แรงขึ้นไปทุกขณะ! สำหรับ “จุดปะทะทางความคิด” ที่ติดอยู่ในเงื่อนไข “นิรโทษกรรม” เพื่อลบล้างความผิดทาง การเมือง โดยเฉพาะประชาชนอีกนับ ร้อยที่ตกเป็น “เหยื่อสถานการณ์” แห่ง วิกฤติความขัดแย้งตลอดหลายปีมานี้
โดยประเด็น “นิรโทษกรรม” ได้ถูก “แขวนค้าง” เอาไว้พักใหญ่ เหตุเพราะรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังโดนล้อมกรอบจาก “ฝ่ายตรงข้าม” ทั้งในมุมของ “พรรคประชาธิปัตย์” และเครือข่ายมวลชนนอกสภา ที่ต่างยกเอาประเด็นสาย ล่อฟ้านี้...ขึ้นมา “จุดกระแส” โค่นล้มรัฐบาล
ในจุดที่สถานการณ์ยังไม่สุกงอม... “รัฐบาล” ก็มีความจำเป็นยิ่งยวด ที่จะ “ยื้อ” ปมร้อนนิรโทษกรรม...ไปจนใกล้ครบเทอม เพื่อมิให้ “รัฐบาล” ต้องเล่นเกมเสี่ยงจนเกินไป แต่แล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป เมื่อกำลังเผชิญแรงเสียดทานจาก “มวลชนเสื้อแดง” ที่ออกมาเขย่าแรงๆ โถมเข้าใส่รัฐบาล และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เพราะรับไม่ไหวกับชะตากรรม “เพื่อนร่วมอุดมการณ์” ที่ถูกขังลืมมานานเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ก็ไร้วี่แววที่จะได้รับ “อิสรภาพ”
ทำให้จากเดิมที่ “รัฐบาล” คิดจะเข้า “เกียร์ว่าง” หรือขยับ “ถอยหลัง” เวลานี้ก็คงไม่ง่ายแล้ว นอกเสียจากรัฐบาลคิด “กดปุ่มทำลายตัวเอง”
ปฏิกิริยาในตอนนี้จึงเริ่มแรง และ “แข็งกร้าว” ไม่ใช่แค่ต้อง “เดินหน้า” แต่รัฐบาลถูกบี้ให้ “เหยียบคันเร่ง” ซึ่งจะว่าไปแล้วทุกฝ่ายเริ่มตอบรับ และเล็งเห็นว่าจะเป็น “ทางออก” ที่ดีที่สุด
ในความคืบหน้าล่าสุดที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ระบุเองว่า ได้ส่งร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน ตาม ข้อเสนอของ “อุกฤษ มงคลนาวิน” ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้ว... ขณะเดียวกัน “ผู้นำหญิง” ก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ในเรื่องที่ประธาน คอ.นธ. เสนอ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพหลักในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่สภา
ขณะที่ “ประธาน คอ.นธ.” ยังได้กางแผนสำหรับเดินหน้า “ร่างนิรโทษกรรม” ที่หากทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอน ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.จนไปถึงการพิจารณาจาก “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ที่สุดแล้วมีความเป็นไปได้ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้จะ ประกาศใช้ได้ในวันที่ 19 เมษายนปีนี้
หลังการจุดพลุของ “อุกฤษ” ว่าด้วยข้อเสนอนิรโทษกรรม ดูจะได้รับการขานรับจาก “น.พ.เหวง โตจิราการ” แกนนำเสื้อแดง และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โดย “หมอเหวง” เชื่อว่านี่คือหน ทางเดียวที่จะสามารถ “ทำได้ทันที” ภายหลังการยื่นข้อเรียกร้องจาก ทั้ง คอ.นธ. ไปจนถึงแดง นปช.และแดงอิสระอย่างกลุ่ม 29 มกราฯ ซึ่งมีความชัดเจนว่าหนุนแนว คิดของ “กลุ่มนิติราษฎร์”
เล็งบีบกระชับพื้นที่ “รัฐบาล” ให้เร่งทำคลอดกฎหมายนิรโทษกรรมโดยเร็ว
เช่นเดียวกับ จังหวะก้าวของ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.กระทรวงพาณิชย์ ที่เป็นตัวแทนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้แสดง จุดยืน และเสนอแนวคิดในการผลักดันร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมต่อนายกฯ โดยที่ “ยิ่งลักษณ์” ก็โยนเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบไปแล้วเช่นกัน
