--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เปิดใจลูกผู้ชายชื่อ.ชัชวาลย์ คงอุดม กลางมรสุม ชำระแค้น !!?


เปิดใจลูกผู้ชายชื่อ...“ชัชวาลย์  คงอุดม”กลางมรสุม “ชำระแค้น”!!!
“ใครจะมาบีบคั้นผมไม่ได้หรอก ผมผู้ชาย ผมตัดสินใจไปแล้ว ตายเป็นตาย”

ชัชวาลย์ คงอุดม อดีตสว. กทม. และคอลัมนิสต์อาวุโส หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หลังต้องเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เมื่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในรายคดีสำคัญไว้ชั่วคราว คือโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เนื้อที่ 2 งาน 40 ตารางวา ราคาประเมิน 10 ล้าน 8 แสนบาท กลางชุมชนตรอกข้าวสาร ย่านบางซื่อ ตามความผิดการกระทำผิดเกี่ยวกับการพนัน ตามมาตรา 3(9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

 นับจากวันที่ 6 ก.พ.2556 ที่ผ่านมาชัชวาลย์ ถูกพาดพิงมาโดยตลอด ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากคนในรัฐบาลและจากสื่อบางสำนัก ด้วยการโยงใยชื่อของเขาเข้าไปเกี่ยวพัน โดยที่เขาเองไม่เคยออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง แต่อย่างใด และนี่คือการเปิดใจครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ผ่าน “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ถึงความรู้สึกและเรื่องราวต่างๆ ดังนี้

ผู้สื่อข่าว-ตั้งแต่พรรคเพื่อไทย เข้ามาเป็นรัฐบาล และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มาเป็นรองนายกฯ ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีการพูดถึงบ่อนเตาปูนมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สื่อบางส่วนก็พาดพิง มาถึงคุณชัชวาลย์ ซึ่งข้อเท็จจริงที่ผ่านมา โดยส่วนตัวก็ยังไม่เคยออกมาพูดอะไร ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ป.ป.ง. มีคำสั่งอายัดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณที่เชื่อว่าเป็นบ่อนการพนัน มีสื่อบางสำนักเช่นโพสต์ทูเดย์ และรายการทีวีของสนธิ ลิ้มทองกุล เอ่ยถึงชื่อโดยตรง อยากให้เล่าให้ฟัง ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
   
ชัชวาลย์- รู้สึกว่าจะมี “โพสต์ ทูเดย์” ลงชื่อชัดเจนว่าเป็นนายชัชวาลย์ คงอุดม จริงๆแล้วผมไม่เล่นการพนันมานานแล้ว เลิกมาประมาณ 20 ปีแล้วและไม่เคยไปเห็นบ่อนไหนเลย ไม่เคยไปเข้าที่ไหนทั้งสิ้น ตอนเป็น สว.กทม. ก็เคยแค่ไปเยี่ยมพรรคพวกที่มาเก๊า แต่ไม่ได้เล่น แต่เสมัยก่อนที่เป็นเด็ก อายุยังน้อย เรายอมรับว่าเราเล่น ชอบเล่น อาจเป็นเพราะเรา ยังไม่มีอาชีพอะไรเป็นหลักแหล่ง เราถือว่าเรื่องของการพนันเป็นเรื่องของการเสี่ยง ได้ก็เอา เสียก็ให้ เราไม่ได้ไปลักขโมยใครมา มันไม่ใช่เรื่องเลวทรามอะไร แต่บังเอิญว่าเรามาเกิดในประเทศไทย ก็เลยกลายเป็นคนไม่ดีไป ที่มาเล่นการพนัน ทั้งที่ในโลกเขาก็มีกันหมด มันเป็นวิถีชีวิตของแต่ละคน
   
