โดย ชัยพงษ์ สำเนียง
สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่
ชื่อบทความเดิม “จินตภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย (1) : ภายใต้มายาคติเมืองไทยนี้ดี”
1
[บทความนี้ผมได้แรงบันดาลใจอย่างสำคัญจากการเรียนกับอาจารย์สายชล สัตยานุรักษ์ และการอ่านหนังสือของท่าน จึงระลึกคุณท่านมา ณ ที่นี้ แต่การสรุป เข้าใจเป็นความคิด หรือความผิดพลาดนั้น ถือเป็นของผมเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้]
ในอดีตที่ผ่านมา มักมีภาพของสังคมไทยและเมืองไทยว่า เป็นเมืองที่ดี เมืองที่มีสุข เป็นเมืองที่มีแต่ความสงบสุข มีความสามัคคี ผู้คนที่อยู่ในเมืองนี้จะมีแต่ความเอื้ออาทรกัน ไม่เบียดเบียน ทุกคนจะอยู่อย่างสันติ เคารพซึ่งกันและกัน ใช้ระบบอาวุโสในการไขปัญหาต่างๆ ในสังคม ภาพเมืองไทยที่ดีนี้เกิดจากจินตภาพของนักคิด ที่สร้างและวาดภาพให้สังคมไทยเป็นอย่างที่ต้องการ เช่น หลวงวิจิตรวาทการ กรมดำรงราชานุภาพและแบบเรียนต่างๆ ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น (ดูรายละเอียด ใน สายชล สัตยานุรักษ์ 2545; 2546; 2550)
ภาพที่จำลองสังคมไทยออกเป็นสังคมขนาดเล็ก ทุกคนในสังคมรู้จักกันหมดทุกคน มีความเอื้ออาทรต่อกัน เมื่อเกิดปัญหาอะไรก็สามารถแก้ได้ด้วยเมตตาธรรม ความเห็นอกเห็นใจ พูดง่ายๆ คือ การลดทอนเมืองไทย ชาติไทย ให้เป็นแค่ชุมชนขนาดเล็ก ไม่มีปัญหาอะไรมาก หรือพูดว่าแทบไม่มีปัญหาอะไรเลยในสังคมไทย เป็นเมืองที่น่าอยู่ และก็จะสอนคนไทยให้รักชาติ ต้องยอมสละทุกอย่างเพื่อชาติ แม้ชีวิตก็ยอมสละได้เพื่อชาติ
นอกจากนี้ ภาพของสังคมไทยยังเป็นภาพที่เสนอในลักษณะมีความหลากหลาย เช่น มีชาวนา ชาวสวน นายทุน ชาวเขา ฯลฯ แต่เป็นความหลากหลายที่ไม่ซับซ้อน เป็นความหลากหลายที่สงบราบเรียบภายใต้การนำของระบบราชการ หรือข้าราชการ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ และคนของภาครัฐ
เมื่อมีการทอนลดภาพของชาติลงมาอยู่ในระดับหมู่บ้านในระดับชุมชนแล้ว ความสัมพันธ์ที่บอกว่าเมืองไทยนี้ดีก็จะเป็นภาพของความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ เป็นเรื่องบุญคุณ ผ่านสายใยของ “ระบบอุปถัมภ์” เพราะระบบอุปถัมภ์เป็นระบบที่ร้อยรัดความสัมพันธ์ของคนกลุ่มต่างๆ และพันธนาการสังคมไทยไว้อย่างเหนี่ยวแน่น ช่วยเชื่อมร้อยคนในสังคมต่างๆ ซึ่งเป็นระบบอุปถัมภ์มีความไม่เท่าเทียมของการเข้าสู่อำนาจ และทรัพยากร ทำให้คนเข้าถึงทรัพยากรได้ไม่เท่าเทียม ทำให้ต้องยึดโยงกับผู้มีอำนาจเพื่อให้เข้าถึงทรัพยากร และผู้มีอำนาจสามารถช่วยเหลือให้เข้าถึงทรัพยากร
ระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยเป็นระบบที่เป็นทางการเป็นแนวคิดและแนวทางทางการเมืองภายใต้การปกครองในระบบศักดินา ที่แบ่งคนออกเป็น 2 ชนชั้น คือ นาย (ผู้ปกครอง) และไพร่/ทาส (ชนชั้นถูกปกครอง) ระบบนี้ยังมีการอุปถัมภ์ในชนชั้นตัวเองอีกด้วย โดยมีลักษณะเด่น 3 ประการ คือ
1. เป็นระบบที่ไม่มีความเท่าเทียมในการแลกเปลี่ยน
2. เป็นแนวดิ่ง คือ จากผู้อุปถัมภ์ถึงผู้รับอุถัมภ์โดยตรง
3. เป็นระบบที่ไม่ยั่งยืนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลคล ส่งผลให้ความภักดีทางการเมือง (political loyalty) ของคนไทยส่วนมากไปกระจุกตัวอยู่ในหมู่คณะ (อคิน รพีพัฒน์ 2527; 2541; อมรา พงศาพิชญ์ 2539)
อย่างไรก็ดี ระบบอุปถัมภ์ก็มิใช่ระบบที่เอาเปรียบ แต่เป็นระบบที่มีคุณธรรม ผู้ปกครองมิได้เอาเปรียบผู้ใต้อุปถัมภ์ แต่คอยช่วยเหลือเกื้อกูล ทำให้ผู้ใต้อุปถัมภ์สำนึกในบุญคุณ ยังมีการแบ่งงานกันทำและการแบ่งงานก็แบ่งกันอย่างเสมอภาค ผู้เข้าถึงทรัพยากรมากก็จะคอยสนับสนุนผู้ที่ด้อยโอกาสเข้าถึงทรัพยากรได้น้อยกว่าคนอื่น เป็นสังคมของความเอื้ออาทรต่อกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นต้น
