--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กพฝ.ระดมแผนรับมือวิกฤติพลังงาน !!?


รัฐระดมแผนรับมือพม่าหยุดจ่ายก๊าซ ทำไฟดับไฟตก “วิฑูรย์” สั่งโรงงานทั่วประเทศลดใช้ไฟ 10% หวังเพิ่มปริมาณสำรองช่วงวิกฤติอีก 1,200 เมกะวัตต์ กฟผ.ถกผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ขอรับซื้อไฟฟ้าเพิ่ม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ประชาชนจากกรณีที่พม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติให้ไทยในช่วงวันที่ 5-14 เมษายน 2556 เพื่อซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซยานาดาทำให้หลายหน่วยงานต้องเร่งหามาตรการมารองรับป้องกันวิกฤติพลังงานโดยนายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าจะประสานงานไปยังอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อกำชับให้โรงงานทั่วประเทศ ที่กำกับดูแลโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อช่วยกันลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลงให้ได้อย่างน้อย 10% ตามนโยบายรัฐบาล หากโรงงานใดปฏิบัติได้ จะได้รับการพิจารณาจัดลำดับประเภทโรงงานใหม่ โดยประกาศดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของกรมโรงงาน ซึ่งจะเสนอให้กระทรวงพิจารณาจัดอันดับเกรดภายในเดือนมีนาคมนี้

ปัจจุบันทั่วประเทศมีโรงงานอุตสาหกรรมรวมอยู่ที่ประมาณ 70,000 โรงงาน ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยวันละ 12,000 เมกะวัตต์ หากโรงงาน 70,000 โรงงานสามารถลดไฟฟ้าได้ 10%ก็จะช่วยให้การสำรองไฟฟ้าในช่วงฮอตสแตนบายเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1,200 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ จะรณรงค์ให้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ประหยัดพลังงานมากขึ้น เบื้องต้นจะทำคู่มือ 70,000 ฉบับ ส่งให้ทุกโรงงานเพื่อขอความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น การดับไฟ การลดอัตราเร่งของเครื่องจักร และเปิดให้ร่วมโครงการเปลี่ยนหลอดผอมประหยัดไฟ

ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประชุมร่วมกับผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน (ไอพีพี) ปตท. และสำนักงานกำกับกิจการพลังงาน เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกันโดยนายธนา พุฒรังษี รองผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. ได้ทำแบบสอบถามมาตรการใช้ไฟฟ้า ส่งให้กับประกอบการภาคอุตสาหกรรม เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในบริหารจัดการระบบไฟฟ้า ทั้งนี้คาดว่าจะได้รับข้อมูลทั้งหมดในวันที่ 5 มีนาคมนี้ ซึ่ง กฟผ. จะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการประชุมร่วมกับไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. เพื่อกำหนดแผนจัดการไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว

“การหยุดส่งก๊าซดังกล่าวจะกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าประมาณ 4.1 พันเมกะวัตต์ที่จะหายไปจากระบบการผลิตไฟฟ้า และมีการประมาณการว่าในวันที่ 5 เมษายน จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 2.7 หมื่นเมกะวัตต์ ที่จะสามารถจ่ายไปยังประชาชนผู้บริโภคได้ ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าวันดังกล่าวจะมีความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าจำนวน 2.6 หมื่นเมกะวัตต์ และกำลังผลิตมาตรฐานที่ กฟผ.พยายามสำรองไว้ที่ 1.2 พันเมกะวัตต์ หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นเรายังสามารถที่จะดึงส่วนนี้ขึ้นสำรองใช้ได้”

“ส่วนวันที่ 6-8 เมษายนนั้นเป็นวันหยุดตรงนี้เราไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไรแต่ในวันที่ 10-11 เมษายนต้องดูแลกันพิเศษอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารของกฟผ.ได้มีการสั่งไปแล้วว่าการดำเนินการทั้งหมดประชาชนจะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด นอกจากนี้ กฟผ.จะขอความร่วมมือไปยังโรงผลิตกระแสไฟฟ้าเอกชนให้ดำเนินการผลิต ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนกระแสไฟฟ้าสำรองมากขึ้นมาอีก” นายธนา กล่าว

นายวิวัฒน์ชัย รัตนชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการการประปานครหลวง (กปน.) กล่าวว่ากปน.ให้ความสำคัญกับการเตรียมแผนสำรองด้านพลังงาน และการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการผลิต ส่งและบริการน้ำประปา ซึ่งจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการผลิตและสูบจ่ายน้ำประปาไปยังทุกครัวเรือนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ตลอด 24 ชั่วโมง จึงเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤตการณ์ดังกล่าวอย่างจริงจัง ลดผลกระทบที่อาจเกิดต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

“ปัจจุบัน กปน.ผลิตน้ำประปาวันละประมาณ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีค่าไฟฟ้าใช้ในระบบผลิต สูบส่งและจ่ายน้ำทั้งสิ้นปีละประมาณ 350 ล้านกิโลวัตต์หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 1,087 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยกันประหยัดพลังงานไฟฟ้าและการใช้น้ำประปา เพื่อร่วมกันใช้พลังงานที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด”นายวิวัฒน์ชัย กล่าว

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////////

กิตติรัตน์. พบปะนักลงทุน ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง พร้อมแจง 4 ยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ !!?


นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชัชชาติ สุทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้ร่วมจัดงานพบปะนักลงทุน (Roadshow) ในหัวข้อ “Thailand’s Strategies : A Roadmap for the Real Opportunities” เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 ณ โรงแรมไอแลนด์ แชงกรีล่า เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจด้านเศรษฐกิจแก่นักลงทุนต่างชาติกว่า 120 ราย โดยมีสาระสำคัญของงานพบปะนักลงทุนโดยสรุป ดังนี้

นายกิตติรัตน์กล่าวเปิดงานพบปะนักลงทุนว่า ภายใต้ภาวะของเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและผลกระทบจาก ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยในปี 2555 เศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 6.4 ต่อปี ทั้งนี้ นโยบายของรัฐบาลในปีแรก ที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และขยายโอกาส ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความเข้มแข็งและสามารถรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ อย่างไรก็ดี เพื่อรองรับต่อความท้าทายเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในอนาคต รัฐบาลจะดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของประเทศใน 4 ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการเพิ่มรายได้จากฐานเดิมและสร้างรายได้จากโอกาสใหม่ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างโอกาสความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันในสังคม ด้วยการสร้างโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร และการคุ้มครองสิทธิผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการใช้พลังงาน การฟื้นฟูป่าและต้นน้ำ และการพัฒนาพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน และยุทธศาสตร์ที่ 4 การปรับสมดุลและการพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถและการกระจายความพัฒนาไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ และอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ 2 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในระหว่างปี 2556-2563 จะเพิ่มขึ้นสูงสุดไม่เกินร้อยละ 50 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง

นายชัชชาติกล่าวถึงโอกาสของไทยภายใต้การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนว่า การพัฒนาระบบโลจิสติกส์เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไทยและอาเซียนได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยยังพึ่งพาการขนส่งทางถนนที่สูงกว่าร้อยละ 86 ของการขนส่งทั้งหมด ซึ่งทำให้ต้นทุนทางโลจิสติกส์ของประเทศอยู่ในระดับที่สูงถึงร้อยละ 15.2 ของจีดีพี การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ 2 ล้านล้านบาท ทั้งรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และการขนส่งมวลชน จะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และลดการนำเข้าพลังงานเพื่อการขนส่ง อันจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศจะส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีของประเทศลดลงจากปัจจุบันไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.0 และระดับจีดีพีที่แท้จริงจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการก่อสร้างจากกรณีฐานอีกร้อยละ 1.0 ต่อปี

นายอาคมกล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2555 ว่าการขยายตัวร้อยละ 6.4 จากปีก่อนแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวจากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้รับการสนับสนุนจากการบริโภคภายในประเทศผ่านการดำเนินมาตรการของภาครัฐ เช่น การลดภาษีนิติบุคคล มาตรการรถยนต์คันแรก และการปรับเพิ่มแรงงานขั้นต่ำ เป็นต้น รวมทั้งการผลิตภาคเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งเห็นได้จากการขยายตัวของอัตราการใช้กำลังการผลิตที่กลับมาอยู่ในระดับก่อนสถานการณ์อุทกภัย ในขณะเดียวกัน เสถียรภาพภายในประเทศและต่างประเทศ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ และเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง โดยในปี 2556 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ในอัตราร้อยละ 4.5-5.5 โดยอุปสงค์ภาคต่างประเทศคาดว่า จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

นายอารีพงศ์ฯ กล่าวถึง เสถียรภาพความยั่งยืนเชิงเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนับว่ามีเสถียรภาพมากกว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 อย่างมาก ทั้งจาก 1) ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศและการกระจายตัวของแหล่งการส่งออกอันช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก 2) ความสมดุลระหว่างตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรและธนาคารพาณิชย์ ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาการระดมทุนผ่านช่องทางธนาคารพาณิชย์เพียงอย่างเดียวดังเช่นในอดีต และ 3) ความเพียงพอของเงินทุนสํารองระหว่างประเทศต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้น นอกจากนี้ เสถียรภาพทางการคลังในปัจจุบันอยู่ในระดับดีในระยะต่อไป นโยบายการคลังเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศ ทั้งในด้านการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การปรับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 23 ในปี 2555 และร้อยละ 20 ในปี 2556 และการจัดหาแหล่งทุนให้เพียงพอสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีแผนที่จะเข้าสู่งบประมาณสมดุลในอีก 4-5 ปีข้างหน้า และจะรักษาระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืน

นางสาวจุฬารัตน์ได้กล่าวว่าในช่วงที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ได้มีพัฒนาการที่สำคัญหลายประการ ทั้งในด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ ผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบใหม่ อาทิ พันธบัตรรัฐบาลที่ผลตอบแทนอ้างอิงกับอัตราเงินเฟ้อ และการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ให้นักลงทุนรายย่อยผ่านตู้ ATM เป็นต้น และในด้านการเสริมสร้างสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ไทย ผ่านการขยายช่วงอายุของพันธบัตรรัฐบาลอ้างอิง ออกไปถึง 50 ปี พัฒนาการของตลาดตราสารหนี้ไทยดังกล่าวได้ส่งผลให้ตราสารหนี้ไทยเป็นที่สนใจมากจากนักลงทุนต่างประเทศ นอกจากนี้ แม้ว่าสภาพคล่องภายในประเทศจะมีเพียงพอที่จะสนับสนุนความต้องการกู้เงินของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม

การออกพันธบัตรรัฐบาลในสกุลเงินต่างประเทศยังคงมีความสำคัญที่จะรักษาความตระหนัก และความคุ้นเคยกับตราสารหนี้ไทยนายไพบูลย์ฯ ได้เชิญชวนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นของไทย โดยกล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้ปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยสำคัญจากความมั่งคั่งและกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้นและการลงทุนภาคเอกชนที่เร่งตัว ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับเพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ นายไพบูลย์ฯ เห็นว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่ยังสามารถปรับขึ้นได้อีกจาก P/E Ratio ของไทยที่ 12 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 13-14 เท่า

การพบปะนักลงทุนในครั้งนี้ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างมาก สะท้อนจากความสนใจจำนวนมากของผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมากเข้าร่วมงาน และจากคำถามต่าง ๆ ทางด้านเศรษฐกิจที่นักลงทุนได้สอบถาม ซึ่งประเทศไทยได้ชี้แจงให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนและชัดเจน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประสาร.แจงดอกเบี้ยต่ำ เก็งหุ้น-อสังหาฯ


ประสาร.แจงราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั้งตลาดหุ้น-อสังหาฯ วิ่งขึ้น จากปัจจัยดอกเบี้ยต่ำ ทำคนออมมองหาทางเลือกการลงทุนอื่น ย้ำไม่เกี่ยวทุนนอกไหลเข้า

ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มมีการตั้งคำถามมากขึ้นว่า "ดอกเบี้ยนโยบาย" ของไทยที่ 2.75% เป็นระดับที่ “สูง” เกินไปหรือไม่...และดอกเบี้ยระดับนี้ ถือเป็นตัวดึงดูดเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้สภาพคล่องการเงินในประเทศล้น ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ ที่ปรับขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ราคาอสังหาริมทรัพย์ จนเข้าข่ายว่า "ฟองสบู่" ใช่หรือไม่ ?

เรื่องนี้ บนเวทีเสวนา "Nation Exclusive Insights for CEOs : จับสัญญาณ ค่าเงินบาท 2013" ซึ่งมีขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้อธิบายทุกข้อสงสัย โดยระบุว่า คำอ้างที่บอกกันว่า ดอกเบี้ยไทยสูง ทำให้เงินทุนไหลเข้า ส่งผลต่อเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้สภาพคล่องในระบบเพิ่ม จนกระทบต่อราคาสินทรัพย์และเกิดเป็นฟองสบู่ขึ้นมานั้น แถมยังบอกวิธีแก้ด้วยว่า ควรต้อง “ลด” ดอกเบี้ย...เรื่องนี้ "ประสาร" ยืนยันว่า ล้วนเป็น "มายาคติ" ทั้งสิ้น

สาเหตุที่มองเช่นนั้น เพราะแท้จริงแล้ว เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามา ไม่ได้ทำให้สภาพคล่องเงินบาทในระบบเพิ่มขึ้น โดยเงินดอลลาร์ที่เข้ามาเป็นการแลกเงินบาทซึ่งมีอยู่แล้วในระบบ เว้นแต่ ธปท.จะเข้าไปรับซื้อเองถึงจะทำให้ปริมาณเงินบาทในระบบเพิ่มขึ้น แต่ทุกครั้งที่ ธปท. เข้าไปรับซื้อ ก็มักจะดูดเงินบาทเหล่านั้นกลับเข้ามาด้วยการออกพันธบัตร เพื่อรักษาปริมาณเงินในระบบไม่ให้มีมากเกินไป...ดังนั้นข้อกล่าวหาเงินทุนไหลเข้า ดันสภาพคล่องในระบบเพิ่มจนเกิดฟองสบู่นั้น เป็นแค่ “มายาคติ” ตัดทิ้งได้เลย

แล้วราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากอะไร?..."ประสาร" อธิบายว่า เป็นเพราะดอกเบี้ยไทยอยู่ระดับต่ำ โดยเฉพาะดอกเบี้ยแท้จริงที่หักเงินเฟ้อแล้วติดลบ ทำให้ผู้ออมเริ่มมองหาทางเลือกการลงทุนอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนได้มากกว่าการฝากเงิน

เขาบอกว่า ถ้าดูผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ของการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ จะเห็นว่า เงินฝากประจำ 12 เดือน ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงแค่ 2% เทียบกับการลงทุนในคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเฉลี่ยที่ 6.4% ขณะที่การลงทุนในคอนโดมิเนียมตามหัวเมืองใหม่ๆ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 9.9% และการลงทุนในตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 28.9% ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งตลาดหุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น

"พวกนี้ถือเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนอยากเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ถ้าเราปล่อยให้ดอกเบี้ยต่ำไปนานๆ คนมีเงินออมจะรู้สึกอยากขยายไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า ยิ่งถ้าดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ คนฝากเงินจะมองว่าไม่คุ้มค่า เริ่มมองหาแหล่งลงทุนอื่น ดังนั้นสาเหตุการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์เหล่านี้ จึงเกิดจากการที่เรามีดอกเบี้ยต่ำ ไม่ใช่เพราะดอกเบี้ยสูง"

นอกจากนี้ดอกเบี้ยที่ต่ำยังเป็นตัวเร่งความรู้สึกของคนให้อยากใช้เงิน เพราะมองว่าดอกเบี้ยระดับนี้ไม่ได้เป็นภาระ เห็นได้จากสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อครัวเรือนซึ่งปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 21.6% ในขณะที่หนี้ครัวเรือนช่วง 4-5 ปีมานี้ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่ 58% มาอยู่ที่ 73% ในปีล่าสุด

"ประสาร" บอกด้วยว่า ราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนั้น ถ้าดูลึกในรายละเอียดจะเห็นว่า ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นเพราะแรงซื้อของคนในประเทศ มากกว่าที่จะเป็นแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ เพราะถ้าดูในตลาดหุ้น จะเห็นว่าหุ้นที่ขึ้นร้อนแรงส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งหุ้นพวกนี้นักลงทุนต่างชาติไม่เข้าลงทุนอยู่แล้ว ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ ก็มีกฎชัดเจนว่า ห้ามต่างชาติถือครองที่ดิน