แต่ปรากฎว่าระยะหลังๆ มีมาตลอด ได้ข่าวได้อะไร ก็พยายามพาดพิงเรา แต่ในเมื่อเขาไม่ได้เอ่ยชื่อ เราก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่อย่างกรณีที่บางสื่อ (โพสต์ ทูเดย์) มีการเอ่ยชื่อกันมา ลงชัดเจน ถ้าเราไม่พูดเสียเลย ก็กลายเป็นว่าเราไปยอมรับ เป็นเจ้าของ จึงต้องพูด
   
ผมไม่เล่นการพนันมาเกือบ 20 ปีแล้วนะ ไม่เคยสนใจอะไร ตื่นเช้าขึ้นมาก็ทำแต่งาน ระยะหลัง ๆ เมื่ออาจารย์หม่อมฝากหนังสือพิมพ์สยามรัฐเอาไว้ เราก็มาทำงาน ตื่นมาก็มาสยามรัฐ เมื่อก่อนนี้ตอนที่ลูกชายยังไม่มาดูแลสยามรัฐ เพราะยังไม่กลับจากอังกฤษ ผมก็จะมาดูแลเอง เสร็จงานก็ตีสาม ถึงจะกลับบ้านได้ ไม่เคยไปใส่ใจกับเรื่องอะไรเลย

มีการระบุว่าระหว่างคุณชัชวาลย์ กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ มีปัญหาส่วนตัวกัน
   
ชัชวาลย์-ผมจะเล่าความเป็นมาระหว่างผมกับ คุณเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีให้ฟังนะครับ เมื่อปี 2531 คุณเฉลิม ส่งคนลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. จำได้ว่าชื่อคุณชิงชัย ต่อประดิษฐ์ อดีตอัยการ ซึ่งได้ให้คุณพัลลภ บัวสุวรรณ (อดีต สว.) ตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) ในฐานะที่เคยรู้จักกัน แต่ไม่ถึงสนิท แต่เมื่อมีคนรักชอบกับเรามาบอกแบบนี้ ผมก็เอา หลังจากนั้นคุณเฉลิม ก็มางานวันเกิดผม ขึ้นไปบนเวที เราก็อยากจะช่วยเขา จึงบอกกับพรรคพวกว่า ให้ช่วยคุณเฉลิมด้วย เพราะชอบพอกัน แต่ตอนนั้นเราก็รับปากว่า เราจะช่วยเฉพาะที่เขตบางซื่อเท่านั้นนะ ที่อื่นคงช่วยไม่ได้ เพราะในสมัยนั้นพล.ต.จำลอง ศรีเมือง (อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม) ท่านแข็งแกร่งมาก มีคนนิยมศรัทธามาก
     
หลังจากนั้นคุณเฉลิม ก็ติดต่อผมมาอีก ว่า “มหามิตร ขอให้ช่วยสนับสนุนเพื่อนหน่อย” โดยขอให้ช่วยจัด สก.และ สข. ลงในเขตบางซื่อให้หน่อย แต่ผมบอกว่า ผมคงจัดให้ไม่ได้ เพราะถ้าผมจัดลงให้แล้วอาจารย์หม่อม (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ซึ่งผมเคารพนับถือเหมือนพ่อผม ท่านจะว่าผมได้ว่าไปจัดให้คนอื่นได้อย่างไร ผมจึงไม่กล้าจัด ตั้งแต่วันนั้นคุณเฉลิมก็ไม่พอใจ โกรธผม มองว่าผมเป็นคนทำบ่อน ก็เลยเอาตำรวจมาตั้งด่าน ที่หน้าบ้านผมซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทคงอุดมในปัจจุบันนี้
     
