--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ศาลฯถอนประกัน ก่อแก้ว พิกุลทอง กรณีข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ !!?


ศาลได้มีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวของนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ส่วนสส.พรรคเพื่อไทยแกนนำ นปช. อีก 4 คนรอด ทั้งนี้ศาลเพิ่มเงื่อนไขห้ามขึ้นเวที ยุยงปลุกปั่น ห้ามออกนอกประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.15 น.ที่ผ่านมาศาลได้นัดสอบถามการเพิกถอนคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช.จำเลยคดีก่อการร้ายรวม 6 คน คือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ซึ่งเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย  นายการุณ หรือเก่ง โหสกุล สส.กทม. พรรคเพื่อไทย และนายภูมิกิติหรือ พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง โดยเฉพาะนายก่อแก้ว ถูก นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ ยื่นคำร้องและส่งพยานวัตถุแผ่นซีดีการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ต่อศาลเพื่อชี้ให้เห็นว่ามีกระทำผิดเงื่อนไขการประกัน  เนื่องจากนายก่อแก้ว มีพฤติการณ์ข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 และเสนอให้ตัดงบประมาณศาลรัฐธรรมนูญ

ภายหลังการเบิกความจำเลยทั้งหมด ในกรณีของนายก่อแก้วนั้น ศาลเห็นว่าให้เพิกถอนคำสั่งการประกันตัว เพราะไม่แน่ใจในกรณีที่ว่าหากปล่อยตัวไปจะมีการพูดยุยงปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งอาจนำมาสู่ความวุ่นวายทางการเมืองอีก และนายก่อแก้วอยู่ในสถานะ ส.ส. และเป็นแกนนำเสื้อแดง เมื่อกล่าวเช่นนั้นในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังมีคำวินิจฉัยก็อาจจะทำให้ประชาชนเข้าใจได้ว่านายก่อแก้วกำลังข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลจึงเห็นว่าควรเพิกถอนชั่วคราวนายก่อแก้วจนกว่าจะมีค่ำสั่งเป็นอย่างอื่น

ส่วนแกนนำคนอื่นๆ นั้น ที่ศาลอนุญาตให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวมาก่อนหน้านี้ ซึ่งต่างกันทั้งเงื่อนเวลาและเงื่อนไข จึงเห็นสมควรให้มีการกำหนดเงื่อนไขใหม่คือการปล่อยตัวชั่วคราวในครั้งนี้ ห้ามกระทำการใดๆ ที่เป็นไปในลักษณะดูหมิ่น ปลุกปั่น ยุยง กระทบกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี และเดินทางออกทนอกราชอาณาจักรจนกว่าจะได้รับอนุญาต

จากนั้นนายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้ถูกควบคุมตัวไว้ที่ห้องควบคุมผู้ต้องขัง บริเวณใต้ถุนศาลอาญา เพื่อเตรียมนำตัวเข้าไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยคาดว่าจะมีการนำตัวนายก่อแก้วไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ เหมือนกับกรณีเจ๋ง ดอกจิก ต่อไป


ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ดาบนั้นคืนสนอง !!?


มหากาพย์ไตรภาค ถล่ม “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนเดียว หวังให้กอง
ตั้ง “มาตรฐาน” ผู้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ต้องรับผิดชอบคนเดียว
“รัฐมนตรี” ที่รับผิดชอบโดยตรง “ท่าน” ประกาศ เขาไม่เกี่ยว
ฉะนั้น, เมื่อ “ศาลยุติธรรม” พิพากษา “คนเสื้อแดง” ตาย ๒ ศพ เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”..หมดสิทธิ์ปัดสวะ..ในฐานะอดีตนายกฯ จึงรับผิดคนเดียวไปสิพี่

...................................................

ดึง “ทหาร” มาเป็นพวก
หวังคดีฆ่าหมู่ประชาชน ที่ ราชดำเนิน-ราชประสงค์ จะติดขัด หวังให้เดินไม่สะดวก
แต่ “ประชาธิปัตย์” โดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตั้งป้อมเองเสร็จสรรพ
ทุกอย่างภายใต้ สั่งการคอนโทรล ของ “นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ท่านต้องรับ
เมื่อชี้ทางสว่าง ว่าทุกอย่างใต้ “รัฐบาล” นั้น “นายกรัฐมนตรี” ต้องยอมรับในการสั่งการ
คดีฆ่าประชาชน...ฉะนั้นจึงปัดไม่พ้น...คนเป็นนายกฯอย่าโยนผิดให้ทหาร

.................................................

ฉายตัวอย่าง เสียตื่นเต้น
มาอีหรอบเดิม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และสาวกแก๊งค์ไอติม ก็อภิปราย “ทักษิณ ชินวัตร” ให้คนเห็น
ความผิดเต็ม ๆ ของ “นายกฯปู” ไม่ยักลากออกกระหน่ำ
เมื่ออภิปรายผิดที่-ผิดทาง-ผิดโรง คนจึงเซ็งมะด้องก้อง ในพฤติกรรม
ที่ว่าเป็น “พรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่งในแผ่นดิน” ก็ไม่มีน้ำยาจริง ๆ
“ทักษิณ”ไม่ใช่ผู้บริหารประเทศ...มาซักฟอกทุเรศ...จึงเป็นสาเหตุ ต้องขอท้วงติง

...............................................

เดินหน้ารับชะตา
ทั้งคดีหนีทหาร และ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ยุคที่ชาวบ้านถูกฆ่า
ฉะนั้น, “ประชาธิปัตย์” ต้องรับรู้ถึงความเหมาะสม ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
เพียงแค่เรื่องตัวเอง ถูก “ถอดถอน” พ้นจาก “ ส.ส.” หรือ “ผู้แทน” จิ๊บจ๊อบนะจ๊ะ
เมื่อทั้งหมดรับรู้ ถึงพฤติการณ์ “อภิสิทธิ์” กันถ้วนทั่วทุกตัวคน
แทนที่จะระงับความผิด..แต่ยังหนุน “อภิสิทธิ์”..ความผิดน่าจะโดนยุบพรรค สักหน

................................................

