บทความพิเศษ
"จูบ" ใครคิดว่าไม่สำคัญ (1) : จูบการเมือง สไตล์ "พญาอินทรี"

การจูบ (Kiss) จัดเป็น "วัฒนธรรมต่างด้าว" เป็นเรื่องของ "ท้าวต่างแดน"อย่างแท้จริง
เพียงแค่คนไทยเห็นภาพนี้ก็เรียกเสียงฮือฮาไปทั่ว เมื่อ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จุ๊บแก้ม และโอบกอด นางออง ซาน ซูจี หลังทั้งคู่เสร็จสิ้นการแถลงข่าวหน้าบ้านพักริมทะเลสาบ ณ เมืองย่างกุ้ง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2555
ภาพนี้จะกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่ง ซึ่งโอบามาตั้งใจปล่อยภาพนี้ออกมา ตั้งใจเพราะหวังผลทางการเมือง เพื่อแสดงความสนิทสนม ส่งข้อความว่า สหรัฐเลือกที่จะยืนอยู่ข้างฝ่ายค้าน สหรัฐเข้าข้างฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า
วันนี้ "โปรดปราน" จะขอเริ่มโปรยเรื่องการจูบจากช็อตเด็ดที่คุ้นตาคนไทย คือ เพราะเพิ่งผ่านไปหยกๆ และเป็นภาพ "ไฮไลต์" การเดินทางของโอบามา ที่แย่งซีน เนื้อหาสาระและผลประโยชน์ของชาติ (national interest) อันเป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของทริป การเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไทย พม่า กัมพูชา ในครั้งนี้
เรียกได้ว่า โอบามา นับว่าเป็นผู้นำคนหนึ่งที่ชำนาญและนิยมใช้ภาษากายในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
ผู้ที่ติดตามข่าวต่างประเทศเสมอๆจะพบว่า"จูบ"ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองบนเวทีระดับโลกอยู่บ่อยๆ และ ใช้มาเนิ่นนานแล้ว ไม่ได้เพิ่งใช้
ผู้เขียนไม่ทราบว่านานเท่าใดที่ "การจูบ" ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เริ่มเมื่อไหร่ อย่างไร
คนเอเชียโดยเฉพาะคนไทยนั้น ไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมการถูกเนื้อต้องตัวกัน โดยเฉพาะการจูบ
สำหรับคนไทยเราที่ยังอุดมเต็มไปด้วยกรอบทางสังคม การจูบถูกสงวนไว้เฉพาะคู่รักหนุ่มสาว
การหอมแก้มถูกสงวนไว้เฉพาะพ่อแม่หอมแก้มลูกวัยเด็ก เมื่อโตๆ กันแล้ว คนไทยไม่ค่อยนิยมถูกเนื้อต้องตัวกัน แม้กระทั่งคนในครอบครัว และ อันนี้รวมไปถึงการโอบกอดด้วย
คนไทยจึงแยกไม่ออกว่า การจูบ ชนิดต่างๆ มันแตกต่างกันอย่างไร และหมายความว่าอย่างไร ไม่ว่าจะการจูบปาก จุ๊บมือ จุ๊บแก้ม การหอมแก้ม หรือแก้มแนบแก้ม

ธรรมเนียมการจูบในระดับสากล ถือว่าเป็นธรรมเนียมแสดงความยินดีและต้อนรับแบบยุโรป แตกต่างกันไปในรายละเอียด ชาติเจ้าแม่แห่งการจูบอันเป็นต้นแบบที่นักการเมืองระดับโลกนำมาประยุกต์ใช้ เห็นจะไม่พ้นการจูบแก้มแบบที่ชาวฝรั่งเศส (ซึ่งจริงๆ ยังมีขนบของการจูบแบบอื่นๆ เพียงแต่ไม่เป็นที่นิยม และไม่กล่าวถึงในที่นี้ อาทิ แบบชาวตะวันออกกลาง ทั้งแบบยิว แบบอาหรับ แบบรัสเซีย แบบละตินอเมริกา ฯลฯ)