เท่านั้นยังไม่พอ มีคนเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปกรีดรถคนที่เข้าออก ในซอย ซึ่งเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย แต่ไปกรีดรถเขา ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นตำรวจยศรองผู้กำกับอยู่กองปราบ ผมก็ไปบอกเขาว่า ในเรื่องของการพนันหากเห็นว่าผิดก็ให้ไปจับ ไม่มีปัญหาหรอก แต่มันไม่ถูกต้องที่จะมากรีดรถคนอื่น เราก็ไม่ทราบว่าเขารายงานกันอย่างไร คุณเฉลิม ก็ไปที่บ้านซอยสวนพลู ไปถามอาจารย์คึกฤทธิ์ ว่า ผมเป็นลูกจริงหรือไม่ อาจารย์หม่อม ก็ถามว่า ถามทำไม คุณเฉลิม คนเขารู้กันทั้งประเทศ จากนั้นก็มีคำสั่งให้ถอนกำลังออกไป และอาจารย์หม่อมก็ให้คุณสละ ผดุงวรรณ ซึ่งเป็นคนดูแลท่านโทรมาบอกผมว่า คุณเฉลิมเข้ามาพบท่าน และจากวันนั้นมาคุณเฉลิม ก็หยุดไป จะด้วยเหตุผลอันใด ผมไม่ทราบ
     
ต่อมาในปี 2533 ก็มีเหตุการณ์คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ทำการปฏิวัติขึ้น คุณเฉลิม ก็ได้หนีออกนอกประเทศไป ด้วยความที่เราเป็นคนไทย เราเองยังรู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมกับคุณเฉลิมเขา ระหว่างคนที่มีปืนกับอีกคนที่ไม่มี จนกระทั่งทราบว่าตอนหลังที่คุณเฉลิม สามารถเดินทางกลับเข้าประเทศไทยได้นั้น เป็นเพราะ พี่หมอเพรา นิวาตวงษ์ ที่ผมเองก็เคารพนับถือท่านมาก ไปขอกับ “บิ๊กสุ” พล.อ.สุจินดา คราประยูร ให้ จึงได้กลับประเทศไทย
   
จากนั้นในปี 2539 เมื่อพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่คุณเฉลิม ได้เป็น มท.6 ขณะที่ผมเอง ในช่วงนั้นก็ได้เข้ามาทำงานที่สยามรัฐแล้ว และคืนหนึ่งเท่าที่จำได้ ประมาณตีหนึ่งคุณเผด็จ ภูรีปฎิภาณ หรือที่รู้จักในนามปากกานักหนังสือพิมพ์ว่า “พญาไม้”ได้โทรมาบอกผมว่า “น้า ผมนั่งอยู่กับร.ต.อ.เฉลิม และพี่ร่าง (พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค) ที่ร้านอาหารเท็น สาธร น้ามาหน่อยสิ” ผมก็ไป ในครั้งนั้นคุณเฉลิมก็บอกว่า “น้าดูแลเพื่อนฝูงหน่อย” ซึ่งที่คุณเฉลิมพูดนั้นหมายความถึงให้สยามรัฐช่วยดูแลเรื่องข่าวให้ และผมก็รับปาก เพราะผมถือว่า เรื่องเก่าๆลืมมันไปเสีย ในครั้งนั้นก็มีการพูดคุยกันเป็นอย่างดี
   
แต่พอ 2-3 วันต่อมา คุณเฉลิมไปภูเก็ต และพาลูกชายไปด้วย และลูกชายเกิดไปมีเรื่องที่ภูเก็ต นสพ.สยามรัฐก็ลงข่าวตามปกติตามจรรยาบรรณของหนังสือพิมพ์ โดยที่ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรให้คุณเฉลิมเกิดความเสียหายแต่อย่างใดเลย เพียงแต่ข่าวก็ต้องเป็นข่าวเท่านั้น เพราะเราเป็นหนังสือพิมพ์ แต่คุณเฉลิมกลับโกรธจัด และมีการตั้งด่านตรวจ ค้นคนเข้าออกหน้าบริษัทคงอุดมเหมือนอย่างปี 2531 จากนั้นได้เรียกประชุมทั้งการไฟฟ้า ประปา และเขตบางซื่อ เพื่อจะให้เขตรื้อรั้วบ้าน แต่เขตบอกไม่สามารถรื้อได้ เนื่องจากเป็นที่ส่วนบุคคล จากนั้นก็จะให้รื้อบ้าน โดยบอกว่า ปลูกโดยไม่มีแบบ ซึ่งเขตก็บอกรื้อไม่ได้ เพราะบ้านหลังนี้ปลูกก่อนที่จะมีเทศบัญญัติออกมา
   