เพชรยอมเป็นเพชร
“นายกฯ” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริหารกิจการแผ่ก้านสาขามากมาย จึงมีทีเด็ด
“เธอ” ไม่ใช่นักการเมืองป้ายแดงหัดขับ ที่ “ประชาธิปัตย์” คิดจะรุมยำ
ของจริงเห็นกันแล้ว..แต่ละเม็ด แต่ละดอก ที่ตอบโต้กลางสภาฯ..ถูกใจชาวบ้านขาประจำ
เพราะ, เธอคือ “มืออาชีพ”..ไม่ใช่นักการเมืองที่ เกาะสมบัติพ่อกิน..ขายที่ดินของพ่อแล้วกินเปอร์เซ็นต์
สมบัติของพ่อยังกินได้...ขืนใครไว้ใจ...มีหวังได้ตายกันทั้งเป็น

ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เพื่อไทย ส่ง พงศพัศ ชิงผู้ว่า กทม. !!?


รายงานความคืบหน้าในการคัดเลือกผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคเพื่อไทย ล่าสุดได้ตัดสินใจจะส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. และเลขาธิการ ปปส. ลงรับเลือกตั้ง โดยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้พรรคให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาสาที่จะลงมาดูแลในภาพรวมทั้งด้านนโยบายจนถึงการคัดเลือกตัวผู้สมัครด้วยตนเองด้วย เพื่อที่จะได้ทำงานสอดรับกันระหว่างนโยบายของรัฐบาลและนโยบายของกทม. ส่วนเหตุผลที่พรรคเลือกพล.ต.อ.พงศพัศนั้น เนื่องจากทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและน.ส.ยิ่งลักษณ์ไว้วางใจและให้ความเห็นชอบ โดยจะชูจุดขายตรงที่พล.ต.อ.พงศ์พัศมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของประชาชน และมีผลงานด้านสังคมโดยเฉพาะการปราบปรามยาเสพติด ที่สอดรับกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย ขณะที่นโยบายที่จะใช้หาเสียงนั้นจะออกนโยบายมาใหม่เพื่อชาวกทม.โดยเฉพาะ ซึ่งจะเน้นการแก้ไขปัญหาจราจร ด้านสังคม และการปราบปรามยาเสพติดที่เป็นจุดแข็งของพล.ต.อ.พงศพัศ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้ว พรรคมีแผนที่จะเปิดตัวพล.ต.อ.พงศพัศอย่างเป็นทางการ แม้ว่าขณะนี้จะยังมีตำแหน่งสำคัญอยู่ 2 ตำแหน่งคือ รองผบ.ตร.และเลขาธิการปปส.ด้วยก็ตาม โดยเร็วๆ นี้พรรคจะแจ้งให้พล.ต.อ.พงศพัศลาออกจากทั้ง 2 ตำแหน่งดังกล่าว ภายใต้สัญญาใจเบื้องต้นกับแกนนำพรรคว่า หากพลาดท่าพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยจะผลักดันให้อยู่ในตำแหน่งเดิมหรือมอบตำแหน่งบอร์ดสำคัญในองค์กรรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐให้เพื่อเป็นการทดแทน ทั้งนี้ พรรคเตรียมจะติดตั้งบิลบอร์ดขนาดใหญ่กว่า 200 จุดทั่วกทม. พร้อมทั้งสติ๊กเกอร์ที่กระจายไปให้กับส.ส. ส.ก. และส.ข.ของพรรคเพื่อลงพื้นที่ช่วยเหลือพล.ต.อ.พงศพัศในการหาเสียงในเร็วๆ นี้อีกด้วย อีกทางหนึ่งไว้แล้ว โดยใช้แนวคิด "รัฐบาลเพื่อไทย พร้อมรับใช้คนกทม.

ที่มา.เนชั่น
**************************************************************************

กระบวนการยุติธรรม : กับคดีความ ชาวบ้าน รุกที่ทำกิน !!?


โดย:ศรายุทธ ฤทธิพิณ

 
นับจากอดีตถึงปัจจุบัน ความขัดแย้งข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินจำนวนมาก เกิดขึ้นเนื่องจากประชาชน เกษตรกร ที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งความไม่เป็นธรรมจนนำมาสู่กระบวนการต่อสู้ทางสังคม เพื่อเรียกร้องให้ได้คืนมาซึ่งสิทธิ วิถีชีวิตการดำรงคงอยู่ของชุมชน วิถีการทำมาหากิน และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติดังที่เคยเป็น
 
การเรียกร้องคืนวิถีของชุมชน วิถีแห่งสังคมท้องถิ่นคืนมานั้น กลับกลายเป็นที่มาของข้อพิพาทและความขัดแย้งเรื่องที่ดิน ระหว่างประชาชน ภาครัฐ และกลุ่มนายทุน บทสรุปสุดท้ายของข้อพิพาท มักถูกนำเข้าบรรจุสู่กระบวนการทางยุติธรรม เสมือนว่ากระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย เป็นสิ่งสุดท้ายที่กำหนดชะตาชีวิตของชุมชนว่าจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในวิถีดั้งเดิม บนผืนดินเดิมต่อไปได้หรือไม่
 
ผู้เขียน ขอยกบางกรณีของปัญหาคดีความที่เกิดจากข้อพิพาทและความขัดแย้งเรื่องที่ดิน โดยเฉพาะพื้นที่ ที่ผู้เขียนร่วมทำงานในพื้นที่ของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) พบว่า มีชาวบ้านถูกหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งสิ้น 107 ราย จำนวน 29 คดี
 
ดังเช่นข้อพิพาทเรื่องที่ดิน กรณีสวนป่าคอนสาร ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ระหว่างชาวบ้านกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ที่เกิดขึ้นมาแต่ปี 2521 นั้น กรณีดังกล่าว อ.อ.ป.ได้ขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ แล้วดำเนินการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัส ตามเงื่อนไขการสัมปทานป่าไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4,401 ไร่ ทำให้ชาวบ้านสูญเสียที่ดินทำกินพร้อมที่อยู่อาศัยจำนวนกว่า 277 ราย
 