นอกจากนี้ เมืองไทยยังมีลักษณะที่ว่า เป็นครอบครัว ซึ่งต้องมีผู้นำ ผู้นำก็ต้องเก่ง เด็ดขาด และนำพาเราสู่ความเจริญก้าวหน้า และจากการมองแบบนี้ทำให้สังคมไทยหรือเมืองไทยที่ดีต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง เด็ดขาด มีเมตตาธรรม เช่น ในอดีตผู้นำในดวงใจก็คือ จอมพลสฤดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้น
ซึ่งภาพที่สร้างว่าเมืองไทยนี้ดีทำให้คนไทยถวิลหาผู้นำ เช่น จอมพลสฤดิ์ ธนะรัชต์ แม้ว่าเบื้องหลังจะดีหรือทุจริตอย่างไร คนไทยก็ไม่สนเท่าไร ส่วนผู้นำที่ทำงานช้า ทำอย่างมีระเบียบ ขั้นตอนมาก อย่าง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมท นายชวน หลีกภัย เป็นผู้นำแบบที่ในภาพสังคมไทยมองว่าไม่กล้าตัดสินใจ เป็นเต่าบ้าง ฤาษีบ้าง ซึ่งปัจจุบันผู้นำอย่าง ทักษิณ ชินวัตน์ (ดูการเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร: การสร้างประชาธิปไตยที่กินได้ ? (ตอนที่ 1) และ การเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร: ประชานิยมกับการเมืองมวลชน (ตอนที่ 2)) ก็คือ ผู้นำที่เด็ดขาด กล้าตัดสินใจ และเอื้ออาทร จึงเป็นผู้นำที่คนไทยถวิลหา และได้รับความนิยมสูง เป็นผู้นำในอุดมคติของสังคมไทย
ที่สำคัญคือ การมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นแก่นแกนของชาติ ที่ไม่อาจทำลาย ทำร้าย หรือแตะต้องได้ ถ้าใครลบหลู่ ดูหมิ่น เกลียดชัง ฯลฯ ต่อแก่นแกนของชาติ ผู้นั้นคือคนทรยศชาติ หรือแม้แต่มีแนวคิดที่แตกต่าง อย่างกรณี “คนเสื้อแดง” ก็คือ คนนอกที่สามารถ “ทำลาย ทำร้าย” และ “ฆ่า” ได้อย่างไม่ผิดบาป
ชาติไทย เมืองที่ดี ต้องสงบสุข ร่มเย็น แก้ไขปัญหาได้ ไม่มีความขัดแย้ง แบ่งแยกฉะนี้แล
2
จินตภาพเรื่องเมืองไทยนี้ดียังให้ภาพ “พวกเขา” “พวกเรา” สร้างพวกเขาเพื่อให้พวกเรารวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้น เช่น สมัย ร. 6 มีการสร้างคนจีนเป็นพวกเขา เป็นพวกที่คอยกดขี่พวกเรา (คนไทย) ฉะนั้น พวกเราต้องรวมตัวกันเพื่อต่อรอง ต่อต้าน และทำลายพวกเขา ที่เข้ามาเบียดเบียนพวกเรา
หรืออีกกรณี คอมมิวนิสต์ในช่วงทศวรรษที่ 2510 – 2520 ก็คือ คนอื่น ที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมใจ และเป็นสัญลักษณ์ของชาติ ที่ไม่อาจแตะต้องได้ ฉะนั้น ผู้ที่คิดเปลี่ยนแปลง ทำลาย หรือ ฯลฯ ก็คือ “พวกเขา” และสามารถ “ฆ่าได้” ดังวลี “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” เพราะคอมมิวนิสต์ไม่ใช่คน การ “ฆ่า” จึงเป็นการฆ่ามาร
หรือกรณีปัญหาชายแดนภาคใต้ที่มีการบอกว่าพวกที่ก่อการร้ายหรือพวกที่ก่อความไม่สงบไม่ใช่พวกเรา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขานั้นเอง เป็นพวกที่ไม่หวังดีกับชาติ เราต้องทำการปราบปราม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องฆ่าพวกนี้ให้หมดเพื่อจะได้ไม่เกิดความระแวง โดยบางครั้ง พวกเขาเท่ากับ “ไม่ใช่คน”
แต่การฆ่าไม่ใช่การแก้ปัญหา เรามีบทเรียนช่วงปราบคอมมิวนิสต์ว่า ฆ่าคนหนึ่งแต่เกิดขึ้นมาแทนเป็นแสน พูดง่ายๆ ก็คือ ฆ่ามากก็มีคนมาแทนมาก ตราบใดที่เรายังไม่มองรากฐานของปัญหาอย่างแท้จริงว่าเกิดจากอะไร อะไรทำให้เกิด และจะทำเงื่อนไขที่ผลักให้เกิดอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้
และจากการแบ่งพวกเขา “พวกเรา” ก็ทำให้เราต้องมาทบทวนเรื่องทีเรามองว่าเมืองไทยนี้ดี ยอมรับความหลากหลาย ซึ่งเรายอมรับจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงมายาคติที่ใช้หลอกเด็กไป วันๆ ที่เสนอข้างต้นว่าสังคมไทย หรือเมืองไทยนี้ดี มิได้ยอมรับความแตกต่างหลากหลายอย่างแท้จริง เช่น กรณีชาวเขา ซึ่งมักถูกมองว่าไม่ใช่ไทย ถูกนำมาล้อเล่นเสมอ ทั้งความไม่รู้ ไม่ทันสมัย ไม่สะอาด มักนำมาเล่าเป็นโจ๊กตลกเสมอ แสดงให้เห็นว่านี่ก็ไม่ใช่พวกเรา เป็นคนอื่น