ต่อมาหลังหมดรัฐบาลยุคพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธไปแล้ว คุณเฉลิมก็ให้คุณเผด็จติดต่อกลับมาอีก ว่าเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ขอมากินข้าวเที่ยงกับผมที่สยามรัฐ เพื่อต้องการจะพูดคุยกับผมเรื่องขอให้ช่วยในการลงสมัครผู้ว่าฯกทม. ผมก็ตอบตกลง ในวันนั้นที่นั่งกินข้าวกันก็มี ผม มีคุณเฉลิม คุณเผด็จ คุณประสงค์ (บารอน) และคุณวิโรจน์(บก.สยามรัฐ)นั่งอยู่ด้วย แต่คุณเฉลิมไม่ได้พูดถึงเรื่องของการลงสมัครผู้ว่าฯกทม.เลย เพียงแต่เล่าให้ผมฟังว่า ลูกชายของคุณเฉลิมหลุดจากคดียิงดาบยิ้มได้อย่างไรเท่านั้น
     
พอคุณเฉลิมกลับไป ก็โทรไปหาหาลูกชายผม คือ “แมน” โดยบอกว่า “อาได้มาเจอกับพ่อแล้ว ให้แมนช่วยอาหน่อยนะ” “แมน”ก็มาถามผมว่า พ่อจะช่วยเขาหรือ ผมก็บอกกับลูกชายผมว่า “เขามาเจอพ่อจริงลูก แต่เขาไม่ได้ขอให้พ่อช่วยเรื่องเลือกตั้งเลย แล้วเราจะไปช่วยได้อย่างไร” พอผลการเลือกตั้งออกมา คุณเฉลิมก็สอบตก แล้วจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
     
จนกระทั่งปี 2550 ที่คุณสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ คุณเฉลิมเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยอีก ก็มีการตั้งด่านตรวจค้นบริเวณหน้าบ้านผมอีก ซึ่งผมก็ไม่เคยไปว่า เขาจะทำอะไร เพราะผมถือว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเมื่อกลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกครั้งในสมัยนี้ ก็มีเหตุการณ์อย่างที่ท่านผู้อ่านทั้งหลายทราบว่า มีเฉพาะบ่อนเตาปูนที่ถูกบีบคั้น ผมก็ไม่เข้าใจว่า อะไรกันนักหนา แค่ผมไม่ช่วยจัดสก.สข.ลงในพรรคของคุณเฉลิมในครั้งนั้น จะมีการเจ็บแค้นกันได้ถึงขนาดนี้
     
เพราะฉะนั้นการที่เขาจะยึดที่ดินหรือบ้านใคร ก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะวิตกหรอกครับ ที่เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังทั้งหมดนี้ เพียงอยากให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัว บ้านหลังนี้ผมขายไปตั้งแต่ปี 2550 ก่อนที่จะมีกฎหมายฟอกเงินที่ออกมาในปี 2552 เสียอีก และก็ขายกันอย่างถูกต้องครับ ไม่มีนอกไม่มีใน ไปตรวจสอบการเสียภาษีที่กรมที่ดินได้ครับ และก็ขายกันเพียง 4 ล้านเท่านั้นเองครับ เพราะเป็นที่ที่รถเข้าไม่ถึง คนจะต้องเดินเข้าไปเป็น 100 เมตร เพราะฉะนั้นราคา 10 ล้าน มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ใครที่ไหนจะมาซื้อ
     