กรณีสวนป่าคอนสาร
 
ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งคณะทำงานระดับพื้นที่เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2548 พบว่าสวนป่าคอนสารได้ปลูกสร้างทับที่ทำกินของชาวบ้านจริง และมีมติให้ยกเลิกสวนป่าคอนสารให้นำพื้นที่มาจัดสรรให้กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบนั้น
 
ต่อมาเมื่อ 28 ธันวาคม 2550 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงมาตรวจสอบพื้นที่ พร้อมรายงานผลการละเมิดสิทธิออกมาว่า การกระทำของกรมป่าไม้ และ อ.อ.ป.ก่อให้เกิดผลกระทบกับชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนในที่ดินทำกิน ทั้งที่ผู้เดือดร้อนได้ครอบครองทำประโยชน์ในพื้นที่มาก่อนการปลูกสร้างสวนป่าคอนสาร ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดทั้งในสิทธิที่ดินและทรัพย์สินของผู้เดือดร้อน
 
พร้อมกันนี้ได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐนั้น ก็ถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้เดือดร้อน ดังนั้นคณะอนุกรรมการฯ จึงได้กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหา พร้อมมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้รัฐบาลมีคำสั่งยกเลิกสวนป่าคอนสารตามมติคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสวนป่าคอนสาร รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการพัฒนาระบบการผลิตและการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนให้แก่ผู้เดือดร้อน โดยสนับสนุนให้ชุมชนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐจัดทำแผนการจัดการและใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งการจัดเป็นป่าชุมชน ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ยกเลิกสวนป่าคอนสาร
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมประชาคมตำบลทุ่งพระได้มีการพิจารณากรณีปัญหาดังกล่าว และมีมติว่าสวนป่าคอนสารปลูกสร้างทับที่ทำกินชาวบ้านจริง ให้ยกเลิกสวนป่าแล้วนำที่ดินมาจัดสรรให้ราษฎรต่อไป โดยในระหว่างการแก้ไขปัญหาจนกว่าจะได้ข้อยุติ
 
เมื่อข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
 
แม้การตรวจสอบพื้นที่ของหน่วยงานดังกล่าวจะมีความชัดเจน แต่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ยังไม่ดำเนินการใดๆ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบในหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ก็ยังไม่ปรากฏการแก้ไขปัญหาให้เกิดเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด กระทั่งล่วงมาถึงการเกิดปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ ได้รวมตัวกันเข้ายึดพื้นที่ทำกินเดิมคืนมา แล้วตั้งชุมชนบ่อแก้ว ขึ้นมาในวันที่ 17 กรกฎาคม 2552 เพื่อต่อรองให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา
 
ต่อมา อ.อ.ป.ได้ฟ้องดำเนินคดีชาวบ้านจำนวน 31 ราย พร้อมบริวาร เมื่อ 27 สิงหาคม 2552 ในข้อหาขับไล่ บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ทั้งหมดถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลจังหวัดภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ
 
เมื่อความขัดแย้งข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยทาง อ.อ.ป.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในวันดังกล่าวนั้น ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษา เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 ให้จำเลย ที่ 1 ถึง 31 ออกจากพื้นที่พร้อมมีคำสั่งให้ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ ที่จำเลยและบริวารได้นำไปปลูกไว้ในพื้นที่พิพาท และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องในพื้นที่สวนป่าคอนสารอีก
 
ต่อมาจำเลยได้อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีไว้ชั่วคราว กระทั่งล่วงมาถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2554 ศาลอุทธรณ์ได้นัดฟังคำพิพากษา โดยยืนตามศาลชั้นต้น และจำเลยได้ฎีกาในวันที่ 21 มีนาคม 2555
 
 
ปมขัดแย้ง กรณีสวนป่าโคกยาว
 
ส่วนอีกกรณีในพื้นที่สวนป่าโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ดินทำกิน นับแต่มีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม เมื่อปี 2516 และมีโครงการปลูกสวนป่าด้วยการนำไม้ยูคาฯ มาปลูกในพื้นที่เมื่อปี 2528 จนเกิดเป็นกรณีพิพาทที่ชาวบ้านเคยทำกินในพื้นที่มาก่อน
 
ล่วงมาถึงเมื่อเช้ามืดวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ ประมาณ 200 นาย โดยการนำของนายอำเภอคอนสาร บุกเข้ามาจับกุมชาวบ้านรวม 10 ราย พร้อมทั้งมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวบ้าน ในข้อหาร่วมกันบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยเจ้าหน้าที่ป้องรักษาป่าที่ ชย.4 คอนสาร เป็นโจทก์ โดยแยกเป็น 4 คดี ทั้งหมดถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลจังหวัดภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ล่าสุดศาลชั้นต้นพิพากษาไปทั้ง 4 คดีแล้ว
 
คดีแรก เมื่อ 22 พฤษภาคม 2555 ศาลพิพากษานายคำบาง กองทุย อายุ 65 ปี และนางสำเนียง กองทุย อายุ 61 ปี (สามี-ภรรยา) จำคุก 4 เดือน ไม่รอลงอาญา
 
ส่วนคดีที่ 2 เมื่อ 13 มิถุนายน 2555 ศาลพิพากษานายทอง กุลหงส์ อายุ 72 ปี และนายสมปอง กุลหงส์ อายุ 48 ปี (สองพ่อลูก) จำคุก 4 เดือน โดยคดีนี้ ศาลได้เพิ่มวงเงินประกันจากรายละ 100,000 บาท เป็นรายละ 200,000 บาท เป็นเหตุให้เงินที่เตรียมไว้ต้องถูกรวมมาประกันจำเลยเพียงรายเดียวคือนายสมปอง ด้วยนายทอง ยอมเสียสละนอนอยู่ในคุกตามคำสั่งของศาล เพื่อให้ลูกชายที่มีอาการพิการทางสมอง เป็นโรคประสาท ได้รับการประตัวออกมาก่อน ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน 2555 นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ใช้ตำแหน่งประกันตัวออกมา
 
