่เสมอ และส่งเสียงไปถึงสื่อและประชาชนรับทราบ
นายธีระชัย ยังกล่าวว่า ธนาคารของรัฐมีขนาดใหญ่เป็น 1 ใน 4 ของระบบแล้วแต่ที่ผ่านมามีจุดอ่อนที่ถูกรัฐแทรกแซงการให้สินเชื่อจนเกิดหนี้เสียและถูกใช้เป็นเครื่องมือดำเนินนโยบายประชานิยม ดังนั้นในอนาคตหากจะดูตัวเลขหนี้สาธารณะนอกจากจะดูตัวเลขที่กฎหมายกำหนดแล้วยังต้องดูตัวเลขจากสินเชื่อภาครัฐด้วยหากเป็นโครงการประชานิยมก็ต้องมีการคาดการณ์ความเสียหายใส่เข้ามาแล้วเปิดเผยตัวเลขให้ประชาชนรับรู้ด้วย

“ที่ผ่านมาเรากลัวว่ากระทรวงการคลังจะแทรกแซงธปท. แต่งานบางอย่างของธปท.ที่เข้าไปแทรกแซงกระทรวงการคลังเช่นการเข้าไปแก้ปัญหาสภาพคล่องให้สถาบันการเงินที่สุดท้ายแล้วก็ต้องส่งบิลไปเก็บที่คลัง แม้ว่าขณะนี้มีสถาบันคุ้มครองเงินฝาก แต่หากระบบแบงก์ล้มไปก็หนีไม่พ้นที่ธปท.และคลังต้องดูแล

สุดท้ายสภาพแวดล้อมการทำงานในอนาคตของธปท.จะมีความตึงเครียดและยากลำบากมากขึ้นหากภาคการเมืองมีโจทย์ในการหาเสียงและดำเนินนโยบายประชานิยมมากขึ้น ดังนั้นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และอาศัยสาธารณะเป็นเกราะ โดยพยายามสื่อสารไปสู่สังคมหากเห็นสภาพแวดล้อมตึงเครียดและฟองสบู่ใหญ่ขึ้นต้องพูดนำสังคมไปก่อน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กรรมสนองเวร !!?

“มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งโทษคนอื่นหนัก ไม่ใช่เล่น
ยัดอาญา ข้อหา “ก่อการร้าย” ให้ “คนเสื้อแดง”....
พอตัวเอง เจอชะตากรรม ชนักติดหลัง “สั่งฆ่าประชาชน”..กลับโวยวายว่าถูก กลั่นแกล้ง
ทั้งที่ ประจักษ์พยานของดีเอสไอ “อธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์” พุ่งเป้า เอาผิด อย่างจั๋งหนับ
หลักฐานมีให้ตรวจ...เรื่องกรรมติดจรวด..ไล่กวดจึงเป็นฉะนี้แหละขอรับ

+++++++++++++++++++++++++++++
 มะม่วงจำบ่ม
นับวัน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี ใกล้หมดบารมี ที่สะสม
ในพรรคประชาธิปัตย์ หรือก็ไล่ฟัด แทบไม่มีที่ยืน
มีการหนุนหลัง เพื่อให้ “อดีตขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช” ทำหน้าที่ทวงคืน
ลุกขึ้นยืน เอาเก้าอี้หัวหน้าพรรคมาเป็น..เพราะ “อภิสิทธิ์”อยู่ไป มีแต่เสียรังวัด
โถ,ใครจะหนุนของเหม็น..เขาไล่เช้าไล่เย็น..เข็นไม่ขึ้นอยู่ไป มีแต่คนอึดอัด

++++++++++++++++++++++++++++
 มี “พรสวรรค์” หาได้ยากส์
ต้องบอกว่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีศัตรูในพรรคเป็นอันมากส์
อดีตหัวหน้าพรรค พากันชิงชัง เป็นหลายบุคคล
“ท่านพิชัย รัตตกุล” ก็ออกโรงมาสับด่า เสียปี้ป่น
“มิสเตอร์สิบประการ” ท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็จวกหนัก
ที่สวดชะยันโตยกใหญ่...ก้อ,ว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่.. “ท่านศุภชัย พานิชภักดิ์”
+++++++++++++++++++++++++++
 เงื้อง่ากันมาหลายยก
เกี่ยวกับกฎหมายภาษีที่ดิน และภาษีมรดก
สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตขุนคลัง ตั้งท่า แต่แล้ว ก็แท้ง
อยากเห็น “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข็นกฎหมายนี้ ผ่านสภาฯ ให้สำเร็จอย่างแรง
จะได้ตบหน้า “ประชาธิปัตย์” ที่ “ดีแต่พูด” แต่ทำอะไรไม่เคยสำเร็จ เสียที
อีกทั้งจะได้กระชากหน้ากากห่วย ๆ.. ว่าพรรคไหนที่ช่วยคนรวย..เซ็งกะบ๊วยมานานปี

+++++++++++++++++++++++++++
 ผิดคิวจังเลย
กระชุ่น ไปถึง สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ที่ชื่อ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย”
เจ้ากี้เจ้าการ รู้ปัญหาน้ำท่วม มาสอบถี่ยิบกันกลางสภาฯ
ประชาธิปัตย์ มี ส.ส. ๒๓ เขต ปาร์ตี้ลิสต์พื้นที่เมืองหลวงอีกเป็นตับ พากันเงียบฉี่ทั่วหน้า
ขุนพลฝีปากเอก ทั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, กรณ์ จาติกวณิช,อภิรักษ์ โกษะโยธิน,อาอาจ คร้ามไพบูลย์,เจริญ คันธวงศ์, ธนา ชีรวินิจ, พีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค, บุญยอด สุขถิ่นไทย ต่างรูดซิปปาก ไม่ยักจะตั้งกระทู้ถาม
ทีเรื่องอื่นทำเป็นสุดยอด..เรื่องนี้กลับไม่กล้าสอด..ปอดแหกพรรคจึงตกต่ำ

โดย.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ครม.เห็นชอบร่าง MOU ตั้งศูนย์ประสานฯเขตเศรษฐกิจ 3 ชาติ !!?

นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ แถลงมติครม.ว่า ครม.มีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอ ดังนี้ 1.เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาคเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) โดยถือเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากเป็นความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจร่วมกันของ 3 ประเทศ 2. เห็นชอบให้มีการลงนามในร่างความตกลงฯ โดยมอบหมายให้ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ในฐานะรัฐมนตรีประจำกรอบแผนงาน IMT-GT เป็นผู้ลงนามในความตกลงการจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT ในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 18 แผนงาน IMT-GT ในวันที่ 27 กันยายน 2555 ณ ประเทศมาเลเซีย และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Power) ให้นายนิวัฒน์ธำรง เป็นผู้ลงนาม

นายภักดีหาญส์ กล่าวอีกว่า 3. อนุมัติงบประมาณสนับสนุนเป็นค่าบำรุงประจำปีให้กับศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไปจำนวนปีละ 500,000 ริงกิตมาเลเซีย หรือประมาณ 5 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2555-2559) โดยค่าบำรุงประจำปี 2555 ให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 และอนุมัติในหลักการให้สำนักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรเงินงบประมาณให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อชำระเงินบำรุงประจำปีแก่ศูนย์ฯ ในปี ต่อ ๆ ไป ถึงปี 2559 และให้ สศช. จัดทำคำของบประมาณเป็นเงินค่าบำรุงประจำปี 2556 ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

ชุดดำและใจดำ !!?




การเปิดภาพทหารหน่วยซุ่มยิง ที่กระจายอยู่บน ตึกสูงต่างๆ ในกทม. ช่วงเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ซึ่งข่าวสดนำมาตีพิมพ์บนหน้า 1 เมื่อไม่กี่วันก่อน หลายคนไม่เคยเห็นภาพเหล่านี้มาก่อน

เกิดคำถามขึ้นทันทีว่า รัฐบาลในขณะนั้น รักประชาชนอย่างไรกันแน่ ยอมรับในสิทธิการชุมนุมทางการเมืองแน่หรือ!?

บ้างก็ว่าจัดหนักยิ่งกว่ารัฐบาลทหารในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 17 พฤษภาคม 2535 เสียอีก

มิน่า ผู้ก่อการร้ายหนังสติ๊ก ก่อการร้ายบั้งไฟ ก่อการร้ายขวดน้ำมัน ตายกันเกลื่อน

ทั้งน่าสงสัยว่า คนสั่งการเป็นใคร มีสิทธิอะไรที่ทำกับประชาชนคนไทยด้วยกันขนาดนี้

แต่ภาพแบบนี้ไม่ปรากฏในรายงานของคอป.

มีแต่ภาพชายชุดดำมัวๆ เพราะสนใจแต่การค้นหาชุดดำ!

แล้วเอาเข้าจริงๆ มีพยานหลักฐานไหม ก็แค่ยืนยันตาม "ความเชื่อ" ว่ามีชายชุดดำจริง มีการต่อสู้กับทหารจริง

ทั้งดูจากภาพที่ปรากฏ อาจจะมีแค่ 2-3 คนด้วยซ้ำ

คอป.สนใจคนไม่กี่คนกับอาวุธไม่กี่กระบอก!