"อย่าไปอ้างว่า เงินทุนไหลเข้าทำให้หุ้นขึ้นร้อนแรง เพราะส่วนใหญ่เป็น local investors ไม่ใช่ foreign investors"

ส่วนคำกล่าวอ้างที่มักจะพูดกันว่าดอกเบี้ยของไทยสูงกว่าต่างประเทศ ทำให้เงินทุนไหลเข้ามานั้น “ประสาร” บอกว่า คงต้องดูว่าวัดจากอะไร เพราะถ้าวัดกับอัตราดอกเบี้ยของประเทศอื่นในภูมิภาคแล้ว ของไทยไม่ได้สูงกว่าคนอื่นเลย ซึ่งในภูมิภาคหากไม่นับสิงคโปร์กับฮ่องกงแล้ว มีเพียงไต้หวันประเทศเดียวที่ดอกเบี้ยต่ำกว่าไทย และถ้าดูอัตราดอกเบี้ยแท้จริงจะเห็นว่า ของไทยต่ำสุดในภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันติดลบอยู่ 0.64%

นอกจากนี้ เท่าที่ทำการศึกษาในเชิงสถิติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้น พบว่า ประเด็นที่มีอิทธิพลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายมากที่สุด คือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ทำให้เกิดภาวะ Risk on (กล้ายอมรับความเสี่ยง) หรือ Risk off (กลัวความเสี่ยง) ซึ่งมีอิทธิพลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายถึง 18% รองลงมา คือ การเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยน สัดส่วนอยู่ที่ 15%

ส่วนถัดมา คือ ภาวะเศรษฐกิจ โดยดูจากความเชื่อมั่นทางธุรกิจ สัดส่วนอยู่ที่ 11% อันต่อมา คือ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 10% ในขณะที่ปัจจัยเรื่องส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ย มีความสัมพันธ์ต่อการเคลื่อนย้ายของเงินทุนน้อยมาก แค่ 3% เท่านั้น สะท้อนว่าเรื่องดอกเบี้ยมีผลต่อการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศน้อยมาก

"ถ้าย้อนไปดูช่วงเดือนต.ค. ถึงเดือนธ.ค. 2554 ช่วงนั้นดอกเบี้ยนโยบายของเราสูง 3% เศษ แต่เงินไหลออก ในขณะที่เดือนม.ค. 2555 ดอกเบี้ยนโยบายลดต่ำลงกว่า 3% แต่ปรากฏว่าเงินทุนไหลเข้า ซึ่งประเด็นนี้อธิบายในเชิงสถิติได้ว่า ดอกเบี้ยมีความสัมพันธ์กับเงินทุนไหลเข้าน้อยมาก"


ทั้งหมดนี้ คือ คำชี้แจงจาก ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ซึ่งปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ว่า “ดอกเบี้ยสูง” เป็นตัวการดึงดูดเงินทุนไหลเข้า ทำให้สภาพคล่องในระบบล้น จนเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ เพราะภาพทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ “มายาคติ” เท่านั้น!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

ดอนเมืองบทพิสูจน์ ยุค ปชป. !!?


ทุกครั้งที่เรานั่งรถผ่านสนามบินดอนเมือง อดคิดไม่ได้ว่า ยุคหนึ่งที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ครองเมือง ได้สั่งการให้ปิดสนามบินที่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์ของการเดินทางทางอากาศหายไปแบบสูญเปล่า แถมต้องใช้งบรัฐคอยปัดหยากไย่ไม่ให้อาคาร และอุปกรณ์ต่างๆ ต้องเสียหายเพราะทิ้งร้างอีกถึงปีละเกือบ 750 ล้านบาท

เพราะไปยกอำนาจให้นักการเมืองระดับ “ซาเล้ง” ของพรรคร่วมรัฐบาล ขณะนั้น ใช้มันสมองส่วนไหนก็ไม่รู้ “ปิดสนามบิน” เหมือนทารกไร้เดียงสา

คิดจะขายขนมก็เปิดขาย แต่พอคิดจะไม่ขาย ก็ปิดร้านเอาดื้อๆ

ผู้นำรัฐบาลขนาดคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนั้น ไม่ทัดทาน แม้แต่จะหาทางชะลอปิดสนามบินก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด เนื่องด้วยเกรงว่า พรรคภูมิใจไทยจะงอแงไม่ร่วมรัฐบาลหรือเปล่า

หรือว่า หากปิดสนามบินด้วยเหตุผลที่ขุดมาจากหลุมไหนก็ไม่รู้ แค่พอฟัง ได้ก็ยอมตามพรรคเล็กเหมือน “งูแพ้เชือกกล้วย”

ทั้งๆ ที่อำนาจเต็มเปี่ยมอยู่ในมือนายกรัฐมนตรีแท้ๆ

ดอนเมืองจึงเป็นสนามบินที่รกร้างอย่างน่าเสียดายและเสียหายยิ่ง เพื่อสนองตัณหาบางอย่างเพื่อพุ่งเป้าไปยังสนามบินแห่งใหม่ที่ฟู่ฟ่าล่าสุดอย่าง “สุวรรณภูมิ”

“เวลา” ผ่านมาถึงวันนี้ที่เป็นตัวตัดสิน ให้ผู้คนเขาเห็นและรู้ทันนักการเมืองบางกลุ่มบางพวกว่า การปิดสนามบินดอนเมืองขณะนั้น “มีวาระซ่อนเร้น” ที่เป็นผลประโยชน์ของใครบางคนไม่ใช่น้อย

เมื่อสนามบินดอนเมืองถูกเปิดใช้อีกครั้งในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรากฏว่าแค่ 3 เดือนแรก (ตุลาฯ-ธันวาฯ 2555) ก็เห็นตัวเลขชัดทันทีว่ามีรายได้ เกือบ 800 ล้านบาท...ประเมินกันว่ารายได้ทั้งปีน่าจะประมาณ 3,000-4,000 ล้าน บาท (ยังไม่รวมธุรกิจรอบสนามบินที่คึกคักทันตาอีกต่างหาก)

นี่ขนาดอนุญาตให้สายการบินโลว์คอสต์แค่ 3 เจ้าบริการเท่านั้น แถมยังไม่เปิดใช้ในส่วนของคลังสินค้า (Cargo) ซึ่งจะทำรายได้เพิ่มอีกมาก

พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเปิดใช้เต็มอัตราศึก รับผู้โดยสารที่ปริมาณ 15-16 ล้านคนต่อปี จะมีรายได้ครบวงจรอีกมหาศาลแค่ไหน

แต่สนามบินดอนเมืองปิด 3 ปี ต้องจ่ายค่าดูแลรักษามากกว่า 2,200 ล้านบาท เสียมูลค่าเชิงพาณิชย์ที่เกิดกับสนามบินและธุรกิจภาคเอกชนรอบๆ สนามบิน ที่มีแต่กำไร ต้องสูญหายไปอย่างน่าเขกหัว

ผมไม่ใช่นักประเมินทางธุรกิจ แต่ก็มีปากถามผู้เชี่ยวชาญบางคนได้ คำตอบคือ มันมีมูลค่าไม่น้อยกว่าปีละ 5,000 ล้านบาท ถ้าปิดสนามบิน 3 ปี เงินที่ควรได้ก็หายเป็นลมไป 15,000 ล้านบาท
ถามว่าคุณโสภณ ซารัมย์ เจ้ากระทรวงคมนาคมแห่งพรรคภูมิใจไทย อดีต ครูผู้ช่ำชองจากหนองหมาว้อ แกเคยประกาศรับผิดชอบแสดงความภูมิใจในผลงาน ชิ้นโบดำให้พรรคตนเองและประชาชนคนไทยสักกระผีกไหมเนี่ย

แล้วอดีตผู้นำอภิสิทธิ์ละครับ ไม่รับทราบ ไม่รู้ไม่ชี้แบบ “ใบ้กิน” หน้าตาเฉย กันเลยหรือ

หรือว่าเห็นแต่ความผิดพลาดของผู้นำคนอื่น ก็ขยันตอกย้ำเหลือเกินให้คน อื่นรับผิดชอบ

แต่ไม่เคยเห็นความผิดพลาด บกพร่องในฐานะผู้นำรัฐบาลของตนเองแม้แต่น้อยหรือว่าลืมอดีตหมดสิ้น สมอง “เออเร่อ” จำอะไรไม่ได้...เพราะแค่เรื่องโรงพัก ร้าง 396 แห่ง กับเรื่องความตายของคนไทย 90 กว่าศพในยุคที่ท่านเป็นนายกฯ ก็แทบกระอักโลหิตจะบ้าตายอยู่แล้ว

กรณีปิดสนามบินดอนเมือง จึงเป็นบทพิสูจน์การบริหารงานยุครัฐบาลอภิสิทธิ์อีกตัวอย่างหนึ่งที่คนไทยไม่ควรทำเป็นลืม แต่ต้องฉุกคิดทบทวนมากกว่า ว่า คนที่เป็นผู้นำนั้นต้องรับรู้ รับทราบและถือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งส่วนตัวและส่วนรวมตลอดไปในฐานะผู้อาสาเข้ามามีพันธสัญญากับประชาชน ทั้งแผ่นดินเป็นบทพิสูจน์ว่า มีความสามารถในเชิงการบริหารประเทศ รวมทั้งเป็นประวัติ ผลงานชั้นเยี่ยม หรือชั้นแย่แค่ไหน...โดยหยิบเอาไปเปรียบเทียบเป็นตัวชี้วัดในการ บริหารบ้านเมืองทั้งขนาดใหญ่ และระดับบริหารเมืองหรือมหานครได้อย่างเป็นรูปธรรมจะบริหารประเทศหรือบริหารเมืองเล็กเมืองใหญ่ก็ตาม เขาไม่ได้วัดกันที่ ปากเก่งปากดีอย่างเดียวหรอกครับ!

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////

ลุงจิ๋ว..เชนคัมแบ็ก.เคลียร์ไฟใต้ !!?


กรองสถานการณ์ “ไฟใต้” ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปทุกขณะ...เหตุการณ์ความไม่สงบนี้ เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวมไปถึง 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ซึ่งกอปรไปด้วย อำเภอจะนะ นาทวี เทพา และสะบ้าย้อย โดยมีเหตุความรุนแรงไปทุกหัวระแหง ทั้งเหตุลอบทำร้าย วางเพลิง วางระเบิด จนมีผู้บาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมากถือเป็นความพยายามที่จะเปิดประตู ไปสู่ “มิคสัญญี” ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ

แม้ที่ผ่านมาจะเคยมีการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่การ “แบ่งแยกดินแดน” ในจังหวัดปัตตานีมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ได้ถูก “ขยายวง” จนเริ่มบานปลายไปสู่พื้นที่ ใกล้เคียงหลังจากปี 2547 เป็นต้นมา เกือบทุกรัฐบาลได้เล็งปรับกลยุทธ์ใหม่ และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไปมากมาย แต่สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ แม้ จะเปลี่ยนตัวบุคคลที่มา “รับผิดชอบ” มาแล้วกี่คนก็ยังมิอาจคลี่คลาย ทำให้ “ฝ่ายการเมือง” เริ่มถูกถล่ม จมกระเบื้องว่า “แก้ปัญหาไม่ได้...ทำงานไม่เป็น” พอมาถึงยุคที่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ทำหน้าที่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็พยายามเข้าไปแก้ปัญหา และ “สร้างผลงาน” ด้วยการประกาศ “เคอร์ฟิว” ในตำบลกระสุนตก “3 จังหวัดชายแดน” และ 4 อำเภอในพื้นที่สงขลา แต่ได้ถูก “กองทัพ” ท้วงติงกลับมาว่า “ทำทุกอย่าง ดีอยู่แล้ว...” และคง “ไม่จำเป็น” ต้องใช้ “เคอร์ฟิว” เข้ามาตีกรอบคนในพื้นที่ จึงเป็น “เหตุ” ที่ทำให้หลายคนชี้ไปถึง “ความไม่เป็นเอกภาพ” ของฝ่ายการเมืองและกองทัพ?!!

ที่ผ่านมาแม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะเคยไขยุทธ ศาสตร์ “ดับไฟใต้” ร่วมกันมาแล้ว จากนโยบายเปิดเวทีสันติภาพของ “นายกฯ ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เล็งใช้ “ฝ่ายความมั่นคง” เป็นตัวกลางเข้าเจรจากับ “กลุ่มก่อความไม่สงบ” ที่มีเบื้องหลังยึดโยงไปถึง “ก๊วนการเมือง” ทั้งระดับชาติและท้องถิ่น... แต่ที่สุดก็คว้าน้ำเหลวอีกเช่นเคย จวบจนล่าสุด เมื่อข่าวปรับ “ครม.ปู 4” ถูกจุดขึ้นมาเป็นระลอก พลันเกิดกระแส “เปลี่ยนตัว” ผู้รับผิดชอบสายความมั่นคง ที่มี “ข่าววงใน” เขย่าออกมาว่า...“วังจันทร์ส่องหล้า” เริ่มขยับแล้ว โดยทาง “ซ้อใหญ่” แห่งอาณาจักรชินฯ เล็งยกเก้า อี้เสนาบดี...ปูนบำเหน็จให้แก่ “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ที่เคยช่วย เคลียร์ทาง-เคลียร์ใจให้คนในครอบครัวอยู่ บ่อยครั้ง

ล็อกสเปกให้ “บิ๊กจิ๋ว” เชน..คัมแบ็ก!! เข้ามาดูแลงานด้านความมั่นคง แทนที่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ด้วยสาเหตุที่ว่า “รัฐบาล” กำลังถูกต้อนเข้าสู่ทางตัน จากปัจจัยความล้มเหลวในการแก้ปัญหาภาคใต้ เพราะถือเป็น เรื่องที่ “อ่อนไหว” และ “เปราะบาง” อย่างยิ่ง...จนทำให้ “คนไกล” และ “เจ๊ใหญ่-เจ๊เล็ก” ที่เกาะกุมอำนาจแห่งรัฐนาวา พยายามปัดฝุ่น “คัมภีร์จิ๋ว” เอามา ใช้เป็น “โรดแมป..ดับไฟใต้” เหมือนดังเช่น “นโยบาย 66/2523” ที่เคยใช้สลาย คอมมิวนิสต์ได้ผลมาแล้ว บทบาทของ “พล.อ.ชวลิต” นั้น ได้มีการวิเคราะห์กันไปหลายทาง ทั้งการเป็น “สายเหยี่ยว” ซึ่งปฏิบัติการลับใต้ดิน หรืออยู่ในสถานการณ์หลังฉาก กับอีกบทบาทใน “สายพิราบ” ด้วยคัมภีร์แห่งการนิรโทษ กรรม ตามแบบฉบับของคำสั่งสำนักนายก รัฐมนตรีที่ 66/2523 นำมาซึ่งการวางอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย

ทั้งนี้หาก “เอกซเรย์” ให้ถึงเนื้อในแล้ว “พล.อ.ชวลิต” ย่อมตรงสเป็กที่สุด เพราะเคยเป็นทั้งอดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตนายกรัฐมนตรี เส้นทางของ “พล.อ.ชวลิต” ก่อนการยึดอำนาจ “19 กันยายน 2549” เพื่อโค่นล้มรัฐบาล “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ในขณะนั้น “พล.อ.ชวลิต” ยังเดินเคียงข้าง “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งถูกฝ่าย “ทักษิณ” ประทับตราว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่นับจากนั้นอีก 2 ปี เมื่อ “พรรคพลังประชาชน” ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และได้กลับมาเป็นรัฐบาล “พล.อ. ชวลิต” ก็ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง “รองนายก รัฐมนตรี” ในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แล้วหลังหมดอายุขัย “รัฐบาลสมชาย” ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้โอกาสจัดตั้ง “รัฐบาลในค่ายทหาร” โดยที่ “พรรคเพื่อไทย” ตกอยู่ในฐานะ “ฝ่ายค้านพรรคเดียว” ทาง “พล.อ.ชวลิต” ได้ตัดสินใจเดินกลับเข้ามาสู่วังวนการเมืองอีกครั้ง ด้วยการเข้าสวมเสื้อ “พรรคเพื่อไทย” ประกาศตัวสู้ใน “สงครามครั้งสุดท้าย” ..อยู่ฝ่าย “ทักษิณ” ซึ่งเท่ากับว่าต้องยืนคนละฟากฝั่งกับ “ป๋าเปรม” อย่างเต็มตัว

จากนั้นในทุกย่างก้าวของ “พล.อ. ชวลิต” ไม่ว่าจะเหยียบย่างไปที่ไหน “อดีตขงเบ้งแห่งกองทัพไทย” ก็สามารถกำหนดเกมสั่นคลอน “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ทุกครั้ง ด้วยบารมี และสายสัมพันธ์อันแนบ แน่นกับ “กลุ่มอำนาจ” รวมถึงการเป็น “มือประสานสิบทิศ” ที่สามารถเข้าได้กับ ทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับ “ป๋าเปรม” ที่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มชนชั้นนำ ก็ย่อมจะเป็นผลดีมากกว่าสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความสำคัญของ “รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง” ซึ่ง “พล.อ. ชวลิต” เคยทำหน้าที่มาแล้วหนหนึ่งนั้น ก็ถือได้ว่าเป็น “ห้องเครื่องใหญ่” ที่คุมความมั่นคงทางการเมืองของ “รัฐบาลปู” อีกทั้งยังเป็นเกราะกำบังกายให้ “รัฐบาล” สามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางมรสุมรุมเร้า ซึ่งผู้ที่มาดูแลต้องเข้าใจ “ขุนทหาร” ทุกฝ่ายเป็นอย่างดีและสามารถเชื่อมโยงกับกองทัพได้ ที่สำคัญคือสายสัมพันธ์อันแนบแน่น กับ “กลุ่มก๊วนการเมือง” ที่ทรงอิทธิพลในพื้นที่ชายแดนใต้ ย่อมทำให้ภารกิจผลักดันสันติภาพหนนี้ น่าจะดำเนินไปอย่าง ราบรื่นมากขึ้น...!!!