ผมเชื่อว่า เขาคงไม่ยอมรับหรอกครับ เพราะที่ผมเล่ามานี้เป็นเรื่องจริง แต่ผมเป็นลูกผู้ชายครับ ผมพูดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ผมไม่ใช่คนโกหกปลิ้นปล้อน ไม่เคยสร้างภาพ ยืนยันครับ ผมชอบเล่นการพนัน ผมก็บอกว่า ผมชอบเล่น แต่ผมไม่เคยบอกเลยครับว่า ผมเปิดบ่อน ที่พูดอย่างงี้ เพราะผมเห็นว่า มันไม่ผิดตรงไหนเลยกับคนที่ชอบเล่นการพนัน ในต่างประเทศเขาอนุญาตให้เปิดบ่อนได้ มันก็เป็นเรื่องถูกต้อง แต่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้เปิดบ่อน มันก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทั้งที่ทั่วโลกเขามีบ่อนการพนันกัน เพียงแต่พูดให้หรูหน่อยว่า “กาสิโน”นั่นเอง
     
และในทุกๆประเทศรอบบ้านเรานี้ ก็มีทั้งพม่า มาเลย์ เขมร เขาก็มีกันหมดทุกประเทศแหละครับ แต่ประเทศของเราบ่อนถูกกฎหมายไม่มี จึงทำให้คนไทยของเราต้องออกไปเล่นยังเพื่อนบ้านเหล่านี้ เรื่องอย่างงี้คุณเฉลิมก็รู้ดี เพราะคุณเฉลิมเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ใครเปิดอยู่ตรงไหน คุณเฉลิมก็รู้หมด แม้แต่ในประเทศพม่า คุณเฉลิมก็รู้ดีว่า ใครไปเปิด

มีการพูดกันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากคุณชัชวาล ไปให้การสนับสนุนผู้สมัคร ผู้ว่าฯกทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหวังตัดกำลังพรรคเพื่อไทย
   
ชัชวาลย์-พูดจริงๆแล้ว ผมเองก็รู้จักผู้สมัครผู้ว่ากทม.เที่ยวนี้แทบทุกคน ทั้งพล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส , ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ หรือคุณเมตตา เต็มชำนาญหรือที่รู้จักกันคือ”ตู่ ติงลี่” อย่างคุณโฆษิต สุวินิจจิต เองก็มากินข้าวที่สยามรัฐกันบ่อยๆ แล้วผมจะไปยุ่งได้อย่างไร มันพวกกันทั้งนั้น ไม่เคยคิดว่าจะไปเข้าข้างใครเลย
   
อย่างพล.ต.อ.พงศพัศ เจอที่ไหนเขาก็เป็นคนนอบน้อม ถือว่าเด็กกว่าเราก็เข้ามาหา มาพูดคุย จะขึ้นรถก็มาส่ง นี่คือความรู้สึกส่วนตัวนะ คือมันชอบกัน แล้วเราจะไปทำให้มันเสียพวกทำไม คิดกันไปเอง แต่ผมก็เคยได้ยินนะว่าต้องหาทางบล็อคให้ได้ ผมว่าคุณพงศพัศ ไม่รู้เรื่องหรอก

-ดูเหมือนว่าเขาได้เลือกข้างให้คุณชัชวาลย์ เป็นประชาธิปัตย์ไปแล้ว
     
ชัชวาลย์-มันไม่ถูกหรอกครับ ตั้งแต่สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะตั้งพรรคไทยรักไทย ท่านก็โทรศัพท์มาผม ไปกินข้าวกันที่ร้านหูฉลาม สกาล่า ให้ผมพาพรรคพวกไปด้วย ผมก็พาคุณเผด็จ พญาไม้ คุณมดคันไฟ(อนันต์ อัศวนนท์) คุณสองคม(สันทัด วณิชพันธ์) คุณบารอน และคุณศักดา นพเกตุ ซึ่งตอนนั้นเป็นบก.อำนวยการอยู่ ก็ไปกัน ท่านอดีตนายกฯทักษิณ ก็บอกว่า “พี่ผมจะตั้งพรรค ผมรวยแล้ว ผมอยากรับใช้ประเทศชาติ” ผมก็มองว่าเขาเก่ง ผมจึงรับปากช่วย ตอนที่ท่านอดีตนายกฯทักษิณส่งคนลงเขตบางซื่อ ผมก็ช่วยนะ ผมออกตังค์ให้ ผมไม่เคยเอาเงินเลย แล้วอย่างงี้จะบอกว่าผมเป็นพวกปชป.ได้อย่างไร
     
