--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ผลการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในรอบ 1 ปี.



ผลการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในรอบ 1 ปี

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลงานกระทรวงพาณิชย์ ครบ 1 ปี ตามนโยบายรัฐบาล

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลการดำเนินงานของของรัฐบาลด้านการพาณิชย์ ในรอบ 1 ปี รัฐบาลชูผลงานเร่งด่วนดูแลพี่น้องประชาชนด้านภาวะค่าครองชีพ พร้อมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) เพิ่มรายได้และลดร่ายจ่าย นำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

 นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงผลการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ ในรอบ 1 ปี สรุปได้ดังนี้

1. ดูแลค่าครองชีพ ภาวะเงินเฟ้อ และฟื้นฟูผู้ประกอบการ

ได้กำกับดูแลราคาสินค้าและบริการให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และเพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคาถูก ได้แก่ การจัดงานธงฟ้าจำหน่ายสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพในราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปถึงร้อยละ 20-40 และจัดทั่วประเทศ สามารถลดภาระค่าครองชีพแก่ประชาชนได้มากกว่า 5 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าราว 1,250 ล้านบาท การจัดตั้ง “ร้านถูกใจ” จำหน่ายสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพ 20 รายการในราคาต่ำกว่าร้านค้าทั่วไปถึงร้อยละ 20 มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการกว่า 16,000 ร้านกระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่งผลช่วยลดค่าครองชีพได้ถึง 400 ล้านบาทต่อเดือน และยังเป็นการฟื้นฟูร้านค้าย่อยหรือโชห่วยให้สามารถค้าขายได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ได้มีการกำกับดูแลราคาสินค้าสำคัญตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงร้านค้าปลีกให้มีราคาเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่เป็นสินค้าอาหารหลักของประชาชน อาทิ การประกาศยืนราคารับซื้อและจำหน่ายสุกรในราคาเดิม การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายไข่ไก่ รวมทั้งดูแลราคาสินค้าอาหาร ซึ่งเป็นรายการที่มีสัดส่วนการใช้จ่ายถึงร้อยละ 30 ของครัวเรือน เช่น การตรึงราคาน้ำมันปาล์ม การประกาศราคาแนะนำอาหารปรุงสำเร็จ 10 รายการในราคาจานละ 25 - 30 บาท ผ่านร้านอาหารธงฟ้ากว่า 5,000 ร้าน ร้านอาหารทั่วไป และศูนย์อาหารในห้างค้าปลีกสมัยใหม่ และการขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ตรึงราคาในสินค้าสำคัญ 7 หมวด 140 รายการ ซึ่งผลการดำเนินการดังกล่าว ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 เป็นต้นมา และในรอบ 8 เดือนขยายตัวเพียงร้อยละ 2.89 ต่ำกว่าประมาณการที่กำหนดไว้ที่ ร้อยละ 3.3 – 3.8 และต่ำกว่าหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เดือนกรกฎาคม 2555 ปรากฏว่าประชาชนร้อยละ 82 มีความพึงพอใจในมาตรการประกาศราคาแนะนำ

2. ยกระดับราคาสินค้าเกษตร

กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินงานตามนโยบายยกระดับราคาสินค้าเกษตรของรัฐบาล โดยดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทุกคนได้มีสิทธิ และรับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดและได้รับเงินโดยตรงจาก ธ.ก.ส. โดยไม่มีการรั่วไหล ทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โดยราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงก่อนมีการรับจำนำ ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ สูงขึ้นตันละ 1,000 – 1,800 บาท โดยราคาเฉลี่ยในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจากตันละ 14,169 บาท ในปี 2554 เป็น 15,333 บาท ในปี 2555 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ส่วนข้าวเปลือกเจ้า ราคาสูงขึ้นตันละ 1,000 - 1,100 บาท โดยราคาเฉลี่ยเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 9,612 บาทในปี 2554 เป็น 10,401 บาท ในปี 2555 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ทั้งนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อนโยบายรับจำนำข้าวของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเดือนกรกฎาคม 2555 พบว่าเกษตรกรมีความพอใจนโยบายดังกล่าว

ในทิศทางเดียวกัน ราคาส่งออกข้าวของไทยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับระดับมาตรฐานคุณภาพของข้าวไทยที่มีมากกว่าข้าวของประเทศคู่แข่ง นอกเหนือจากนี้ ยังมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยรับซื้อสินค้าเกษตรที่ราคาตกต่ำ เช่น กระเทียม หอมแดง พริก สนับสนุนการกระจายผลผลิตสินค้าเกษตร อาทิ ไข่ไก่ เนื้อหมู กระเทียม กุ้งขาว จัดระบบการค้าสินค้าปาล์มน้ำมัน และถั่วเหลือง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น อาทิ กระเทียมมีราคาสูงขึ้นกิโลกรัมละ 8-10 บาท กุ้งขาว ราคาสูงขึ้นกิโลกรัมละ 5-15 บาท นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมตลาดกลางสินค้าเกษตรให้เป็นแหล่งซื้อขายและกระจายสินค้าที่ได้มาตรฐาน อาทิ ตลาดกลางประมูลข้าวสาร ท่าข้าวกำนันทรง จังหวัดนครสวรรค์ และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า