หรืออีกกรณีก็คือ กรณีของเพศที่ 3 ซึ่งมักถูกตั้งข้อรังเกียจต่างๆ จากสังคมทั้งจากสื่อ ทั้งจากระบบราชการเอง เช่น ห้ามพวกเพศที่ 3 รับราชการเป็นครู แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะมีความรู้มากน้อยแค่ไหน นี้ก็แสดงว่าบนความหลากหลายในภาพเมืองไทยนี้ดี ก็คือ ภาพทับซ้อน ของ “พวกเขา” “พวกเรา” แล้วนี่จะพูดว่า “หลากหลาย” ได้จริงหรืออย่างไร
นอกจากนี้ ภาพเมืองไทยที่ดีจะต้องมีภาพของความมีเอกภาพมีการรวมศูนย์ ซึ่งอดีตรวมศูนย์ที่ตัวของกษัตริย์ว่าเป็นผู้ผลักวิถีทางประวัติศาสตร์ให้เมืองไทยก้าวสู่ความเจริญ สู่ความทันสมัย ถึงยุคที่กษัตริย์หมดบทบาทผู้ผลักวิถีทางประวัติศาสตร์ พวกข้าราชการ พวกนายกฯ พวกรัฐมนตรี นักการเมือง คนชั้นกลาง ชั้นสูง ก็เข้ามาแทนที่ ซึ่งคนเล็กคนน้อยอย่างประชาชนตาดำๆ อย่างพวกเราไม่มีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างเมืองไทยที่ดี ต้องอาศัยเทวดาข้างต้นมาดลบันดาล เมืองไทยจึงเจริญก้าวหน้า ทำให้เป็นปัญหาเรื่อง การมองคนเล็กคนน้อยในสังคม ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามากมาย
ประการต่อมาก็คือ ภาพเมืองไทยที่ดีมักลดทอนปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม หรือพูดง่ายๆ คือปัญหาเชิงโครงสร้างลดเหลือเพียงปัญหาเชิงศีลธรรม คือ ปัญหาที่เกิดจากคนบางคนขาดศีลธรรม ไม่มีคุณธรรม มองปัญหาในเชิงปัจเจก ไม่มองเงื่อนไขเชิงโครงสร้าง เช่น ปัญหาการทิ้งน้ำเน่าลงในแม่น้ำลำคลองของโรงงานบอกว่าเป็นความเห็นแก่ตัวของเจ้าของโรงงาน เป็นความโลภ ตะกละ ไม่มองเชิงเศรษฐกิจ สังคม ว่าเขาทำอย่างนั้นเพราะเหตุใด
การตัดไม้ทำลายป่า เกิดจากความเห็นแก่ตัว ความมักได้ ฯลฯ ซึ่งทำให้ขาดการมองว่าผู้ที่ตัดคือใคร และเงื่อนไขที่ผลักให้เขาทำนั้นเกิดจากอะไร เช่นกรณีนี้นำมาสู่การตีตราว่า ชาวเขาเป็นผู้ตัดไม้ทำลายป่า เพราะต้องการเงินโดยไม่มองมิติอื่นๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือวัฒนธรรม
ฉะนั้นเมืองไทยที่ดีต้องกำหนดตีตราด้วยคำว่า “ศีลธรรม” แต่ว่าศีลธรรมอันนั้นใครเป็นผู้กำหนด และกำหนดด้วยวัตถุประสงค์ใด จินตภาพแบบเมืองไทยที่ดีมักละทิ้ง ลดทอน ไม่มอง ซึ่งบางครั้งกลายเป็นปัญหาต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง นำไปสู่การแก้ปัญหา ทำอย่างไรก็แก้ไม่ได้ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในปัจจุบัน
จินตภาพเรื่องเมืองไทยนี้ดี
คือการสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่ชาติบ้านเมือง การสร้างความเจริญนี้ก็มุ่งพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม สร้างชาติบ้านเมืองให้ทันสมัยทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ โดยกระบวนการพัฒนาบางครั้งก็กดขี่ ดึงทรัพยากรไปจากคนเล็กคนน้อยในสังคมอย่างไร ในจินตภาพ เมืองไทยที่ดีก็ไม่มองว่าเป็นปัญหากับเป็นการที่คนเล็กคนน้อยเหล่านั้นต้องสละ อุทิศ ถวาย เพื่อความเจริญของชาติ
เช่น กรณี การสร้างเขื่อน แม้เกิดผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ในการผลิตไฟฟ้า และการชลประทาน แต่แท้จริงอย่างไรไม่รู้ ถ้าไม่อพยพก็ถูกตีตราว่าไม่ให้ความร่วมมือกับชาติบ้านเมือง หรือกรณีการอพยพคนให้ออกจากป่า แล้วประกาศให้เป็นเขตสงวน เขตอนุรักษ์ เพื่อรักษาป่าไม้ของชาติ แม้คนจะอยู่มานานเท่านานก็ต้องออก เพราะนั่นเป็นการให้ชาติรุ่งเรืองพัฒนา เป็นต้น
จากจินตภาพนี้ทำให้สังคมไทยที่พัฒนา (หรือไม่) ทั้งคนเล็กคนน้อย หรือเราเรียกว่าคนชายขอบบ้าง คนด้อยโอกาสบ้าง ไว้ข้างหลังของการพัฒนาชาติไทย ที่ดีให้รุ่งเรืองศิวิไลซ์ ตามแบบตะวันตก (ดู วาทกรรมอนุรักษ์: การเมืองเรื่องทรัพยากร และการเกษตร เปลี่ยนผู้อยู่ป่า ให้เป็น ผู้บุกรุก)
ประเด็นต่อมาก็คือ การสร้างความทันสมัยมิติเดียว คือ ทันสมัยตามแบบตะวันตก ทันสมัยทางด้านวัตถุ ทันสมัยอย่างที่รัฐต้องการ ใครทำต่างจากแนวทางนี้ถือว่าไม่ทันสมัย ไม่พัฒนา จากประเด็นนี้ทำให้ท้องถิ่นต่างๆ เร่งพัฒนา จนละทิ้งวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตท้องถิ่นของตนเอง เพื่อให้ทันสมัยตามแบบเมือง จนเกิดปัญหาไร้รากทางวัฒนธรรม มุ่งพัฒนาทางด้านวัตถุ ทำให้การพัฒนาทางด้านจิตใจไม่มี นำไปสู่ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการติดยาเสพติด ปัญหาทางวัยรุ่นต่างๆ มากมายในสังคมปัจจุบัน