ตอนหลังที่ผมไม่ยุ่งด้วย ก็เพราะทำไมปล่อยให้ดา ตอปิโด ไปพูดจาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำไมไม่ห้ามกัน ผมถึงไม่เอาด้วยไงครับ เพราะผมเป็นคนตรงนะ ผมไม่กลัวอะไรหรอก ใครจะมาบีบคั้นผมไม่ได้หรอก ผมผู้ชาย ผมตัดสินใจไปแล้ว ตายเป็นตาย อย่ามาคิดอะไรกับผม ผมไม่เคยสน เราผู้ชาย ถ้าจะให้เราทำอะไรให้ ก็พูดกันดีๆ เราก็โคนันทวิศาลนะ เป็นไงเป็นกัน ผมเลือกข้างแล้ว ข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นปณิธานที่ผมได้รับคำสั่งจากอาจารย์หม่อม และส่วนตัวผม ตั้งแต่สมัยยังเด็กจนเติบโตมา ผมยังไม่เคยเห็นในหลวงของเราทำอะไรให้ใครเดือดร้อน มีแต่คิดให้ประชาชน เพราะฉะนั้นใครจะเป็นนายกฯ ใครจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ อย่าก้าวล่วงในหลวงอย่างเดียว ผมพอใจแล้ว
     
หรืออย่างในปี 2548 ตอนที่ท่านอดีตนายกฯทักษิณ ยุบสภา ปี2549 ต้นปี ผมยังนั่งอยู่ที่สยามรัฐ(อาคารราชดำเนิน) ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิดคือ วันที่2 เม.ย.ที่มีการนำคนมาที่สนามหลวงร่วมประมาณ 1 หรือ 2 แสนคน และท่านอดีตนายกฯทักษิณ ได้ขึ้นไปพูดให้กับประชาชนฟัง ก็มีคนมาท้องสนามหลวงแน่นไปหมด ผมอยู่ในห้องทำงานของผม ซึ่งตอนนั้นคุณเนวิน ชิดชอบ คุณเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช คุณปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และคุณยงยุทธ ติยะไพรัช ก็มาหาผมกันหมด แต่มาไม่พร้อมกัน โดยเขามาบอกว่า “พี่ครับ ขอห้องใช้หน่อย” ผมก็บอกว่า “เอาซิ ให้ไปใช้ห้องข้างล่างที่กว้างกว่า” จากนั้นคุณเนวิน ก็โทรศัพท์ คุยกันว่า “คุณอยู่ที่ไหน ตอนนี้ผมอยู่กับพี่ชัช แล้วคุณเอาคนมาเท่าไหร่” ซึ่งผมให้ใช้ห้องผม ผมถามว่า ถ้าพวกพันธมิตรฯ เขารู้ เขาจะด่าผมไหม
     
เรานี่ด้วยความเป็นพวก เราเสี่ยงให้ พอยุบสภาก็ให้พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ รมว.กลาโหม ในขณะนั้นมาพบผม โดยขอให้ผมช่วยที่เขตบางซื่อ ดุสิต จตุจักรอีก ผมถามว่า แล้วอย่างนี้ นี่ผมเป็นพวกใคร ? ที่ผมรับไม่ได้คือ ทำไมไม่ห้ามดา ตอปิโด พูดจาพาดพิงสถาบัน ขนาดในงานวันเกิดของผมที่จัดขึ้นเมื่อปี 2551 คุณหรั่ง ร็อคเครสต้า มาร้องเพลงในงานวันเกิดผม คุณหรั่งขึ้นไปด่าท่านอดีตนายกฯทักษิณ ด่าคนเสื้อแดง ผมยังสั่งปิดไมค์ทันที โดยผมบอกว่าวันเกิดเรา ไม่เกี่ยวกับใคร
     
