--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

กูรูแนะวิธีลดแรงกดดันกระแสทุนไหลเข้า ออกบอนด์ดึงเงินนอกอยู่ยาว !!?


ณรงค์ชัย”และคลังประสานเสียงแนะรัฐบาลควรฉวยโอกาสดึงเม็ดเงินต่างชาติด้วยการออกบอนด์ระยะยาว ระดมทุนขับเคลื่อนโครงการรัฐ  ด้าน”จรัมพร”เตือนหุ้นบางตัวแพงเกินจริง ต้องเช็คข้อมูลกันเจ๊ง เจพีมอร์แกนแนะแก้กฎหมายเอื้อต่างชาติปักหลักลงทุนไทย

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) และกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวในงานสัมมนาMFC Finance Forum ครั้งที่ 12หัวข้อ "การลงทุนในสภาวะเงินท่วมโลก" ว่า เงินทุนต่างชาติที่ทยอยไหลเข้ามายังไม่มากเกินไปตามที่หลายฝ่ายกังวล อีกทั้งต่างชาติยังมองว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทำได้ดีในสายตาของต่างชาติ จึงเกิดความเชื่อมั่นนำเงินเข้ามาลงทุน

โดยเงินทุนของธนาคารกลางสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นอัดฉีดออกสู่ระบบเพื่อซื้อสินทรัพย์จากภาคเอกชนจำนวน 7.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น ส่วนใหญ่ได้กลับเข้าไปฝากกับธนาคารกลางทั้งสามประเทศทั้งสิ้น มีบางส่วนที่ไหลออกไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา สำหรับการไหลเข้ามายังไทยจึงมองว่าไม่สูงเกินไปจนน่าห่วงโดยเฉพาะการไหลเข้ามาเพื่อลงทุนในระยะยาว ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีควรต้อนรับแต่ควรจับตาดูการไหลเข้ามาเพื่อลงทุนเก็งกำไรในระยะสั้น สำหรับเงินทุนที่ไหลเข้ามาขณะนี้ไม่น่ากระทบต่อฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ เพราะธปท.ได้ส่งสัญญาณไปยังธนาคารพาณิชย์ให้ระวังการปล่อยกู้ และการเก็งกำไรในตลาดหุ้น

แต่ควรใช้โอกาสนี้ดึงเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในขณะนี้มาลงทุนผ่าน พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เนื่องจากการกู้เงินผ่านการออกพันธบัตรอายุ 10-15 ปี ให้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3% ยังไม่ถือว่าต่ำและจะได้รับความสนใจจากเงินทุนต่างชาติ เพราะการลงทุนผ่านพันธบัตรรัฐบาลอายุน้อยกว่า 15 ปี ถือว่ายังมีระดับไม่สูงนัก แม้รัฐบาลต้องการให้กู้เงินภายในประเทศเป็นหลัก แต่การกู้เงินต่างประเทศบางส่วนจะช่วยบริหารเงินทุนไหลเข้าได้ดีขึ้น

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่ารัฐบาลมีแผนลงทุนในระยะยาวจึงควรใช้โอกาสนี้นำเงินลงทุนไหลเข้ามาลงทุนในโครงการลงทุนระยะยาว เพราะเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐ ญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัว เงินทุนเหล่านี้จะไหลกลับไปหาผลตอบแทนยังประเทศของตัวเอง ขณะที่อีกด้านได้พยายามส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจ นำเข้าสินค้าทุนในช่วงเงินบาทแข็งค่า หรือบริษัทเอกชน นักลงทุนรายย่อยได้ทยอยนำเงินทุนออกไปชำระหนี้ออกไปลงทุนต่างประเทศ เพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม เพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชนนำเงินทุนออกไปลงทุนในต่างประเทศ ยอมรับว่าภาษีเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนเพื่อนำผลตอบแทนกลับเข้ามาในประเทศทำให้ภาคเอกชนเสียภาษีซ้ำซ้อนคาดว่าจะออกมาตรการได้ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า เพื่อเสนอต่อรมว.คลังพิจารณา ทั้งนี้เตรียมนำข้อเสนอของภาคเอกชนมาศึกษา ลดภาระภาษีซ้ำซ้อน เมื่อนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ เมื่อนำผลตอบแทนกลับเข้ามา ทั้งในรูปรายได้ กำไร ผลตอบแทนกำไรจากลงทุนในหุ้น  เพื่อศึกษารูปแบบจากสิงคโปร์ มาเลเซีย รองรับการแข่งขันกับเพื่อนบ้าน เพราะประเทศเหล่านี้ไม่เก็บภาษีจากนักลงทุนเพื่อนำผลตอบกลับเข้าประเทศ