รวมถึงต้นตำรับ "การจูบปากอย่างดูดดื่ม" ที่เราพบเห็นได้บ่อยๆ ในภาพยนตร์ตะวันตก ชาวอเมริกันเรียกการจูบปากแบบดูดดื่มถึงขั้นแลกลิ้น ว่า French kiss แต่ชาวฝรั่งเศสเอง กลับเรียกว่า tongue kiss หรือ baiser avec la langue
จริงๆ แล้ว การทักทายกันผู้นำประเทศเมื่อพบกันครั้งแรก มักจะทำเพียง "เช็กแฮนด์" กันเท่านั้น เป็นการแสดงออกมาตรฐาน

ต่อเมื่อได้พบปะกันแล้ว ได้คุยกันแล้ว และที่สำคัญคือความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาตินั้น ต้องมีทิศทางในทางที่ดีต่อกัน
เมื่อพบกันในครั้งที่ 2 หากต้องการ "โชว์" ความพิเศษ หรือ ตั้งใจส่งสัญญาณ จะแสดงออกทางภาษากายบ่งบอกถึงแสดงความสนิทสนมกัน หยอกล้อกัน
อีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการส่งข้อความให้โลกรู้ถึงความแน่นแฟ้นของสัมพันธภาพ คือ สถานที่ที่ใช้ในการรับรองแขก หากระดับความสัมพันธ์สนิทสนมเป็นพิเศษ ทางเจ้าภาพ คือ รัฐบาลอเมริกัน จะจัดให้เข้าพบที่ห้องทำงานส่วนตัวของท่านประธานาธิบดี คือ Oval office

หรือ แน่นแฟ้นกว่านั้น จะนั่ง ฮ. ไปพักผ่อนกันถึงที่ Camp David เลยที่เดียว ใครๆ ก็ทราบว่าที่นี่คือบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของพญาอินทรี ยกตัวอย่างในภาพเป็น ท่านประธานาธิบดีบุช ขับรถกอล์ฟให้นายกฯ บราวน์ นั่ง ที่ Camp David ก.ค. 2007 นั่นหมายถึง ระดับความสัมพันธ์ของสหรัฐ-อังกฤษ ที่สนิทสนมมากเป็นพิเศษ
2 ภาพที่ โอบามา ออกรับนางซูจี ที่ Oval office ในทริปแรกของการออกเดินทางสู่โลกภายนอกของซูจี โดยไปเยือนทำเนียบขาวในวันที่ 19 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา ถือว่าได้รับเกียรติมาก แม้จะเป็นการพบกันในครั้งแรก แต่ทางทำเนียบขาว "จงใจปล่อยภาพ" ที่เผยถึงบรรยากาศที่เป็นส่วนตั๊วส่วนตัว สบายๆ แบบกันเอง ของการเข้าพบครั้งนี้ ด้วยฉากการหยอกล้อทักทายหมา (หมาก็ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองเช่นกัน) ด้วยการมี เจ้า " Bo" มาเข้าฉากด้วย

สุนัขตัวนี้เป็นหมาเพศผู้ สายพันธุ์โปรตุเกส สีดำ มีแซมขาวนิดๆ เป็นสุนัขหมายเลข 1 คือ ของครอบครัวโอบามา ในภาพจะเห็น ฮิลลารี่ คลินตัน เข้าร่วมหารือด้วย
ในภาพเป็นการโพสท่าของ 3 ผู้นำ ในเวที G20 London Summit 2009 ในภาพคือ โอบามา (ผู้นำสหรัฐ) แบร์ลุสโคนี่ (ผู้นำอิตาลี) และ เมดเวเดฟ (ผู้นำรัสเซีย) หยอกล้อ เล่นกล้อง
การล้อผู้สื่อข่าวแบบนี้คือ ความตั้งใจอยากเป็นข่าว เพื่อแสดงความสนิทสนมกลมเกลียวของ 3 ชาติ ทุกการกระทำ ล้วนมีความหมายทางการเมืองทั้งสิ้น ทุกการกระทำหวังผลทางการเมืองทั้งสิ้น
ภาพการพบกันของ 2 นายกรัฐมนตรีหญิง ภาพแรก นายกรัฐมนตรีจูเลีย กิลลาร์ด ให้การต้อนรับนายกฯ ปู ในโอกาสเยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ เมื่อ 28 พฤษภาคม 2555 ทั้งคู่พบกันอีก 2 หน คือ การประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ณ กรุงโซล เกาหลีใต้ ที่นั่งประชันความงามอยู่ด้านขวามือของ นายกฯ ปู คือ นายกฯ หญิงเฮลเล่ ธอร์นิง-ชมิตต์ จากเดนมาร์ก