พวกนักการเมืองจะคิดอย่างไรก็เรื่องของเขา แล้วใครจะมองอย่างไร ก็เรื่องของเขา ผมคือตัวผม สยามรัฐคือสยามรัฐ ใครจะมาทำอะไรกับสยามรัฐไม่ได้ มาซื้อไม่ได้ จะมาใช้อำนาจบังคับก็ไม่ได้ เป็นอย่างไรก็เป็นกัน หมดตัวก็หมดกัน อาจารย์หม่อมสั่งมาว่าอย่าให้มันล้ม ผมถึงสู้มาจนถึงวันนี้ ท่านอดีตนายกฯทักษิณ จะเป็นอะไร ก็เป็นไป ขอให้ทำให้ประเทศชาติเจริญ เท่านั้นพอ นี่คือเหตุผลที่ผมช่วยท่าน เพราะถือว่าท่านเก่ง ที่ทำให้ประเทศเจริญได้ แต่เรื่องของเบื้องบนนี่ ถ้าใครแตะต้อง ผมยอมไม่ได้
     
เมื่อปี 2549 มีการเลือกตั้งใหม่ พล.อ.สัมพันธ์ ได้มาพบกับผมที่เซ็นทรัล มื้อนั้นผมก็เลี้ยงเขา หกหมื่นกว่า บาท ตอนนั้นมี ดร.ลลิตา ฤกษ์สำราญมา มีคุณนกหรือคุณเฉลิมชัย จีนะวิจารณะมา ซึ่งคุณนกก็เคยอยู่สยามรัฐ
     
ช่วงหนึ่ง แล้วขอให้ผมช่วยพูดให้ว่า อยากเป็น ส.ส. ผมก็พูดให้กับพรรคไทยรักไทยให้ อย่างวันนั้นเรารับปากช่วยเขา ด้วยความกลัวว่าเขาจะแพ้ ก็เรียกลูกสาวที่เป็นสก.อยู่ประชาธิปัตย์ ให้ไปลาออก แล้วมาช่วยไทยรักไทย ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรคขณะนั้นก็บอกกับลูกสาวผมว่า “พ่อคุณนักเลง ลูกผู้ชาย พูดแล้วต้องทำ ผมไม่เซ็นลาออกให้ คุณไปช่วยเขาเถอะ”
   
จากนั้นคุณส่วน “บรรณพจน์ ดามาพงศ์” มาบอกว่า หลังเลือกตั้งเสร็จแล้ว เมื่อสก.หมดวาระให้ลูกสาวผมลง สองคน บางซื่อมีสก. 2 เขต ลูกสาวผมเป็นสก.ของเขต 1 อีกเขตหนึ่งสก.ชื่อสมพงษ์ ที่มีคนมาขอผมให้ช่วยเขาได้เป็นสก. และเมื่อหมดวาระแล้ว เขาก็มาหาผมที่สยามรัฐ 3-4 ครั้ง และยืนยันกับผมว่า “พี่จะให้ผมไปอยู่พรรคไหน ผมไปด้วยทั้งนั้น” แต่พอท่านพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ท่านโทรมาหาขอให้ลูกสาวผมไปอยู่กับพรรคปชป. และผมก็รับปากท่าน เพราะผมถือว่า ตอนที่ท่านเป็นรมว.มหาดไทย ผมขอท่านให้พรรคพวกผมเป็นผู้กำกับ ท่านก็ช่วย ผมจึงถือว่า ท่านมีบุญคุณกับผม

ดังนั้นผมถึงบอกกับคุณสมพงษ์ว่า “ตกลงไปอยู่ประชาธิปัตย์นะ” ซึ่งคุณสมพงษ์ก็รับปากผมต่อหน้า แต่พอรับหลังเมื่อกินเหล้าเข้าไป ก็พูดว่า “กูจะอยู่ทำไม กับพวกเจ้าพ่อ” นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ผมบอกคุณส่วนว่า ลูกผมต้องลงทั้งสองเขต