ในอีกด้านหนึ่ง การปรับทัพใหม่โดย ดึงคนหน้าเก่าเข้ามาร่วมวง “รัฐบาลปู 4” นอกจากเป็นเชื้อไฟให้ “ฝ่ายตรงข้าม” เบี่ยงเป้ากระสุนไปตกใส่ “พล.อ.ชวลิต” แล้ว..ยังเป็นการซึมลึกแนวทางสถาปนา “เขตปกครองพิเศษ” ที่มีผู้ดูแลมาจากการ เลือกตั้งใน 3 จังหวัดไฟใต้ ซึ่งลอกแบบมาจากข้อเสนอตั้ง “นครรัฐปัตตานี” ที่ให้มีรูปแบบการปกครองแบบเมือง “ชินเกียว” ในสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมดึงคนในท้องถิ่นมาร่วมแก้ปัญหา ซึ่งประเด็นนี้ได้มีการพูดกันมาตลอดทุกรัฐบาล ท่ามกลางกระแส “บิ๊กจิ๋ว..รีเทิร์น” สู่รัฐบาล “ปู 4” ได้เกิดคำถามตามมามากมาย ว่าเหตุใดต้องเป็น “พล.อ.ชวลิต” ทั้งที่ชื่อนี้ไม่ต่างจาก “สายล่อฟ้า” นั่นย่อม สะท้อนถึง “นัยสำคัญ” ทางการเมืองในเดือนเมษายนที่ “คนไกล” มองทะลุปรุ โปร่งที่ต้องใช้คนอย่าง “บิ๊กจิ๋ว” มากำกับภารกิจใหญ่หลวงนี้

ภารกิจสำคัญที่ “คนไกล” มอบหมายคือการใช้ท่อร้อยสายพันคอนเน็กชั่น ที่มีความสนิทสนมกับเหล่าหมู่มวลสหาย เพื่อเจรจาต่อรองไม่ให้เข้าร่วมกับ “ทิศทางไทย” และ “พคท.” ในการคัดค้าน 3 ภารกิจใหญ่และสกัดแผนโค่นล้ม “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ว่ากันว่า การต่อรองระหว่าง “ผู้มากบารมีในรัฐบาล” กับ “พล.อ.ชวลิต” ได้พูดคุยกันถึง 2 ขยัก โดยขยักแรกทีมงานของ “บิ๊กจิ๋ว” ต้องเดินทางไปขึ้นเครื่อง บินที่มาเลเซีย เพื่อบินไปพบ “คนไกล” ที่สิงคโปร์ เพื่อต่อรองเงื่อนไขในการเข้าร่วม รัฐบาล ขยักที่สอง...ทีมงานคนดังกล่าวต้อง นำความจาก “คนไกล” มาต่อรองกับ “บิ๊กจิ๋ว” ว่ารอบนี้ห้ามทิ้งพาย โดดเรือหนีเหมือน รอบที่แล้วเป็นอันขาด

สรุปคือ 2 ฝ่าย เคาะกันจบเสร็จสรรพ เหลือเพียงแค่ภารกิจของ “คนไกล” ที่ต้องไปต่อรองกับ “นายกฯ ปู” ซึ่งมีฝ่าย ที่ไม่เห็นด้วยกับการมาของ “บิ๊กจิ๋ว” อย่างไรก็ดี ในเมื่อเป็นโควตา “ฝ่ายความมั่นคง” ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโควตา “ก๊วนไทยคู่ฟ้า”.. จึงมีแนวโน้มเป็น ไปได้สูงว่ารอบนี้ “พี่ชาย” จะกล่อม “น้องสาว” สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี...การปรับ ครม. หลังการปรับเล็กเฉพาะ โควตาพรรคชาติไทยพัฒนา หากมีชื่อของ “พล.อ.ชวลิต”...“ขงเบ้งแห่งกองทัพไทย” เข้าร่วมทีม “เสนาบดีปู 4” ในฐานะ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็มีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะไป “กินรวบ” ...ควบเก้าอี้ “ว่าการกลาโหม” หากกระแสคัดค้านไม่รุนแรง เช่นที่ว่านี้ “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อาจกลายเป็น “จิ๊กซอว์” ชิ้นสุดท้าย ที่มีส่วนสำคัญยิ่งต่อกระบวน- การผลักดัน “สันติภาพ” ให้ปรากฏขึ้นใน แดนมิคสัญญี ในขณะที่ “ไฟใต้” กำลังลามเลียไปทุกหัวระแหง?!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สัญญาณเสื่อม คนไทยเมินศาสนา !!?


ทั้งที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่จากผลสำรวจความเห็นความเข้าใจของคนไทยต่อวันมาฆบูชาอันเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาโดยสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญกลับสะท้อนให้เห็นสัญญาณแห่งความเสื่อมและน่าวิตกเพราะคนส่วนใหญ่ถึง 81.6% ที่ไม่ทราบถึงหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงในวันมาฆบูชา มีเพียง 18.4% เท่านั้นที่ทราบว่าหลักธรรมสำคัญในวันมาฆบูชาก็คือโอวาทปาติโมกข์

วันมาฆบูชานั้นเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนา โดยเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ 4 ประการคือเป็นวันเพ็ญเดือน 3 ที่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า 1,250 รูปมาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในนครราชคฤห์โดยมิได้นัดหมาย และทุกองค์ที่มาประชุมล้วนเป็นผู้ได้
รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น อีกทั้งล้วนเป็นผู้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุกองค์ และที่สำคัญพระพุทธเจ้าได้แสดงโอวาทปาติโมกข์แก่เหล่าพระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก

ยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มคนที่ทราบว่าหลักธรรมสำคัญในวันมาฆบูชาคือโอวาทปาติโมกข์แต่มีเพียง 38.9% เท่านั้นที่รู้ความหมายสาระของโอวาทปาติโมกข์ที่หมายถึงการทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ขณะที่ส่วนใหญ่ 61.1% ไม่เข้าใจความหมายคำว่าโอวาทปาติโมกข์

ด้านผลสำรวจของนิด้าโพลล์ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์(นิด้า)สะท้อนแนวโน้มสถานกรณ์ที่น่าวิตกยิ่งกว่า โดยประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 67.64 ไม่ทราบว่าวันมาฆบูชามีความสำคัญอย่างไร

ปรากฏการณ์ที่สะท้อนจากผลสำรวจของโพลล์ ทั้งสองสำนักชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมของคนไทยที่นอกจากนับวันจะเหินห่างจากศาสนาและวัดแล้ว ในกลุ่มที่ยังสนใจศาสนาอยู่บ้างกลับยึดถือแต่เพียงพิธีกรรมนั่นคือเข้าวัดเวียนเทียน โดยหาเข้าใจถึงแก่นแท้หัวใจในปรัชญาหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่

การที่นับวันคนไทยจะห่างเหินและไม่เข้าใจหัวใจแห่งหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาก็เนื่องจากค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นและยึดถือวัตถุ และถูกสิ่งเย้ายวนมอมเมาต่างๆ ดึงดูดความสนใจจนไม่สนใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนา จึงไม่แปลกที่ผลสำรวจของโพลล์แทบจะทุกสำนักในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่ยอมรับนักการเมืองที่เก่งแต่โกง หรือยอมรับแม้แต่การที่นักการเมืองโกงบ้านกินเมืองแล้วนำเงินทุจริตมาแบ่งปันคืนให้สังคมบ้าง

นอกจากการที่คนรุ่นใหม่ไม่สนใจหลักพุทธศาสนาหรือแม้แต่การเข้าวัดก็เพราะขาดการปลูกฝังรณรงค์อย่างจริงจังและการทำตัวเป็นแบบอย่างให้เยาวชนหันมาสนใจพุทธศาสนาทั้งจากภาครัฐ บุคคลสาธารณะที่เป็นผู้นำของสังคม รวมทั้งครอบครัว ซ้ำร้ายไปกว่านั้นแม้แต่พระสงฆ์โดยเฉพาะพระเถระชั้นผู้ใหญ่บางรูปยังประพฤติตัวไม่เหมาะสมทำให้ประชาชนโดยเฉพาะในหมู่เยาวชนยิ่งเสื่อมศรัทธาไม่สนใจพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ด้วยวิถีชีวิตของสังคมยุคใหม่ที่ทุกคนต่างต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาในการหาเลี้ยงชีพแบบปากกัดตีนถีบ มือใครยาวสาวได้สาวเอาโดยมุ่งเพื่อวัตถุนิยมเป็นสำคัญซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นับวันคนไทยจะเหินห่างจากพระพุทธศาสนาและวัดออกไปทุกที เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ของแต่ละวันหมดไปกับการทำงานที่เผชิญปัญหาเคร่งเครียดมากมายในแต่ละวันทั้งการเร่งรีบ การจราจรที่ติดขัด และความเครียดจากการทำงาน และเมื่อกลับถึงบ้านก็หมดเรี่ยวแรงที่จะมานั่งตั้งสติทบทวนตัวเองหรือศึกษาเรื่องศาสนา

แนวโน้มสถานการณ์ที่คนไทยห่างเหินจากพระพุทธศาสนาจึงถือเป็นสัญญาณที่น่าวิตกเพราะการที่สังคมโลกหรือสังคมไทยตึงเครียด ปั่นป่วน วุ่นวายทั้งในอดีต ปัจจุบัน และยังจะเกิดขึ้นในอนาคตก็เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามปรัชญาของพระพุทธศาสนา ซึ่งในทางตรงกันข้ามหากมนุษยชาติหรือคนไทยปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วแน่นอนว่า โลกและประเทศไทยจะอยู่เย็นเป็นสุขสงบสันติและเจริญรุ่งเรือง ไม่ปั่นป่วนตึงเครียดขัดแย้งอย่างที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

ที่่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////////

นายกฯ ให้ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการท่องเที่ยวฮ่องกง เน้นพัฒนาเส้นทางคมนาคม.


ณ โรงแรม Island Shangri-La ฮ่องกง คณะผู้แทนระดับสูงของบริษัทท่องเที่ยวฮ่องกง เข้าเยี่ยมคารวะและหารือกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อแลกเปลี่ยความคิดเห็นและแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและฮ่องกง สรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณบทบาทสำคัญของบริษัทท่องเที่ยวฮ่องกง ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะพันธมิตรที่ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พร้อมทั้งขอขอบคุณ สมาพันธ์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฮ่องกง ที่ให้ความเชื่อมั่นต่อนักเดินทางในการเดินทางไปประเทศไทย ปัจจุบัน รัฐบาลมีการส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยใหม่ๆให้มีความหลากหลาย ทั้งแหล่งช็อปปิ้ง ธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งขณะนี้ ไทยกำลังพัฒนาเส้นทางคมนาคม การขยายสนามบิน เพื่อเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน ไปจนถึงภูมิภาค ซึ่งการพัฒนาเส้นทางต่างๆ จะช่วยเพิ่มศักยภาพรองรับการท่องเที่ยวให้มีการเดินทางที่สะดวก มีทางเลือกในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นรถไฟ หรือทางอากาศ รวมทั้งการนำไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ

นอกจากนี้ ไทยกำลังพัฒนาการท่องเที่ยวในเชิง Medial Tourism ซึ่งไทยจะเป็น Medical Hub ของภูมิภาค ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจในการท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วย รวมทั้ง จะร่วมมือกับสมาพันธ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวฮ่องกงในลักษณะ Strategic Partnership ต่อไป ในโอกาสนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวฮ่องกงได้แสดงความเชื่อมั่นในการส่เงสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่มีความพร้อมและความสะดวก อีกทั้ง ไทยถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของฮ่องกง และหากไทยพัฒนาเส้นทางการเดินทางให้กว้างขวางและหลากหลาย ตามที่ไทยวางแผนไว้ ก็จะยิ่งช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สรรพสามิตมึนรีดภาษีน้ำมันวืดเป้า เหตุคนใช้รถแห่เติมเอ็นจีวี-แอลพีจี !!?


นายสมชาย พูลสวัสดิ์  อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่ากรมฯกำลังติดตามการจัดเก็บภาษีน้ำมันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากต่ำกว่าประมาณการค่อนข้างมาก โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 พบว่าจัดเก็บภาษีน้ำมันได้ 21,406.58 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 4,604.66 ล้านบาท คิดเป็น -17.70% จากที่คาดไว้คือ 26,011.24 ล้านบาท ส่วนในเดือนมกราคม2556 ภาษีน้ำมันจัดเก็บได้ 5,856 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 1,046 ล้านบาท คิดเป็น 15.2%

การจัดเก็บภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันได้ต่ำกว่าประมาณการเนื่องจากมีการใช้ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) และก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ทดแทนเบนซินเพิ่มมาก อีกทั้งรถรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมามีการติดตั้งเอ็นจีวีออกมาจากบริษัทเลย เห็นได้ขณะนี้สัดส่วนการใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้นจากเมื่อช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 เฉลี่ยเดือนละ 200 ล้านกิโลกรัม แต่ในช่วง 6 เดือนหลัง ปี 2555 เพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 30 ล้านกิโลกรัม เป็น 230 ล้านกิโลกรัม

สำหรับภาษีน้ำมันที่ประมาณการไว้ไม่ได้รวมภาษีดีเซลที่ขณะนี้ลดให้เหลือ 0.005 บาท/ลิตร จากเดิมที่เคยเก็บอยู่ 5.31 บาท/ลิตร การลดภาษีน้ำมันดีเซลทำให้กรมฯต้องสูญเสียรายได้เดือนละกว่า 9,000 ล้านบาทซึ่งต่ออายุการลดภาษีน้ำมันเป็นรายเดือนมานานเกือบ 2 ปีแล้วตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเก็บคืนภาษีดีเซลเมื่อไหร่ เพราะเป็นการตัดสินใจของระดับนโยบาย

“ยอมรับว่าในช่วงน้ำมันแพงโดยเฉพาะเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 95 ที่มีราคากว่า 40 บาท/ลิตร ทำให้รถยนต์หันไปใช้ก๊าซฯ มากขึ้น แม้ว่าการจัดเก็บภาษีน้ำมันต่ำกว่าเป้าหมายแต่เชื่อว่าตลอดทั้งปียังสามารถจัดเก็บภาษีเป็นไปตามเป้าหมาย 4.12 แสนล้านบาท”นายสมชายกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจัดเก็บภาษีจากน้ำมันไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ในภาพรวมการจัดเก็บภาษีของกรมฯยังสูงกว่าประมาณการ  โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 จัดเก็บรายได้รวม 157,046 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 21,169 ล้านบาท หรือ 15.6% และ สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 41.4%

การจัดเก็บภาษีที่สูงขึ้นเป็นผลดีมาจากโครงการรถยนต์คันแรกที่ทำให้ภาษีสรรพสามิตรถยนต์จัดเก็บได้สูงถึง 60,898 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 20,175 ล้านบาท หรือ 49.5% และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 163.2%  ส่วนภาษียาสูบและภาษีเบียร์จัดเก็บได้รวมกัน 47,500 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 6,400 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุราเมื่อเดือนสิงหาคม 2555

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////

ส.ว.ชี้โรงพักฉาว ส่อซ้ำรอย โฮปเวลล์ เหตุหาทางออกส่งมอบพื้นที่คืนไม่คืบ !!?