คดีที่ 3 วันที่ 9 สิงหาคม 2555 ศาลพิพากษานายสนาม จุลละนันท์ อายุ 59 ปี จำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา
 
ในคดีที่ 4 วันที่ 28 สิงหาคม 2555 ศาลพิพากษานายเด่น คำแหล้ อายุ 60 ปี (จำเลยที่ 1) และนางสุภาพ คำแหล้ อายุ 57 ปี (จำเลยที่ 4) ตัดสินจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลย อีก 3 ราย คือนายบุญมี วิยาโรจน์ อายุ 51 จำเลยที่ 2 ,นางหนูพิศ วิยาโรจน์ อายุ 70 ปี (ภรรยานายบุญมี)จำเลยที่ 5 และนางเตี้ย ย่ำสันเทียะ อายุ 54 ปี จำเลยทั้ง 3 รายนี้ ศาลยกฟ้อง
 
 
ทั้งกรณีสวนป่าคอนสาร และสวนป่าโคกยาวที่ผู้เขียนยกขึ้นมาเป็นกรณีตัวอย่าง มีคำถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อชาวบ้านที่ถูกนำขึ้นไปแขวนไว้กับกระบวนการยุติธรรมนั้น ถือว่าจะสิ้นสุดได้หรือยัง บางมุมของชีวิตชาวบ้านก็แสนยากลำบากอยู่แล้ว เสมือนชีวิตถูกกระหน่ำซ้ำไปที่จุดเดิมอีกในการที่หน่วยงานภาครัฐประกาศเขตป่าฯ ทับที่ทำกิน พร้อมกับอาศัยกลไกกระบวนการยุติธรรมมาทำลายชาวบ้าน ตั้งข้อกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ โดยนับจำนวนหลายครั้ง คำพิพากษาจะตกอยู่กับชาวบ้านเป็นผู้กระทำผิดโดยเสมอ
 
ถามต่อว่า ถูกต้อง เป็นธรรม กับชาวบ้านคนจนๆ ธรรมดาๆ หรือไม่ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะดำเนินการให้นำไปสู่สิ่งที่ดีในการแก้ไขได้อย่างไร หรือจะให้พวกเขา กลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่ทำกิน เป็นคนตกขอบของแผ่นดิน อย่างนั้นหรือไม่
 
ข้อพิพาทในความขัดแย้งเรื่องที่ดินทำกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมซึ่งถือว่าเป็นองค์กรที่มีความสำคัญ ด้วยเปรียบเสมือนเป็นผู้ตัดสิน กุมชะตากรรมของชาวบ้านที่เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดิน อันเป็นปัญหาวิกฤตของสังคม จึงเป็นประเด็นเกี่ยวพันอย่างยิ่งในการรวบรวมข้อมูลคดีความ ข้อกฎหมายที่ใช้ฟ้อง และคำพิพากษาคดีความ ที่จะทำให้การวินิจฉัยเป็นไปด้วยความเป็นธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่สังคมโดยรวม
 
ถึงกระนั้นก็ตามในกระบวนการยุติธรรมควรสะท้อนให้สังคมได้รับรู้และเข้าใจปัญหาที่ดินทำกินด้วยว่า กลุ่มผู้ถูกคดีและผู้ต้องหา เป็นเพียงเกษตรกรและคนยากจนในสังคม เป็นชุมชนและชาวบ้านที่มีวิถีและการดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาฐานทรัพยากรธรรมชาติ ชุมชนเหล่านั้นเรียกร้องให้รัฐแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน และจัดสรรที่ดินให้อย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นด้วยอำนาจทางกฎหมาย ควรชี้ให้เห็นว่าในความขัดแย้งข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกิน ที่เป็นอยู่แท้จริงแล้วมีความชัดเจนเป็นอย่างไร มิใช่เพียงเพื่อพิพากษาให้เสร็จสิ้นไปตามกระบวนการทางกฎหมายเท่านั้น
 
 


ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ส่อง : อุปสรรค รบ. หลังฝ่าดงม็อบ-ผ่านซักฟอก !!?

เราได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ทำงานโดยยึดประโยชน์ประเทศ พี่น้องประชาชน ไม่เคยคิดทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงเพื่อใคร ที่กล่าวหาว่าทำลอยตัวเหนือปัญหา ไม่เป็นความจริง เพราะลอยตัวต่างกับความไม่รับผิดชอบ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เรื่องการแทรกแซงการปฏิบัติงานยืนยันว่าไม่มี แต่ละตำแหน่งมีอำนาจหน้าที่ของตัวเองกำหนดไว้”

เสียงของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวสรุปทิ้งท้ายในศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งผ่านพ้นไปสดๆร้อนๆ

ผลการลงมติ นายกฯยิ่งลักษณ์ได้คะแนนความไว้วางใจท่วมท้นให้ทำงานต่อ 308 ต่อ 159 เสียง งดออกเสียง 9 ไม่ ลงคะแนน 9

การซักฟอกรัฐบาลที่ผ่านมา จุดที่น่าสนใจในการทำงานของฝ่ายค้านภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เรื่องปัญหาการบริหารงานหรือการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาล แต่ไฮไลท์อยู่ที่การโจมตีนายกฯยิ่งลักษณ์

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน สรุปการอภิปรายเรียกร้องให้นายกฯยิ่งลักษณ์ยุติเหตุแห่งความเสื่อม 5 ข้อคือ 1.หยุดทำผิดกฎหมาย หรือปล่อยให้มีการทุจริต 2.ต้องมีวุฒิภาวะในการเป็นนายกรัฐมนตรีในสภา

3.เลิกการบริหารประเทศแบบลอยตัว หนีปัญหาและความรับผิดชอบ 4.อย่าปล่อยให้คนอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่มาล้วงลูก โดยเฉพาะการแต่งตั้ง