แต่ไม่สนใจการส่งกองกำลังรัฐนับหมื่น ถือปืนจริงกระสุนจริงลงสู่ท้องถนน แล้วยิงไปกว่าแสนนัด เพื่อจัดการกับการชุมนุมประท้วงตามระบอบประชาธิปไตย

เน้นย้ำตัวเลขว่าชุดดำฆ่าไป 9 ศพ แล้วอีก 80 กว่าศพเล่า ไม่ค่อยให้น้ำหนักสักเท่าไร!?

ยัดเยียดว่าเสธ.แดงเกี่ยวพันกับชุดดำ แล้วที่เสธ.แดงถูกยิงตายอย่างอุกอาจขนาดนั้น ไม่มีการค้นหาคำตอบว่าถูกใครฆ่า

หรือว่าเพราะอีก 80 กว่าศพ และเสธ.แดงเป็นพวกทักษิณเลยไม่เป็นไร

คอป.ไม่เข้าใจว่าอะไรมาก่อนหลังระหว่าง "เหตุ" ที่นำมาสู่ "ผล"

ถ้าศอฉ.ไม่ส่งทหารถือปืนเข้าไปปราบม็อบ จะเกิดสถานการณ์บานปลายหรือไม่!?!

ชายชุดดำถ้ามีจริง ก็เป็นเรื่องที่มาทีหลัง เป็นผลที่ตามมา

อย่าสับสน พลิกเอาผลมาเป็นตัวตั้งเพื่อกลบเกลื่อนเหตุ

เหมือนกับที่พูดเสียหรูหราว่าทักษิณควรเสียสละอย่างรัฐบุรุษปรีดี

แปลว่าดีใจและชื่นชมที่คนอย่างปรีดีไม่ได้กลับประเทศไทยอย่างนั้นหรือ

ใจจืดใจดำกับคนที่ต้องไปตายในต่างแดน!


โดย.วงค์ ตาวัน,ข่าวสดออนไลน์
*****************************************************************

เส้นทางคดี 98 ศพ-ฆ่าตัดตอน ระทึก ทักษิณ-อภิสิทธิ์ ขึ้นศาลโลก !!?

เมื่อการค้นหาความจริงเหตุการณ์พฤษภาเลือด 2553 เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนและถูกขยายผลทางการเมือง 2 ขั้ว หลังคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เปิดเผยรายงานฉบับสุดท้ายออกสู่สาธารณะ

เวลาเดียวกัน ศาลอาญา รัชดาภิเษก อ่านคำสั่งการไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพ "พัน คำกอง" แท็กซี่เสื้อแดง ว่าเสียชีวิตจากอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงคราม

ปรากฏ 2 ชื่อที่ถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้องคือ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อดีตนายกฯ และ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกฯ ในฐานะเป็นผู้ออกคำสั่ง

ขณะที่เรื่องจากแกนนำคนเสื้อแดงที่ยื่นร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อเอาผิด "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ก็มีความคืบหน้า
เพราะ "สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" รมว.ต่างประเทศ แนะนำให้คณะรัฐมนตรีทำคำประกาศยอมรับอำนาจศาล ตามข้อ 12 (3) ของธรรมนูญกรุงโรม ว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อให้ศาลอาญาระหว่างประเทศรับเรื่องเฉพาะกรณีได้ แม้ไทยจะไม่ได้ทำสัตยาบันก็ตาม

"น.พ.เหวง โตจิราการ" แกนนำคนเสื้อแดง ที่เดินทางไปถึงกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อนำเรื่องสลายการชุมนุมปี 2553 ขึ้นพิจารณาในศาลอาญาระหว่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าว่า "กระบวนการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรัฐบาลประกาศรับข้อ 12 (3) เท่านั้น"

"โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม" ทนายความคนเสื้อแดงบอกว่า ความคืบหน้าคืบไปกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แม้จะมีเสียงบอกว่าการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงมีแค่ 98 ศพ อาจไม่เข้าข่ายยื่นฟ้อง แต่ตามกฎหมายเขาไม่ได้กำหนดจำนวนศพ แต่เขากำหนดองค์ประกอบกฎหมายคือ 1.กระทำอย่างกว้างขวาง กรณีนี้คลุมตั้งแต่สะพานพระปิ่นเกล้าไปถึงคลองเตย 2.อย่างเป็นระบบ เช่น วันที่ 10 เม.ย. สลายการชุมนุมอย่างเป็นยุทธการ ซึ่งในธรรมนูญกรุงโรมไม่ได้บอกว่าจะต้อง 100 คนขึ้นไป

"ผมจึงมีความ เชื่อสูงที่ศาลจะรับเรื่องและมีโอกาสชนะ เพราะตอนแรกเขาให้เวลาเราชี้แจงครึ่งชั่วโมง แต่ปรากฏว่าฝรั่งเขาก็ให้เวลาเราอธิบายชั่วโมงครึ่ง สะท้อนว่าเขาสนใจ มีมูล มีน้ำหนักพอที่เขาจะให้ความสำคัญแก่เรา ไม่เหลวไหล"

"ดังนั้น ผมจึงประเมินเข้าข้างตัวเองว่ามีหวังสูง เราต้องการยุติการฆ่าประชาชนสองมือเปล่ากลางถนน เพราะช่วงสลายการชุมนุมโรเบิร์ตอยู่กับผมตลอดในรถตู้ เห็นเหตุการณ์แวดล้อมทั้งหมดว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง พอวันที่ 17 พ.ค.จึงเดินทางออกนอกประเทศ แล้วเขาก็ตั้งเรื่องไว้ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศทันที"

"เขาก็คิดหา ช่องว่าจะเอาผิดนายอภิสิทธิ์อย่างไร จนมาพบว่านายอภิสิทธิ์ถือสัญชาติอังกฤษซึ่งเป็นภาคีกับศาลอาญาระหว่างประเทศ อยู่แล้ว มีหลักฐานชัดเจนคือการมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในตำบลออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ" น.พ.เหวงกล่าว

แม้ฟากฝั่งแกนนำคนเสื้อแดงมีความมั่น ใจว่า จะสามารถลาก "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ขึ้นดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ มีโอกาสสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็เตรียมนำคดี "ฆ่าตัดตอน" ที่เป็นผลพวงจากนโยบายประกาศสงครามขั้นแตกหักเพื่อเอาชนะยาเสพติด ทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิต 2,873 คน ในช่วงเวลา 3 เดือนของการดำเนินนโยบาย ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศเช่นกัน มีการวาง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ในฐานะผู้ออกนโยบายไว้เป็นจำเลยโดยพรรคมอบหมายให้ "กษิต ภิรมย์" อดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้รับผิดชอบ

"กษิต" บอกถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้ ยื่นหนังสือให้สำนักประธานศาลอาญาระหว่างประเทศไปพิจารณาแล้ว และเขาก็พร้อมรับข้อมูลเพื่อนำมาศึกษา ส่วนศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับเรื่องอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นเรื่อง ของอนาคต อยู่ที่การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอไป

"กษิต" ชั่งน้ำหนักทั้ง 2 เหตุการณ์ ระหว่างการสลายการชุมนุมปี 2553 กับคดีค่าตัดตอนว่า "มันมีความต่างอยู่ 1 ข้อใหญ่ คือ เรื่องสลายการชุมนุม 2-3 ปีที่ผ่านมา กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไปอย่างเต็มที่ไม่มีการชะงัก แต่คดีฆ่าตัดตอนมันหยุดชะงัก เพราะฉะนั้นอะไรที่มันหยุดชะงักในประเทศนั้น ๆ ก็เป็นภาระหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศ"

สิ่งที่พรรคประชา ธิปัตย์รวบรวมให้ศาลอาญาระหว่างประเทศไปพิจารณา มีทั้งพยานบุคคลที่เป็นญาติของเหยื่อผู้เสียชีวิต กับพยานเอกสาร คือรายงานการศึกษาเบื้องต้นของ "คณะกรรมการอิสระตรวจสอบ ศึกษา และวิเคราะห์การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษ และการนำนโยบายไปปฏิบัติจนเกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง และทรัพย์สินของประชาชน" หรือ คตน.ที่ ชี้ว่านโยบายการปราบปรามยาเสพติดในยุค "พ.ต.ท.ทักษิณ" เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ "กษิต" บอกว่า สิ่งที่เป็นหมัดเด็ดของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ คล้อยตามคือ การที่กระบวนการยุติธรรมของไทยหยุดชะงัก ไม่เดินหน้าคดีฆ่าตัดตอน

"ประจักษ์กันอยู่ตามหลัก common sense (สามัญสำนึก) คดีมันหยุดมาตั้งนานแล้ว เท่ากับว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมีปัญหา หรือมีการเมืองเข้ามาแทรก กดขี่"