กมธ.การยุติธรรมและตำรวจ วุฒิฯ ชี้ปมโครงการโรงพักฉาว มีการตั้งโต๊ะขายช่วงต่อ ส่อมหากาพย์คล้ายโครงการโฮปเวลล์ เหตุไม่รู้ว่าจะบังคับส่งมอบพื้นที่คืนอย่างไร ชี้คนแก้สัญญาต้องรับผิดชอบ
     
  พล.ต.ท.สมยศ ดีมาก ส.ว.สรรหา เลขานุการคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและการตำรวจ วุฒิสภา กล่าวว่าตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า บริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เข้าข่ายมีเจตนาฉ้อโกง โครงการจัดสร้างสถานีตำรวจทดแทนและอาคารที่พักอาศัย (แฟลตตำรวจ) 396 แห่ง ว่า การตรวจสอบของคณะอนุกรรมาธิการพัฒนากิจการตำรวจไม่ได้ชี้ว่าใครผิดใครถูก แต่จากการตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลมีความชัดเจนว่าการขายช่วงต่อเป็นการทำขัดสัญญากับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มีการตั้งโต๊ะขายช่วงต่อ อย่างโครงการโรงพักขนาดใหญ่ราคากลางอยู่ที่ 27 ล้านบาท แต่จ่ายให้บริษัทรับจ้างช่วงต่อ 20 ล้านบาท ขณะนี้โรงพักขนาดกลางและขนาดเล็กก็ลดหลั่นกันลงไป ซึ่งเรื่องนี้คงต่อสู้กันอีกนาน แต่ความเสียหายและเดือดร้อนได้เกิดขึ้นแล้วกับตำรวจทั่วประเทศ
     
 พล.ต.ท.สมยศ กล่าวต่อว่า ตนหวั่นว่ากรณีนี้จะกลายเป็นมหากาพย์การโกงแบบโฮปเวลล์อีกกรณีหนึ่ง เพราะยังไม่แน่ใจว่าถึงจะยกเลิกโครงการไปแล้ว จะบังคับคดีให้เขาส่งมอบพื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้างให้เสร็จได้อย่างไร เพราะจนถึงขณะนี้มี 118 แห่งที่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย ขณะที่อีก 200 กว่าแห่งก็ยังสร้างไม่เสร็จ กรณีดังกล่าวถึงแม้จะพาดพิงไปถึงอดีต ผบ.ตร.หลายคน แต่คนที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงคือคนที่ไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญา ข้ออ้างที่ว่าช่วยประหยัดงบหลวงได้ 800 ล้านบาท มันฟังไม่ขึ้น เพราะถึงวันนี้ความเสียหายมันปรากฏชัดเจนแล้ว ซึ่งได้ข่าวว่าขณะนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เริ่มขยับโดยเตรียมตั้งอนุกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เพราะกรณีดังกล่าวสร้างความเสียหายทั่วประเทศ

ที่มา.ผู้จัดการ
----------------------------------------------------

ความมั่นคง ทางด้านพลังงานไฟฟ้า !!?


คอลัมน์ : คนเดินตรอก โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

ข่าว ที่ท่านรัฐมนตรีพลังงานเรียกทุกหน่วยงานมาหารือเรื่องไฟฟ้าจะดับในเดือน เมษายน โดยให้ทุกหน่วยผลิตไฟฟ้าทั้งน้ำมันเตา และน้ำมันดีเซลเตรียมพร้อม ให้ยืดอายุการใช้งานของโรงไฟฟ้าบางปะกง พระนครใต้ วังน้อย พร้อมเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม 2 และเขื่อนน้ำเทิน 2 ใน สปป.ลาว

สาเหตุ สำคัญมาจากข่าวที่ว่า พม่าแจ้งการหยุดส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา ระหว่างวันที่ 4-12 เมษายนนี้ เนื่องจากต้องหยุดซ่อมบำรุงเพราะเกิดการทรุดตัวของแท่นขุดเจาะ ซึ่งจะเป็น

ผล ให้ก๊าซธรรมชาติหายไปวันละ 1,100 ล้าน ลบ.ฟุต คิดเป็นกำลังผลิต 6,000 เมกะวัตต์ โดยก๊าซที่หายไปจะส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้าในฝั่งตะวันตกของไทยทั้งหมด ได้แก่ โรงไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) โรงไฟฟ้าราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด และโรงไฟฟ้าบริษัท ไตร เอนเนอร์ยี่ จำกัด และโรงไฟฟ้าอื่น ๆ

ข่าวดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น

จริง ๆ คงจะก่อให้เกิดความโกลาหลเสียหายแก่เศรษฐกิจของเราอย่างมาก เพราะอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในอุตสาหกรรมโรงงานต่าง ๆ จะต้องหยุด หรือไม่เช่นนั้น บรรดาโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็คงต้องเตรียม

การตรวจตราเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ หรือถ้าโรงงาน โรงแรม หรือหน่วยธุรกิจใดที่ยังไม่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง ก็ต้องลงทุนติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าสำรอง หากเกิดปัญหาเช่นว่านั้นจริง

ข่าว เช่นว่านี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น จำได้ว่า 2 ปีก่อนก็เคยมีข่าวเรื่องพม่าไม่สามารถส่งก๊าซธรรมชาติให้ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องต้องซ่อมท่อก๊าซธรรมชาติ ซึ่งพอดีเป็นช่วงที่โรงไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำงึม 2 สร้างเสร็จพอดี แล้วข่าวก็เงียบหายไป

การเจรจากับพม่าให้เลื่อนการหยุดส่งก๊าซเพื่อ ซ่อมบำรุงฐานขุดเจาะยาดานา เพื่อให้เลื่อนไปทำการซ่อมในวันที่การใช้ไฟฟ้าของเราไม่อยู่ในช่วงการใช้ไฟ สูงจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ ก็คงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะพม่าก็แจ้งมาว่า หากจะเลื่อนกำหนดการซ่อมบำรุง ทางเขาก็จะกระทบกระเทือนหลายเรื่อง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องทางเทคนิคที่เขาเลื่อนไม่ได้

ความมั่นคงทางด้าน พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงในเรื่องไฟฟ้า นับวันจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประเทศที่มีระดับการพัฒนาสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศอย่างประเทศของเรา

ดู ๆ ไปแล้ว โครงสร้างของอุตสาหกรรมไฟฟ้าซึ่งน่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของเราน่า จะเป็นโครงสร้างที่เปราะบาง เข้าใจว่าระบบไฟฟ้าของเราต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในอ่าวไทยกับแหล่ง ในอ่าวเมาะตะมะในประเทศพม่าถึงร้อยละ 70 แม้ว่าจะเป็นก๊าซจากแหล่งอ่าวไทยเป็นส่วนใหญ่ จากแหล่งในประเทศพม่าเป็นส่วนน้อยก็ตาม

นอกจากนั้น ตามที่ติดตามข่าว ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอ่าวไทยจะค่อย ๆ หมดลงในอีก 10 ปีข้างหน้า ไม่แน่ใจว่าการจะร่วมมือกับกัมพูชาในพื้นที่ที่จะพัฒนาการขุดเจาะก๊าซ ธรรมชาติร่วมกันอย่างที่เราเคยทำกับประเทศมาเลเซีย

ที่จะมีพื้นที่ พัฒนาร่วมกัน หรือที่เรียกว่า Joint Development Area หรือ JDA จะทำได้หรือไม่ เพราะปัญหาการเมืองในประเทศของเราไม่เอื้ออำนวย

ขณะ เดียวกัน โครงการพัฒนาระบบการขนส่งทางบกของเรา ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งทางราง เช่น รถไฟความเร็วสูง หรือระบบรถไฟรางคู่ การขยายท่าเรือน้ำลึก การยกระดับระบบการขนส่งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ ล้วนแต่เป็นโครงการที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่มากขึ้นอย่างมหาศาลในอนาคต

การ ที่จะต้องเร่งพัฒนาแหล่งผลิตไฟฟ้าให้ทันกับความต้องการของประเทศก็ยิ่งมี ความจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น แต่การจะพัฒนาแหล่งผลิตไฟฟ้าภายในประเทศก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เป็นต้นว่า การลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ใครขืนยกขึ้นมาในตอนนี้ก็คงจะถูกต่อต้านอย่างรุนแรง การจะคิดสร้างโรงไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหิน ซึ่งน่าจะเป็นเชื้อเพลิงที่ถูกที่สุดรองลงมาจากการใช้

เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ก็คงจะถูกต่อต้าน

ทั้ง ๆ ที่ปัจจุบันเทคโนโลยีในเรื่องการขจัดมลภาวะจากการผลิตไฟฟ้าด้วย ถ่านหินก็ก้าวหน้าไปมากจนเกือบจะไม่มีปัญหาแล้ว

แหล่ง ที่จะสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าภายในประเทศก็หมดแล้ว ถ้าจะมีเหลือก็คงมีปัญหาเรื่องการอพยพโยกย้ายผู้คนซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เสียแล้ว ตกลงการที่จะตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าในประเทศไม่ว่าจะ

ใช้เชื้อเพลิงอะไรผลิตอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็คงจะเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้แล้ว

จะ มีเหลือก็คือไปลงทุนหาแหล่งผลิตไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วส่งไฟฟ้าเข้ามาขายให้ประเทศไทย ประเทศที่มีศักยภาพที่จะเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าทั้งจากพลังน้ำ หรือเป็นที่ตั้งสำหรับโรงไฟฟ้า

ขนาดใหญ่ ใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่น เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือแม้แต่นิวเคลียร์ ก็เห็นจะมีอยู่เพียง 2-3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และจีน ส่วนเวียดนามก็มีไฟฟ้ายัง

ไม่พอใช้ มีโครงการลงทุนจากพลังน้ำ

ใน ลาว และส่งไปขายในเวียดนาม กัมพูชาก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าในลาว คงไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะผลิตไฟฟ้าส่งเข้ามาขายให้ประเทศไทย มาเลเซียก็เช่นเดียวกัน แหล่งผลิตน้ำมันของมาเลเซียก็อยู่บนเกาะบอร์เนียวเก่าซึ่งก็อยู่ไกล

โครงการสนับสนุนให้เอกชนผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กทั่วไป ก็คงจะไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นตามการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป

ปัญหา เรื่องความมั่นคงทางด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของแหล่งผลิตไฟฟ้า จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องให้ความสนใจให้มากขึ้นกว่านี้อีกมาก

การให้การศึกษาและข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมากับประชาชนก็น่าจะเป็น

สิ่ง จำเป็น ถ้าจะรอจนกระทั่งมีโครงการที่จะลงทุน โดยกำหนดสถานที่แล้วจึงเริ่มให้การศึกษาแก่ประชาชนอาจจะไม่ทันการณ์ และดูจะเป็นการลำเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง

สิ่งที่สำคัญคือ ข้อกล่าวหาถึงผลเสีย

ทาง สภาพแวดล้อมก็ดี ทางนิเวศวิทยาก็ดี ทางสังคมก็ดี โครงการต่าง ๆ ที่ทำมาแล้วที่ได้รับการต่อต้าน เมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฏว่าความจริงเป็นอย่างไร ถ้ามีผลเสียหายก็ได้แก้ไขเยียวยาอย่างไรบ้าง ภาครัฐก็จะได้เผยแพร่ให้เป็นที่ประจักษ์ว่าข้อเท็จจริงต่าง ๆ เป็นอย่างไร เหตุใดประเทศ

ต่าง ๆ ที่ควรใช้ไฟฟ้าต่อหัวสูงกว่าของเราเป็นจำนวนมาก เขาจึงยังสามารถผลิตไฟฟ้าสนองความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งที่เป็นครัว เรือน อุตสาหกรรม โรงงาน

ได้อย่างปลอดภัย

เทคโนโลยีในด้าน การผลิตไฟฟ้า เทคโนโลยีในด้านการป้องกันและการกำจัดมลภาวะได้ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว ก็น่าจะต้องตั้งงบประมาณจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าอื่น ๆ รวมถึงระบบมาตรฐานและการตรวจตราระหว่างประเทศที่เข้ามา

มีส่วนในการ ตรวจสอบควบคุมในเรื่องสิ่งแวดล้อม การป้องกันและขจัดมลภาวะระหว่างประเทศในเรื่องสิ่งแวดล้อม การป้องกันและขจัดมลภาวะระหว่างประเทศซึ่งมีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับก็น่า จะต้องเผยแพร่ให้มากกว่านี้ มิฉะนั้นความตื่นกลัวก็เป็นสิ่งที่จะแก้ไขได้ยาก

ประเด็นสำคัญอีก ประเด็นหนึ่งที่ฝ่ายต่อต้านยกขึ้นมาโจมตีอยู่เสมอก็คือ ไม่เชื่อมั่น และไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและระบบราชการของตน ว่าจะมีประสิทธิภาพในการตรวจตราควบคุมให้ได้มาตรฐานทัดเทียมกับระบบสากล การบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดและตรงไปตรงมา

รวมทั้งระบบยุติธรรม ว่าจะมีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้เกิดความอุ่นใจให้กับประชาชนได้ว่าจะไม่ เกิดปัญหาในเรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ ได้

เมื่อเกิดปัญหาความเสียหายในด้าน

สิ่งแวดล้อม เรื่องการขจัดมลภาวะ ก็ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปล่อยให้หายไปในอากาศและสายลม

ซึ่งจะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและความเชื่อถือของประชาชน

ในส่วนของผู้ต่อต้านเอง บางครั้งหรือหลายครั้งข้อมูลความคิดเห็นก็อาจจะไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริง สร้างความ

ตื่น กลัวให้กับผู้คนเกินความเป็นจริง ก็เป็นหน้าที่ของภาครัฐบาลต้องให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องต่อสาธารณชนทันที แต่ถ้าหากประชาชนมีความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว เพราะการให้การศึกษาและการสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนมีเป็นพื้นฐานอยู่ แล้ว ปัญหาก็คงจะเบาบางลง

ปัญหาเรื่องการพัฒนาประเทศ ในด้านการพัฒนาระบบการขนส่ง ระบบการเงิน ระบบความคิด ก็พอจะมองเห็นทางออกทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว แต่มองไปทางการสร้างความมั่นคงทางพลังงานโดยเฉพาะเรื่องไฟฟ้า ซึ่งไม่ใช่ปัญหาทางเทคโนโลยี เรื่องเทคนิค วิศวกรรม ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน เป็นเรื่องทางจิตวิทยามวลชน การแก้ปัญหาจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย และมักจะสายเกินไป เช่น คนเชื่อแล้วว่ามี "ผี" จะไปอธิบายให้ตายว่าผีไม่มีในโลกก็คงไม่มีใครเชื่อ

ในระยะข้างหน้าอย่างน้อยภายใน 5-10 ปีข้างหน้า มองไปแล้วการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศ การจะกระจายความเสี่ยง

ใน เรื่องเชื้อเพลิงที่จะใช้ในการผลิตไฟฟ้าก็คงจะเป็นเรื่องที่ยาก นักวางแผนการพัฒนาแหล่งผลิตไฟฟ้าก็คงต้องศึกษาหาทางเลือกอื่น ๆ ให้มากขึ้นว่าจะทำอย่างไร

ทางออกที่เห็นจะมีอยู่ทางเดียว คือ ต้องแสวงหาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าสูง แต่ยังมีความต้องการใช้ไฟฟ้าไม่มากพอที่จะลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพราะตลาดเล็กเกินไป พร้อมกับการขาดแคลนเงินทุนจำนวนมาก ในขณะที่ประเทศไทยมีความต้องการสูง ความต้องการขยายตัวเร็ว ขณะเดียวกันก็มีเงินทุนเพียงพอที่จะลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งวิสัยทัศน์

เช่น ว่าน่าจะเป็นที่ยอมรับได้สำหรับประเทศเพื่อนบ้านของเรา เพราะจะเป็นหนทางที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย พร้อม ๆ กับการแบ่งประโยชน์อย่างเป็นธรรม

ทางออกในขณะนี้ก็เห็นมีเพียงเท่านี้

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////

จำนำข้าวนาปรังป่วน : คลัง ไฟเขียวเพิ่ม เงินค้ำ 7.2 หมื่นล้าน !!?