นายกรัฐมนตรีจูเลียและนายกฯ ปู มาพบกันเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 1 ปี ที่กัมพูชา ในเวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2555 เมื่อรู้จักคุ้นเคยกันดีแล้ว การทักทายด้วยการหอมแก้มกันจึงเป็นเรื่องธรรมดาดังเห็นในภาพ
อย่างไรก็ตาม ขอบคุณที่ โอบามา เลือกที่จะหอมแก้ม นางซูจี ภาพออกมาน่ารักดี ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง และไม่(บ้าจี้)หอมแก้มประธานาธิบดี เต็ง เส่ง หรือ สมเด็จฮุน เซน ไม่งั้นภาพจะออกมาเช่นไร ไม่อยากจินตนาการ
ขอบคุณอย่างยิ่งที่ โอบามา ผู้รับการติวเข้มเรื่องวัฒนธรรมไทยมาเป็นอย่างดี ว่าในบ้านเรานั้น สิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้ โอบามาและคลินตันจึงถอดรองเท้าเดินเข้าชมความงามในพระอุโบสถวัดโพธิ์
เดินประสานมืออย่างเรียบร้อยในการสนทนากับพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณเทียบอย่างมิได้เคอะเขิน
และที่สำคัญไม่เผลอไป"หอมแก้มนายกฯ ยิ่งลักษณ์" แต่เลือกที่จะ "เช็กแฮนด์" แต่ก็ไม่วายแอบหยอดเสน่ห์ แตะที่ศอก ที่แขนอีกเล็กน้อย รวมทั้งส่งแค่ตาหวานใส่ ไม่งั้นคงมีรายการดราม่าเกิดขึ้นอีกแน่ๆ
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
"จูบ" ใครคิดว่าไม่สำคัญ (1) : จูบการเมือง สไตล์ "พญาอินทรี"
การจูบ (Kiss) จัดเป็น "วัฒนธรรมต่างด้าว" เป็นเรื่องของ "ท้าวต่างแดน"อย่างแท้จริง
เพียงแค่คนไทยเห็นภาพนี้ก็เรียกเสียงฮือฮาไปทั่ว เมื่อ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จุ๊บแก้ม และโอบกอด นางออง ซาน ซูจี หลังทั้งคู่เสร็จสิ้นการแถลงข่าวหน้าบ้านพักริมทะเลสาบ ณ เมืองย่างกุ้ง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2555
ภาพนี้จะกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่ง ซึ่งโอบามาตั้งใจปล่อยภาพนี้ออกมา ตั้งใจเพราะหวังผลทางการเมือง เพื่อแสดงความสนิทสนม ส่งข้อความว่า สหรัฐเลือกที่จะยืนอยู่ข้างฝ่ายค้าน สหรัฐเข้าข้างฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า
วันนี้ "โปรดปราน" จะขอเริ่มโปรยเรื่องการจูบจากช็อตเด็ดที่คุ้นตาคนไทย คือ เพราะเพิ่งผ่านไปหยกๆ และเป็นภาพ "ไฮไลต์" การเดินทางของโอบามา ที่แย่งซีน เนื้อหาสาระและผลประโยชน์ของชาติ (national interest) อันเป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของทริป การเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไทย พม่า กัมพูชา ในครั้งนี้
เรียกได้ว่า โอบามา นับว่าเป็นผู้นำคนหนึ่งที่ชำนาญและนิยมใช้ภาษากายในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