ผู้สื่อข่าว-คิดยังไงกับในคดีนี้ที่ปปง.อายัดทรัพย์ แล้วสื่อบางสำนักติดตามไปบ้านคนซื้อ เพื่อที่จะมาโยงว่า มีการซื้อขายจริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นนอมินีหรือไม่
     
ชัชวาลย์- ผมก็มีความรู้สึกน้อยใจว่า สื่อทำไมมองแต่แง่ร้าย พยายามไปสืบเสาะ เหมือนพยายามจะโยงมาถึงผมให้ได้ แต่สิ่งดีๆที่ผมเคยทำมา ไม่เคยไปสืบเสาะเลย อย่างเช่นที่ผมส่งให้เด็กเรียนจนจบด็อกเตอร์หรือแม้แต่หมอจุฬา หมอขอนแก่น สื่อน่าจะติดตามไปสัมภาษณ์เบื้องหน้าเบื้องหลังชีวิตของพวกเขาดีกว่าว่า พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างไร ใครอยู่เบื้องหลัง เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูคนที่เสียสละ
     
ไหนๆจะพูดก็ขอพูดเถอะ อย่างบริเวณหน้าบ้านที่จอดรถ พอจะโอนคอนโดให้ลูกค้า เราต้องไปโอนถนนรอบๆคอนโดกลับมาเป็นของเรา ไม่อย่างงั้นจะเป็นของนิติบุคคล ซึ่งจะไม่ให้คนใช้ถนน ผมถึงกับต้องไปโอนมาเป็นชื่อของผม ปรากฎว่า เสียค่าโอนไป 9 แสนกว่า แล้วเจ้าหน้าที่ของเราสมัยนั้นบังเอิญไปเสียแต่ภาษีกรมที่ดิน ไม่ได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะที่สรรพากรเขต ปรากฎว่า จากเดิมเราต้องเสีย 9 กว่าแสนบาท ในปี 2535 พอไปถึงปี 2537 ขยับกลายเป็น 2 ล้านกว่าบาท และปี 2539 เป็น 4 ล้านกว่าบาท ซึ่งเราก็พยายามเจรจาขออุทธรณ์กับกรมสรรพากรว่า เราใช้ที่ดินตรงนั้นเป็นทางสาธารณะ ไ ม่ได้เก็บเงินเก็บทอง หรือหาประโยชน์จากตรงนั้น กรมสรรพากรก็บอกว่า ไม่เกี่ยวกัน สรรพากรมีหน้าที่เก็บเงิน
     
ทำไปทำมา ตอนนั้นคุณสมใจนึก เองตระกูล ท่านเป็นปลัดกระทรวงการคลัง ผมก็เลยขอความเป็นธรรมกับท่าน ซึ่งท่านก็ช่วยเจรจาลดให้จากที่ต้องเสีย 4 ล้านกว่าบาท ก็เหลือแค่ 2 ล้านกว่าบาท เราก็เลยผ่อนส่ง เดือนละ 1.5 แสนบาท ซึ่งตอนนี้ก็หมดไปแล้ว ผมก็ให้คนใช้ทางฟรี ทั้งที่เป็นเงินของผม ผมถามว่า คนอื่นทำอย่างเราหรือไม่ ทำไมไม่เห็นมีใครไปเช็คบ้างเลย มันน่าน้อยใจไหมล่ะครับ

-สุดท้ายนี้คุณชัชอยากจะพูดอะไรสักนิดไหม
     
ชัชวาลย์- คือว่า อย่างงี้นะครับ ตั้งแต่มีข่าวยึดทรัพย์บ่อนเตาปูน ก็มีคนถามเข้ามาเยอะ เป็นเพราะคุณเฉลิมมาไถเงินไม่ได้หรือ? ผมต้องขอบอกเสียตรงนี้เลย เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ไม่เข้าใจคุณเฉลิมผิด คุณเฉลิมไม่เคยไถเงินผมเลย เพียงแต่คุณเฉลิมแค่โกรธผม ที่ผมไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจเขาเท่านั้น!!!

ที่มา.สยามรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น