ธ.ก.ส. ย้ำชัดจะไม่หาเงินกู้เพิ่ม ถ้าการระบายข้าวยังล่าช้า ฟากสบน.เปิดทางขยายวงเงินค้ำประกันเพิ่มอีก 7.2 หมื่นล้านบาท อุ้มนโยบายรัฐบาล ทั้งที่ส่งออกข้าวปีཱི ยอดตกถึง 28%

นายบุญไทย แก้วขันตี รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ที่ผ่านมา ทางกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอขอให้พิจารณาขยายวงเงินที่จะใช้สำหรับโครงการจำนำ ข้าว ซึ่งอาจต้องหาเงินกู้เพิ่มสำหรับการรับจำนำข้าวนาปรังรอบใหม่ โดยก.คลังและ ธ.ก.ส. ยืนยันว่า หากจะใช้วงเงินเกิน 5 แสนล้านบาท จากที่มีมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ แบ่งเป็นเงินกู้ 4.1 แสนล้านบาท และเงินของ ธ.ก.ส.อีก 9 หมื่นล้านบาทนั้น ทางกระทรวงพาณิชย์จะต้องเร่งระบายข้าวให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก

"ถ้าจะ รับจำนำข้าวนาปรังต่อก็ต้องระบายข้าวให้ได้ เพราะจะไม่มีการกู้เพิ่ม เกินมติ ครม. ส่วนจะให้ ธ.ก.ส.กู้เองโดยคลังไม่ค้ำประกันนั้นเอาไว้ทีหลัง"

นอก จากนี้ยังระบุว่า ช่วงที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้โอนเงินให้ ธ.ก.ส. จากการระบายข้าวนาปีและนาปรังบางส่วนในปีที่ผ่านมาแล้ว 6.9 หมื่นล้านบาท จากแผนเดิมที่จะโอนให้ 8.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกปี 2556 กำหนดว่าจะโอนให้อีก 4 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ดี เชื่อว่ารัฐบาลคงไม่ยกเลิกการรับจำนำข้าวนาปรัง แม้จะมีการคาดการณ์ว่าปริมาณข้าวจะไม่มาก เนื่องจากหลายพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้ง โดยปริมาณอาจจะเหลือแค่ 5-6 ล้านตัน จากปกติ 11 ล้านตัน และจะใช้เงินน้อยลง

"การรับจำนำข้าวนาปรังตอนนี้ มีเงินอยู่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ถ้าทำต่อก็ใช้ก้อนนี้ไปก่อน ซึ่งคาดว่าจะจ่ายได้ประมาณ 7 ล้านตัน" นายบุญไทยกล่าว

ด้านนางสาว จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ได้เห็นชอบให้ขยายเพดานค้ำประกันเงินกู้แก่ ธ.ก.ส. อีก 7.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้กรอบการค้ำประกันเงินกู้แก่ ธ.ก.ส.ในปีงบประมาณ 2556 เพิ่มจาก 1.5 แสนล้านบาท เป็น 2.2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ การขยายวงเงินดังกล่าว ยังอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกำหนดให้ก.คลังจะค้ำประกันและให้กู้ต่อเป็นเงินบาทได้ไม่เกิน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

"วงเงินค้ำประกันยังมีรูมที่สามารถค้ำ ได้ โดยปีงบประมาณนี้อยู่ที่ 4.8 แสนล้านบาท และยังขยายให้อีกกว่า 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอ ครม. แต่มากกว่านี้คงไม่ได้แล้ว เพราะจะเกินกรอบที่กฎหมายให้ไว้" นางสาวจุฬารัตน์กล่าว

ส่วนเหตุที่ ต้องขยายวงเงินค้ำประกันเพิ่มเติมให้ ธ.ก.ส. เนื่องจากปีงบประมาณก่อน สบน.ยังค้ำประกันเงินกู้ให้ ธ.ก.ส.ไม่เต็มกรอบที่ ครม.มีมติไว้ 2.69 แสนล้านบาท ซึ่งหากขยายให้แล้วยังไม่พอ ก็ต้องระบายข้าวให้ได้ และ ธ.ก.ส. ต้องหาวิธีจัดการ

อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยในรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2555 พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2555 หดตัวลง 9.5% จากการปรับตัวลดลงของราคาส่งออกสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะการส่งออกข้าวได้รับผลกระทบจากราคาข้าวของเวียดนามและอินเดียซึ่ง ต่ำกว่าราคาข้าวของไทย ทำให้มูลค่าการส่งออกข้าวของไทยในปี 2555 ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า 28%

นายปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการ สศช. ระบุว่า สาเหตุที่ลดลงส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเรื่องการระบายข้าว ซึ่งมีปริมาณข้าวที่เก็บอยู่ในสต๊อกจำนวนมาก ส่งผลต่อการส่งออกข้าวให้ลดลง ส่วนเรื่องราคาและการแข่งในตลาดโลกมีส่วนอยู่บ้าง เพราะปีที่ผ่านมาราคาข้าวในตลาดโลกถูก ขณะที่ข้าวไทยมีราคาแพง และนโยบายรับจำนำข้าวมีผลอย่างชัดเจน

"เรื่องนี้ สศช.เคยได้ให้ความเห็นไปแล้วว่า ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายข้าว ซึ่งในปีนี้น่าจะได้เห็นการระบายข้าวที่ชัดเจนว่าจะระบายเท่าไร สต๊อกเท่าไร ส่วนเรื่องราคารับจำนำที่สูงเป็นนโยบายที่รัฐบาลกำหนดมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แม้ราคาในตลาดโลกจะไม่สูงเท่า เรื่องราคารับจำนำจึงเกี่ยวกับต้นทุนงบประมาณ และหากเงินบาทแข็งค่าก็จะทำให้ต้นทุนนโยบายสูงขึ้น" นายปรเมธีกล่าว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิกฤติพลังงานเกิดนานแล้ว ทำไมเพิ่งคิดได้ !!?


โดย.อดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ

จู่ๆก็กลายเป็น Talk of the Town จนเกิดคำถามกันเซ็งแซ่ว่าทำไมรัฐมนตรีว่าการพลังงาน"พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล"

ออกมาเตือนประชาชนให้ประหยัดพลังงานถึงขั้นไฟฟ้าอาจจะดับหรือ Black Out ในพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพมหานครและภาคใต้ เพียงแค่ท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยานาดาและเยตากุลในทะเลอันดามันของประเทศพม่าจะหยุดส่งก๊าซมาโรงไฟฟ้าราชบุรีเพื่อปิดซ่อมแท่นชั่วคราวระหว่างวันที่ 5-11 เม.ย.นี้

"นายกรัฐมนตรีของเรา"เอาเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเป็นวาระเร่งด่วนลงมติให้กระทรวงต่างๆรณรงค์ประหยัดการใช้ไฟฟ้าเพื่อลดภาระการใช้ไฟลง,สั่งไม่ให้ลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศลงต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส,ขอร้องไม่ให้ใส่สูทเหลือผูกแต่เน็คไท , ปิดไฟตอนเที่ยง ฯลฯถึงขั้นจะกำหนดเป็น KPI เพื่อประเมินประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานของกระทรวงต่างๆ

สังเกตได้ว่าคุณยิ่งลักษณ์สามารถปรับเปลี่ยนคอลเลคชั่นเสื้อผ้าใหม่ทันที ดีไซน์ชุดถอดสูทใช้เสื้อเนื้อผ้าโปร่งบางมากขึ้น เพื่อทำให้ดูเป็นตัวอย่างการประหยัดพลังงาน อะไรปานนั้นที่ทำได้อย่างรวดเร็ว ล้วนแต่จะออกอาการเว่อร์ๆจนมีคนเริ่มจับผิดได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยอีกแล้ว

คนจำพวก"รู้ทันทักษิณ"ที่ยังหลงเหลืออยู่เยอะตามท้องถนน,ในสำนักงาน,กลางรัฐสภา,ห้องเรียนมหาวิทยาลัย ฯลฯ เริ่มรวมพลกลับมาสุมหัวปะติดปะต่อเรื่องราวออกได้อย่างมหัศจรรย์พันลึก เพื่อพยายามอธิบายปรากฏการณ์ประเทศไทยอาจจะ Black Out น่าจะเกิดมาได้อย่าง"เหนือเมฆ"จริงๆ

คนรู้ทันทักษิณบอกว่าให้คอยจับตาดูว่าหลังวิกฤติการณ์ไฟดับในวันที่ 5 เม.ย.จะเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกครั้งที่มีเรื่องแปร่งๆประหลาดทันทีทันควันเกิดขึ้นจาก"นายกรัฐมนตรีของเรา"หรือ"รัฐมนตรีสังกัดสายตรงดูไบ" มักจะหนีไม่พ้นต้องมีชื่อของ"อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเข้าไปเกี่ยวข้องหรือยกหูสั่งการที่หลายๆครั้งได้สร้างความอึดอัดฮึดฮัดขัดใจจาก"น้องสาวคนเก่ง"อยู่บ่อยๆที่ส่วนใหญ่ก็มักจะขัดขืนไม่ได้ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ทำได้อย่างมากแค่ถ่วงเวลาคล้ายๆ"ร้องไห้โยเย"เป็นอาการน่ารักๆของ"น้องสาวคนเล็กดื้อๆ"ที่ไม่ยอมพี่ชายที่ไม่ซื้อของเล่นให้เสียมากกว่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานที่ยังเป็น"ธุรกิจในฝัน"ของแกไม่มีวันเสื่อมคลายไปจากความคิดคำนึงในแดนไกล หลังจากตัดสินใจขายกิจการโทรคมนาคม-ดาวเทียมให้กับกลุ่มเทมาเส็กไปแล้วเมื่อเดือนม.ค.2549 แกเบนเข็มไปเสาะแสวงหา"บ่อน้ำมัน"ในหลายๆประเทศ จนเคยเกิดข่าวลือไปว่าแกเคยเจ๊งกับการลงทุนซื้อบ่อน้ำมันมาแล้ว ยิ่งทำให้ผู้คนจำพวกรู้ทันทักษิณหันมาใช้ทฤษฎี Conspiracy อธิบายได้แทบทุกครั้งเสียด้วย เช่น กรณีเขาพระวิหารกับบ่อก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ฯลฯ

ผมลองปะติดปะต่อเรื่องราวในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาก็เริ่มจะคล้อยตาม"พวกรู้ทันทักษิณ"เสียแล้วว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆเลยกับอาการกระต่ายตื่นตูมไฟฟ้าจะดับในวันที่ 5 เม.ย. อันเกิดมาจากเหตุท่อแก๊สจากพม่าจะหยุดส่งก๊าซธรรมชาติชั่วคราวเข้าโรงไฟฟ้าราชบุรีที่เป็นกำลังผลิตไฟฟ้าร่วม 20 % ของประเทศประมาณ 8.25 พันเมกะวัตต์ จนทำให้ปริมาณกำลังไฟฟ้าสำรองของประเทศในวันนั้นจะลดลงเหลือแค่ประมาณ 700 เมกะวัตต์ที่ต่ำกว่าปริมาณสำรองปกติมาก

การปิดซ่อมแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาเมื่อ 2 ปีแล้วไม่เคยมีปัญหาต้องตื่นตูมมากขนาดนี้ จนกลายเป็นว่าประสิทธิภาพการบริหารกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศนี้ช่างแย่จริงๆไม่สมกับเป็นรัฐสิสาหกิจเกรดเอมายายนาน แค่พม่าหยุดส่งแก๊สเข้าโรงไฟฟ้าไม่กี่วันก็สามารถทำให้เศรษฐกิจของประเทศออกอาการรวนๆปั่นป่วนถึงขั้นโรงงานอุตสาหกรรมถูกขอร้องให้ลดกำลังผลิตลง

เพราะหากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรู้ล่วงหน้าจะสามารถวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานชนิดอื่นๆเพื่อผลิตไฟเพิ่มทดแทนเพื่อไม่ให้ปริมาณสำรองต่ำเกินไปจนเกิดความเสี่ยง เช่น การปล่อยน้ำในเขื่อนมากขึ้นเพื่อผลิตไฟฟ้าที่ใช้พลังน้ำเพิ่มขึ้น, การสวิตช์เครื่องจักรผลิตไฟฟ้าจากใช้แก๊สมาใช้น้ำมันเตา ฯลฯ

อันที่จริงแล้วประเทศไทยเสี่ยงตกอยู่ใน"ภาวะวิกฤติพลังงาน"มานานแล้วที่ยังแก้ไม่ตก เพราะสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าของกฟผ.สูงมากถึงประมาณ 70 %จากแหล่งก๊าซในอ่าวไทยที่อีกประมาณ 10 ปีก็เริ่มเหือดหายไปหมดแล้ว, แหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลย์เซียที่สงขลาและแหล่งยานาดากับเยตาคุณที่บริษัทปตท.สผ.เป็นผู้รับสัมปทานจากรัฐบาลทหารพม่า

กฟผ.ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชนิดอื่นมานานแล้ว เช่น โรงไฟฟ้าเอกชนที่ใช้ถ่านหินคุณภาพสูงจากการนำเข้าที่ประจวบคีรีขันธ์ก็สร้างไม่สำเร็จถูกคัดค้านจากชาวบ้าน , โรงไฟฟ้าพลังน้ำไม่มีการสร้างใหม่มานานแล้วเพราะสร้างเขื่อนไม่ได้จนต้องไปใช้ไฟฟ้าพลังน้ำจากโรงไฟฟ้าในประเทศลาวมากขึ้น , โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสำเร็จยิ่งเกิดกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นรั่วหลังเกิดสึนามิยิ่งยากจะเกิดในประเทศไทย ฯลฯ

แล้วพวกธุรกิจติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีสำหรับรถยนต์เลยโดยหางเลขเต็มเหนี่ยว รัฐมนตรีพลังงานบอกจะห้ามไม่ให้จดทะเบียนรถยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีหรือก๊าซหุงต้มที่เป็นอันตรายมากๆและยังเป็นการเผาผลาญก๊าซธรรมชาติสิ้นเปลืองไปโดยไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าประเทศไทยไม่ควรจะเอาก๊าซแอลพีจีมาใช้กับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ไม่เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจใดๆ รัฐมนตรีพลังงานคนนี้ช่างกล้ามากๆขอยกนิ้วให้ด้วยความจริงใจ

ลองมาดูว่าเหตุการณ์อะไรบ้างที่เกี่ยวกับเรื่องพลังงานที่เป็น"เชื้อไฟ"อย่างดีให้คนรู้ทันทักษิณ เริ่มจับทางปะติดปะต่อเรื่องราวจนได้ข้อสรุปว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวกับ"อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา"สั่งการผ่าน Skype มาอย่างแน่นอนที่สุด!!!(แต่ผมยังไม่เชื่อจนกว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือมีหลักฐานคลิป Skype )

23 ม.ค.2556 ประธานบอร์ดการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย"พรชัย รุจิประภา"ที่ได้นั่งมานาน 7 ปี (เหตุผลเนียนพอสมควรคือนั่งมานานแล้วและเกษียณอายุไปแล้ว)ได้ยื่นใบลาออกทำให้บอร์ด 11 คนพ้นสภาพไปด้วย แล้วต่อมาวันที่ 12 ก.พ.คณะรัฐมนตรีอนุมัติบอร์ดชุดใหม่ของกฟผ.ที่มี"อัญชลี ชวนิตย์"อดีตผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นประธานที่ลือกันให้แซ่ดว่าเป็นสายตรงรัฐมนตรีพลังงาน

ข้อนี้ขอแสดงความเห็นด้วยว่าเป็นใครก็ต้องตั้งคนที่เป็นสายตรงมาเป็นประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจระดับยักษ์อย่างกฟผ.เพื่อจะได้ทำงานประสานงานกันคล่องตัวในทุกเรื่อง