3. ส่งเสริมงานหัตถศิลป์และผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP)

เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแก่กลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย โดยมุ่งพัฒนาตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดสากลผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดงานเทศกาลนวัตศิลป์นานาชาติ การร่วมแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ สนับสนุนภารกิจของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ การการอบรมเชิงลึกด้านการออกแบบ และการพัฒนาการตลาดในรูปแบบใหม่ อาทิ การจัดจุดจำหน่ายสินค้าแบบพิเศษให้น่าสนใจในห้างสรรพสินค้า สนามบิน โรงแรมชั้นนำ รวมถึงการจำหน่ายทางระบบออนไลน์ แฟรนไชส์ และการขายตรง เป็นต้น ส่งผลให้การส่งออกสินค้าหัตถศิลป์ไทยที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยร้อยละ 9-10 ต่อปีในช่วงปี 2548-2553 และคาดว่าปี 2555 จะมีมูลค่าส่งออกประมาณ 540 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จัดเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 15 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.5 ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะให้ขยายตัวอย่างน้อยร้อยละ 10

4. ผลักดันและสร้างความเชื่อมั่นการส่งออก

กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาและส่งเสริมการส่งออก ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศกว่าร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่ทำให้การส่งออกของประเทศต่างๆ ทั่วโลกชะงักงัน และไทยยังได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ สำหรับในรอบ 7 เดือนแรกของปี 2555 (มกราคม - กรกฎาคม) การส่งออกมีมูลค่า 4.07 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.2 ในขณะที่การส่งออกของหลายประเทศยังคงหดตัว เช่น ไต้หวัน (-5.80 % ) เกาหลีใต้ (-0.84 % ) อินเดีย (-1.77 % ) ฯลฯ

กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดกลยุทธ์ในการรุกและขยายตลาดไปยังตลาดที่มีศักยภาพ เช่น อาเซียน จีน อินเดียและรัสเซีย เพื่อทดแทนตลาดเดิมที่ประสบปัญหา โดยมุ่งเน้นสินค้าที่มีศักยภาพ อาทิ อาหาร เกษตรแปรรูป ชิ้นส่วนยานยนต์และสินค้าแฟชั่น เน้นสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าด้วยการมอบตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark ให้แก่ผู้ประกอบการและมอบเครื่องหมาย Thai Select ให้แก่ร้านอาหารไทยที่มีคุณภาพกว่า 800 ร้านค้าใน 25 ประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานร้านอาหารไทยสู่ระดับสากล รวมถึงมอบเครื่องหมายดังกล่าวให้กับผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตในประเทศด้วยควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางสินค้าอาหารคุณภาพสูง จากการดำเนินการอย่างเข้มข้นส่งผลให้ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2555 สินค้าอาหารมีมูลค่าส่งออกสูงขึ้นกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหสรัฐฯ และคาดว่าจะส่งผลให้การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

5. สนับสนุนการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า

กระทรวงพาณิชย์เร่งพัฒนาการให้บริการด้านการเริ่มต้นธุรกิจและการทำธุรกรรมทางการค้า อาทิ การขอสำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ผ่านธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ 6 แห่งกว่า 5,000 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะครบถ้วนทั้ง 6 ธนาคารในปี 2555 นี้ ถือเป็นนวัตกรรมการให้บริการภาครัฐที่สามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ได้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กด้านการส่งเสริม และปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และส่งเสริมให้คนไทยรู้จักปกป้องและ ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ได้แก่ การจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ เพื่อนำแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า รวมทั้งประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าด้านการสร้างสรรค์ที่ไทยมีศักยภาพทั้งภาพยนตร์ งานออกแบบและการสร้างตราสินค้า (Brand)

6. เตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC)

รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในการที่จะสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของภูมิภาค จากการรวมตัวเป็นตลาดเดียวและมีประชากรในภูมิภาคกว่า 590 ล้านคน นับเป็นโอกาสของไทยในการใช้อาเซียนเป็นฐานในการขยายการผลิต การค้าให้กว้างขึ้น ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2555 การค้าของไทยกับอาเซียนมีมูลค่ารวม 1.76 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 8.18 คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าการค้าไทยกับอาเซียน ร้อยละ 20.5 โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการค้ากับอาเซียนให้ถึงร้อยละ 25 ในปี 2556 และร้อยละ 30 ในปี 2558 โดยดำเนินงานที่สำคัญ อาทิ การจัดตั้งสมาพันธ์โรงสีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน และสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างประเทศไทย กัมพูชา ลาวและเวียดนาม เพื่อรวมตัวทำตลาดร่วมกัน ป้องกันการแข่งขันในการแย่งตลาดกันเองและป้องกันการ สวมสิทธิ์ ควบคุมกลไกตลาดในอาเซียน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับราคาสินค้าเกษตรเป้าหมาย รวมทั้งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า อาทิ การให้บริการยื่นขอหนังสือสำคัญการส่งออกนำเข้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการลงลายมืออิเล็กทรอนิกส์ และการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน เป็นต้น

ที่มา.สำนักโฆษกกระทรวงพาณิชย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น