ทว่าเมื่อประเมินจากทิศทางข่าวทั้ง หมด สรุปได้พอสังเขปว่า เป้าหมายสุด ท้าย...ป้ายหน้าของรัฐบาล มีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะเดินหน้าในแนวทางของ “คอ.นธ.” เพราะคงจะดูแล้ว มีความเสี่ยงน้อยกว่าการผลักดันร่างพระราชกำหนดตามข้อเสนอของ “คนเสื้อแดง” ที่จะทำให้รัฐบาลต้องเล่นเกมเร็ว และมีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์อันล่อแหลมของรัฐบาลเอง
ว่าไปตามขั้นตอนแบบค่อยเป็นค่อย ไป ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลต้องลดแรงปะทะจากรอบด้าน และทำให้ทุกฝ่ายยอม รับในประเด็นกฎหมายที่มีความเปราะบาง ทางการเมือง โดยเฉพาะการร่างกฎหมาย เพื่อ “นิรโทษกรรม” ให้แก่ผู้ชุมนุมทางการเมือง ที่ต้องมองในแง่ความเป็นธรรมกับผู้ชุมนุมทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ไม่ให้เกิดความรู้สึก “ต่อต้าน” ก่อนจะนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในสภา
ยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจาก “เจริญ จรรย์โกมล” รองประธานสภา ผู้แทนราษฎร ลงมาเล่นบทแอ็กชั่นแทน “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประมุขสภาล่าง ที่ลอยตัวเหนือปัญหา...ปัดไม่ขอยุ่งเกี่ยว เพราะบารมีไม่ถึง จึงต้องเป็นหน้าที่ของ “เบอร์ 2” ซึ่งได้ส่งเทียบเชิญ “ผสานรอยร้าว” ระหว่างแกนนำ นปช. และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โดยที่แกนนำทั้ง 2 ฝ่าย แม้จะยืนอยู่คนละมุม แต่ก็ตอบรับและร่วมหารือในมิติที่ “เปราะบาง” และ “สุ่มเสี่ยง” ต่อความขัดแย้งรอบใหม่
โจทย์หลักที่ว่านี้คือ หากรัฐบาลจะโยนหินถามทางในปม “นิรโทษกรรม” ก็มีคำถามทอดยอดไปว่า “มวลชน” ทั้ง 2 ฝ่ายจะเห็นด้วย หรือมีจุดยืนอย่างไรแน่...?!!
เช่นที่ว่านี้ หลังการพบปะระหว่าง “แกนนำเหลือง-แดง”...ฝ่ายหนึ่งนำโดย “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ และอีกด้านหนึ่งเป็น “ก่อแก้ว พิกุลทอง” และ “วรชัย เหมะ” ซึ่งเป็นฝ่าย นปช.แต่ก็ยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกัน อยู่ในที
ด้าน “ปานเทพ” ระบุชัด..มาในนามส่วนตัว คุยเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ได้เสนอให้ยึดแนวของภรรยา พล.อ. ร่มเกล้า ธุวธรรม แต่ทาง นปช.ก็ยืนยันว่า มาตกลงกันเรื่องออกกฎหมายนิรโทษกรรม ขณะที่ “ก่อแก้ว” ก็อ้างถึงโฆษกพันธมิตรฯ ที่เสนอให้ออกร่างกฎหมาย 2 ฉบับ โดยเป็นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้แก่ประชาชน ที่มีการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และร่าง พ.ร.บ.เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และความขัดแย้งทางการเมือง พร้อมกำหนดไปถึงผู้ยุยงปลุกปั่นการชุมนุม ส่วน รายละเอียดยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะเป็นแกนนำระดับใด ซึ่งจะให้กรรมการกลางเป็นผู้พิจารณาอีกครั้ง
ชิงจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม..ในขณะที่สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.กำลังเดินไปสู่ “โค้งสุดท้าย” โดยข้าง “พรรคเพื่อไทย” ก็ฉกฉวยโอกาสได้เป็นอย่างดี พร้อมเลือกที่จะเล่นเกมโดดเดี่ยว “พรรคประชาธิปัตย์” ด้วยการขานรับเงื่อนไข “นิรโทษกรรม” ซึ่งเป็นเรื่องที่ “ขั้วประชาธิปัตย์” ไม่อาจยอมรับได้ โดยเฉพาะการกระตุกหนวดเสือ... ปล่อย ข่าว “แฝง” วาระนิรโทษกรรมอำพราง เพื่อ “กดดัน” ให้ค่ายประชาธิปัตย์ซึ่งเป็น “คู่แข่ง” ในสนาม กทม.ต้องแสดงท่าที “แข็ง กร้าว” และคัดค้านแนวทางที่ “คนเสื้อแดง” ตลอดจน “รัฐบาล” ชูธงเอาไว้เป็นเส้น ทางที่มุ่ง “สลาย” ความขัดแย้งและแตก แยกในสังคม เพื่อเดินหน้าสู่ “ปรองดอง” อย่างแท้จริง
แน่นอนเมื่อรัฐบาลเลือกที่จะลั่น “กระสุนนิรโทษกรรม” ออกมาในจังหวะที่การเมืองกำลัง “เข้าทาง” ฝ่ายรัฐบาลเช่นนี้แล้ว สิ่งที่ “ประชาธิปัตย์” และ “ผู้สมัครเบอร์ 16” อย่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะต้องเผชิญนับจากนี้ไป...อาจเป็นข้อหาฉกรรจ์ “ขัดขวางปรองดอง” ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ...!!! ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อรู้ตัวว่าก้าวพลาด ไปตามหมากของ “เพื่อไทย” ทางหัวหน้าค่ายสะตอสามัคคี ก็ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่น ใหม่ ลดโทนในการตอบโต้ประเด็นร้อนให้ดูเบาบางลง จะมีบ้างที่ค้านไปตามลีลา “ฝ่ายค้าน” แต่ก็ไม่ได้ตั้งธงแบบหัวชนฝาเหมือนแต่ทีแรก
ล่าสุดก็เป็น “อภิสิทธิ์” ที่แดกดันแนวทางของ “อุกฤษ มงคลนาวิน” ที่เล็งเดินหน้า “กฎหมายนิรโทษกรรม” ให้จบแบบ 3 วาระรวด ซึ่งคงเป็นเรื่องยาก เพราะ ต้องดูไปถึง “สูตรสำเร็จ” ทั้งหมดจะครอบคลุมถึงอะไรบ้าง...ดักทาง “ปูกรรเชียง” เลิกคิดนิรโทษกรรมให้ “พี่ชาย”
แม้ “อภิสิทธิ์” และ “ประชาธิปัตย์” จะยังไม่เปิดเกมแตกหัก สไตล์ดุดันเหมือน ที่เคยปล่อย “ลูกแถว” ออกมาป่วนสภาฯ จนเสียภาพลักษณ์ไปทั้งข้องเหมือนเช่นคิวต้าน พ.ร.บ.ปรองดอง นั่นอาจเป็นเพราะ “ติดเงื่อนไข” ตามเนื้อหาร่างนิรโทษกรรมฯ ในข้อเสนอ “คอ.นธ.” ที่รองรับโทษทางอาญาและโทษทางแพ่ง แม้ขอบเขตของการนิรโทษกรรมจะไม่รวมผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตามกฎหมายของการรักษาความสงบหรือเหตุการณ์ “ล้างผิด” เฉพาะประชาชนที่เป็นกลุ่มผู้ชุมนุม แต่โดยหลักแห่งกฎหมายแล้ว จะยกเว้นเฉพาะคนหนึ่งคนใดไม่ได้ ต้องใช้บังคับกับทุกคนโดยเสมอภาคเป็นการเล็งเป้าเลิศของ “ประชาธิปัตย์” ที่หากร่างนิรโทษกรรมผ่านไปได้ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โดนศาลตัดสินโทษจำคุก ทั้งตัว “อภิสิทธิ์” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่กำลังติดบ่วงคดีเลือด 91 ศพ หรือแม้ แต่แกนนำเสื้อเหลือง-เสื้อแดง รวมไปถึงขุนทหาร-นายกองที่มีส่วนในการ “ก่อเหตุ นองเลือด” ต่างก็คาดหวังลึกๆ ว่าจะมีลุ้น... ยกประโยชน์ให้จำเลยทุกฝ่าย
หมากนิรโทษกรรมที่ว่านี้...จะจบ ลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ซึ่งทุกฝ่ายจักได้ประโยชน์ หรือจะถูกทำแท้งกลางลำ... หากยังทุ่มเถียงกันไม่จบสิ้น ที่สุดคงต้องไปว่ากันในท่าทีของ “ทุกสูตรผสมทางการเมือง” ไม่ว่าจะเป็น “พรรคเพื่อไทย” หรือ “พรรคประชาธิปัตย์” ตลอดจน “มวลชนต่างสีเสื้อ” ว่าคนทั้งหมดจะมีความหนักแน่นในจุดยืนแค่ไหน...ยากที่จะคาดเดาได้ว่า นับจากนี้ไปจะเกิดเหตุพลิกผัน ที่นำไปสู่การเปลี่ยน แปลงหรือไม่..เพราะเกม “นิรโทษกรรม” เวลานี้ได้ถูกเขย่าขึ้นมาแรงๆ และดูจะเร็วขึ้นไปทุกขณะ
ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น