1 ก.พ.2556 ประธานบอร์ดบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)"ณอคุณ สิทธิพงศ์"ที่ยังมีอีกตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงพลังงานได้ยื่นใบลาออก ด้วยเหตุผลแสนจะเนียนอีกเช่นกันว่างานเยอะเกินไป ขอลาออกดีกว่า(ผมเห็นด้วยและเชื่ออีกเช่นกันว่านั่งสองตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้ก็งานเยอะไปจริงๆ คุณณอคุณนั่งมาตั้งนานแล้ว แต่ทำไมเพิ่งรู้สึกตัวว่างานเยอะเกินไปเป็นภาระจนทำไม่ไหวแล้ว)

แล้วชื่อของ"วิเชษฐ์ เกษมทองศรี"ที่มีคนรู้ทันทักษิณป้ายหน้าผากอีกว่าคนนี้สายตรงในก๊วนลูกชายทักษิณ"โอ๊ค-พานทองแท้"ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมอิสระแล้วพักเดียวก็เลื่อนชั้นขึ้นไปนั่งเป็นประธานบอร์ดปตท.ที่มียอดรายได้ปีละ"สองล้านล้านบาท"และกำไรสุทธิมากกว่า 2 แสนล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย

พวกรู้ทันทักษิณลากเส้นโยงระยางเส้นใยไปถึงโครงการพัฒนาพื้นที่ทวายจนได้ที่"นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา"เอาใจใส่เป็นพิเศษเทียวไล้เทียวขื่อ ขอไปจ๊ะจ๋าผู้นำรัฐบาลพม่าเพื่อเสนอแผนของประเทศไทยที่อยากจะมีบทบาทมากขึ้นในการพัฒนาพื้นที่ทวายนี้ที่ยัง"เวอร์จิน"มากๆและในอนาคตน่าจะกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพม่าในยุคโชติช่วงชัชวาลแบบเดียวกับแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก( Eastern Seaboard)ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

ข้อนี้ผมไม่ได้เห็นว่าผิดปกติหรือมีวาระซ่อนเร้นแต่อย่างใด อยากชมเชยด้วยซ้ำไปว่าถือเป็นการเคลื่อนไหวในเชิงยุทธศาสตร์ Geo-Politics หรือการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ที่ถูกต้องและมีความสำคัญต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าที่กำลังเป็นที่หมายปองของชาติตะวันตกและญี่ปุ่นที่วิ่งวุ่นเข้าไปเสนอสารพัดโครงการให้รัฐบาลทหารพม่า

แต่กลับรู้สึกตงิดๆกลับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ทวายที่มีร่องรอยเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนบอร์ดกฟผ.และปตท.แบบอ้อมๆตรงๆดูน่าจะมีเงื่อนงำ"นโยบายแบบวัดครึ่งกรรมการครึ่ง"หรือผลประโยชน์ทับซ้อนหรือทุจริตเชิงนโยบายที่เป็นตราบาปติดหน้าผาก"อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา"อย่างไม่มีวันเลือนหายไปไหน

รัฐมนตรีพลังงานลองตอบคำถามเหล่านี้ให้"คนรู้ทันทักษิณ"หายข้องใจ
จริงหรือเปล่าที่กระทรวงพลังงานสั่งให้บริษัทปตท.ไปศึกษาการวางท่อแก๊สจากแหล่งเยตาคุณมายังนิคมอุตสาหกรรมทวาย แต่ปตท.ยังออกอาการอิดออดไม่อยากจะลงทุนตอนนี้ เพราะดูตัวเลขความต้องการใช้ตอนนนี้แล้วท่าจะยังไม่คุ้ม เมื่อเทียบกับส่งแก๊สเข้ามาขายให้โรงไฟฟ้าราชบุรีที่มีกฟผ.ถือหุ้นใหญ่ที่มีความต้องการแน่นอนกว่านิคมอุตสาหกรรมทวายที่ยังเพิ่งเริ่มตั้งไข่ยังอีกนานหลายปีกว่าจะเกิดโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าปริมาณมากๆ

ถ้าปตท.และบริษัทปตท.สผ.ที่เป็นผู้ถือสิทธิ์แหล่งก๊าซธรรมชาติในยานาดาและเยตากุนของพม่า ยังทำเป็นหูทวนลมเรื่อยๆเฉื่อยๆไม่สนใจคำขอร้องของรัฐมนตรีพลังงาน ประธานคนใหม่ของปตท.อาจจะลงมือสั่งให้เป็นเรื่องเป็นราวแต่ก็ไม่ง่ายนักเพราะปตท.กับปตท.สผ.อยู่ในตลาดหุ้นมีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นอยู่เยอะ แต่ถ้าลองประธานบอร์ดปตท.ใช้อำนาจสั่งตามอำเภอใจสักครั้งโดยไม่ดู Feasibility Study ของโครงการนี้ว่าคุ้มหรือเปล่า อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติสูญเสียความเชื่อมั่นราคาหุ้นร่วงเอาร่วงเอาจะทำให้"ผู้ถือหุ้น"น้ำตาตกกันเป็นแถวๆ

อีกข้อที่ยังน่าข้องใจว่าจะเป็นจริงเชียวหรือ ? รัฐมนตรีพลังงานช่วยตอบอีกข้อก็แล้วกัน
บอร์ดกฟผ.อยากจะสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่พัฒนาทวายในนามของโรงไฟฟ้าราชบุรีที่กฟผ.ถือหุ้นใหญ่ที่สุดอยู่แล้วหรือไม่ก็ให้บริษัท กฟผ.อินเตอร์เนชั่นแชนัลเป็นบริษัทที่ไปลงทุนร่วมกับบริษัทโรงไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าหรือลงทุนต่อท่อก๊าซจากแหล่งเยตาคุนที่เป็นของปตท.สผ.มาให้โรงไฟฟ้าในทวายใช้เสียเลยจะง่ายกว่าให้ปตท.ลงทุน

ยิ่งคิดยิ่งเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่ว่าแล้วจะโยงไปถึงคดีเขาพระวิหารที่ไทยที่ถูกลากเส้นแผนที่ฝรั่งเศสโยงลงไปในแหล่งก๊าซธรรมชาติในทะเลอ่าวไทยหรือเปล่า เพราะ"อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย"แสดงความสนใจออกนอกหน้า ในเชิงยุทธศาสตร์อยากให้ประเทศไทยได้มีข้อตกลงพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ที่เหลืออีกแหล่งเดียว แบบเดียวกับพื้นที่ในทะเลทางใต้ทับซ้อนกับมาเลย์เซียที่กว่าจะตกลงแบ่งผลประโยชน์กันได้ใช้เวลาเจรจานานกว่า 20 ปี

แต่พวกรู้ทันทักษิณคิดไปไกลถึงขั้นเอา"เขาพระวิหาร"คืนไป ขอแลกเอาสัมปทานก๊าซธรรมชาติทางทะเลมาให้ใคร ? แล้วลากเชื่อมสร้างถนน"ทวาย-อีสเทิร์นซีบอร์ด-เกาะกง-แหล่งก๊าซใหม่"จะทำให้ประเทศไทยยึดครองพื้นที่ในเชิงยุทธศาสตร์จากฝั่งตะวันตกของพม่าเชื่อมทะเลฝั่งตะวันออกของไทย

ห้ามยากเสียด้วยพวกรู้ทันทักษิณล้วนแต่มีจินตนาการสูงมากๆไร้ขอบเขต จนผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า"พวกเขาคิดได้ไง"หรือ"รู้ทันทักษิณ"ได้ยังไง?ที่ผมไม่มีวันเชื่อพวกเขา ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆแบบจับได้คาหนังคาเขา

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ฟองสบู่ทางการเงิน !!?


ที่ผ่านมาได้เล่าถึงเหตุการณ์ The Dutch Tulip Bulb Bubble (17th) ที่เนเธอร์แลนด์, The South Sea Bubble (18th) ในอังกฤษ และ The John Law’sMississippi Bubble (18th) ของฝรั่งเศส ตามลำดับ สำหรับตอนนี้ ขอพามาดูฟองสบู่ทางการเงินที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่องถึงต้น 20th กันบ้าง

ในช่วงเวลานี้ ความถี่ในการเกิดฟองสบู่ทางการเงินเริ่มมีมากขึ้น โดยเกิดขึ้นประมาณทุกสิบปี (1816, 1826, 1837,1847, 1857, 1866) หลังจากนั้นความถี่ในการเกิดก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเป็นประมาณสิบกว่าปีและน้อยกว่า (1873, 1907, 1921 และ 1929) โดยรูปแบบยังคงเป็นวงจรที่เหมือนเดิม คือ “Manias, Panics and Crashes”

ในศตวรรษที่ 19 ฟองสบู่ทางการเงินมักยังคงเกิดขึ้นในยุโรปอยู่ โดยเฉพาะอังกฤษ ด้วยความที่เป็นศูนย์กลางการเงินของยุโรปในเวลานั้น ลองดูตัวอย่างอีกบางเหตุการณ์ เช่น Bubble 1826 กับ Bubble 1873

ระหว่างปี 1808-1826 ประเทศในทวีปอเมริกาใต้ทยอยได้รับเอกราชเกือบทั้งหมด ดังนั้นการลงทุนในรูปแบบต่างๆ จึงหลั่งไหลเข้าไปในดินแดนลาตินอเมริกา ซึ่งหลายๆประเทศกำลังถูกจัดให้เป็นประเทศตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่(emerging market) ในสายตานักลงทุน ธนาคารในอังกฤษจำนวนมาก ด้วยการอนุญาตจากธนาคารกลางอังกฤษ(Bank of England) ต่างพากันแห่ปล่อยเงินกู้ให้นักลงทุนเพื่อไปลงทุนในดินแดนดังกล่าว ขณะที่รัฐบาลของประเทศเหล่านั้น ก็กำลังต้องการออกพันธบัตร(bond) นำมาขายให้นักลงทุน เพื่อเอาเงินไปพัฒนาประเทศ สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภคอะไรต่างๆ

และแน่นอนการเก็งกำไรในการซื้อขายพันธบัตรก็เกิดขึ้นตามมา พร้อมกับพานักลงทุนประเทศอื่นๆ ในยุโรปเข้ามาร่วมในความร่าเริงเบิกบาน(euphoria) กับการเก็งกำไรครั้งนี้ด้วย นักลงทุนซื้อขายพันธบัตรกันอย่างบ้าคลั่ง หน้ามืดตามัว

จุดพลิกผันของฟองสบู่ 1826 เกิดขึ้นเมื่อมีการนำพันธบัตรของประเทศที่ไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ออกมาขายให้กับนักลงทุน ประเทศที่ว่านั้นชื่อ “Republic of Poyais”

พันธบัตรของ Poyais ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกอุปโลกน์(สมมุติ)ขึ้น ถูกนำออกมาหลอกขายให้นักลงทุนที่หน้ามืดตามัวกับการเก็งกำไรจนหุนหันพลันแล่นไม่ไตร่ตรอง ประกอบกับในเวลานั้น ปี 1826 (พ.ศ. 2369 : ช่วงรัชกาลที่ 3) ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีความรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นไปของโลกน้อยมากว่า ประเทศอะไร เป็นประเทศอะไร อยู่ตรงไหนหรือส่วนไหนของโลกใบนี้

และนั้นคือจุดจบของฟองสบู่ปี 1826 เมื่อเกิดความตระหนก (Panic) ในหมู่นักลงทุนด้วยความกลัวว่าพันธบัตรรัฐบาลที่ตนถืออยู่จะเป็นพันธบัตรแบบประเทศ Poyais หรือไม่...จึงต่างถอนทุนออกจากลาตินอเมริกากันหมด ตลาดซื้อพันธบัตรในกลุ่มประเทศเหล่านี้พังทลาย(Crash) สถาบันการเงินในอังกฤษหลายแห่งล้มละลายและธนาคารกลางอังกฤษก็ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ ทำให้วิกฤติลามไปทั่วยุโรป ระบบเครดิตหยุดนิ่งเพราะไม่มีใครเชื่อใจใคร แต่ละประเทศกลับมาทำการซื้อขายกันแบบแลกเปลี่ยนสินค้า (a state of barter)

ในปี 1828 เกือบทุกประเทศในลาตินอเมริกาต้องประกาศพักชำระหนี้ ยกเว้น บราซิล ซึ่งต้องใช้เวลาอีกกว่าหลายสิบปี เงินลงทุนจากต่างชาติจึงไหลกลับมายังภูมิภาคนี้ใหม่อีกรอบ.......

สำหรับ Bubble 1873 ก็เป็นอีกหนึ่งฟองสบู่ที่ทำให้การเงินโลกต้องสั่นสะเทือนกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เงินลงทุนจากยุโรปไหลไปทางทวีปอเมริกาเหนือแทน โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา

ศตวรรษที่ 19 ถือได้ว่าเป็นหนึ่งร้อยปีแห่งการสยายปีกด้านอุตสาหกรรมในดินแดนนกอินทรีอย่างสหรัฐ เพื่อกลายมาเป็นพญาอินทรีในศตวรรษที่ 20 ในยุคนี้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงกระทุ้งโลกถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนแห่งนี้ โดยแต่ละคนสามารถถีบตัวเองจากศูนย์หรือคนธรรมดากลายเป็นหนึ่งในสิบบุคคลร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐได้ภายในระยะเวลา ชั่วชีวิตตนเอง ไม่ว่าจะเป็น....

Cornelius Vanderbilt (1794-1877) : เด็กน้อยจากนิวยอร์ก ที่ออกจากโรงเรียนตอนอายุ 11 ขวบ พออายุ 16 เริ่มทำธุรกิจตัวเองโดยเปิดบริการเรือข้ามฟากระหว่าง Staten Island กับ Manhattan หลังจากนั้นก็พัฒนาจากเฉพาะขนส่งคนก็มาเป็นสินค้าด้วย....และต่อมา...ต่อมา....จนกลายเป็นเจ้าของกิจการการสร้างทางรถไฟและการขนส่งสินค้าเกือบทั่วประเทศสหรัฐ และธุรกิจการก่อสร้างทางรถไฟของ Vanderbilt ก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับเด็กหนุ่มผู้ยากจนจากสกอตแลนด์ ที่ครอบครัวพากันอพยพมาแสวงหาโอกาส ตามหาความฝันและชีวิตใหม่ที่ดินแดนอเมริกา ไอ้หนุ่มคนนั้นก็คือ....

Andrew Carnegie (1835-1919) : ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอุตสาหกรรมเหล็กกล้าในยุคกิจการก่อสร้างทางรถไฟของ Venderbilt กำลังขยายตัวเชื่อมโยงไปทั่วดินแดนอันกว้างใหญ่ของประเทศสหรัฐ ซึ่งกิจการของVenderbilt จะไปไหนเลยไม่ได้ ถ้าไม่มีเหล็กกล้าจากบริษัท Carnegie Steel ของไอ้หนุ่มชาวสกอตแลนด์ ผู้อพยพตามพ่อแม่มาที่สหรัฐตั้งแต่ตอนอายุ 13 ปี

และก็เป็นไปตามสูตรซึ่งฟังดูเหมือนง่าย แต่มีเพียงคนจำนวนน้อยมากๆ เท่านั้นที่จะทำได้ Carnegie ก็รับจ้างทำงานโน่นงานนี่ไปเรื่อย พอเก็บหอมรอมริบเงินได้จำนวนหนึ่ง ก็เอาไปลงทุนตลาดหุ้น หลังจากนั้นก็เปิดบริษัทรับเหมาซ่อมแซมงานก่อสร้างที่เสียหายจากสงครามกลางเมือง(Civil War) ของสหรัฐที่สิ้นสุดในปี 1865 หรือที่เรียกว่ายุค “Reconstruction Era”(ช่วงเวลาแห่งการซ่อมแซมบูรณะ) ซึ่งกิจการของ Carnegie เป็นไปได้ด้วยดี แต่พอทำได้สักพักก็เริ่มมีปัญหาว่า เหล็กที่ใช้ในกิจการอาจจะไม่พอ Carnegie เลยจัดการหาซื้อโรงเหล็กเพื่อเป็นเจ้าของเสียเอง หลังจากนั้นก็กลายเป็นบริษัท Carnegie Steel ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดของโลกในยุคนั้น

ลืมบอกไปว่าตอนที่ Carnegie เอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นตอนนั้น กิจการที่กำลังเติบโตอย่างมากในตลาดหุ้นก็คือ กิจการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างราง หัวรถจักรรถตู้โดยสาร ตู้ขนส่ง ซึ่งตอนนี้เราก็คงพอมองออกแล้วว่า...ฟองสบู่ในปี 1873 นั้นมาจากการเก็งกำไรในกิจการที่เกี่ยวกับรถไฟในสหรัฐของนักลงทุนชาวยุโรป และนอกจากกิจการรถไฟแล้ว... น้ำมัน..ก็เป็นอีกกิจการที่กำลังเติบโตในช่วงเวลาเดียวกัน และนั้นทำให้เจ้าพ่อใหญ่ในธุรกิจน้ำมันปรากฏโฉมขึ้นมาบนพื้นพิภพ

John D. Rockefeller(1839-1937) : เจ้าของอาณาจักร Standard Oil บริษัทที่ผูกขาดการค้าน้ำมันของสหรัฐ ตรงนี้จะเห็นได้ว่า ไม่มีการค้าขายรูปแบบไหนที่ประสบความสำเร็จ(รวย) เร็วเท่าการค้าแบบผูกขาด.....

