ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ในวันที่ 28-29 มี.ค.นี้ ว่า การดูแลการประชุมจะเป็นไปตามปกติ เชื่อว่าบรรยากาศน่าจะดีเพราะทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ แม้ส.ส.รัฐบาลเตรียมอภิปรายประเด็นพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องโครงการไทยเข้มแข็งและโครงการมิยาซาว่าก็ตาม แต่ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับการประชุม เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา หากทุกฝ่ายยึดข้อบังคับ และคัดค้านด้วยเหตุผล อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ และไม่น่าจะมีปัญหาเรื่ององค์ประชุมไม่ครบ เหมือนที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากเป็นญัตติสำคัญเช่นเดียวกับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่จะมีขึ้นในวันที่ 1-2 เม.ย.นี้ และคงไม่เกี่ยวกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ สไกป์ผ่านที่ประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทยกำชับให้ร่วมประชุมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาองค์ประชุมไม่ครบ
แต่เรื่องนี้เป็นหน้าที่ที่ส.ส.ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบอยู่แล้ว ที่ผ่านมาวาระที่ไม่สำคัญอาจมีปัญหาบ้าง แต่ถ้าเทียบกับสภาฯ สมัยที่แล้วก็ถือว่าเป็นหนังคนละเรื่อง ทั้งนี้สำหรับรายละเอียดของ ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น ตนยังไม่ได้ดู แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าออกเป็นพระราชกำหนด ส่วนที่ไม่ได้ใช้ระบบงบประมาณปกติแต่ใช้การออกกฎหมายกู้เงินแทนเป็นการหลีกเลี่ยงระบบตรวจสอบหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องชี้แจงเอง และฝ่ายที่เห็นต่างก็ต้องฟังเหตุผลด้วย
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราว่า ไม่น่าจะทำให้เกิดบรรยากาศที่ทำให้เดือนเม.ย.เป็นเดือนเดือดทางการเมือง เพราะสาระที่แก้ไม่มีอะไรมาก ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 190 หรือมาตรา 237 แต่ที่อาจจะมีการมองต่างมุมก็คือมาตรา 68 และเรื่องของ ส.ว. และการลงชื่อเพื่อยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราครั้งนี้ก็ไม่มีใครถูกหลอกให้ร่วมลงชื่อ เพราะทุกคนมีวุฒิภาวะและมีความคิดเป็นของตัวเอง การยื่นแก้ไขมาตรา 68 ก็ไม่ใช่การยัดไส้เข้ามาแต่เป็นสิทธิของสมาชิก และเป็นปัญหาเล็กน้อยไม่ใช่สาระสำคัญที่จะทำให้เกิดปัญหาการเดินขบวน
เพราะประเด็นนี้ตนไม่คิดว่าเป็นการตัดสิทธิประชาชนเป็นเพียงขั้นตอนการตรวจสอบเท่านั้น คือแทนที่จะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งรับเรื่องเอง ตรวจสอบเอง ชงเอง กินเอง คงไม่ได้ ต้องมีการคานอำนาจ และการปิดช่องทางไม่ให้ประชาชนยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้นก็ไม่ใช่การตัดสิทธิของประชาชน เนื่องจากยังมีสิทธิยื่นต่ออัยการสูงสุดได้ ซึ่งเป็นการถ่วงดุลดีกว่าจะให้องค์กรเดียวไปรับผิดชอบทุกเรื่อง จึงไม่ใช่การปูทางที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ค้างการพิจารณาวาระ3 ในรัฐสภา เพราะเรื่องนี้เป็นแนวทางที่เขาจะทำอยู่แล้ว ดังนั้นอะไรที่เป็นเรื่องถูกต้องตามรัฐธรรมนูญก็สามารถทำได้ ถ้าไม่ถูกต้องก็ทำไม่ได้
เมื่อถามว่าหากเป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 50 หากประชาชนพบปัญหาการล้มล้างรัฐธรรมนูญหรือล้มการปกครองสามารถที่จะยื่นได้สองช่องทางคือ อัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อแก้ไขแล้วจะทำให้เหลือเพียงช่องทางเดียวคือยื่นต่ออัยการสูงสุดจะถือเป็นการมัดมือชกประชาชนหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องมีตำรวจ อัยการ ให้มีศาลแค่องค์กรเดียวดีหรือไม่ ก็คงทำไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นการคานอำนาจ
ที่มา.ข่าวสด
///////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น