ผู้ที่ติดตามข่าวต่างประเทศเสมอๆจะพบว่า"จูบ"ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองบนเวทีระดับโลกอยู่บ่อยๆ และ ใช้มาเนิ่นนานแล้ว ไม่ได้เพิ่งใช้
ผู้เขียนไม่ทราบว่านานเท่าใดที่ "การจูบ" ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เริ่มเมื่อไหร่ อย่างไร
คนเอเชียโดยเฉพาะคนไทยนั้น ไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมการถูกเนื้อต้องตัวกัน โดยเฉพาะการจูบ
สำหรับคนไทยเราที่ยังอุดมเต็มไปด้วยกรอบทางสังคม การจูบถูกสงวนไว้เฉพาะคู่รักหนุ่มสาว
การหอมแก้มถูกสงวนไว้เฉพาะพ่อแม่หอมแก้มลูกวัยเด็ก เมื่อโตๆ กันแล้ว คนไทยไม่ค่อยนิยมถูกเนื้อต้องตัวกัน แม้กระทั่งคนในครอบครัว และ อันนี้รวมไปถึงการโอบกอดด้วย
คนไทยจึงแยกไม่ออกว่า การจูบ ชนิดต่างๆ มันแตกต่างกันอย่างไร และหมายความว่าอย่างไร ไม่ว่าจะการจูบปาก จุ๊บมือ จุ๊บแก้ม การหอมแก้ม หรือแก้มแนบแก้ม
ธรรมเนียมการจูบในระดับสากล ถือว่าเป็นธรรมเนียมแสดงความยินดีและต้อนรับแบบยุโรป แตกต่างกันไปในรายละเอียด ชาติเจ้าแม่แห่งการจูบอันเป็นต้นแบบที่นักการเมืองระดับโลกนำมาประยุกต์ใช้ เห็นจะไม่พ้นการจูบแก้มแบบที่ชาวฝรั่งเศส (ซึ่งจริงๆ ยังมีขนบของการจูบแบบอื่นๆ เพียงแต่ไม่เป็นที่นิยม และไม่กล่าวถึงในที่นี้ อาทิ แบบชาวตะวันออกกลาง ทั้งแบบยิว แบบอาหรับ แบบรัสเซีย แบบละตินอเมริกา ฯลฯ)
รวมถึงต้นตำรับ "การจูบปากอย่างดูดดื่ม" ที่เราพบเห็นได้บ่อยๆ ในภาพยนตร์ตะวันตก ชาวอเมริกันเรียกการจูบปากแบบดูดดื่มถึงขั้นแลกลิ้น ว่า French kiss แต่ชาวฝรั่งเศสเอง กลับเรียกว่า tongue kiss หรือ baiser avec la langue
จริงๆ แล้ว การทักทายกันผู้นำประเทศเมื่อพบกันครั้งแรก มักจะทำเพียง "เช็กแฮนด์" กันเท่านั้น เป็นการแสดงออกมาตรฐาน
ต่อเมื่อได้พบปะกันแล้ว ได้คุยกันแล้ว และที่สำคัญคือความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาตินั้น ต้องมีทิศทางในทางที่ดีต่อกัน
เมื่อพบกันในครั้งที่ 2 หากต้องการ "โชว์" ความพิเศษ หรือ ตั้งใจส่งสัญญาณ จะแสดงออกทางภาษากายบ่งบอกถึงแสดงความสนิทสนมกัน หยอกล้อกัน
อีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการส่งข้อความให้โลกรู้ถึงความแน่นแฟ้นของสัมพันธภาพ คือ สถานที่ที่ใช้ในการรับรองแขก หากระดับความสัมพันธ์สนิทสนมเป็นพิเศษ ทางเจ้าภาพ คือ รัฐบาลอเมริกัน จะจัดให้เข้าพบที่ห้องทำงานส่วนตัวของท่านประธานาธิบดี คือ Oval office
หรือ แน่นแฟ้นกว่านั้น จะนั่ง ฮ. ไปพักผ่อนกันถึงที่ Camp David เลยที่เดียว ใครๆ ก็ทราบว่าที่นี่คือบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของพญาอินทรี ยกตัวอย่างในภาพเป็น ท่านประธานาธิบดีบุช ขับรถกอล์ฟให้นายกฯ บราวน์ นั่ง ที่ Camp David ก.ค. 2007 นั่นหมายถึง ระดับความสัมพันธ์ของสหรัฐ-อังกฤษ ที่สนิทสนมมากเป็นพิเศษ