แวนเดอร์บิลท์ : ผูกขาดการสร้างรางรถไฟ

คาร์เนกี : ผูกขาดการผลิตเหล็กกล้า

ร็อกกีเฟลเลอร์ : ผูกขาดการค้าน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม ทางการสหรัฐก็พยายามต่อสู้เรื่องการค้าที่ผูกขาดอย่างเอาจริงเอาจังเหมือนกัน เช่น ในปี 1911 ศาลสูงของสหรัฐอเมริกา (Supreme Court) ก็มีคำสั่งให้แยกการผูกขาดบริษัท Standard Oil ของ Rockefeller ออกเป็นส่วนๆ เช่น

Standard Oil of New York ซึ่งต่อมาก็กลายมาเป็น Mobil ในปัจจุบัน

Standard Oil of California ต่อมาคือ Chevron

Standard Oil of Indiana คือ Amoco

Standard Oil of New Jersey คือ Exxon

นอกจากนี้ การถูกเพ่งเล็งในธุรกิจผูกขาดจากสาธารณชนทำให้อภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยลืมกำพืดตัวเอง ต่างพากันบริจาคเงินสู่สาธารณะต่างๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะการสร้างมหาวิทยาลัย Rockefeller ให้เงิน 80 ล้านดอลลาร์ กับวิทยาลัยแบ็บติส (Baptist College) เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ต่อมากลายเป็นมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) อันโด่งดัง

Carnegie ให้เงินทุนตั้งต้น 2 ล้านดอลลาร์ ในการสร้างมหาวิทยาลัยซึ่งปัจจุบันคือ Carnegie Mellon University อยู่ที่เมือง Pittsburgh รัฐ Pennsylvania มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในภาควิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี

Vanderbilt สร้าง Vanderbilt University ที่เมือง Nashville รัฐ Tennessee มหาวิทยาลัยที่มีภาควิชาการแพทย์ที่ทันสมัยมากในปัจจุบัน ก็เพราะในเวลานั้นคนงานของเขาที่ทำงานก่อสร้างทางรถไฟทั่วสหรัฐต้องเผชิญกับความป่วยไข้อะไรต่างๆ นานา สารพัดโรคที่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามีสาเหตุอะไรตลอดระยะเวลาในการก่อสร้าง Vanderbilt จึงสร้างมหาวิทยาลัยนี้ขึ้นเพื่อศูนย์วิจัยทางการแพทย์ที่ทำการวิจัยและรักษาโรคต่างๆ ให้กับคนงานของเขา

โดย.ธิติ สุวรรณทัต (นสพ.แนวหน้า)
///////////////////////////////////////////

การเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร: ประชานิยมกับการเมืองมวลชน !!?


โดย ชัยพงษ์ สำเนียง
สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่

Multiple Thaksin in Dubai
ภาพจากกรุงเทพธุรกิจ

รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ผ่านนโยบายประชานิยมสร้างมิติใหม่ทางการเมืองที่ทำให้พรรคการเมืองต่างๆ หันมาต่อสู้เชิงนโยบาย แทนการอิงกับตัวบุคคล การต่อสู้เชิงนโยบายทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการต่อรองกับนักการเมืองมากขึ้น รวมถึงทำให้นักเลง เจ้าพ่อ ผู้อุปถัมภ์ท้องถิ่นลดอิทธิพลลง เกิดชนชั้นใหม่ที่มี “สำนึกทางการเมือง” ในการมีส่วนร่วมกับรัฐในหลายมิติ ทำลายมายาคติ “โง่ จน เจ็บ” ที่คิดว่าประชาชนในชนบทตั้งรัฐบาล และชนชั้นกลางในเมืองล้มรัฐบาล

แต่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลง “ชาวชนบท” จำนวนมากมิได้จำยอมให้ “ชนชั้นกลางในเมือง” ล้มรัฐบาลที่เขาเลือกตั้งได้เช่นในอดีต เช่น เกิดคาราวานคนจน ที่ชุมนุมที่สวนลุมพินี เพื่อสนับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และในการเลือกตั้งทั้งในปี พ.ศ. 2548 และ 2549 ก็ได้ให้การสนับสนุนพรรคไทยรักไทยอย่างท้วมท้น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เกิดมิติใหม่ทางการเมืองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยที่กินได้”

ประชานิยมแม้สร้างความนิยมให้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยอย่างมาก และสร้างผลประโยชน์ให้ประชาชนในหลายมิติ แต่การที่ได้รับความนิยมอย่างสูงนี้ (ดู การเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร: การสร้างประชาธิปไตยที่กินได้ ? (ตอนที่ 1) ) ได้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

(1) ไม่สนใจต่อระบบรัฐสภา เพราะตลอดเวลาที่เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ค่อยเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร และไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ การที่เป็นพรรคเสียงข้างมากเพียงพรรคเดียวทำให้ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ อย่างเด็ดขาด

(2) องค์กรตรวจสอบ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการเลือกตั้ง และสมาชิกรัฐสภา (ส.ว.) ต่างถูกแทรกแซงจากเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงนักวิชาการ นักพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่คอยท้วงติงให้ข้อเสนอแนะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่รับฟัง หรือจากที่ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ (2549 : 154-160, 178-184) วิจารณ์ว่าเป็น “ทรราชย์ของเสียงข้างมาก” (tyranny of the majority) (ดูเพิ่มใน เอนก เหล่าธรรมทัศน์ 2549 : 136; เกษียร เตชะพีระ 2553ก; 2553ข; ผาสุก พงษ์ไพจิตร 2546; นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2549)

(3) เป็นยุคที่มีการทุจริตขนานใหญ่ เป็นการทุจริตที่มีความซับซ้อน หรือ “การทุจริตเชิงนโยบาย” มี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ของคนในเครือข่ายอย่างกว้างขว้างในหลายเรื่อง (ดูเพิ่มใน นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2549) เช่น การที่ออกนโยบายเอื้อต่อผลประโยชน์ของบริษัทตนเอง และพวกพ้อง การจ่ายเงินใต้โต๊ะถึงร้อยละ 40 ของโครงการที่ลงทุนโดยรัฐบาล การออกหวยบนดินที่ไม่นำเงินเข้าคลังแต่กลับนำมาใช้จ่ายเพื่อโครงการประชานิยม การขายหุ้นให้บริษัทเทมาเส็ก (ประเทศสิงคโปร์) การซื้อที่ดินรัชดา

(4) สร้าง “อาณาจักรแห่งความกลัว” “รัฐตำรวจ” เช่น นโยบายปราบปรามยาเสพติด ทำให้เกิดการฆ่าตัดตอน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 คน ทั้งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม การหายตัวของทนายสมชาย นีละไพจิตร กรณีล้อมปราบที่มัสยิดกรือแซะ และหน้าที่ว่าการอำเภอตากใบ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 110 คน (OK Nation 2554) เป็นปัญหาเรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน

(5) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มักเป็นผู้ผูกขาดการเสนอญัตติสาธารณะแต่ผู้เดียว (นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2549 : 227-233) โดยไม่รับฟังข้อท้วงติง และห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างต่อเนื่องจากประชาชนกลุ่มต่างๆ เช่น ปรากฏการณ์ “สนธิ” หรือ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” หรือ “คนเสื้อเหลือง” ที่ชุมนุมประท้วง โจมตีทักษิณว่าเป็นรัฐบาลที่มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

(6) การที่ทักษิณได้รับความนิยมอย่างสูง ยิ่งทำให้อำนาจของทักษิณรวมศูนย์มากขึ้น โดยไม่รับฟังข้อท้วงติงของคนรอบข้าง และพลังอื่นๆ ในสังคมที่เคยทัดทานอำนาจรัฐ เช่น นักวิชาการ NGOs การเมืองภาคประชาชน ฯลฯ ล้วนไม่ได้รับความสนใจจากทักษิณ ที่มักอ้างว่ามาจากเสียงข้างมาก 16 หรือ 19 ล้านเสียง กลายเป็นผู้ผูกขาดความคิดเห็นสาธารณะแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายสำหรับสังคมไทย และทักษิณเอง

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทักษิณถูกต่อต้านอย่างกว้างขวาง คือ ทักษิณ ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ขายหุ้นของ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ให้แก่บริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้ง จำกัด (พีทีอี) ทักษิณได้ชี้แจงว่าเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ และต่อต้านอย่างรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายที่ว่าด้วยการขายหุ้นในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ และการไม่เสียภาษีรายได้จากผลกำไร เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กระแสการต่อต้าน ขยายออกไปในวงกว้าง ท่ามกลางการกดดันจากหลายฝ่าย

ในท้ายที่สุดรัฐบาลต้องยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549 แต่การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคฝ่ายค้าน ที่ประกอบไปด้วยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชนไม่ลงเลือกตั้ง ทำให้สมาชิกพรรคไทยรักไทยบางคนได้จ้างพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้ง

ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาในวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะและให้จัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 แต่ก่อนจะมีการเลือกตั้งคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปก.) ได้ทำการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นอันสิ้นสุดรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แม้ภายหลัง พรรคไทยรักไทยจะถูกรัฐประหาร และต่อมาตั้งรัฐบาลที่มี พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้ความคุ้มครองของ คมช. มีเวลาบริหารประเทศอยู่ปีเศษ และมีการประกาศกฎอัยการศึกหลายจังหวัด แต่การเลือกตั้งในปี 2551 พรรคพลังประชาชนที่เปลี่ยนมาจากพรรคไทยรักไทยก็ชนะเลือกตั้ง มีนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เครือข่ายภายใต้การสนับสนุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาตามลำดับ

ภายหลังมีการยุบพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ และได้ดำเนินนโยบาย เพื่อเอาใจประชาชนมากมาย เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เรียนฟรี เพิ่มเงินเดือนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ค่าไฟฟรี ฯลฯ ก็ไม่สามารถชนะเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2554 ได้ พรรคเพื่อไทยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้การสนับสนุนมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคสามารถชนะเลือกตั้งเกินครึ่งถึง 265 เสียงจาก 500 เสียง

พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตได้นายกรัฐมนตรีได้เพียง 159 เสียง แสดงให้เห็นว่าแม้มีความพยายามทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย หรือ “ระบอบทักษิณ” อย่างไรก็ไม่สามารถทำลายความนิยมต่อนโยบายและตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำไว้ได้

แม้ว่ารัฐบาลทักษิณจะมีข้อจำกัดในหลายด้าน แต่ในการขับเคลื่อน และผลของนโยบาย ได้ทำให้เกิดผลในแง่สร้าง “นโยบายที่กินได้” “ประชาธิปไตยที่กินได้” และทำให้คนชนบท และคนในระดับรากฐาน เข้าถึงการบริการของรัฐได้โดยตรง และตระหนักถึงพลานุภาพของ “ฐานเสียง” ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในเมืองได้อย่างแท้จริง

การขึ้นมามีอำนาจของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทำให้เกิดปรากฎการณ์ “สนธิ” หรือ “เสื้อเหลือง” ที่ต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยคนเสื้อเหลือง คือ คนระดับกลางหรือสูงกว่าเป็นคนที่ทำงาน “ในระบบ” หรือมีสถานะและการศึกษาที่สูง (นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2553 : 132-143) หลังรัฐประหารได้เกิดกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือ “คนเสื้อแดง” โดยขบวนการของคนเสื้อแดงเป็นขบวนการข้ามชนชั้น (อภิชาต สถิตนิรามัย 2554) เป็นคนชั้นกลางในชนบท (นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2553) เป็นชาวบ้านผู้รู้โลกกว้าง (Keyes 2553) ฯลฯ

เกษียร เตชะพีระ (2555) ให้คำจำกัดความว่า “…หลังจากก่อหวอดสะสมฐานภาพทางเศรษฐกิจสังคมและบ่มเพาะความสุกงอมทางวัฒนธรรมการเมืองอยู่ในพื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบทมานานปี กลุ่มชนผู้กลายมาเป็นคนเสื้อแดงก็ปรากฏตัว บนเวทีการเมืองมวลชนอย่างค่อนข้างกะทันหัน…และเติบใหญ่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมายจนกลายเป็นเครือข่ายการเคลื่อนไหวของประชาชนระดับชาติที่กว้างขวาง ยืดหยุ่น เหนียวแน่น ทนทายาด…(เป็น)

ฐานเสียงผลักดันให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เพียงแค่หนึ่งปีให้หลัง ชั่วแต่ว่าที่ผ่านมาเครือข่ายขบวนการคนเสื้อแดง/ นปช.มีสถานะเสมือนหนึ่ง “ลูกกำพร้า” ทางอุดมการณ์และการเมืองในประวัติศาสตร์ไทย คือเชื่อมต่อไม่ค่อยติดกับขบวนการต่อสู้ใหญ่ๆ ในอดีต …

พูดให้ลงตัวชัดเจนยากว่าตกลงคนเสื้อแดงสืบทอดอุดมการณ์และภารกิจทางการเมืองของขบวนการต่อสู้ใดในอดีตของไทย พวกเขามีที่มาที่ไป ที่อยู่ที่ยืนสืบทอดต่อเนื่องตรงไหนอย่างไร ในกระแสธารประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนไทย ในอันที่จะทำให้พวกเขาปักป้าย ยึดครองพื้นที่และประกาศฐานที่มั่นอันชอบธรรมของตนได้ในจินตนากรรม “ชาติไทย” / “ความเป็นไทย” ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และความทรงจำ…

จนกระทั่งความคลี่คลายขยายตัวของสถานการณ์ความขัดแย้ง การตีความประเด็นข้อเรียกร้องเพื่อการเปลี่ยนแปลง… คนเสื้อแดงจึงพบความหมายนัยแห่งอุดมการณ์ และภารกิจการต่อสู้ของตนและเลือกตีความแบบ “นับญาติ” กับการอภิวัฒน์ 2475” ซึ่งปรากฏการณ์ทางการเมืองในห้วง 5 – 6 ปีหลังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโดยตรงหลายประการ อาทิเช่น

ทักษิณ ชินวัตร
ประการที่หนึ่ง การที่คนเสื้อแดง (นับญาติ) และสืบทอดเจตนาของคณะราษฎร (ตามความคิดของเกษียร เตชะพีระ) เป็นการแสดงให้เห็นว่าแนวคิดประชาธิปไตยในสังคมไทยเกิดความตื่นตัวและต้องการการเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมือง และขบวนการเคลื่อนไหวนี้ทำให้เกิดความตื่นตัวทางการเมืองอย่างไพศาลในสังคมไทย “หน่ออ่อนประชาธิปไตย” ได้ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่คนในอดีตไม่คุ้นชิน

ประการที่สอง ฐานการเมืองที่สำคัญเป็นพื้นที่ชนบท และชุมชนจนเมือง และ “ที่สำคัญ คนชั้นกลางเมืองไม่อาจผูกขาดความต้องการเสรีภาพ การสร้างเส้นสาย ธรรมาภิบาล ความเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเมืองประชาธิปไตยอีกต่อไป” (ผาสุก พงษ์ไพจิตร 2555) เป็นการเปลี่ยนฐานคิดจากชนบทเป็นผู้เลือกรัฐบาล และคนชั้นกลางในเมืองล้มรัฐบาล