เขา เชื่อว่า สุดท้ายศาลโลกจะไม่พิจารณาสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 98 ศพ "โดย common sense 98 ศพไม่มีเหตุผลอันใด รัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นคนตั้ง คอป.เอง แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจ กระบวนการยุติธรรมมันเดินอยู่ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะบิดเบือนอะไรมันฟังไม่ขึ้น และเป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนรู้ จะไปฟ้องได้อย่างไร หรือว่าเพื่อไทยไม่เคารพศาลยุติธรรม"

เมื่อตรวจสอบเกณฑ์ความผิดอาญาที่เข้าข่ายตามธรรมนูญแห่งกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ พบว่ามีฐานความผิด 4 ฐาน 1.อาชญากรรมล้างเผ่าพันธุ์ 2.อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ 3.อาชญากรรมสงคราม และ 4.อาชญากรรมการรุกราน

"ดร.คณิต ณ นคร" อดีตประธาน คตน.ซึ่งปัจจุบันเป็นประธาน คอป.แยกแยะว่า กรณีฆ่าตัดตอนในรายงานศึกษาเบื้องต้นที่เคยทำ ระบุว่า นโยบายปราบปรามยาเสพติดขั้นแตกหัก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เข้าข่ายการเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เพราะเป็นการกระทำอย่างมี systematic (เป็นระบบ) ส่วนกรณี 98 ศพ ไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ

"ไกร ศักดิ์ ชุณหะวัณ" อดีตกรรมการ คตน. เปรียบเทียบระหว่างคดี 98 ศพ กับฆ่าตัดตอนว่า มีโอกาสที่ศาลอาญาระหว่างประเทศรับเรื่องฆ่าตัดตอนมากกว่า

"เรื่อง ยาเสพติดชัดเจน รัฐเป็นผู้กระทำฝ่ายเดียว เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ 2 พันกว่าศพ กระทำในระยะเวลาอันสั้น ไม่มีการต่อสู้ เจ้าหน้าที่ยิงฝ่ายเดียวเข้าข่ายมากกว่าการสลายการชุมนุม พ.ค. 2553 ที่สำคัญคือ ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็มีชายชุดดำ มีการยิงต่อสู้จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ 30 ราย


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

ปิดฉาก คอป.ยุค อภิสิทธิ์ ความจริงที่หดหู่พร่ามัว โหมไฟใจเจ็บลึกลุกโชติ !!?

คณะกรรมการอิสระตรวจ สอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ใช้เวลาทำงาน 2 ปี แต่งตั้งโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ล้อมปราบผู้ชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน และพฤษภา 2553 จนมีผู้เสียชีวิตมากถึง 98 ศพ

เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาล ได้ให้ คอป.ดำเนินการต่อจนครบเวลาทำงานเมื่อกรกฎาคม 2555 กระทั่งเปิดแถลงรายงานฉบับสมบูรณ์หนาเกือบ 300 หน้าในวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา จึงเป็นการเสร็จสิ้นหน้าที่รับผิดชอบ

คอป.ได้รับสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลกว่า 65 ล้านบาทมาใช้จ่ายในภารกิจตรวจสอบ ค้นหาข้อเท็จจริงจากการใช้ความรุนแรง โดยคาดหวังกันว่า ชุดความจริงที่ค้นพบจะเป็นแนวทางสู่ “ความปรองดอง” ของสังคมในอนาคต

แต่ชุด “ความจริง” ของ คอป. กลับมีแนวโน้มซ้ำเติมให้สังคมเกิดความขัดแย้งกันหนักยิ่งขึ้น เมื่อคู่กรณีทั้ง 3 ฝ่าย คือ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้จัดการชุมนุมทางการเมือง และรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่สั่งทหาร “กระชับ พื้นที่-ประชิดวงล้อม” เข้าปราบผู้ชุมนุม รวมทั้งประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกลับได้รับผลกระทบถึงชีวิตในช่วงเหตุการณ์ฆ่ากันกลางเมืองหลวงประเทศไทย

*  ความจริงพร่ามัว

คอป.ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงรายงานเชิง “สรุป” ผลการตรวจสอบในห้วงเวลาทำงาน 2 ปี เนื้อหาสำคัญแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ศึกษารากเหง้าความรุนแรง ในสังคมไทย ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุ การณ์รุนแรงเมษายน-พฤษภาคม และชี้ แนะแนวทางความปรองดองแห่งชาติขึ้น

อันที่จริง สาเหตุเริ่มต้นที่รัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ตั้ง คอป.ขึ้นมา เพราะต้องการปัดข้อกล่าวและการโจมตีจากทั่วสารทิศว่า เป็น “รัฐบาลใจจืดใจดำนิ่งเฉยกับการฆ่าประชาชนกลาง กทม.” โดยรัฐบาลยุคนั้นแอบหวังให้ คอป. เป็นข้ออ้างมายื้อเวลาเพื่อหลบเลี่ยงข้อกล่าวหาที่ถาโถมเข้าใส่จากทุกสารทิศ

ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยกับการมอบหน้าที่หลักแบบกว้างขวางให้ คอป. “ทำ ความกระจ่างกับรากเหง้าของปัญหา ทั้งในทางกฎหมาย การเมือง และประวัติ ศาสตร์ที่ส่งผลให้เกิดความแตกแยกและความรุนแรง” ซึ่งทำให้หน้าที่ค้นหาความจริงของความตาย 98 ศพ กลายเป็น งานปลีกย่อยและได้ความจริงที่พร่ามัว

การแถลงเมื่อ 17 กันยายน นั้น คอป. กำหนดเนื้อหาหลักไว้เฉพาะการคลี่คลายความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 โดยโยงรากเหง้ามาตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนทำให้เกิดการต่อต้านขยายความรุนแรงและความขัดแย้งมาสู่เหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่โหดเหี้ยม

สิ่งที่ คอป. จงใจสื่อสารในการแถลง อยู่ที่ชุดข้อมูล “ชายชุดดำพร้อมอาวุธสงคราม” เข้ามาปะปนเป็นส่วนหนึ่งของการชุมนุมทางการเมือง และยังต่อสู้กับทหารที่โอบล้อมเข้าสลายการชุมนุม จนกลายเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงขึ้น

แต่อีกด้านหนึ่ง คอป.ยังระบุถึงทหาร ใช้อาวุธสงครามและกระสุนจริงกับประชาชน ที่ชุมนุม รวมทั้งมีข้อเรียกร้องส่วนตัวของนายคณิตที่นำกรณีนายปรีดี พนงยงค์ มาเปรียบเทียบ เพื่อโน้มน้าวให้ พ.ต.ท.ทักษิณวางมือทางการเมืองและเสียสละให้ประเทศ สงบสุข ไร้ความขัดแย้ง มีปรองดอง ด้วยการอยู่ต่างประเทศ อย่าได้กลับไทยเลย

แม้ในรายงานจะมีข้อเสนอแนวทางการสร้างความปรองดองขึ้นด้วยการให้ปรับระบบศาลยึดมั่นความยุติธรรม ไม่มี 2 มาตรฐานต่อการพิจารณาคดี รวมถึงให้ใช้กระบวนการยุติธรรมมาวินิจฉัยความขัดแย้งในสังคม แต่เป็นแนวทางแบบกว้าง ไร้รูปธรรมชัดเจน

จุดอ่อนสำคัญที่สุดของรายงานคือ การอ้างแหล่งข้อมูลที่เป็นเพียง “คำบอกเล่า” ของคนในเหตุการณ์ แต่ขาดพยานหลักฐานหลากหลายมาบ่งชี้ถึงเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น หนำซ้ำการแถลงรายงานส่วนใหญ่เน้นเพียง “ความเชื่อ” ของ คอป. อันล่องลอย ราวกับทำให้ชุดความจริงกลาย เป็นข้อมูลยกเมฆ

สรุปแล้วรายงานของ คอป.ไม่ได้ชี้ชัดลงไปถึงต้นเหตุความรุนแรง การตัดสินใจที่ผิดพลาดในการกระทำความรุนแรงที่เกิดขึ้น และดูเหมือนพยายามเน้นความเชื่อว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากฝ่าย นปช. ผู้ชุมนุม และชายชุดดำเป็นตัวการสำคัญซ้ำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ และชายชุดดำ ได้กลายเป็นรากเหง้าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่เพียงเท่านั้น คอป.แทบปัดทิ้งชุดความจริงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่มีส่วนพัวพันกับ “ศูนย์อำนวย การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” (ศอฉ.) ซึ่งเป็นกองบัญชาการออกคำสั่งให้ใช้ทหารเข้าสลายการชุมนุมได้อย่างน่าทึ่งกับความ เป็นคณะกรรมการอิสระ