2 ภาพที่ โอบามา ออกรับนางซูจี ที่ Oval office ในทริปแรกของการออกเดินทางสู่โลกภายนอกของซูจี โดยไปเยือนทำเนียบขาวในวันที่ 19 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา ถือว่าได้รับเกียรติมาก แม้จะเป็นการพบกันในครั้งแรก แต่ทางทำเนียบขาว "จงใจปล่อยภาพ" ที่เผยถึงบรรยากาศที่เป็นส่วนตั๊วส่วนตัว สบายๆ แบบกันเอง ของการเข้าพบครั้งนี้ ด้วยฉากการหยอกล้อทักทายหมา (หมาก็ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองเช่นกัน) ด้วยการมี เจ้า " Bo" มาเข้าฉากด้วย
สุนัขตัวนี้เป็นหมาเพศผู้ สายพันธุ์โปรตุเกส สีดำ มีแซมขาวนิดๆ เป็นสุนัขหมายเลข 1 คือ ของครอบครัวโอบามา ในภาพจะเห็น ฮิลลารี่ คลินตัน เข้าร่วมหารือด้วย
ในภาพเป็นการโพสท่าของ 3 ผู้นำ ในเวที G20 London Summit 2009 ในภาพคือ โอบามา (ผู้นำสหรัฐ) แบร์ลุสโคนี่ (ผู้นำอิตาลี) และ เมดเวเดฟ (ผู้นำรัสเซีย) หยอกล้อ เล่นกล้อง
การล้อผู้สื่อข่าวแบบนี้คือ ความตั้งใจอยากเป็นข่าว เพื่อแสดงความสนิทสนมกลมเกลียวของ 3 ชาติ ทุกการกระทำ ล้วนมีความหมายทางการเมืองทั้งสิ้น ทุกการกระทำหวังผลทางการเมืองทั้งสิ้น
ภาพการพบกันของ 2 นายกรัฐมนตรีหญิง ภาพแรก นายกรัฐมนตรีจูเลีย กิลลาร์ด ให้การต้อนรับนายกฯ ปู ในโอกาสเยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ เมื่อ 28 พฤษภาคม 2555 ทั้งคู่พบกันอีก 2 หน คือ การประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ณ กรุงโซล เกาหลีใต้ ที่นั่งประชันความงามอยู่ด้านขวามือของ นายกฯ ปู คือ นายกฯ หญิงเฮลเล่ ธอร์นิง-ชมิตต์ จากเดนมาร์ก
นายกรัฐมนตรีจูเลียและนายกฯ ปู มาพบกันเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 1 ปี ที่กัมพูชา ในเวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2555 เมื่อรู้จักคุ้นเคยกันดีแล้ว การทักทายด้วยการหอมแก้มกันจึงเป็นเรื่องธรรมดาดังเห็นในภาพ
อย่างไรก็ตาม ขอบคุณที่ โอบามา เลือกที่จะหอมแก้ม นางซูจี ภาพออกมาน่ารักดี ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง และไม่(บ้าจี้)หอมแก้มประธานาธิบดี เต็ง เส่ง หรือ สมเด็จฮุน เซน ไม่งั้นภาพจะออกมาเช่นไร ไม่อยากจินตนาการ
ขอบคุณอย่างยิ่งที่ โอบามา ผู้รับการติวเข้มเรื่องวัฒนธรรมไทยมาเป็นอย่างดี ว่าในบ้านเรานั้น สิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้ โอบามาและคลินตันจึงถอดรองเท้าเดินเข้าชมความงามในพระอุโบสถวัดโพธิ์
เดินประสานมืออย่างเรียบร้อยในการสนทนากับพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณเทียบอย่างมิได้เคอะเขิน
และที่สำคัญไม่เผลอไป"หอมแก้มนายกฯ ยิ่งลักษณ์" แต่เลือกที่จะ "เช็กแฮนด์" แต่ก็ไม่วายแอบหยอดเสน่ห์ แตะที่ศอก ที่แขนอีกเล็กน้อย รวมทั้งส่งแค่ตาหวานใส่ ไม่งั้นคงมีรายการดราม่าเกิดขึ้นอีกแน่ๆ
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น