การเลือกตั้งในหลายครั้งที่ผ่านมาได้ทลายกรอบคิดนี้ลงอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะคนในชนบทได้แสดงให้เห็นถึงพลังของฐานเสียง ที่ช่วยค้ำยันรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ และการต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ แสดงให้เห็นว่าเขาเหล่านั้นไม่สยบยอมต่ออำนาจของของชนชั้นกลางในเมืองอีกต่อไป

ประการที่สาม การเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ได้ทำให้ฐานทางเศรษฐกิจของคนชนบทเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เป็นเกษตรกรที่พึ่งพาอีกต่อไป เขาเหล่านั้นได้กลายมาเป็นชนชั้นกลาง ที่มีรายได้จากการผลิตที่หลากหลาย และที่สำคัญ อาชีพหรือกิจกรรมของเขาเหล่านั้นสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับนโยบายของรัฐ พื้นที่ทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งจึงสำคัญในแง่ที่ทำให้เขากำหนดทิศทางนโยบายได้ไม่มากก็น้อยผ่าน “ตัวแทน” ในระดับต่างๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยในระบบเผด็จการ หรือการแต่งตั้ง

ประการที่สี่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมในชั่วหนึ่งอายุคนที่ผ่านมาจึงได้สร้างเกิด“วัฒนธรรมของความเสมอหน้า” ในกลุ่มประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่อาจยอมรับการเมืองแบบเก่าซึ่งคนชั้นกลางมีการศึกษาสูงเป็นผู้กำหนดหรือพยายามกำกับอีกต่อไป” (ผาสุก พงษ์ไพจิตร 2555)

ประการที่ห้า ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่ง คือ การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ “คนเสื้อแดง” สัมพันธ์กับการพัฒนาที่ลำเอียงของรัฐไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ที่เน้นการพัฒนาเมือง และทอดทิ้งชนบท ทำให้ช่องว่าคนรวยกับคนจน ชนบทกับเมือง การเข้าถึงทรัพยากรอย่าไม่เท่าเทียม ฯลฯ ถ่างกว้างขึ้น เมื่อมีนโยบายประชานิยมที่เอื้อต่อคนชนบท ทำให้เกิดสำนึกความเป็น “เจ้าของประเทศ” ที่ทุกคนมีส่วนในประเทศนี้มิใช่แต่คนรวย หรือคนชั้นกลางเท่านั้นที่ผูกขาดความเป็นเจ้าของประเทศ

แม้ภายหลังมีการทำรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างเอาจริงเอาจังจาก “คนเสื้อแดง” ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายประชานิยม ทำให้คนกลุ่มนี้มีสำนึกทางการเมืองใหม่ ที่เชื่อมั่น ศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย ที่มีการเลือกตั้งเป็นองค์ประกอบสำคัญ

รวมถึงเชื่อว่าระบอบนี้สร้างความเป็นธรรม เท่าเทียมให้คนในสังคมไทย ต่อต้าน “สองมาตรฐาน” “อำมาตย์” ซึ่งแตกต่างจาก “ไพร่” (คำนิยามตัวตนของคนเสื้อแดง) เป็นชุดวาทกรรมของความไม่เท่าเทียมในสังคม ความเปลี่ยนแปลงในห้วงเวลานี้ ได้ทำให้เกิดสำนึกทางการเมือง สำนึกความเป็นพลเมืองอย่างกว้างขวางในสังคมไทย

ประการที่หก ดุลอำนาจของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ เกิดการถักทอสายใยของความสัมพันธ์ในแนวราบมากขึ้น แทนระบบอุปถัมภ์ที่เป็นแนวดิ่ง (ดู อภิชาต สถิตนิรามัย และคณะ 2556)

ประการที่เจ็ด จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม “การเมืองมวลชน” ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองแบบตัวแทน และการเมืองแบบอื่นๆ ซึ่งมวลชนเหลือง แดง น้ำเงิน ฟ้า ฯลฯ เป็นพลังขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ สามารถชี้เป็นชี้ตายการเมืองแบบตัวแทนได้

ภายใต้ความสำคัญของ “ฐานคะแนน” ที่สามารถเป็นบันไดสู่ “อำนาจ” ทำให้มวลชนกลุ่มต่างๆ มีพลังในการต่อรองสูง ดั่งเช่นการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งในระดับไพรมารี่เพื่อกำหนดตัวแทนของพรรคการเมือง (แม้ในปัจจุบันอาจยังไม่เป็นจริง)

รวมถึงการเมืองมวลชนที่ออกมาเรียกร้องเคลื่อนไหวในประเด็นปัญหาต่างๆ ออกมากดดันเรียกร้อง ต่อรองอำนาจรัฐในระดับต่างๆ อย่างกว้างขวาง เป็นหนทางหนึ่งของการสร้างอำนาจของประชาชนที่สะเทือนต่อระบบต่างๆ อย่างไม่มีครั้งใดในประวัติศาสตร์

ในท้ายที่สุด “ประชาชน” เป็นยักษ์ที่ “ตื่น” และไม่อาจหวนกลับเข้าไปสู่ตะเกียงเพียงให้อะลาดินช่วง (หลอก) ใช้อีกต่อไปแล้ว ยักษ์ตนนี้ไม่อาจหวนคืนได้อีกแล้ว แม้อาจเป็นโลกที่ไม่คุ้นเคยของ “อะลาดิน” แต่จงทำใจเถิดครับ

ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตอบข้อซักถาม :ทางรถไฟอาเซียน เป็นจริงหรือแค่ฝัน (2)!!?



ขนาดความกว้างรางรถไฟ.





ระยะในการวัดขนาดความกว้างรางรถไฟ

ขนาดเกจต่างๆ
ขนาดความกว้างรางรถไฟ (อังกฤษ: rail gauge หรือ track gauge) คือระยะห่างของรางรถไฟ โดยวัดจากหัวรางด้านในข้างซ้ายถึงหัวรางด้านในข้างขวา สแตนดาร์ดเกจ (standard gauge) เป็นชื่อของขนาดความกว้างรางที่นิยมใช้มากที่สุดทั่วโลก โดยประมาณ 60% ของรางรถไฟทั้งหมด โดยมีขนาด 1,435 มม. (4 ฟุต 8 1/2 นิ้ว) โดยในเมืองไทยรางรถไฟส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างที่เรียกว่า มีเตอร์เกจ ที่มีขนาดความกว้าง 1,000 มม. ซึ่งมีแผนการจะพัฒนาปรับปรุงเพื่อใช้สำหรับรถไฟความเร็วสูง[1]

เนื้อหา [ซ่อน]
[แก้] ประเภทของรางรถไฟ


รางรถไฟชิงกันเซ็ง เป็นรางที่มีความกว้างมาตรฐาน (standard gauge)

[แก้] รางแคบ (Narrow gauge)

รางแคบ (Narrow gauge) เป็นรางรถไฟที่มีความกว้างของรางน้อยกว่า 1.435 เมตร ได้แก่
  • สก๊อตต์ เกจ (Scotch gauge) ขนาดความกว้างราง 1.372 เมตร (4 ฟุต 6 นิ้ว)
  • เคป เกจ (Cape gauge) ขนาดความกว้างราง 1.067 เมตร (3 ฟุต 6 นิ้ว)
  • มิเตอร์ เกจ (Metre gauge) ขนาดความกว้างราง 1.000 เมตร (3 ฟุต 3 3/8 นิ้ว)
[แก้] รางมาตรฐาน (Standard gauge)
เป็นรางขนาด 1.435 เมตร หรือ 1,435 มม. (4 ฟุต 8 1/2 นิ้ว) มีจำนวนประเทศที่ใช้มากที่สุด เรียกมาตรฐานรางกว้างขนาดนี้ว่า Standard Gauge บางครั้งเรียกว่า European Standard Gauge (ESG.) เป็นรางรถไฟที่กำหนดเป็นมาตรฐานของกลุ่มในประเทศยุโรป มีการใช้รางขนาดนี้คิดเป็นหกสิบเปอร์เซ็นต์ของรถไฟโลก[2]

1906 earthquake train.jpg


[แก้] รางกว้าง (Broad gauge)

รางกว้าง (Broad gauge) เป็นรางที่มีขนาดความกว้างมากกว่า 1.435 เมตรขึ้นไป

  • อินเดียน เกจ (Indian gauge) 1.676 เมตร (5 ฟุต 6 นิ้ว)
  • ไอเบอเรี่ยน เกจ (Iberian gauge) 1.668 เมตร (5 ฟุต 5 2/3 นิ้ว)
  • ไอริส เกจ (Irish gauge) 1.600 เมตร (5 ฟุต 3 นิ้ว)
  • รัสเซีย เกจ (Russian gauge) 1.520 เมตร (4 ฟุต 11 5/6 นิ้ว)
ความกว้าง (เมตร)ชื่อเรียกขนาดระยะทางที่มีการก่อสร้าง (กิโลเมตร)สถานที่มีการใช้งานที่
1.676Indian gauge77,000อินเดีย (42,000 กิโลเตร; (เพิ่มขึ้นจากโครงการปรับเปลี่ยนราง), ปากีสถาน, ทางรถไฟในประเทศอาร์เจนตินา (24,000 กิโลเมตร), ชิลี
(ประมาณ 6 1/2% ของทางรถไฟในโลก)
1.668Iberian gauge15,394โปรตุเกส, ทางรถไฟในสเปน (ในสเปน 21 กิโลเมตร ซึ่งเป็นรางที่ใช้ร่วมกัน 3 ราง ในรางคู่ โดยใช้ Iberian กับ standard gaugesซึ่งที่เหลือเป็นแผนที่จะทำในอนาคต
1.600Irish gauge9,800ไอร์แลนด์, รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลียส่วนใหญ่ และบางรัฐเซาท์ ประเทศออสเตรเลีย (Victorian gauge) (4,017 กิโลเมตร), รางในประเทศบลาซิล (4,057 กิโลเมตร)
1.524Russian gauge5,865รางรถไฟในประเทศฟินแลนด์
1.520Russian gauge220,000รัฐ CIS (รวมทั้งรางรถไฟในประเทศรัสเซีย), เอสโตเนีย, ลัตเวีย, ลิธัวเนีย, มองโกเลีย
(ประมาณ 17% ของรางรถไฟในโลก)
1.435Standard gauge720,000รางรถไฟในกลุ่มประเทศยุโรป, รางในประเทศอาร์เจนตินา, รางรถไฟในประเทศสหรัฐอเมริกา, รางรถไฟในประเทศแคนนาดา, รางในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน, เกาหลี, ออสเตเลีย, ใจกลางของแอฟฟิกาตะวันออก, แอฟฟิกาเหนือ, แมกซิโก, คิวบา, ปานามา, เวเนซูเอล่า, เปรู, อุรุกวัย และฟิลิปปินส์ เส้นทางรถไฟความเร็วสูงในประเทศญี่ปุ่น และสเปน
(ประมาณ 60% ของรางรถไฟในโลก)
1.067Cape gauge112,000แอฟฟิกาใต้และแอฟฟิกากลาง, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), ฟิลิปปินส์, นิวซีแลนด์, รัฐควีนแลนด์ ออสเตเลีย
(ประมาณ 9% ของทางรถไฟในโลก)
1.000Metre gauge95,000เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อินเดีย (17,000 กิโลเมตร, ซึ่งปัจจุบันมีระยะทางลดลงจากโครงการปรับเปลี่ยนขนาดราง), ทางรถไฟในประเทศอาร์เจนตินา (11,000 กิโลเมตร), ทางรถไฟในประเทศบาร์ซิล (23,489 กิโลเมตร), โบลิเวีย, ทางเหนือของประเทศชิลี, เคย่า, ยูกานด้า
(โดยประมาณ 7% ของทางรถไฟในโลก)
[แก้] รางรถไฟรางร่วม

แบบการวางรางรถไฟรางร่วมในต่างประเทศ
รางรถไฟรางผสม (mixed-gauge) หรือ รางรถไฟรางร่วม (dual-gauge) เป็นการทำรางรถไฟให้รถไฟที่ต้องการความกว้างของราง 2 ระบบให้สามารถใช้แนวเส้นทางเดิมได้ โดยวางรางเสริมเข้ากับรางระบบเดิม จึงได้ราง 2 ระบบในแนววางรางเดิม ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีระบบรางรถไฟรางร่วม

[แก้] สถิติของรางรถไฟ
  • รางกว้างที่กว้างสุดคือ 2.140 เมตร ซึ่งเรียกว่า Groad gauge
  • รางกว้างที่แคบสุดคือ รางเดี่ยว (Monorail หรือที่เรียกว่า Gauge-O) [3]
[แก้] ประวัติ

ขนาดรางรถไฟหลักแบ่งตามประเทศ โดยสแตนดาร์ดเกจแสดงในสีฟ้า และมีเตอร์เกจแสดงในสีชมพู

อดีตการเลือกขนาดรางรถไฟในการก่อสร้างนั้น เป็นส่วนหนึ่งโดยพลการและเงื่อนไขบางอย่างเพื่อตอบสนองท้องถิ่น เช่น รถไฟแคบวัด - มีราคาถูกกว่าการสร้างและสามารถเข้าพื้นที่แคบๆ ข้างหน้าผาได้ดี แต่รางรถไฟรางกว้างให้มีเสถียรภาพมากขึ้นและสามารถใช้ความเร็วสูงได้มากขึ้น

ในบางประเทศ การเลือกใช้รางเป็นประเด็นทางการเมือง การปกครอง เช่น ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการใช้รางรถไฟรางแคบ ขนาด 1 เมตร ในดินแดนภายใต้อาณานิคม ของประเทศอังกฤษ และฝรังเศส เมื่อประเทศสยาม (ไทย) ได้สร้างรถไฟหลวงสายแรกเพื่อไปเชียงใหม่ โดยใช้ขนาด 1.435 เมตร มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อีกด้วยว่าในระหว่างความขัดแย้งทางการค้าไทยกับฝรั่งเศส ได้มีการทำสนธิสัญญาไว้ข้อหนึ่ง ซึ่งห้ามประเทศไทยสร้างทางรถไฟไปชิดชายฝั่งแม่น้ำโขง ทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือจึงสร้างไปหยุดที่ อำเภอวารินชำราบในจังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอุดรธานี[4] สำหรับทางรถไฟสายใต้นั้นก่อสร้างด้วยเงินกู้จากประเทศอังกฤษ ซึ่งประเทศไทยจำยอมต้องสร้างด้วยขนาด 1.00 เมตร ด้วยเหตุผลที่อังกฤษตั้องการใช้เป็นเส้นทางเชื่อมทางระหว่างมลายูกับพม่า ซึ่งเป็นรางขนาด 1.00 เมตร และมีค่าก่อสร้างถูกกว่าด้วย

[แก้] รางรถไฟในประเทศไทย
การพัฒนารางรถไฟในประเทศไทยเริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยได้มีการสร้างรางรถไฟขนาด 1.435 เมตรในบริเวณตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาในรางสายเหนือ โดยไม่ใช้ขนาดเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหลบเลี่ยงจากขนาดรางรถไฟของอังกฤษ ป้องกันการรุกรานเป็นอาณานิคม และต่อมาได้มีการสร้างรางเพิ่ม ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ได้สร้างขนาด 1.000 เมตร ซึ่งเป็นรางรถไฟสายใต้ปัจจุบัน
รางรถไฟ 1.000 เมตร (มีเตอร์เกจ)
รางรถไฟ 1.435 เมตร (สแตนดาร์ดเกจ)
รางรถไฟรางแคบขนาด 0.700 เมตร
[แก้] ดูเพิ่ม
[แก้] อ้างอิง
  1. ^ ไทยรัฐ เมื่อประเทศไทยกำลังจะมี 'ม้าเหล็ก' ความเร็วสูงใช้ (in ไทย) ข่าวหนังสือพิมพ์ เรียกดูเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555
  2. ^ http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=2 ขนาดความกว้างของรางรถไฟ
  3. ^ http://onknow.blogspot.com/2008/04/blog-post_9091.html เรื่องความกว้าง ของรางรถไฟ
  4. ^ http://www.oknation.net/blog/BlueDragonExp/2007/04/21/entry-1 ขนาดความกว้างของรางรถไฟ (Railway Gauge)
ที่มา.วิกิพีเดีย.
///////////////////////////////////////////