* “ชายชุดดำ” ในความเชื่อที่หดหู่

แม้ คอป.จะเรียกร้องหลายครั้งในช่วงการแถลงรายงานฉบับสมบูรณ์ว่า ไม่ต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องนำส่วนใดส่วนหนึ่งของรายงานไปใช้ประโยชน์ทั้งในด้านเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนทำให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหม่ขึ้นแต่เป็นธรรมดาของคู่กรณีเกี่ยวข้อง และขัดแย้งกันในเหตุการณ์เมื่อเมษายนและพฤษภาคม ย่อมเลือกเห็นด้วยเมื่อได้ประโยชน์ และไม่เห็นด้วยกับบางข้อมูล เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด เกิดความเสียหาย จึงต้องวิจารณ์โต้แย้งเพื่อบันทึกไว้ในมิติประวัติศาสตร์ความรุนแรงของสังคมกลางสถานการณ์สำคัญขณะนี้ กลุ่ม นปช.และประชาชนได้ยื่นข้อมูลชุด “ความตาย 98 ศพ” ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาสอบสวนเหตุการณ์ความรุนแรง และดำเนินคดีกับ “ผู้สั่งฆ่าประชาชน” จนทำให้นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกองทัพที่เป็นหน่วยปฏิบัติงานปราบผู้ชุมนุม ล้วนลำบากใจอย่างหนักกับผลการสอบสวนที่ใกล้กระจ่างถึงขั้นนำไปสู่การตั้ง “ข้อหา” เพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อความผิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้

ข้อมูล “ชายชุดดำ” ของ “ดีเอสไอกับคอป.” มีความแตกต่างกันราวกับ “ขาวกับดำ” นายสมชาย หอมลออ กรรมการ คอป.ยืนยันในรายงานการตรวจสอบว่า มีชายชุดดำปะปนและเป็นส่วนหนึ่งกับการ์ด นปช.พร้อมกับใช้อาวุธสงครามต่อสู้กับ ทหารระหว่างการกระชับพื้นที่จนทำให้ทหาร- ตำรวจ และประชาชน ตาย 9 ศพ แต่ไม่มี หลักฐานเชื่อมโยงไปพัวพัน ผูกมัดแกนนำนปช.มาเกี่ยวข้อง

กรณีชายชุดดำของ คอป.ทำให้นายอภิสิทธิ์ยิ้มออก และเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “ยอมรับรายงานของ คอป.” แต่ นพ.แหวง โตจิราการ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.กลับโต้แย้งและวิจารณ์ด้วยอารมณ์ผิดอย่างหนัก

น.พ.แหวง ระบุว่า ข้อมูลของ คอป. มั่ว ขาดหลักฐาน มีแต่ความเชื่อจากคนมาให้การ “คุณกล่าวหาโดยฟังแต่คำพูดของ บางคนเท่านั้น แต่คุณไม่มีหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์มากกว่านั้นเลย แล้วจะให้ประชาชนเห็นตามได้อย่างไรว่า ในที่อื่นที่คุณไม่มีหลักฐานมีชายชุดดำจริง ส่วนการ์ด นปช. ให้การสนับสนุนคนชุดดำ คุณสรุปเอาเองดื้อๆ เลยหรือ คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นการ์ด นปช. แล้วคุณสอบสวนเขาแล้วหรือ ?”

“ที่หน้าวัดปทุมคุณสมชายบอกว่ามีชายชุดดำวิ่งเลียบกำแพงรั้ว คุณสมชายพยายามบอกว่ามีรอยแตกที่ขอบรถไฟฟ้าพยายามโน้มน้าวว่านั่นเป็นการยิงของชาย ชุดดำก็เลยทำให้ทหารต้องยิงคนในวัดปทุม น่าเศร้าจริงๆ เพราะภาพยูทูบจำนวนมหาศาล ได้ยืนยันว่าทหารที่รางรถไฟฟ้ามีกล้องเล็งยิง เขาต้องเห็นแน่นอนว่า น้องเกดเป็นพยาบาล ไม่มีปืน แล้วคนตายทั้งหกก็ไม่มีปืน ทหารยิงคนไม่มีปืน ทหารยิงผู้ทำหน้าที่ ทางการแพทย์พยาบาล แล้วอ้างเหตุว่ามีชายชุดดำวิ่งเลียบกำแพงวัด และมีปืนเอ็ม 16 หนึ่งกระบอกยึดจากในวัดเพื่อทำให้คนเข้าใจว่าเป็นของคนชุดดำในวัด คุณสมชาย ครับสงสัยจังว่าคุณรับงานใครมาหรือเปล่า” น.พ.เหวง มีอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นไม่แตกต่างกันเลย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.กระทรวงเกษตรฯ และเป็นแกนนำ นปช.คนสำคัญ ยังร่วมวิจารณ์รายงาน คอป. ว่า ใช้คำพูดคล้ายพรรคประชาธิปัตย์ และยังโต้แย้งว่า เป็นข้อมูลแค่ผิวนอกไม่ลงลึกถึงต้นตอความขัดแย้ง

เพียงแค่ข้อมูลชายชุดดำที่ คอป.มีชุดความจริงอันสอดคล้องกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และทหาร ว่า เป็นชนวนไปสู่การเสียชีวิตของผู้ชุมนุมและประชาชน ได้ทำให้เกิดการขัดแย้งเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น หนทางนำข้อมูลไปสร้างความ จริงเพื่อลดทอนความขัดแย้ง แล้วก่อรูปความปรองดองในสังคมขึ้น คงเป็นความลำบากไม่รู้จบอย่างยิ่ง

* อารมณ์เจ็บลึกลุกโชติ

ถามว่า ความจริงของความตาย 98 ศพและบาดแผลประชาชนจากการล้อมปราบ ราวกับเป็นคนถูกล่ากลางเมืองหลวงนั้น คอป.ได้ตีแผ่ถึงรากเหง้าผู้สั่งการหรือไม่ ตอบว่า เปล่าเลย รายงาน คอป. เอาแต่เฉียดไปเฉียดมา เน้นใช้วาทะนักสิทธิมนุษยฯมาโอ้โลมปลอบให้ลืมความเจ็บปวดร้าวลึกในใจ ซ้ำร้ายยังตัดตอนรากเหง้าความรุน แรงที่เกิดขึ้นในสังคมมาอยู่ที่ต้นทางปัญหาของ “ทักษิณซุกหุ้น” แล้วลามไล่ไปสู่ชายชุดดำก่อเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเมษายน- พฤษภาคม 2553

ทั้งๆ ที่รากเหง้าความจริงอยู่ที่การทำ รัฐประหารของทหารและผู้บ่งการอยู่เบื้อง หลัง เพียงเพื่อใช้กำลังมาปกป้องอำนาจที่ถูกท้าทายจากพรรคการเมืองซึ่งผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

กรณี “ชายชุดดำ” อาจมีอยู่จริง มีมากมีน้อยเท่าใดไม่รู้ หรือมีแบบจงใจของกลุ่มอำนาจบางกลุ่มส่งไปสร้างสถานการณ์ เพื่อเป็นข้ออ้างในการล้อมปราบ แต่ความจริงที่เหนือจริงก็คือ ทั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทหาร ยังไม่สามารถจับกุมมาดำเนินคดีได้แม้รายเดียว นั่นเท่ากับข้อมูลชายชุดดำของ คอป.เป็นจินตนาการความจริงที่ใช้คำบอกเล่ามาสร้างตัวตนขึ้น

หากชายชุดดำสู้กับทหารจริง ย่อมเป็นการสู้ที่เป็นผลมาจากต้นทางปัญหาของ คนสั่งการให้ทหารติดอาวุธไล่ล่าผู้ชุมนุมและประชาชนกลางถนนแบบเติมเต็มอารมณ์ สะใจ “ปังๆๆ ล้มแล้วๆๆ และอีกคนยื่นมือมาตบไหล่ให้รางวัล” อะไรประมาณนั้น

ชุดความจริงของ คอป.ที่ใช้เวลา 2 ปี ได้เพียงสาเหตุความรุนแรงว่า เป็นการกระทำของชายชุดดำ ส่วนการปรองดองอยู่ที่ข้อเรียกร้องให้ “ทักษิณ” เสียสละอย่า กลับไทยเหมือนกรณีของ “ปรีดี” แต่พวกทหารทำรัฐประหารและกลุ่มผู้บ่งการให้ยึด อำนาจกลับหัวเราะชอบใจอยู่ในไทย

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักประวัติศาสตร์การเมืองไทย เขียนในเฟซบุ๊กให้ข้อมูลว่า ปรีดียังต้องการกลับไทย และมีความพยายามหลายครั้ง แต่กลุ่มอำนาจศูนย์ กลางบงการให้ทำรัฐประหารสกัดกั้น กลุ่มผู้บงการอำนาจและการทำรัฐประหารอีกแล้วที่ซ้ำเติมความขัดแย้งใน สังคม และเป็นรากเหง้าของปัญหาความรุนแรงไม่รู้จบซ้ำซาก ซึ่ง คอป.ไม่ได้ตีแผ่อำนาจส่วนนี้ให้สังคมรับรู้อย่างทรงความน่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการสายสิทธิมนุษยชนกลับชื่นชมการเปิดเผยข้อมูล การตรวจสอบความจริงของ คอป.อย่างสุด ซึ้งว่า เป็นมิติใหม่มีการเปิดเผยผลรายงาน การตรวจสอบความรุนแรงแต่อีกด้านหนึ่งแล้ว การเปิดเผยเมื่อ วันที่ 17 กันยายนนั้น เป็นเพียงการแถลงเปิดใจเพื่อ “เลือกข้างอำนาจ” ของคณะกรรมการที่ “ไม่อิสระ” อย่างเด่นชัดยิ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความขัดแย้งยังไม่มีแนวโน้มยุติอย่างสันติ ความรุนแรงอย่างเจ็บลึกยังลุกฮืออยู่ในใจ และความปรองดองยังเป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูของสังคม ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงซ้อนลึก

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เข้าเมืองตาหลิ่ว ก่อนวิ่งฉิวใน เวียดนาม !!?

