ทุกครั้งที่คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ออกมาเสนอประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ถ้าไม่อคติจนเกินไป เราจะเห็นสาระของท่านเป็นมุมมองที่น่าสนใจ สามารถตีความได้น่าทึ่งและ “เป็นประเด็น” ที่มีผลต่อปัญหานั้นๆ ไม่มากก็น้อย
อย่างน้อยที่ผ่านมา คุณเรืองไกรก็ทำให้ ส.ว.หลายคนที่อยู่ดีๆ ก็ถูกสอบสวน ให้ขาดคุณสมบัติ “สอบตก” หลุดจากการเป็น ส.ว. ไปแล้วหลายคน
ถ้าหยิบเรื่องเสนอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมาของคุณเรืองไกรมาพิจารณาอย่างจริงจัง จะเห็นเหตุผลที่มีน้ำหนักไม่น้อย เพียงแต่ใครที่คิดจะงัดข้อกับพรรคเก่าแก่พรรคนี้ ต้อง “วัดกำลัง” ของตัวเองให้ดีเสียก่อน ก่อนที่ตัวเองจะ “เสียคน” เสียเอง
คุณเรืองไกรยื่นคำร้องเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้สั่งพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม และน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หยุดการชุมนุมครั้งต่อไปก็เช่นกัน ถือเป็นความแหลมคมในการมองประเด็นอย่างมีน้ำหนักมากทีเดียว
เพราะก่อนหน้า เสธ.อ้าย พลเอกบุญเลิศจะชุมนุมนั้นได้พูดจาแสดงอาการ ล้มล้างรัฐธรรมนูญ และมีความคิดในการยึดอำนาจการปกครองอย่างชัดเจนยิ่ง
“พวกผมเป็นทหารเก่า อยากปฏิวัติมานานแล้ว...หากผมมีกำลังทหารอยู่ในมือ คงปฏิวัติไปนานแล้ว”
หากเป็นเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ระบอบคอมมิวนิสต์มาเผยแพร่ในไทยยุคเผด็จการทหารเป็นใหญ่ และถ้าพลเอกบุญเลิศไม่ใช่ทหาร เป็นฝ่ายพูดให้ฝักใฝ่ระบอบคอมมิวนิสต์เหมือนกับที่พูดยุให้ทหารปฏิวัติ รับรองว่าเสธ.อ้ายของผมถูกอำนาจรัฐจับกุมไปเรียบร้อยแล้ว
ดีไม่ดีเจ้าหน้าที่รัฐอาจ “อุ้ม” หายไปไหนเสียแล้วก็ได้
ยุคสมัยที่มีการกล่าวหาประชาชนว่าฝักใฝ่ระบอบคอมมิวนิสต์ในอดีต มันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย คนยุคปัจจุบันจึงไม่เคยสัมผัสรู้ว่า ประเทศไทยเราแต่เก่าก่อน เจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่า ทหารหรือตำรวจมัก “ยัดข้อหาคอมมิวนิสต์” ให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถูกกล่าวหาลงโทษทุกข์ทรมานโดยไม่รู้สาเหตุยังไง
พลเอกบุญเลิศเมื่อครั้งเป็นทหารผู้น้อยถูกชักชวนจากพลเอกฉลาด หิรัญศิริ ให้ทำรัฐประหารในปี 2526 พี่อ้าย (ที่ผมเคารพนับถือ) ก็เห็นดีเห็นงามร่วมใช้กำลัง ยึดอำนาจด้วย แต่ปฏิวัติไม่สำเร็จ ก็กลายเป็น “กบฏ” ร่วมสมัยไปกับคนสำคัญอีกท่านหนึ่งคือ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์
แต่พลตรีสนั่น ท่านพลิกชีวิตเข้าหาระบอบประชาธิปไตย ลงเลือกตั้งตามกติกา จนมีชื่อเสียงโด่งดัง แถมผลักดันพลเอกบุญเลิศให้กลับมาเติบโตในกองทัพอีกครั้งหนึ่ง
แต่เสธ.อ้าย กลับหมกมุ่นกับความคิดเก่าๆ ยิ่งมาขยายความเคลื่อนไหวทาง การเมืองที่สนามม้านางเลิ้ง เพื่อขับไล่รัฐบาลในขณะที่ “เรตติ้ง” ความนิยมการทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มัวหมองมากนัก ได้ยินประเด็นกล่าวหาก็ขาดน้ำหนักถึงขั้น “ฟางเส้นสุดท้าย” จึงไม่แน่ใจว่าท่านคิดเรื่องปฏิวัติ รัฐประหารมาทุ่มใส่ให้สังคมอย่างโจ๋งครึ่มได้อย่างไร...นอกจากมีนัยแอบแฝงเท่านั้น
แถมยังมาเสริมภายหลังว่า จะขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ลาออกหรือยุบสภา โดยไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ ด้วยวิธี “แช่แข็งประเทศไทยไป 5 ปี”
ให้ตีความซัก 80 ตลบ ก็เห็นชัดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า ท่านมีเจตนาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
คำร้องที่คุณเรืองไกร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดการชุมนุมครั้งต่อไปของ องค์กรพิทักษ์สยามจึงมีน้ำหนักมากๆ เพราะมันเข้าข่ายความผิดฐานกบฏ ตามกฎหมายอาญามาตรา 113
“ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างการ เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรือล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการหรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวไม่ได้ หรือแบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจ การปกครองส่วนหนึ่งส่วนใด...
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต”
เห็นเหตุการณ์และเนื้อหาสาระที่ผ่านมาแล้ว ผมเชื่อเหตุผลของคุณเรืองไกร พันเปอร์เซ็นต์ และเชื่อมั่นว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศจำนวนที่มากกว่าหลายพันเท่าจะรู้สึกเช่นเดียวกัน
และถ้าเหตุการณ์การชุมนุมยังเคลื่อนไหวภายใต้การชี้นำของพลเอกบุญเลิศ ต่อไป โดยกฎหมายเหล่านี้ไม่อาจบังคับใช้ได้ ทั้งๆ ที่มีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหาร ชีวิต ก็ยังไม่มีใครรู้สึกรู้สา
อำนาจตุลาการ ขยับเขยื้อนด้วยตัวเองบ้างไม่ได้เลยหรือ
ผมจะถือว่าแผ่นดินนี้มี “กบฏซึ่งหน้า” ที่พวกเรายินยอมพร้อมใจถวายพานให้ “เผด็จการครองเมือง” อย่างสมบูรณ์แล้ว
มันจะเอายังไงกันแน่วะ..ประเทศไทย!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น