5.นายกรัฐมนตรีต้องก้าวข้ามผลประโยชน์ของพวกพ้อง หรือทำเพื่อคนคนเดียว เพราะเรื่องนี้จะทำให้ประเทศก้าวเข้าสู่วิกฤตอีกครั้ง

การพุ่งเป้าใหญ่ไปที่ตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ก็เพื่อตอกย้ำภาพการเป็นนอมินีของพี่ชาย เพื่อให้สอดคล้องกับความพยายามประทับตรานี้ขององค์กรนอกสภา

แม้ว่ารัฐบาลจะฝ่าดงม็อบนอกสภาของ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ผ่านศึกซักฟอกในสภาของฝ่ายค้านไปได้

แต่หนทางเบื้องหน้าก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ยังคงมีขวากหนามมากมายรออยู่

ขวากหนามที่สำคัญคือ องค์กรอิสระที่ฝ่ายค้านได้ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ หลายเรื่อง หลายองค์กร ที่ต้องรอลุ้นผลว่าจะออกมาเป็นบวกหรือลบต่อรัฐบาล

ขณะที่แรงเสียดทานนอกสภาจะมีมากขึ้น แม้ เสธ.อ้ายประกาศเลิกม็อบไปแล้ว แต่จะมีกลุ่มต่างๆรับไม้ต่อเพื่อเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลต่อไป

ประเด็นเรื่องทุจริตโกงกินจะมีใบเสร็จหรือไม่ไม่สำคัญสำหรับการเมืองไทย

แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจะทำให้นายกรัฐมนตรีมีภาพลักษณ์เป็นคนโกงกินได้หรือไม่ ถ้าทำให้คนเชื่อได้ว่าโกงรัฐบาลก็มีสิทธิพังเร็ว

ยุทธศาสตร์ของฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่จะดำเนินต่อไปคือ ต้องหมั่นทาสีเพื่อให้ภาพของนายกฯยิ่งลักษณ์มัวหมองด้วยเรื่องทุจริตโกงกินให้ได้

นอกจากนี้แล้วยังต้องพยายามสร้างภาพให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน เพราะเป็นประเด็นอ่อนไหวที่จะใช้โค่นล้มรัฐบาลได้ง่าย

แม้สุดท้ายจะไม่สามารถสร้างภาพให้นายกฯยิ่งลักษณ์เป็นคนทุจริตโกงกินได้ ก็ต้องประทับตราให้เป็นคนลอยตัวเหนือปัญหา ไม่มีความรับผิดชอบ ปล่อยให้รอบข้างโกงกิน

นี่เป็นจุดอันตรายที่อาจเป็นจุดตายของรัฐบาล เพราะสามารถชงเรื่องให้องค์กรอิสระต่างๆเล่นงานนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ถนัดมือ

หากทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนโกงกิน หรือสนับสนุนให้มีการทุจริตโกงกินได้เมื่อไร เงื่อนไขก็สุกงอมพร้อมปลุกม็อบขึ้นมาขับไล่รัฐบาลได้ทันที

ยุทธศาสตร์ของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจึงเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว เป็นยุทธศาสตร์ของช่างทาสี ที่ใจเย็นไม่เร่งร้อน ค่อยๆทาทับไปเรื่อยๆ จนสีของการเป็นรัฐบาลทุจริตโกงกินเด่นชัดในความรู้สึกของประชาชน

เมื่อประชาชนมีความรู้สึกร่วมก็เป่านกหวีดกันได้ทันที

นี่คือขวากหนามสำคัญที่รออยู่เบื้องหน้า รัฐบาลจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะแก้หมากปมของฝ่ายต่อต้านอย่างไร

แก้ได้ก็ไปต่อได้ แก้ไม่ได้ก็รอวันพัง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ศันสนีย์เผยยังไม่ได้คุยส.ส.หญิงถูกทักษิณตำหนิ


น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตำหนิ ส.ส.หญิง พรรคเพื่อไทย ที่ไม่ปกป้อง นายกรัฐมนตรี ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือเป็นเรื่องสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสภาคือสถาบันที่สำคัญ ที่ทุกคนจะต้องควบคุมตัวเองในการพูดให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ โดยขณะเกิดเหตุ ตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และยังไม่ได้มีการพูดคุยกับใครในเรื่องนี้ ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาแล้วนั้น ก็ไม่สามารถย้อนไปแก้ไขได้ แต่ต้องนำมาเป็นบทเรียน และระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ส่วนที่ทางฝ่ายค้าน และรัฐบาล ได้ยื่นตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว ถือเป็นครรลอง ที่จะต้องมีกรรมการมาเป็นผู้ตัดสิน และอยากให้ทุกคนช่วยกันดูแลไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกครั้ง

ส่วนท่าทีของ ส.ส.หญิง พรรคเพื่อไทย นั้น ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่ง น.ส.ศันสนีย์ ก็มั่นใจว่า ส.ส.หญิง ในพรรคเพื่อไทย ทุกคน ทราบดีว่า นายกรัฐมนตรี มีภารกิจ แต่อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี พยายามที่จะหาโอกาสในการเชื่อมความสัมพันธ์กับ ส.ส.หญิง ในพรรค ผ่านโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ตามที่ได้เสียงไว้

ส่วนกระแสข่าวที่ตนเองถูกตำหนิ เนื่องจากไม่เผยแพร่การควบคุมการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ว่า ตนเองได้พูดคุยกับบุคคลที่ปรากฏเป็นข่าวแล้ว ซึ่งก็ได้รับการปฏิเสธว่าไม่ได้มีการตำหนิเกิดขึ้น และเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นปัญหา เพราะตนเองตั้งใจทำหน้าที่ตนเองให้ดีที่สุด รวมถึงรัฐบาลก็พยายามให้การชุมนุมเป็นไปตามสิทธิ์ของประชาชน และให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น

นอกจากนี้ทาง ศอ.รส. ก็ได้เชิญอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เข้าไปทำความเข้าใจถึงแนวทางในการปฏิบัติก่อนการชุมนุมแล้ว นอกจากนี้ เมื่อตนเองได้พบกับ นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้ดูแลควบคุมการชุมนุมดังกล่าว ก็ไม่ได้มีการตำหนิแต่อย่างใด ทั้งนี้ส่วนตัว เข้าใจในหน้าที่การทำงานของสื่อมวลชน ที่ต้องเป็นตัวกลางในการทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ก็จะนำมาปรับปรุงเพื่อนำมาปฏิบัติต่อไป

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

มาตรการลดผลกระทบขึ้นค่าจ้าง300 บาท เพิ่มวงเงินกู้ช่วยนายจ้าง ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม !!?


นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด สปส.เห็นชอบขยายเวลาการใช้มาตรการช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ทั่วประเทศ ใน 2 มาตรการ อีก 1 ปี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ได้แก่ 1.ขยายเวลาการลดเงินสมทบประกันสังคมทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง จากปัจจุบันเก็บเงินสมทบฝ่ายละร้อยละ 5 ลดลงเหลือจัดเก็บฝ่ายละร้อยละ 4 ส่วนเงินสมทบในส่วนของรัฐบาลยังส่งในอัตราเดิมร้อยละ 2.75 ทั้งนี้ จะทำให้เงินสมทบใน 4 กรณี ได้แก่ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และคลอดบุตร จะเก็บได้เพียง 20,000 ล้านบาท จากที่เคยเก็บได้ 60,000 ล้านบาท แต่ยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการให้สิทธิประโยชน์ทั้ง 4 กรณี แก่ผู้ประกันตนแน่นอน

นพ.สมเกียรติกล่าวอีกว่า 2.ขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีวงเงินที่สามารถปล่อยกู้ได้อยู่ 10,000 ล้านบาท แต่มีผู้ประกอบการยื่นกู้เพียง 794 ล้านบาท และที่ประชุมได้เห็นชอบปรับเพิ่มวงเงินกู้ โดยสถานประกอบการที่มีลูกจ้างต่ำกว่า 50 คน จากเดิมกู้ได้ 1 ล้านบาท เพิ่มเป็น 2 ล้านบาท สถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 51-200 คน เดิมกู้ได้ 2 ล้านบาท เพิ่มเป็น 4 ล้านบาท และสถานประกอบการที่มีลูกจ้างเกิน 200 คน เดิมกู้ได้ 4 ล้านบาท เพิ่มเป็น 8 ล้านบาท และที่ประชุมได้มอบให้ สปส.หารือกับธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่ง สปส.ฝากเงินกองทุนประกันสังคมไว้ ปรับขั้นตอนการกู้ให้สะดวกมากขึ้น

"ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ขยายเวลาการจ้างพนักงานเร่งรัดหนี้สิน 179 คน ไปอีก 1 ปี เนื่องจากสามารถทำงานได้ดีในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา โดยสามารถทวงหนี้จากนายจ้างที่ค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม 1,290 ล้านบาท จากยอดหนี้ค้างชำระสะสมอยู่กว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งการจ้างเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ใช้เงินทั้งหมด 22 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่ากับเงินเดือนที่จ่ายไป" นพ.สมเกียรติกล่าว

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มีมติปลดนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท. ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากละเลยการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาทว่า นายพยุงศักดิ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับค่าจ้าง เพราะการปรับค่าจ้างเป็นเรื่องของคณะกรรมการค่าจ้าง หรือคณะกรรมการไตรภาคี ที่มีตัวแทนจาก 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง จึงไม่อยากให้โยงเรื่องการปลดนายพยุงศักดิ์กับการปรับค่าจ้างเข้าด้วยกัน เพราะไม่เป็นธรรมกับนายพยุงศักดิ์

นายเผดิมชัยกล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ได้เข้าข้างหรือรู้จักกับนายพยุงศักดิ์เป็นการส่วนตัว เพราะที่ผ่านมา การที่ ส.อ.ท.เดินทางเข้าพบที่กระทรวงแรงงาน ไม่ใช่นายพยุงศักดิ์ มีเพียงนายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน ส.อ.ท.สายแรงงาน และนายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. สายงานเศรษฐกิจโลจิสติกส์เท่านั้น จึงเชื่อว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการออกมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากนี้จะมีการเคลื่อนไหวของภาคธุรกิจ เพื่อคัดค้านการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทนั้น ไม่รู้สึกกังวล เนื่องจากกระทรวงแรงงานได้เตรียมพร้อมรับมือไว้อยู่แล้ว แม้ที่ผ่านมาจะไม่ได้รับความร่วมมือในการส่งข้อมูลผลกระทบจาก ส.อ.ท.ก็ตาม

นายเผดิมชัยกล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าในการส่งรายชื่อตัวแทนจาก ส.อ.ท.เข้ามาเป็นคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย ประกอบด้วย กระทรวงแรงงานและกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ภาคธุรกิจ และตัวแทนลูกจ้าง เพื่อติดตามปัญหาและผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้าง ขณะนี้ ส.อ.ท.ยังไม่มีการส่งรายชื่อตัวแทนเข้ามา แต่สั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศหาข้อมูลผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท โดยวันที่ 8 ธันวาคมนี้ จะเรียกผู้บริหารหน่วยงานของกระทรวงแรงงานทั่วประเทศเข้ามาประชุม เพื่อรับทราบข้อมูลผลกระทบของภาคธุรกิจ โดยแบ่งตามลักษณะผลกระทบและพื้นที่ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี เพื่อหามาตรการในการช่วยเหลือภาคธุรกิจต่อไป

รศ.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การที่คณะกรรมการ ส.อ.ท.มีมติปลดนายพยุงศักดิ์พ้นจากตำแหน่งประธาน ส.อ.ท.น่าจะเกิดจากการที่ไม่ได้ออกมาแสดงบทบาทในการคัดค้านการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันผู้บริหาร ส.อ.ท.บางส่วนก็มีธุรกิจซึ่งต้องใช้แรงงานแบบเข้มข้น ทำให้ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างอย่างมาก ส่งผลให้ผู้บริหารและสมาชิก ส.อ.ท.เกิดความไม่พอใจในการทำงานของนายพยุงศักดิ์

"เวลานี้ ส.อ.ท.ควรเร่งคัดเลือกตัวแทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ 3 ฝ่าย เพื่อศึกษาผลกระทบและวางมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีใน 29 จังหวัด ที่อัตราค่าจ้างมีการปรับเพิ่มแบบก้าวกระโดด และควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เน้นธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10-200 คน ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ซึ่งสามารถปรับตัวได้ โดย ส.อ.ท.ควรผลักดันให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อให้ทันกับการปรับขึ้นค่าจ้าง" รศ.ยงยุทธกล่าว


ที่มา นสพ.มติชนรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ทะเลจีนใต้เสี่ยงเป็น ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย !!?