ประเด็นสุดท้าย ที่ผมอยากนำเสนอในเรื่องจินตภาพเรื่องเมืองไทยที่ดีก็คือ การส่งออกวัฒนธรรมกรุงเทพฯ สู่ภูมิภาคต่างๆ ของชาติ ทั้งภาษา การแต่งกาย กิริยามารยาท ซึ่งนำไปสู่ประเด็นปัญหาคือ ทำให้เด็กละทิ้งวัฒนธรรมท้องถิ่น แถมด้วยการดูถูก ดูแคลน วัฒนธรรมท้องถิ่น มิหนำซ้ำ บางครั้งยังดูแคลนเหยียดหยามพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของตนว่าล้าสมัย เชย ไม่รู้เรื่อง ฯลฯ
จินตภาพเมืองไทยนี้ดีแบบนี้ทำให้สังคมมีทางเลือกในการพัฒนาน้อยลง ต้องพัฒนาตามกระแสหลักเท่านั้น ถ้าต่างจากนั้นถือว่าผิดนอกประเด็น ต้องแก้ไข แท้จริงคืออะไร และใครคือผู้กำหนดถูกผิด เมืองไทยนี้ดีจึงคับแคบ เบียดขับ และกีดกัน
3
ตัวสร้าง ขยายจินตภาพเรื่อง “เมืองไทยนี้ดี”
เมืองไทยนี้ดีจึงผ่านระบบที่หลากหลายและซับซ้อน เพื่อให้เกิดสังคมแนวเดียว ซึ่งเกิดจากระบบดังนี้
1. ระบบการศึกษาที่เป็นระบบรวมศูนย์ ผ่านหลักสูตรทางการศึกษาที่ส่งออก ส่งตรงจากส่วนกลาง จากกระทรวงศึกษาธิการ คนของส่วนกลาง ทั้งหมดเป็นผู้กำหนดหลักสูตร ว่าควรเรียนอะไรและไม่ควรรู้อะไร สอนให้จำ ไม่สอนให้คิดที่แตกต่าง โดยกำหนดแบบเรียนต่างๆ ตั้งแต่ชั้น ป.1 จนถึง ม.6 มักสร้างภาพของเมืองไทยอย่างตัวแบบที่อภิปรายข้างต้น
คนในท้องถิ่นต่างๆ ไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดหลักสูตรหรือไม่มีส่วนในการคิด จินตภาพเมืองไทยจึงมีมิติเดียว และแบบเรียนต่างๆ ก็ได้ผลอย่างยิ่ง เด็กไทย 99.99% เรียนอย่างเดียวกัน รับรู้จินตภาพเมืองไทยอย่างเดียวกัน และเมืองไทยก็ดีอย่างว่า แต่แท้จริงแล้วดีหรือไม่เราก็ไม่รู้ ต้องอภิปรายถกเถียงกันต่อไป
2. สื่อ ซึ่งสื่อส่วนใหญ่ในไทยมาจากส่วนกลาง และบางส่วนสื่ออยู่ในการควบคุมของรัฐ ฉะนั้น “จินตภาพเมืองไทยนี้ดี” จึงเสนอมาอย่างต่อเนื่อง และได้ผลผ่านทางรายการต่างๆ เช่น เพลงก็ใช้ภาษา กรุงเทพฯ ภาษาภาคกลาง การแต่งตัวก็อาศัยวัฒนธรรมของภาคกลาง การนำเสนอปัญหาต่างๆ ก็สรุปอย่างตื้นเขินจนไม่มีทางให้คิดแตกหน่อออกผล จากรายการต่างๆ ก็ล้วนมอมเมาไม่สร้างสรรค์ เช่น รายการละครน้ำเน่าก็เสนอจินตภาพเรื่องชู้สาวเสียจนคนชมไม่คิดอะไรมากไปกว่านี้ และวัฒนธรรมที่เสนอก็วัฒนธรรมกรุงเทพฯ เสียอีก แล้วจะไม่ทำให้เมืองไทยไม่ดีได้อย่างไรกรอกหูทุกวันว่าดี
3. นอกจากนี้ที่เป็นข่าวสารต่างๆ ก็บอกว่าหน่วยงานราชการต่างๆ ออกมาแก้แล้ว ประชาชนไม่ต้องห่วง แล้วอย่างนี้คนเล็กคนน้อยในสังคมจะมีช่องว่างช่องไหนเล่าในการกลายเป็นผู้แสดงเองบ้างแทบไม่มีเลย จะมีก็พวกขูดต้นกล้วยหาหวยบ้าง บ้านนี้งูออกลูก 3 หัวบ้างละ พอได้แสดงก็ถูกตรีตราเสียอีกว่าแบบนี้ไม่พัฒนา ไม่ทันสมัย งมงาย ไม่ควรเชื่อ จินตภาพเมืองไทยนี้ดีก็มีผู้แสดงเมืองไทยไม่ดีเพื่อย้ำว่าเมืองไทยนี้ดีเสียอีก
ตัวแสดงทั้ง 3 ตัวที่ยกตัวอย่างถือว่ามีอิทธิพลอย่างสูงในการสร้างภาพเมืองไทยนี้ดี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอีกหลายปัจจัยที่ช่วยสร้างภาพเมืองไทยนี้ดี เช่น นักวิชาการ งานเขียนต่างๆ ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ เพราะอาจมีอิทธิพลน้อยกว่าตัวอย่างข้างต้น
ข้างต้นผมได้นำเสนอภาพ “เมืองไทยนี้ดี” ตามความเข้าใจของผม แต่ผมคิดว่าภาพนั้นเป็นภาพที่บางครั้งสร้างความแตกแยก และบางครั้งนำมาสู่การแก้ปัญหาและสร้างปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง บางครั้งยัดเหยียดคนบางกลุ่มให้กลายเป็นคนชายขอบ และเมืองไทยก็มิได้ดีเสียทุกอย่าง ดังที่เข้าใจกัน ซึ่งผมอยากให้เสนอมโนทัศน์เรื่องเมืองไทยใหม่ 2 ภาพ คือ “เมืองไทยมีความหลากหลาย” และ “เมืองไทยมีปัญหาที่ต้องแก้ไข” ซึ่งจะอภิปรายในบทความหน้า
ที่มา.Siam Intelligence Unit
สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่
ชื่อบทความเดิม “จินตภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย (1) : ภายใต้มายาคติเมืองไทยนี้ดี”
1
[บทความนี้ผมได้แรงบันดาลใจอย่างสำคัญจากการเรียนกับอาจารย์สายชล สัตยานุรักษ์ และการอ่านหนังสือของท่าน จึงระลึกคุณท่านมา ณ ที่นี้ แต่การสรุป เข้าใจเป็นความคิด หรือความผิดพลาดนั้น ถือเป็นของผมเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้]
ในอดีตที่ผ่านมา มักมีภาพของสังคมไทยและเมืองไทยว่า เป็นเมืองที่ดี เมืองที่มีสุข เป็นเมืองที่มีแต่ความสงบสุข มีความสามัคคี ผู้คนที่อยู่ในเมืองนี้จะมีแต่ความเอื้ออาทรกัน ไม่เบียดเบียน ทุกคนจะอยู่อย่างสันติ เคารพซึ่งกันและกัน ใช้ระบบอาวุโสในการไขปัญหาต่างๆ ในสังคม ภาพเมืองไทยที่ดีนี้เกิดจากจินตภาพของนักคิด ที่สร้างและวาดภาพให้สังคมไทยเป็นอย่างที่ต้องการ เช่น หลวงวิจิตรวาทการ กรมดำรงราชานุภาพและแบบเรียนต่างๆ ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น (ดูรายละเอียด ใน สายชล สัตยานุรักษ์ 2545; 2546; 2550)
ภาพที่จำลองสังคมไทยออกเป็นสังคมขนาดเล็ก ทุกคนในสังคมรู้จักกันหมดทุกคน มีความเอื้ออาทรต่อกัน เมื่อเกิดปัญหาอะไรก็สามารถแก้ได้ด้วยเมตตาธรรม ความเห็นอกเห็นใจ พูดง่ายๆ คือ การลดทอนเมืองไทย ชาติไทย ให้เป็นแค่ชุมชนขนาดเล็ก ไม่มีปัญหาอะไรมาก หรือพูดว่าแทบไม่มีปัญหาอะไรเลยในสังคมไทย เป็นเมืองที่น่าอยู่ และก็จะสอนคนไทยให้รักชาติ ต้องยอมสละทุกอย่างเพื่อชาติ แม้ชีวิตก็ยอมสละได้เพื่อชาติ
นอกจากนี้ ภาพของสังคมไทยยังเป็นภาพที่เสนอในลักษณะมีความหลากหลาย เช่น มีชาวนา ชาวสวน นายทุน ชาวเขา ฯลฯ แต่เป็นความหลากหลายที่ไม่ซับซ้อน เป็นความหลากหลายที่สงบราบเรียบภายใต้การนำของระบบราชการ หรือข้าราชการ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ และคนของภาครัฐ
เมื่อมีการทอนลดภาพของชาติลงมาอยู่ในระดับหมู่บ้านในระดับชุมชนแล้ว ความสัมพันธ์ที่บอกว่าเมืองไทยนี้ดีก็จะเป็นภาพของความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ เป็นเรื่องบุญคุณ ผ่านสายใยของ “ระบบอุปถัมภ์” เพราะระบบอุปถัมภ์เป็นระบบที่ร้อยรัดความสัมพันธ์ของคนกลุ่มต่างๆ และพันธนาการสังคมไทยไว้อย่างเหนี่ยวแน่น ช่วยเชื่อมร้อยคนในสังคมต่างๆ ซึ่งเป็นระบบอุปถัมภ์มีความไม่เท่าเทียมของการเข้าสู่อำนาจ และทรัพยากร ทำให้คนเข้าถึงทรัพยากรได้ไม่เท่าเทียม ทำให้ต้องยึดโยงกับผู้มีอำนาจเพื่อให้เข้าถึงทรัพยากร และผู้มีอำนาจสามารถช่วยเหลือให้เข้าถึงทรัพยากร
ระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยเป็นระบบที่เป็นทางการเป็นแนวคิดและแนวทางทางการเมืองภายใต้การปกครองในระบบศักดินา ที่แบ่งคนออกเป็น 2 ชนชั้น คือ นาย (ผู้ปกครอง) และไพร่/ทาส (ชนชั้นถูกปกครอง) ระบบนี้ยังมีการอุปถัมภ์ในชนชั้นตัวเองอีกด้วย โดยมีลักษณะเด่น 3 ประการ คือ
1. เป็นระบบที่ไม่มีความเท่าเทียมในการแลกเปลี่ยน
2. เป็นแนวดิ่ง คือ จากผู้อุปถัมภ์ถึงผู้รับอุถัมภ์โดยตรง
3. เป็นระบบที่ไม่ยั่งยืนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลคล ส่งผลให้ความภักดีทางการเมือง (political loyalty) ของคนไทยส่วนมากไปกระจุกตัวอยู่ในหมู่คณะ (อคิน รพีพัฒน์ 2527; 2541; อมรา พงศาพิชญ์ 2539)
อย่างไรก็ดี ระบบอุปถัมภ์ก็มิใช่ระบบที่เอาเปรียบ แต่เป็นระบบที่มีคุณธรรม ผู้ปกครองมิได้เอาเปรียบผู้ใต้อุปถัมภ์ แต่คอยช่วยเหลือเกื้อกูล ทำให้ผู้ใต้อุปถัมภ์สำนึกในบุญคุณ ยังมีการแบ่งงานกันทำและการแบ่งงานก็แบ่งกันอย่างเสมอภาค ผู้เข้าถึงทรัพยากรมากก็จะคอยสนับสนุนผู้ที่ด้อยโอกาสเข้าถึงทรัพยากรได้น้อยกว่าคนอื่น เป็นสังคมของความเอื้ออาทรต่อกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นต้น