แต่อีกด้านต้องดูว่ารัฐบาลได้ทยอยลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% ลดเหลือ 20% ต้องดูว่าจำเป็นอีกหรือไม่ในการลดภาษีดังกล่าวลงอีก เพราะต้องระวังว่าการยกเว้นเก็บภาษีดังกล่าวอาจเป็นช่องทางใหม่ไม่ให้ประเทศกลายเป็นแหล่งหลีกเลี่ยงภาษีของต่างชาติ และมองว่าหาก ธปท.ยังแทรกแซงค่าเงินบาทต่อเนื่อง อาจประสบปัญหาขาดทุนไม่มีจุดจบ เพราะกระทรวงการคลังยังมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีช่องว่างให้ลดได้อีก เพื่อลดแรงเงินทุนไหลเข้า อีกทั้งมองว่าสุดท้ายคงต้องออกมาตรการมาควบคุมการไหลเข้าของเงินทุน

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่าพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังมีความเข้มแข็ง คงไม่น่ากังวลมากนัก หากสหรัฐ ยุโรป หยุดการออกมาตรการอัดฉีดเงินออกสู่ระบบและเกิดปัญหาเงินทุนไหลกลับเหมือนกับในช่วงไทยมีปัญหาการเมือง จนทำให้เงินทุนไหลออกถึง 68,000 ล้านบาท แต่ยอมรับว่าหุ้นบางตัวราคาปรับสูงขึ้นเกินจริง นักลงทุนจึงควรระวัง เนื่องจากค่า P/E (ราคาต่อผลตอบแทน)ของตลาดหลักทรัพย์ฯประมาณ 15-16 เท่า ขณะที่ค่า P/E ของหุ้นบางตัวปรับสูงมาก จากเดิมค่า P/E เกิน 40 เท่า มีอยู่ 24 ตัว มูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท ได้ปรับสูงขึ้นมาถึง 71 ตัว มูลค่าสูงถึง 580,000 ล้านบาท

ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องกลับไปดูพื้นฐานหุ้นเหล่านี้ให้ชัดเจน  เพราะค่า P/E สูงๆนั้นเป็นการมองแผนอนาคตว่าในช่วง10 ปีข้างหน้าบริษัทที่เข้าไปลงทุนต้องปรับปรุงครั้งใหญ่มีการเติบโตมากกว่า 30 %โดยต้องปรับภาพลักษณ์ ผลิตภัณฑ์แทนพลิกกลยุทธ์ หุ้นดังกล่าวมีแผนเช่นนี้หรือไม่ เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบตามมา

มล. ชโยทิต กฤดากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าปัจจุบันโลกการลงทุนมีความซับซ้อนขึ้นการที่ สหรัฐอเมริกาเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจเพราะให้กู้เงินมากเกินไปขณะที่ประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากต่างชาติค่อนข้างมากโดยประเทศไทยเคยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญแต่ช่วงหลังตกไปเป็นของจีนแต่คาดว่าเร็วๆนี้ประชาคมอาเซียนกำลังจะเป็นฐานการผลิตที่ได้รับความสนใจเพราะมีราคาถูกขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยอยู่ในเกณฑ์ดีพอสมควรแต่ต้องไม่แจกจนเจ๊งเหมือนประเทศอื่น

“เงินที่ไหลเข้าจะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ไทยเป็นที่ที่เขาอยากมาลงทุน ภาคการเงินเราสามารถสู้ได้ แต่กฎหมายเรายังมีปัญหาไม่เอื้ออำนวยเพียงพอ ควรปรับกฏหมายเพื่อรองรับต่างชาติให้ได้ดีที่สุด ปรับภาพให้เป็นฮับของอาเซียน ทำอุตสาหกรรมทำธุรกิจให้มีความหลากหลายที่สุด คิดให้ง่ายและมองให้กว้าง

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
**************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น