เลขาธิการอาเซียนเตือนความขัดแย้งในทะเลจีนใต้เสี่ยงทำให้ภูมิภาคกลายสภาพเป็น 'ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย'

ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ยังคงเป็นประเด็นร้อน ซึ่งเสี่ยงที่จะบานปลายกลายเป็น "ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย" โดยหากสถานการณ์ไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงจะส่งผลให้เกิดความแตกแยกระหว่างประเทศต่างๆ ในเอเชีย และส่งผลให้ไม่มีเสถียรภาพในภูมิภาคนี้

เลขาธิการอาเซียน นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ให้สัมภาษณ์กับไฟแนนเชียล ไทม์ส ระบุว่า เอเชียกำลังเข้าสู่ยุคที่มีความขัดแย้งสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากจีนกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์พื้นที่แทบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับหลายประเทศ ทั้งฟิลิปปินส์ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ

เลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า เราต้องใส่ใจกับข้อเท็จจริงที่ว่า ทะเลจีนใต้อาจจะพัฒนาไปเป็นปาเลสไตน์อีกแห่งหนึ่งได้ หากประเทศต่างๆ ไม่พยายามอย่างหนักที่จะปลดชนวนระเบิด แทนที่จะเติมเชื้อไฟแห่งความตึงเครียด

หลังจากคู่กรณีในเอเชียต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำพิพาท ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย และไต้หวัน ล่าสุด จีนโหมประเด็นนี้ให้ร้อนแรงขึ้น ด้วยการออกพาสปอร์ตใหม่ที่ตีพิมพ์แผนที่ประเทศจีนที่รวมถึงพื้นที่พิพาทลงไปด้วย ทำให้คู่กรณีหลายรายออกมาแสดงความไม่พอใจ และตอบโต้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเวียดนาม ที่ประจำท่าอากาศยานนอยไบในกรุงฮานอย และเจ้าหน้าที่จังหวัดหลั่งเซิง ปฏิเสธที่จะประทับตราวีซ่าเข้าเมืองลงบนหนังสือเดินทางแบบใหม่แก่ชาวจีน แต่ได้ประทับการตรวจลงตราในกระดาษแยกต่างหากจากหนังสือเดินทางแบบใหม่ของจีน ซึ่งชาวจีนยังสามารถเดินทางในเวียดนามผ่านด่านต่างๆ ได้ตามปกติ

นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้เช่นเดียวกัน มีกำหนดการจะหารือกันในวันที่ 12 ธันวาคม กรณีหนังสือเดินทางใหม่ของจีนมีอายุการใช้งาน 10 ปี และออกให้กับประชาชนชาวจีนไปแล้วกว่า 1 ล้านเล่ม

ไม่เพียงเหตุพิพาทบริเวณทะเลจีนใต้ แต่จีนยังขัดแย้งกับอินเดียเนื่องจากพาสปอร์ตใหม่ โดยก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีกิจการต่างประเทศอินเดีย นายซาลมาน เคอร์ชิด ออกมาตำหนิการปรับแผนที่บนหนังสือเดินทางของจีนที่นับรวมรัฐอรุณาจัลประเทศและดินแดนอัคสัย จิน แถบเทือกเขาหิมาลัยเป็นส่วนหนึ่งของจีน และอินเดียตอบโต้ด้วยการออกวีซ่าใหม่แก่ชาวจีน โดยใช้แผนที่ของอินเดีย ซึ่งครอบคลุมดินแดนทั้งหมดตามที่ทางการนิวเดลีอ้างสิทธิ

ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ นางวิคตอเรีย นูแลนด์ กล่าวว่า สหรัฐรู้สึกวิตกต่อเหตุการณ์นี้ว่าอาจทำให้สถานการณ์ขัดแย้งหมู่เกาะทะเลจีนใต้บานปลาย แต่ขึ้นอยู่กับประเทศคู่กรณีจีนว่าตัดสินพาสปอร์ตดังกล่าวอย่าไร สำหรับสหรัฐยังคงถือว่าพาสปอร์ตใหม่ของจีนเป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แรงคลิป แรงแค้น ระบบตรวจสอบล้มเหลว !!?


ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา 3 วันสาดใส่กันมันหยด

รัฐบาลจะผ่านการซักฟอกหรือไม่ รู้ผลกันในวันนี้ ซึ่งผลที่จะออกมาเป็นอะไรที่พอคาดเดากันได้ว่าจะมีเสียงสนับสนุนท่วมท้นให้รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ไปต่อ

การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ว่ารัฐบาลไหนไม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้กับฝ่ายค้านในสภา อาจมีบ้างสักครั้งสองครั้งที่เกิดอาฟเตอร์ช็อกหลังการอภิปรายจนต้องปรับรัฐมนตรีที่มีปัญหาออก หรือยุบสภา

แต่สถิติในอดีตที่ผ่านมาถือว่าน้อยมาก

การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงเป็นระบบตรวจสอบที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่ ส.ส. ก็ยังอยากอภิปรายจนกลายเป็นเทศกาลประจำปี

เหตุที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นระบบตรวจสอบที่ไร้ประสิทธิภาพ เพราะการอภิปรายส่วนมากเน้นโวหารและการกล่าวหา

ขาดพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสนับสนุนข้อกล่าวหา

แต่ที่ ส.ส. ชอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพราะได้โผล่หน้าออกทีวี. ที่ถ่ายทอดสดให้คนทางบ้านได้เห็นว่า ส.ส. ที่เลือกมาทำงานในสภา