ความแตกต่างของวัฒนธรรมและกฎระเบียบของแต่ละท้องถิ่น เป็นสิ่งที่นักการตลาดต้องศึกษาอย่างถี่ถ้วน เช่นเดียวกับโอกาสของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ต้องใช้หลักการดังกล่าวก่อนจะก้าวเข้าสู่เป้าหมาย ตัวอย่างจากรุ่นพี่ หรือผู้ประสบความสำเร็จมาก่อนจึงเป็นคัมภีร์ที่นักธุรกิจไทยใช้เรียนรู้ได้ เช่นเดียวกับเวียดนาม ซึ่งวันนี้มีดีกรีความ หอมของตลาดไม่แพ้กับชาติใดในอาเซียนเลย

นางสาวพรรณพิมล สุวรรณพงศ์ กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2554 อยู่ที่ 5.9% และปี 2555 คาดว่าจะโต 5.6% ส่วนปี 2556-2559 จะเติบโต 7.2% โดยประชากรมีรายได้เฉลี่ย 1,328 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ทั้งนี้เวียดนามมีความน่าสนใจในการลงทุนและเข้ามาเปิดตลาด เนื่องจากจำนวนประชากรที่มีถึง 87 ล้านคน และยังเป็นกลุ่มที่สินค้าและบริการยังเข้ามาพัฒนาตลาดไม่มากนัก

-  ผูกมิตรโชวห่วยแทนเปิดร้าน

นายสุเวศ วังรุ่งอรุณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ เวียดนาม จำกัด เปิดเผยว่า การทำตลาดในเวียดนามอยู่ภายใต้ข้อจำกัดหลายประการ ซึ่งทางบริษัทจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทาง การตลาดเพื่อสอดรับกับสภาพที่เป็นอยู่ อาทิ ข้อจำกัดในการเปิดร้านค้าปลีกในเวียดนาม ซึ่งยังไม่เปิด ให้ชาวต่างชาติเข้าไปลงทุนได้ 100% อีกทั้งยังมีขั้นตอนซับซ้อนมากโดยเฉพาะกลุ่มร้านสะดวกซื้อ ที่ยังจำกัดสิทธิ์ส่วนใหญ่ไว้ให้กับคนในประเทศ ดังนั้น การขยายร้าน “ซีพี เฟรชมาร์ท” แบบที่ทำในเมือง ไทยอาจจะยังไม่ใช่รูปแบบที่เหมาะสมในตอนนี้

ดังนั้น บริษัทจึงได้ใช้กลยุทธ์การนำตู้เย็นเข้า ไปวางในร้านโชวห่วยต่างๆ และช่วยทำการตกแต่ง ร้านค้าให้แทน ขณะนี้มีโมเดลที่เรียกว่า “CP Shop” อยู่ประมาณ 400 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ในซอย รวมสินค้าประมาณ 10 รายการ เริ่มทำตลาดมาแล้ว 4 ปี มีอัตราการเติบโต 30-40% ต่อเนื่องทุกปี

นายสุเวศ กล่าวว่า คนเวียดนามรักการค้าขาย จึงเห็นร้านโชวห่วยกระจายอยู่ทั่วทุกมุมซอย เนื่องจากประชากรมีการใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหลัก จึงไม่จำเป็นที่ร้านค้าจะต้องอยู่ติดถนนใหญ่เสมอไป อีกทั้งการทำธุรกิจร้านโชวห่วย ได้รับการปกป้องจากทางภาครัฐ หากต่างชาติต้องการเข้ามาในธุรกิจนี้ จำเป็นต้องมีการทำรายงาน Economic Need Test : ENT เพื่อหาความเหมาะสมของการเข้ามาทำธุรกิจค้าปลีกในแต่ละพื้นที่ด้วย

สำหรับตลาดค้าปลีกในเวียดนามในปัจจุบัน ยังมีแบรนด์ ไม่มากนัก หรือประมาณ 300 แห่งที่มีการจดทะเบียน อาทิ บิ๊กซี เมโทร และโคออพ

-  นวัตกรรมไส้กรอกไม่พึ่งตู้เย็น

นอกจากนั้น กลยุทธ์การออกสินค้าสำหรับชาวเวียดนาม ยังต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นั่น โดยพบว่า หลายพื้นที่ของเวียดนาม ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ และครัวเรือนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีตู้เย็น ดังนั้น จึงต้องหานวัตกรรมสินค้าที่เก็บรักษาได้โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็นมาทำตลาด ล่าสุดได้แนะนำผลิตภัณฑ์ไส้กรอกหมูที่เก็บได้โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น ราคา 5,000 ดองเวียดนาม หรือประมาณ 7-8 บาท สามารถเก็บรักษาได้นานประมาณ 4 เดือน โดยจะเป็นสินค้าที่ใช้ทำตลาดในประเทศที่ยังมีประชากรที่ไม่มีตู้เย็นในอนาคต เช่น พม่า เป็นต้น

สำหรับการดำเนินธุรกิจในเวียดนาม ปีที่ผ่านมาซีพีมีรายได้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท มาจากกลุ่มอาหารสัตว์ (Feed) 52% ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ (Farm) 42% ธุรกิจแปรรูปอาหาร (Food) 4% อื่นๆ 2% ทั้งนี้กลุ่มอาหารแปรรูปจะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะทำการบุกตลาดมากขึ้น ตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และโอกาสจากประชากรกว่า 80 ล้านคน หากเปรียบเทียบอัตราการบริโภคกับประเทศไทย พบว่า หากเป็นส่วนของเนื้อหมู เวียดนามมีความต้อง การถึง 40 ล้านตัวต่อปี ขณะที่ประเทศไทยต้องการ เพียง 10 ล้านตัวต่อปี เป็นต้น

- สามแม่ครัวคู่ขนมปังก่อนลุยข้าว

นายมงคล บัณฑรรุ่งโรจน์ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยคอร์ป อินเตอร์เนชั่นแนลเวียดนาม จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเริ่มต้นทำตลาด ปลากระป๋องตราสามแม่ครัวในเวียดนามเมื่อ 19 ปีที่ผ่านมา โดยช่วงแรกใช้เวลาถึง 8 ปีก่อนที่จะประสบความสำเร็จ จนกลายเป็นเบอร์ 1 ในเวียดนามในขณะนี้ และมีกำลังผลิตเหลือพอที่จะส่งกลับไปขายในไทยอีกประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี ขณะนี้ยังมีแผนการเปิดโรงงานแห่งที่ 2 อีกด้วย

สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาดปลากระป๋องตราสามแม่ครัว เริ่มต้นจากพนักงานเพียง 10 คนที่ส่งสินค้าไปวางจำหน่ายในร้านต่างๆ โดยการนำเข้าประมาณ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนมาพบว่าพฤติกรรมของชาวเวียดนาม นิยมรับประทานขนมปังฝรั่งเศส (Baguette) ในลักษณะ คล้ายแซนด์วิช โดยเรียกว่า “บั๊นหมี่” ซึ่งมีไส้ตามวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น ผัก หมูยอ หรือหมูสับ ดังนั้น บริษัทจึงได้คิดริเริ่มที่จะนำปลากระป๋องเป็นไส้ของขนมปังดังกล่าว โดยนำสินค้าวางในรถเข็นขายบั๊นหมี่ ประมาณ 1,000 จุด ประกอบกับการทำป้ายและสติกเกอร์สร้างแบรนด์สินค้า จนทำให้ชาวเวียดนามเริ่มทดลองรับประทานปลากระป๋องและชื่นชอบในสไตล์ดังกล่าว จนทำให้สามแม่ครัวประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะขยายตลาดในวงกว้าง จนกลายเป็นเบอร์ 1 ในตลาดปลากระป๋องในเวียดนาม

อย่างไรก็ตาม ตลาดปลากระป๋องในเวียดนาม ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากขนาดตลาดเพียงครึ่งหนึ่งของประเทศไทย ดังนั้นแผนการบุกตลาดต่อไป คือการทำให้ชาวเวียดนามรับประทานปลากระป๋องกับข้าวนอกเหนือจากการนิยมรับประทานกับขนม ปังอย่างที่ผ่านมา

-โอกาสของสินค้าไทยในเวียดนาม

นายมงคล กล่าวว่า จากการเข้ามาร่วมทุนของ บมจ.เบอร์ลี่ยุคเกอร์ (BJC) เพื่อขยายธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายในตลาดเวียดนาม อาทิ กระดาษเซลล็อกซ์, กลุ่มสแน็ก และกลุ่มเครื่องดื่มใหม่ๆ เป็นต้น บริษัทยังมีแผนการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าในเมืองโฮจิมินห์ ภายใต้งบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท บนพื้นที่ 13,000 ตารางเมตร

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการขยายลงทุนไปสู่ธุรกิจค้าปลีก เพื่อต่อยอดธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมองหาพื้นที่เขต 1 ซึ่งเป็นบริเวณศูนย์กลางธุรกิจของเมืองโฮจิมินห์ เพื่อตั้งร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ คาดว่าจะใช้พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นตารางเมตร และน่าจะตั้งได้ภายใน 6 เดือนจากนี้ โดยจะเน้นจำหน่ายสินค้าไทยเป็นหลัก ประมาณ 70% เนื่องจากคนเวียดนามนิยมสินค้าจากเมืองไทยเป็นอย่างมาก

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ตะลึง.การ์ดพันธมิตรฯ น้องรัก สุริยะใส นั่งอนุฯ คอป. คุม สอบ สลายการชุมนุม !!?