นอกจากนี้ เมืองไทยยังมีลักษณะที่ว่า เป็นครอบครัว ซึ่งต้องมีผู้นำ ผู้นำก็ต้องเก่ง เด็ดขาด และนำพาเราสู่ความเจริญก้าวหน้า และจากการมองแบบนี้ทำให้สังคมไทยหรือเมืองไทยที่ดีต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง เด็ดขาด มีเมตตาธรรม เช่น ในอดีตผู้นำในดวงใจก็คือ จอมพลสฤดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้น
ซึ่งภาพที่สร้างว่าเมืองไทยนี้ดีทำให้คนไทยถวิลหาผู้นำ เช่น จอมพลสฤดิ์ ธนะรัชต์ แม้ว่าเบื้องหลังจะดีหรือทุจริตอย่างไร คนไทยก็ไม่สนเท่าไร ส่วนผู้นำที่ทำงานช้า ทำอย่างมีระเบียบ ขั้นตอนมาก อย่าง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมท นายชวน หลีกภัย เป็นผู้นำแบบที่ในภาพสังคมไทยมองว่าไม่กล้าตัดสินใจ เป็นเต่าบ้าง ฤาษีบ้าง ซึ่งปัจจุบันผู้นำอย่าง ทักษิณ ชินวัตน์ (ดูการเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร: การสร้างประชาธิปไตยที่กินได้ ? (ตอนที่ 1) และ การเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร: ประชานิยมกับการเมืองมวลชน (ตอนที่ 2)) ก็คือ ผู้นำที่เด็ดขาด กล้าตัดสินใจ และเอื้ออาทร จึงเป็นผู้นำที่คนไทยถวิลหา และได้รับความนิยมสูง เป็นผู้นำในอุดมคติของสังคมไทย
ที่สำคัญคือ การมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นแก่นแกนของชาติ ที่ไม่อาจทำลาย ทำร้าย หรือแตะต้องได้ ถ้าใครลบหลู่ ดูหมิ่น เกลียดชัง ฯลฯ ต่อแก่นแกนของชาติ ผู้นั้นคือคนทรยศชาติ หรือแม้แต่มีแนวคิดที่แตกต่าง อย่างกรณี “คนเสื้อแดง” ก็คือ คนนอกที่สามารถ “ทำลาย ทำร้าย” และ “ฆ่า” ได้อย่างไม่ผิดบาป
ชาติไทย เมืองที่ดี ต้องสงบสุข ร่มเย็น แก้ไขปัญหาได้ ไม่มีความขัดแย้ง แบ่งแยกฉะนี้แล
2
จินตภาพเรื่องเมืองไทยนี้ดียังให้ภาพ “พวกเขา” “พวกเรา” สร้างพวกเขาเพื่อให้พวกเรารวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้น เช่น สมัย ร. 6 มีการสร้างคนจีนเป็นพวกเขา เป็นพวกที่คอยกดขี่พวกเรา (คนไทย) ฉะนั้น พวกเราต้องรวมตัวกันเพื่อต่อรอง ต่อต้าน และทำลายพวกเขา ที่เข้ามาเบียดเบียนพวกเรา
หรืออีกกรณี คอมมิวนิสต์ในช่วงทศวรรษที่ 2510 – 2520 ก็คือ คนอื่น ที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมใจ และเป็นสัญลักษณ์ของชาติ ที่ไม่อาจแตะต้องได้ ฉะนั้น ผู้ที่คิดเปลี่ยนแปลง ทำลาย หรือ ฯลฯ ก็คือ “พวกเขา” และสามารถ “ฆ่าได้” ดังวลี “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” เพราะคอมมิวนิสต์ไม่ใช่คน การ “ฆ่า” จึงเป็นการฆ่ามาร
หรือกรณีปัญหาชายแดนภาคใต้ที่มีการบอกว่าพวกที่ก่อการร้ายหรือพวกที่ก่อความไม่สงบไม่ใช่พวกเรา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขานั้นเอง เป็นพวกที่ไม่หวังดีกับชาติ เราต้องทำการปราบปราม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องฆ่าพวกนี้ให้หมดเพื่อจะได้ไม่เกิดความระแวง โดยบางครั้ง พวกเขาเท่ากับ “ไม่ใช่คน”
แต่การฆ่าไม่ใช่การแก้ปัญหา เรามีบทเรียนช่วงปราบคอมมิวนิสต์ว่า ฆ่าคนหนึ่งแต่เกิดขึ้นมาแทนเป็นแสน พูดง่ายๆ ก็คือ ฆ่ามากก็มีคนมาแทนมาก ตราบใดที่เรายังไม่มองรากฐานของปัญหาอย่างแท้จริงว่าเกิดจากอะไร อะไรทำให้เกิด และจะทำเงื่อนไขที่ผลักให้เกิดอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้
และจากการแบ่งพวกเขา “พวกเรา” ก็ทำให้เราต้องมาทบทวนเรื่องทีเรามองว่าเมืองไทยนี้ดี ยอมรับความหลากหลาย ซึ่งเรายอมรับจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงมายาคติที่ใช้หลอกเด็กไป วันๆ ที่เสนอข้างต้นว่าสังคมไทย หรือเมืองไทยนี้ดี มิได้ยอมรับความแตกต่างหลากหลายอย่างแท้จริง เช่น กรณีชาวเขา ซึ่งมักถูกมองว่าไม่ใช่ไทย ถูกนำมาล้อเล่นเสมอ ทั้งความไม่รู้ ไม่ทันสมัย ไม่สะอาด มักนำมาเล่าเป็นโจ๊กตลกเสมอ แสดงให้เห็นว่านี่ก็ไม่ใช่พวกเรา เป็นคนอื่น
หรืออีกกรณีก็คือ กรณีของเพศที่ 3 ซึ่งมักถูกตั้งข้อรังเกียจต่างๆ จากสังคมทั้งจากสื่อ ทั้งจากระบบราชการเอง เช่น ห้ามพวกเพศที่ 3 รับราชการเป็นครู แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะมีความรู้มากน้อยแค่ไหน นี้ก็แสดงว่าบนความหลากหลายในภาพเมืองไทยนี้ดี ก็คือ ภาพทับซ้อน ของ “พวกเขา” “พวกเรา” แล้วนี่จะพูดว่า “หลากหลาย” ได้จริงหรืออย่างไร