ในที่สุด “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ” หรือ “คอป.” ที่ ดำเนินการมา 2 ปีกว่าๆ (กรกฎาคม 2553-กรกฎาคม 2555) เพื่อค้นหา “ความจริง” ของความขัดแย้งทางการเมือง ในเหตุการณ์เดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553
ก็ได้ฤกษ์คลอด “รายงานฉบับสมบูรณ์” 200 กว่าหน้า มูลค่า 65,261,586.80 บาท (หกสิบห้าล้านสองแสนหกหมื่น….)ให้ออกมาให้ “คนไทย” ได้ชื่นชม
ซึ่งบทสรุปของ “คอป.” นั้น นับได้ว่าเป็น “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์” ให้กับ “กลุ่มผู้ชุมนุม” และ “เหยื่อ” ที่ได้รับความสูญเสีย
โดยเฉพาะในรายของ “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” หรือ “เสธแดง” ที่ถูกลอบยิง จาก“สไนเปอร์” จนต้องเสียชีวิต ซึ่งน่าจะเป็น “ผู้เสียหาย” แต่กลัต้องกลายเป็น “ผู้ต้องหา” ว่าอยู่เบื้องหลัง “คนชุดดำ”
ทั้งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งโอกาส ที่จะได้ “ให้ข้อเท็จจริง” กับ “คอป.” !
ซ้ำร้าย “รายงาน ของ คอป.” กลับดูเหมือนว่า ไป “รับรอง” คำสั่ง “ลั่นกระสุน” ให้กับ “ศอฉ.” (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” หน้าตาเฉย

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่ “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์” ของ “คอป.” จะออกมารูปนี้
เนื่องจากภายใน “คอป.” ทราบกันดีว่า กรรมการที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อน ก็คือ “สมชาย หอมลออ” แม้ “ประธาน คอป.” จะเป็น “คณิต ณ นคร” !!!
ซึ่งเราๆ ท่านๆ ก็รู้กันอยู่ว่า “สมชาย หอมลออ” ก็คือ ทนายความสิทธิมนุษยชน ที่เคลื่อนไหวหนุนหลัง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มาตลอดอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆ อาทิ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551 “สมชาย หอมลออ” ร่วมกับ “ไพโรจน์ พลเพชร” (นักเคลื่อนไหวผู้ประกาศถอนตัวจาก การเป็น กรรมการ คอป.ไปก่อน เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาไม่เป็นกลาง เนื่องจากเคยเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ) ออกแถลงการณ์ประณาม “รัฐบาลพรรคพลังประชาชน” ของ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ที่ใช้ “แก๊สน้ำตา” สลายการชุมนุม “กลุ่มพันธมิตรฯ” ที่บุกปิดล้อมอาคารรัฐสภา
ก่อนหน้านั้น “สมชาย” ก็เป็นคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ เชิงลบ ต่อ “รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” นับครั้งไม่ถ้วนอยู่แล้ว โดยเฉพาะในประเด็น “การแก้ไขปัญหาภาคใต้” และ “การแก้ไขปัญหายาเสพติด”
ยิ่งเมื่อลองไปหาข้อมูลดู ในโลกไซเบอร์ ก็จะพบ “ภาพ” … “สมชาย” ที่ใกล้ชิดกับ “แกนนำพันธมิตรฯ” อีกเพียบ !!!
แต่เพียงแค่ “สมชาย หอมลออ” คนเดียว คงไม่สามารถปั้น “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์” ออกมาเป็นแบบนี้ได้ แน่ๆ
ซึ่งถ้าเราย้อนไปมอง โครงสร้างคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ จะเห็นได้ว่า “คณะอนุกรรมการ” ที่มีอิทธิพลต่อภารกิจหลักของ “คอป.” ในการ “ค้นหาความจริง”
และเป็นชุดหลักในการ “ชง” ข้อมูล ที่นำมาสู่ การจัดทำ “รายงาน” คือ “คณะอนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริง” ที่ “คอป.” ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง อีก “5 คณะ” ย่อย มากลุ่มๆ ที่จะลงมือดำเนินการตรวจสอบและค้นหาความจริงเป็นรายกรณี



โดยใน “คำสั่ง คอป.ที่ 7/2553 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการตรวจสอบและค้นหาความจริงเฉพาะกรณี” (ที่ คอป.เผยแพร่ 200 กว่าหน้านั่นแหละ) ระบุชื่อ “คณะอนุกรรมการฯ” แต่ละชุดชัดเจน
ซึ่งถ้าไปลองไปไล่ ดูรายชื่อก็จะพบว่า บางคน ก็คือ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เหลืองๆ นี่แหละ ที่ดอดเข้ามาร่วมเป็น “อนุกรรมการฯ” ในการ “ค้าหาความจริง” ให้กับ “คนเสื้อแดง” หน้าตาเฉย
แล้วอย่างนี้มีหรือที่จะ เราจะหวัง “ความเป็นธรรม” !!!
ยกตัวอย่างง่ายๆ “เมธา มาสขาว” ที่นั่งเป็น “คณะอนุฯ ตรวจสอบรายกรณี” ครบทั้ง “ 5 คณะ” ก็คือ นักเคลื่อนไหว ที่ป้วนเปี้ยนๆ อยู่กับ “สมชาย หอมลออ” และ “คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)” ที่ “สุริยะใส กตะศิลา” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็น “เลขาธิการ ครป.” อยู่



ที่สำคัญ “เมธา มาสขาว” นี่เขาก็ว่ากันว่า “น้องรักของพี่ใส” เลยนะ !!!
เพราะ หลายครั้ง ก็ยังมีผู้พบเห็นเขา อยู่ใกล้ๆ เวทีพันธมิตรฯ และอีกหลายๆ ครั้งก็ “ออกแถลงการณ์” โจมตี “รัฐบาลพรรคไทยรักไทย” ในทิศทางเดียวกับ “พี่ใส” ซะด้วย
แต่ที่สำคัญก็คือ ในรายของ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” ที่มีชื่อเป็น “อนุฯย่อย 2 คณะ” คือใน คณะที่ 1 และ คณะที่ 2 ที่ดูแล ประเด็นหลักๆ ที่ คอป. จะต้องศึกษา คือ ประเด็นความรุนแรงในภาพรวม และประเด็น การเสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม เหตุการณ์ 10 เมษายน การปะทะที่อนุสรณ์สถาน ดอนเมืองและสถานีดาวเทียมไทยคม
หากมองแต่ชื่อก็อาจจะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่แฟนนานุแฟนพันธมิตรฯ โดยเฉพาะผู้ติดตาม “เว็บไซด์ผู้จัดการ” อยู่เป็นประจำ ก็จะคุ้นๆกับชื่อ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” และข่าว “แทงคอการ์ดพันธมิตรฯ” เมื่อปี 2551 ช่วงที่ “พันธมิตรฯ” ชุมนุมใหญ่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000077001
 
 
โดยในเว็บไซด์ผู้จัดการออนไลน์ เปิดประเด็นโดย “พาดหัว” ว่า “การ์ดพันธมิตรฯ กลับบ้านช่วงเช้ามืดถูกคนร้ายวิ่งตามมาบนสะพานลอยเข้าทำร้ายร่างกาย ก่อนถูกแทงเข้าคอจนเลือดไหลโชกแล้ววิ่งหนีขึ้นรถเมล์ไป เจ้าตัวเชื่อไม่ใช่แค่ต้องการชิงทรัพย์”
ซึ่งไม่แน่ใจว่า “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” ที่เป็น “อนุย่อยฯ คอป.” กับ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” การ์ดพันธมิตรฯ ที่ถูกแทงคอ ตามข่าว “ผู้จัดการออนไลน์” เป็นคนเดียวกันหรือไม่
 
 
แต่ด้วย “ชื่อ” และ “นามสกุล” ที่ดันไป “ตรงกัน” เป๊ะ ! อย่างประหลาด
จึงทำให้เชื่อได้ว่า “รายงานฉบับนี้ (ป้ายสี) สมบูรณ์แบบ” !!!
 
ที่มา:สยามลีกส์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 


สรยุทธ. แจงคดียักยอกเงินโฆษณา อสมท. กว่า 138 ล้าน !!?


สรยุทธ'แจงคดียักยอกเงินโฆษณอสมทกว่า138ล้าน จากเอกสารที่จัดเตรียมมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้เวลา 6.12 นาที หลังป.ป.ช.ชี้มูล
นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ชี้แจงผ่านรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทางอาญา ในฐานเป็นผู้สนับสนุนพนักงานบริษัท อมสท จำกัด (มหาชน) ยักยอกเงินโฆษณาเกินเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา จากการจัดรายการ"คุยคุ้ยข่าว"ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ระหว่างปี 2548-2549

โดยนายสรยุทธ ได้อ่านคำชี้แจงจากเอกสารที่จัดเตรียมมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้เวลา 6.12 นาที ตามที่ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิด บริษัทไร่ส้มฯ ผม และพนักงานบริษัท ว่ามีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดของพนักงาน อสมท เพื่อให้ช่วยเหลือบริษัทไร่ส้มฯ ได้โฆษณาเกินเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาโดยไม่เรียกเก็บเงินค่าโฆษณา เป็นจำนวนเงิน 138,790,000 บาท ผมเองเนี่ยนะครับ เคยยืนยันออกอากาศไป กันท่านผู้ชม เมื่อครั้งที่พบปัญหาครั้งแรกแล้วว่า พร้อมจะพิสูจน์และรับผิดชอบในเรื่องนี้ ถ้าได้มีกระบวนการตรวจสอบ และจะได้นำมาแจ้งกับท่านผู้ชมต่อไป

จากนั้นเป็นต้นมา เหตุที่ผมไม่ได้ชี้แจงเรื่องนี้ เพราะเมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในแง่ของกระบวนการขั้นต้นก็คือ ป.ป.ช. ก็ให้กระบวนการดำเนินไป โดยที่ผมก็ต่อสู้ตามกระบวนการ นะครับ ไม่ต้องการที่จะแสดงความเห็นเพื่อเป็นการชี้นำ จนกระทั่งเมื่อ ป.ป.ช.มีความวินิจฉัยชี้มูลเมื่อวานนี้ ผมเองและบริษัทเคารพในคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. แต่ก็จะได้ใช้สิทธิต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ซึ่งก็หมายถึงอัยการ แล้วก็ในชั้นศาลต่อไปนะครับ

ขออนุญาตใช้เวลาชี้แจงสั้นๆ เมื่อ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ประการแรก ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด เงินจำนวน 138,790,000 บาท ที่บริษัท อสมท เรียกเก็บจากบริษัทของผมนั้น ผมได้ดำเนินการชำระให้ อสมท ไปครบถ้วน ทุกบาททุกสตางค์แล้วนะครับ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะยังมีข้อความเห็นที่แย้งกัน เมื่อมีข้อตกลงระหว่างบริษัทของผมแล้วก็ อสมท มีข้อตกลงระหว่างกันว่า การแบ่งนาทีโฆษณาในอัตราส่วน 50:50 ก็คือคนละครึ่งเนี่ยนะครับ แต่ในสัญญาที่ทำกับ อสมท กำหนดเอาไว้ว่า เป็นนาทีที่บริษัทจะได้สิทธิ เมื่อ อสมท เรียกเก็บเงินโฆษณาส่วนเกินของบริษัท และ อสมท ยืนยันว่าบริษัทต้องชำระเงินโฆษณาส่วนเกินให้กับ อสมท เมื่อได้ตรวจสอบแล้ว ผมก็ได้มีการชำระไปจนครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ในส่วนที่ อสมท ได้ลงเงินโฆษณาเกินโควตาของ อสมท ในความเข้าใจของบริษัท ซึ่งมีข้อตกลงระหว่างกัน ว่าแบ่งอัตราโฆษณา 50:50 อสมท ปฏิเสธที่จะชำระให้บริษัท ซึ่งผมในนามของบริษัทไร่ส้มฯ ก็ได้ฟ้องร้อง ขอพึ่งศาลปกครอง ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง เพราะฉะนั้น ขอย้ำนะครับ ว่าเงินจำนวน 138 ล้านเศษๆนั้น ได้ชำระให้ อสมท ครบถ้วน จึงไม่ได้มีความเสียหายกับ อสมท ในส่วนนี้ ในแง่ของจำนวนเงิน ขณะเดียวกันในส่วนความเสียหายของบริษัท ผมก็จะรอศาลปกครองต่อไป นี่เป็นประการที่ 1

ประการที่ 2 ป.ป.ช.มีมติว่าบริษัทและผม ยังมีความผิด เพราะคำให้การของพนักงาน อสมท ระดับธุรการคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่า ดำเนินการตามคำแนะนำของผม ผมก็มีหน้าที่จะไปพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมต่อไป ว่าผมไม่ได้รู้เห็น ไม่ได้ให้คำแนะนำ ไม่แม้กระทั่งจะไปรู้จักกับพนักงานคนนี้ และก็ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยว ผมก็จะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของผม ในขั้นตอนของศาลต่อไป

ส่วนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีหลักฐานเป็นเช็คของบริษัทไร่ส้มฯ ซึ่งผมลงลายมือชื่อเอาไว้จำนวน 6 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 7 แสนกว่าบาท ป.ป.ช.ชี้มูลว่า หรือเห็นว่า เป็นค่าตอบแทนของบริษัทให้กับพนักงานคนนั้น ระดับธุรการ เพื่อจะปกปิดเรื่องนี้นั้น นี่คือข้อชี้มูลนะครับ ก็ขออนุญาตสั้นๆ นะครับ ท่านผู้ชมนะครับ ว่า ในส่วนนี้เนี่ยนะฮะ ผมก็จะได้พิสูจน์ในชั้นศาลต่อไปว่า ผมเป็นกรรมการมีอำนาจลงนามแทนบริษัท เช็คทุกใบที่ออกจากบริษัท ผมเป็นผู้มีอำนาจลงนาม และการลงนามในเช็คนั้น ก็เป็นการลงนามตามขั้นตอนการเบิกจ่ายค่านายหน้าการประสานงานโฆษณาตามปกติ ที่สำคัญ เป็นการจ่ายโดยมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย เอาไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงไม่ได้เป็นกรณีจ่ายสินบนตอบแทนแต่ประการใด

ป.ป.ช.ชี้มูลว่า ความผิดของพนักงาน อสมท ระดับธุรการ 1 คน มีความผิดวินัยร้ายแรงและอาญา แต่พนักงาน อสมท อีก 1 คน ผิดวินัยที่ปล่อยปละละเลย ผมก็จะได้ใช้สิทธิพิสูจน์ในขั้นศาลต่อไปนะครับว่าอสมท เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ และอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ย่อมต้องมีระบบตรวจสอบ ทั้งระบบภายนอกและภายในที่เข้มข้น ผมจะได้พิสูจน์ให้เห็นต่อไป ซึ่งก็จะใช้สิทธิของผมว่า ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะขอให้พนักงานระดับธุรการเพียงคนเดียวของ อสมท ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ โดยไม่มีใครตรวจสอบพบ หรือไม่มีใครพบ เป็นระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณาออกอากาศอย่างเปิดเผย และเป็นที่รับรู้กันในเวลานั้น ว่าเป็นรายการใน อสมท ที่มีโฆษณามากที่สุด

"อนาคตจะเป็นอย่างไร ผมจะได้ใช้สิทธิของผมแล้วก็จะได้นำมาแจ้งกับท่านผู้ชมต่อไปนะครับ ขอบคุณท่านผู้ชมที่ติดตามข่าว แล้วก็ให้โอกาสฟังคำชี้แจงของผมด้วย"

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ใบสั่ง !!?