นอกจากนี้ ภาพเมืองไทยที่ดีจะต้องมีภาพของความมีเอกภาพมีการรวมศูนย์ ซึ่งอดีตรวมศูนย์ที่ตัวของกษัตริย์ว่าเป็นผู้ผลักวิถีทางประวัติศาสตร์ให้เมืองไทยก้าวสู่ความเจริญ สู่ความทันสมัย ถึงยุคที่กษัตริย์หมดบทบาทผู้ผลักวิถีทางประวัติศาสตร์ พวกข้าราชการ พวกนายกฯ พวกรัฐมนตรี นักการเมือง คนชั้นกลาง ชั้นสูง ก็เข้ามาแทนที่ ซึ่งคนเล็กคนน้อยอย่างประชาชนตาดำๆ อย่างพวกเราไม่มีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างเมืองไทยที่ดี ต้องอาศัยเทวดาข้างต้นมาดลบันดาล เมืองไทยจึงเจริญก้าวหน้า ทำให้เป็นปัญหาเรื่อง การมองคนเล็กคนน้อยในสังคม ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามากมาย
ประการต่อมาก็คือ ภาพเมืองไทยที่ดีมักลดทอนปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม หรือพูดง่ายๆ คือปัญหาเชิงโครงสร้างลดเหลือเพียงปัญหาเชิงศีลธรรม คือ ปัญหาที่เกิดจากคนบางคนขาดศีลธรรม ไม่มีคุณธรรม มองปัญหาในเชิงปัจเจก ไม่มองเงื่อนไขเชิงโครงสร้าง เช่น ปัญหาการทิ้งน้ำเน่าลงในแม่น้ำลำคลองของโรงงานบอกว่าเป็นความเห็นแก่ตัวของเจ้าของโรงงาน เป็นความโลภ ตะกละ ไม่มองเชิงเศรษฐกิจ สังคม ว่าเขาทำอย่างนั้นเพราะเหตุใด
การตัดไม้ทำลายป่า เกิดจากความเห็นแก่ตัว ความมักได้ ฯลฯ ซึ่งทำให้ขาดการมองว่าผู้ที่ตัดคือใคร และเงื่อนไขที่ผลักให้เขาทำนั้นเกิดจากอะไร เช่นกรณีนี้นำมาสู่การตีตราว่า ชาวเขาเป็นผู้ตัดไม้ทำลายป่า เพราะต้องการเงินโดยไม่มองมิติอื่นๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือวัฒนธรรม
ฉะนั้นเมืองไทยที่ดีต้องกำหนดตีตราด้วยคำว่า “ศีลธรรม” แต่ว่าศีลธรรมอันนั้นใครเป็นผู้กำหนด และกำหนดด้วยวัตถุประสงค์ใด จินตภาพแบบเมืองไทยที่ดีมักละทิ้ง ลดทอน ไม่มอง ซึ่งบางครั้งกลายเป็นปัญหาต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง นำไปสู่การแก้ปัญหา ทำอย่างไรก็แก้ไม่ได้ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในปัจจุบัน
จินตภาพเรื่องเมืองไทยนี้ดี
คือการสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่ชาติบ้านเมือง การสร้างความเจริญนี้ก็มุ่งพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม สร้างชาติบ้านเมืองให้ทันสมัยทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ โดยกระบวนการพัฒนาบางครั้งก็กดขี่ ดึงทรัพยากรไปจากคนเล็กคนน้อยในสังคมอย่างไร ในจินตภาพ เมืองไทยที่ดีก็ไม่มองว่าเป็นปัญหากับเป็นการที่คนเล็กคนน้อยเหล่านั้นต้องสละ อุทิศ ถวาย เพื่อความเจริญของชาติ
เช่น กรณี การสร้างเขื่อน แม้เกิดผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ในการผลิตไฟฟ้า และการชลประทาน แต่แท้จริงอย่างไรไม่รู้ ถ้าไม่อพยพก็ถูกตีตราว่าไม่ให้ความร่วมมือกับชาติบ้านเมือง หรือกรณีการอพยพคนให้ออกจากป่า แล้วประกาศให้เป็นเขตสงวน เขตอนุรักษ์ เพื่อรักษาป่าไม้ของชาติ แม้คนจะอยู่มานานเท่านานก็ต้องออก เพราะนั่นเป็นการให้ชาติรุ่งเรืองพัฒนา เป็นต้น
จากจินตภาพนี้ทำให้สังคมไทยที่พัฒนา (หรือไม่) ทั้งคนเล็กคนน้อย หรือเราเรียกว่าคนชายขอบบ้าง คนด้อยโอกาสบ้าง ไว้ข้างหลังของการพัฒนาชาติไทย ที่ดีให้รุ่งเรืองศิวิไลซ์ ตามแบบตะวันตก (ดู วาทกรรมอนุรักษ์: การเมืองเรื่องทรัพยากร และการเกษตร เปลี่ยนผู้อยู่ป่า ให้เป็น ผู้บุกรุก)
ประเด็นต่อมาก็คือ การสร้างความทันสมัยมิติเดียว คือ ทันสมัยตามแบบตะวันตก ทันสมัยทางด้านวัตถุ ทันสมัยอย่างที่รัฐต้องการ ใครทำต่างจากแนวทางนี้ถือว่าไม่ทันสมัย ไม่พัฒนา จากประเด็นนี้ทำให้ท้องถิ่นต่างๆ เร่งพัฒนา จนละทิ้งวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตท้องถิ่นของตนเอง เพื่อให้ทันสมัยตามแบบเมือง จนเกิดปัญหาไร้รากทางวัฒนธรรม มุ่งพัฒนาทางด้านวัตถุ ทำให้การพัฒนาทางด้านจิตใจไม่มี นำไปสู่ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการติดยาเสพติด ปัญหาทางวัยรุ่นต่างๆ มากมายในสังคมปัจจุบัน
ประเด็นสุดท้าย ที่ผมอยากนำเสนอในเรื่องจินตภาพเรื่องเมืองไทยที่ดีก็คือ การส่งออกวัฒนธรรมกรุงเทพฯ สู่ภูมิภาคต่างๆ ของชาติ ทั้งภาษา การแต่งกาย กิริยามารยาท ซึ่งนำไปสู่ประเด็นปัญหาคือ ทำให้เด็กละทิ้งวัฒนธรรมท้องถิ่น แถมด้วยการดูถูก ดูแคลน วัฒนธรรมท้องถิ่น มิหนำซ้ำ บางครั้งยังดูแคลนเหยียดหยามพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของตนว่าล้าสมัย เชย ไม่รู้เรื่อง ฯลฯ
จินตภาพเมืองไทยนี้ดีแบบนี้ทำให้สังคมมีทางเลือกในการพัฒนาน้อยลง ต้องพัฒนาตามกระแสหลักเท่านั้น ถ้าต่างจากนั้นถือว่าผิดนอกประเด็น ต้องแก้ไข แท้จริงคืออะไร และใครคือผู้กำหนดถูกผิด เมืองไทยนี้ดีจึงคับแคบ เบียดขับ และกีดกัน
3
ตัวสร้าง ขยายจินตภาพเรื่อง “เมืองไทยนี้ดี”
เมืองไทยนี้ดีจึงผ่านระบบที่หลากหลายและซับซ้อน เพื่อให้เกิดสังคมแนวเดียว ซึ่งเกิดจากระบบดังนี้
1. ระบบการศึกษาที่เป็นระบบรวมศูนย์ ผ่านหลักสูตรทางการศึกษาที่ส่งออก ส่งตรงจากส่วนกลาง จากกระทรวงศึกษาธิการ คนของส่วนกลาง ทั้งหมดเป็นผู้กำหนดหลักสูตร ว่าควรเรียนอะไรและไม่ควรรู้อะไร สอนให้จำ ไม่สอนให้คิดที่แตกต่าง โดยกำหนดแบบเรียนต่างๆ ตั้งแต่ชั้น ป.1 จนถึง ม.6 มักสร้างภาพของเมืองไทยอย่างตัวแบบที่อภิปรายข้างต้น
คนในท้องถิ่นต่างๆ ไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดหลักสูตรหรือไม่มีส่วนในการคิด จินตภาพเมืองไทยจึงมีมิติเดียว และแบบเรียนต่างๆ ก็ได้ผลอย่างยิ่ง เด็กไทย 99.99% เรียนอย่างเดียวกัน รับรู้จินตภาพเมืองไทยอย่างเดียวกัน และเมืองไทยก็ดีอย่างว่า แต่แท้จริงแล้วดีหรือไม่เราก็ไม่รู้ ต้องอภิปรายถกเถียงกันต่อไป
2. สื่อ ซึ่งสื่อส่วนใหญ่ในไทยมาจากส่วนกลาง และบางส่วนสื่ออยู่ในการควบคุมของรัฐ ฉะนั้น “จินตภาพเมืองไทยนี้ดี” จึงเสนอมาอย่างต่อเนื่อง และได้ผลผ่านทางรายการต่างๆ เช่น เพลงก็ใช้ภาษา กรุงเทพฯ ภาษาภาคกลาง การแต่งตัวก็อาศัยวัฒนธรรมของภาคกลาง การนำเสนอปัญหาต่างๆ ก็สรุปอย่างตื้นเขินจนไม่มีทางให้คิดแตกหน่อออกผล จากรายการต่างๆ ก็ล้วนมอมเมาไม่สร้างสรรค์ เช่น รายการละครน้ำเน่าก็เสนอจินตภาพเรื่องชู้สาวเสียจนคนชมไม่คิดอะไรมากไปกว่านี้ และวัฒนธรรมที่เสนอก็วัฒนธรรมกรุงเทพฯ เสียอีก แล้วจะไม่ทำให้เมืองไทยไม่ดีได้อย่างไรกรอกหูทุกวันว่าดี
3. นอกจากนี้ที่เป็นข่าวสารต่างๆ ก็บอกว่าหน่วยงานราชการต่างๆ ออกมาแก้แล้ว ประชาชนไม่ต้องห่วง แล้วอย่างนี้คนเล็กคนน้อยในสังคมจะมีช่องว่างช่องไหนเล่าในการกลายเป็นผู้แสดงเองบ้างแทบไม่มีเลย จะมีก็พวกขูดต้นกล้วยหาหวยบ้าง บ้านนี้งูออกลูก 3 หัวบ้างละ พอได้แสดงก็ถูกตรีตราเสียอีกว่าแบบนี้ไม่พัฒนา ไม่ทันสมัย งมงาย ไม่ควรเชื่อ จินตภาพเมืองไทยนี้ดีก็มีผู้แสดงเมืองไทยไม่ดีเพื่อย้ำว่าเมืองไทยนี้ดีเสียอีก
ตัวแสดงทั้ง 3 ตัวที่ยกตัวอย่างถือว่ามีอิทธิพลอย่างสูงในการสร้างภาพเมืองไทยนี้ดี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอีกหลายปัจจัยที่ช่วยสร้างภาพเมืองไทยนี้ดี เช่น นักวิชาการ งานเขียนต่างๆ ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ เพราะอาจมีอิทธิพลน้อยกว่าตัวอย่างข้างต้น
ข้างต้นผมได้นำเสนอภาพ “เมืองไทยนี้ดี” ตามความเข้าใจของผม แต่ผมคิดว่าภาพนั้นเป็นภาพที่บางครั้งสร้างความแตกแยก และบางครั้งนำมาสู่การแก้ปัญหาและสร้างปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง บางครั้งยัดเหยียดคนบางกลุ่มให้กลายเป็นคนชายขอบ และเมืองไทยก็มิได้ดีเสียทุกอย่าง ดังที่เข้าใจกัน ซึ่งผมอยากให้เสนอมโนทัศน์เรื่องเมืองไทยใหม่ 2 ภาพ คือ “เมืองไทยมีความหลากหลาย” และ “เมืองไทยมีปัญหาที่ต้องแก้ไข” ซึ่งจะอภิปรายในบทความหน้า
ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น