มีธงนำหน้าอย่างนี้..ก็สร้างความอึดอัดหาวเรอ..ให้กับ “ผู้รักประชาธิปไตย” ทุกครั้ง
ไม่มีหลักฐานมาโชว์...ใช้ความโง่กันด้านเดียว
“ชายชุดดำ” ฆ่าทหาร ๖ ตำรวจ ๒ ประชาชน ๑ แต่หลักฐานข้อเท็จจริง ไม่มีสักเสี้ยว
จิตนาการ ไม่มีคัมภีร์สมุฏฐานมาแฉ..ว่ากันด้วยปากเปล่า ๆ
สรุปเรื่องได้แสนจะเอียน..ตรงนี้ที่นี่ของกราบเรียน...ว่าเป็นรายงานที่เขียนด้วยเท้า

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 อินโนเซนต์ ออฟ มุสลิม
เป็นการสรุปรายงาน ที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังท้าย อย่างสุดลิ่ม
เป็นห่วง “รัฐบาลปู” นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องเจอหอกข้างแคร่
เอาเรื่องเท็จ ไปสรุปเป็นตุเป็นตะเช่นนั้น “รัฐบาลปู” เห็นทีจะแย่
เกรงสถานการณ์จะบานปลาย เหมือนโลกมุสลิม ที่คัดค้านหนัง “อินโนเซนต์” ที่ดูหมิ่นพระศาสดา
เป็นเรื่องที่ย่ำแย่...เป็นการดูหมิ่นดูแคร่...หรือต้องการแหย่รังแตน ให้เกิดเรื่องขึ้นมา

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 มีแต่คนก่อเหตุ
สร้างสถานการณ์ จนเป็นที่ผิดสังเกต
ดีแต่ว่า “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นนักรบ นักประชาธิปไตย
มีคนหลาย “สร้างวิกฤติ” เป็นมลพิษ ให้เกิดแก่ประเทศ อย่างมากมาย
จะได้ถึง “กองทัพ” ออกมาล้มรัฐบาล เพื่อเป็น “ตัวช่วย” ไม่ให้ นักการเมืองแก๊งค์ไอติม ต้องได้รับโทษ จากการ “สังหารหมู่ชาวบ้าน”
ชิชะดูสิเข้าสร้างปม..เพื่อช่วยเหลือผู้นำฟันน้ำนม...มันเหมาะสมแล้วหรือครับท่าน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 เสียสละเพื่อชาติ
ก่อนให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ล้างมือในอ่างทองคำ “ตัวเอง” ปลีกวิเวกเสียก่อน จะดีชะมัด
ในเมื่อ “ทักษิณ” ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน..ทำให้ “รากหญ้า” ลืมตาอ้าปากอยู่สบาย
“ทักษิณ” เป็นไอดอล แก้ปัญหาเดือดร้อน สร้างประชาธิปไตยแบบกินได้
มาเอ่ยปาก ให้ “ทักษิณ” หยุดทุกอย่าง..โดยที่ตัวเองนั้น ยัง “รับใช้ “ เผด็จการอยู่เลยฮ่ะ
เรียกร้องให้ “ทักษิณ”หยุด..แต่ยังหนุนกลุ่มอื่นสุดๆ ..นี่พูดไม่อายตัวเอง เลยนะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 งบมหาศาล
กทม. ของ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร หลอดแมร์เมืองหลวง ใช้เงินกันบาน
ติดกล้อง “cctv” แต่ประสิทธิภาพแสนห่วย
ถ้าใช้งานได้จริง ตามงบที่ถลุงไป เรื่อง “ชายชุดดำ” ต้องจับภาพ จับหน้าตาได้ เป็นตัวช่วย
แต่ส่วนใหญ่เป็น “กล้องดัมมี่” เป็น “รังนกระจอก” ที่สร้างขึ้นมาหลอก..โดย “รัฐบาลมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” น่าจะต้องรู้เรื่องนี้ดี
ถ้ามีชายชุดดำเป็นกลุ่มก่อการร้าย..ป่านนี้ก็งัดหลักฐานมาโวยวาย..ไม่เงียบรูดซิปปากเช่นนี้

ที่มา:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย ,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปัญหาแผนที่ บน iOS - 6 จากสงครามกับกูเกิลมาถึงผู้ใช้งาน !!?

iOS 6 ของแอปเปิลถูกวิจารณ์อย่างหนักในส่วนของระบบแผนที่ซึ่งเปลี่ยนจากการใช้ Google Maps มาเป็นระบบแผนที่ของแอปเปิลเอง โดยกระแสตอบรับของผู้ใช้งานส่วนใหญ่บอกว่าคุณภาพมันเทียบกับของกูเกิลไม่ได้เลย มันขาดข้อมูลเส้นทางการเดินทางที่สำคัญโดยเฉพาะขนส่งสาธารณะ คุณภาพของภาพดาวเทียมก็แย่กว่ามาก ซึ่ง The Verge ได้รวบรวมข้อมูลมาดังนี้ครับ

Rene Ritchie บรรณาธิการของ iMore บอกว่า ระบบแผนที่นั้นเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของสมาร์ทโฟนปัจจุบัน ที่ผ่านมา iOS ไม่ได้มีปัญหากับระบบแผนที่จนต้องมาเปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงถือเป็นฝันร้ายของผู้ใช้งานอย่างมาก


ถ้าคุณคิดว่าระบบแผนที่นี้สมบูรณ์เฉพาะในอเมริกาดีมันก็ไม่จริงเท่าใดนัก แถมปัญหานี้หนักกว่าสำหรับข้อมูลในต่างประเทศเพราะข้อมูลแผนที่นั้นบางจุดก็โล่งมาก บางสถานที่สำคัญก็ระบุพิกัดผิด ที่ร้ายแรงมากกว่าคือระบุหมวดสถานที่ผิดก็มี โดยล่าสุดรัฐบาลประเทศไอร์แลนด์ได้ออกหนังสือถึงแอปเปิลเลย เพื่อขอให้แก้ไขพื้นที่เกษตรกรรมขนาด 35 เอเคอร์ชื่อ Airfield ที่แผนที่ของ iOS 6 ไประบุว่ามันเป็นสนามบิน โดยระบุว่า “นี่ไม่ใช่แค่ความผิดพลาดธรรมดา เพราะมันอาจทำให้คนหลงทางเลยก็ได้”
 
 

ระบบแสดงภาพ 3D ที่แอปเปิลภูมิใจนำเสนออย่าง flyover ก็ให้ผลลัพธ์ที่แย่มาก เพราะแม้กระทั่งสถานที่สำคัญในอเมริกาเองอย่างเทพีเสรีภาพ, สะพาน Brooklyn ก็มีภาพที่เพี้ยนสุดๆ บางพื้นที่ก็เห็นภาพเป็นเมฆปกคลุมไปหมด โดยกลุ่มผู้ใช้งานใน Twitter ได้ประกาศ hashtag #ios6apocalypse เพื่อรวบรวมความผิดพลาดของแผนที่ใน iOS 6 ไปเรียบร้อยแล้ว



อีกคุณสมบัติที่ถือเป็นมาตรฐานที่ดีใน Google Maps ก็คือการค้นหาสถานที่ ผลการทดสอบพบว่าระบบค้นหาของแอปเปิลนั้นแย่ถึงขนาดว่าถ้าค้นหาคำว่า Apple Cube (สาขาของ Apple Store ที่ Fifth Avenue อันโดดเด่น) ผลลัพธ์ก็กลับบอกว่าไม่เจอ




แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องบอกกับ The Verge ว่าอันที่จริงโครงการทำแผนที่เองของแอปเปิลนั้นเริ่มมาได้ 5 ปีแล้ว โดยวิธีการที่ใช้คือการซื้อบริษัททำแผนที่ขนาดเล็ก แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาปะติดปะต่อกัน หรือซื้อข้อมูลจากคู่ค้าบางส่วนเช่น TomTom ทำให้ได้ข้อมูลเส้นทางในอเมริกา ซึ่งวิธีการแบบนี้นั้นแตกต่างจากกูเกิล ที่เมื่อทำแผนที่ได้ถึงจุดหนึ่งก็ลงทุนเก็บข้อมูลเองด้วยรถยนต์ StreetView อีกทั้งกูเกิลก็เรียนรู้ข้อมูลจากการค้นหาของผู้ใช้งาน ทำให้สามารถปรับปรุงระบบแผนที่ให้ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก


Brandon McClendon รองประธานฝ่าย Google Maps ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้ว่าระบบแผนที่กูเกิลนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานกว่าจะทำได้ขนาดนี้ และสิ่งที่จำเป็นมากคือการเก็บประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ซึ่งบริษัทอย่างแอปเปิลยังไม่เคยมี และนั่นคือเหตุผลที่แม้แต่ Amazon ก็เลือกที่จะใช้แผนที่ของ Nokia บน Kindle Fire แทนที่จะทำเอง

นักวิเคราะห์จาก Reticle Research มองว่า ความท้าทายของแอปเปิลคือที่ผ่านมาแผนที่ไม่ใช่จุดขายของ iOS แต่กับ iOS 6 แล้วถือว่ามันเป็นจุดขายสำคัญ คุณสมบัติหลายอย่างที่ใส่เพิ่มเข้ามามีจุดเด่นพอจะใช้ในทางการตลาด แต่นั่นก็เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้กูเกิลอาศัยจังหวะนี้แทรกตัวมาโฆษณา Android ว่ามันใช้ Google Maps ได้และดีกว่า

Rene Ritchie จาก iMore กล่าวสรุปว่าแผนที่ใน iOS 6 นั้นถือเป็นการสร้างปัญหาที่แอปเปิลก่อขึ้นมาเอง อันที่จริงแล้ว iOS ที่ออกอัพเดตทุกครั้งมันจะให้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นกับผู้ใช้งาน แต่สำหรับ iOS 6 แล้วมันเป็นเรื่องของการเมืองจากนโยบายองค์กรที่ต้องการลดบทบาทกูเกิลออกไปจาก iPhone โดยไม่สนใจว่าลูกค้านั้นพึงพอใจสิ่งใดเท่านั้น และนี่อาจนำไปสู่คำถามว่าแอปเปิลจะยังคงเป็นแอปเปิลที่เห็นความพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญที่สุดในอันดับแรกหรือไม่

ที่มา: The Verge
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++