อีกอย่างที่ ส.ส. ชอบอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะว่าจะกล่าวหาใครอย่างไรก็ได้ เนื่องจากมีเอกสิทธิ์คุ้มครองไม่ถูกฟ้องร้องเป็นคดีความ

จะชี้หน้าด่าใครว่าโกงกิน ทุจริต ไร้ประสิทธิภาพอย่างไรก็ทำได้เต็มที่

ดีหน่อยตรงที่กฎหมายสมัยนี้ห้ามพาดพิงถึงบุคคลที่สามที่อยู่นอกสภา

หากพาดพิงคนอภิปรายต้องรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเอง เพราะสามารถฟ้องร้องเป็นคดีได้ ไม่อย่างนั้นจะมีการผูกโยงกล่าวหากันมั่วไปหมดว่าขบวนการโกงกินผูกโยงไปถึงคนนอกอย่างไร

ในอดีตที่ผ่านมาจึงเห็น ส.ส. บางคนลุกขึ้นพูดโดยถือกระดาษแผ่นเดียวกล่าวหาคนนั้นคนนี้ไปทั่ว

ในยุคปัจจุบันกฎหมายมีออพชั่นบังคับว่า หากอภิปรายว่ารัฐบาลหรือรัฐมนตรีคนไหนทุจริตต่อหน้าที่ต้องยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบเรื่องที่กล่าวหาด้วย

เป็นการป้องกันไม่ให้กล่าวหากันลอยๆ มั่วๆ โดยขาดพยานหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาแม้จะมีการยื่นให้ ป.ป.ช. สอบสวนเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตี่ที่ถูกกล่าวหาว่าโกง แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด

สะท้อนความล้มเหลวของการตรวจสอบด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือ พรรคประชาธิปัตย์เน้นใช้วิดีโอคลิปเปิดในห้องประชุมสภาเพื่อให้ประชาชนได้เห็นทั้งภาพและเสียง

เหมือนว่าจะเป็นหลักฐานเด็ดมัดรัฐบาลได้

แต่เอาเข้าจริงคลิปที่นำมาเปิดส่วนใหญ่เป็นคลิปที่ทำขึ้นให้สอดคล้องกับข้อกล่าวหาที่ใช้อภิปรายโจมตีรัฐบาล

จะเกี่ยวโยงกับการทุจริตบ้างก็เป็นระดับปฏิบัติไม่ถึงตัวรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี คลิปที่นำมาเปิดจึงไม่อยู่ในสถานะที่เป็นหลักฐานเด็ด

คลิปที่นำมาเปิดเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพของเนื้อหา จนถูกสังคมออนไลน์ยกการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปเปรียบเทียบกับละครฮิตเรื่องแรงเงา ที่เอะอะอะไรก็เปิดคลิปแฉกัน

ต่างกันตรงที่คลิปละครแรงเงาเป็นกระแสทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ทุกครั้งที่ออกอากาศ แต่คลิปที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาเปิดเรียกเรทติ้งไม่ได้ไม่มีใครพูดถึงนอกสภา

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล 3 วัน แม้จะมีประโยชน์อยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น

เป็นการอภิปรายที่มีเป้าหมายใหญ่เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจให้รัฐบาลได้บริหารประเทศต่อ แต่การอภิปรายกลับไม่มีอะไรแตกต่างจากการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติของวุฒิสภา

ข้อมูลหลักฐาน ประเด็นข้อกล่าวหา แทบคัดลอกกันมาจากต้นฉบับเดียวกัน

แรงคลิปจากแรงแค้นของประชาธิปัตย์จึงไม่แรงทะลุเป้าเหมือนคลิปละครแรงเงา

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นายกฯ ขอข้อมูลทุจริตจำนำข้าว ลั่นพบใครโกงพร้อมดำเนินคดี !!?


ยิ่งลักษณ์. ร้องขอเอกสารหลักฐานทุจริตโครงการรับจำนำข้าวจากฝ่ายค้านเพื่อนำมาตรวจสอบ ยืนยันหากพบว่ามีการทำผิดพร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย “อภิสิทธิ์” ชี้รัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามของฝ่ายค้านได้หลายเรื่อง ฟุ้งข้อมูลที่ใช้อภิปรายเป็นข้อมูลเชิงลึก ลบคำสบประมาทจากรัฐบาลได้ สัปดาห์หน้า ส.ส.ประชาธิปัตย์นำหลักฐานส่ง ป.ป.ช. กับ ปปง. ให้สอบขยายผลกรณีโอนเงินผ่าน 4 แบงก์ใหญ่ สงสัยอ้างขายข้าวจีทูจีเพื่อฟอกเงิน

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นวันที่ 3 ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 27 พ.ย. เริ่มจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชี้แจงข้อซักถามของนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่อภิปรายถึงความไม่เหมาะสมในการใช้งบประมาณเพื่อจ่ายเยียวยาและประกันตัวคนเสื้อแดง

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงแทนในรายละเอียด แต่ถูก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์รุมประท้วง ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ต้องใช้สิทธิทำความเข้าใจกับที่ประชุมว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน งานแต่ละด้านนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแล้ว แต่เมื่อรัฐมนตรีจะตอบก็ประท้วงไม่ให้พูด แสดงว่าผู้ถามไม่อยากรู้

จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า ได้นั่งฟังการอภิปรายโดยตลอดในฐานะที่มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายทั่วไป แต่การอภิปรายในหัวข้อต่างๆ เช่น การทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้นขอโอกาสให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจง

“ทุกคนรู้ดีว่าไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนรู้ดีไปหมดทุกเรื่อง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ชี้แจง แต่ขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่เขารู้เรื่องการปฏิบัติได้พูดเพื่อความกระจ่าง เรื่องที่กล่าวหาว่ามีการทุจริตคอร์รัปชันได้มอบนโยบายไปอย่างชัดเจนว่าต้องป้องกันให้ได้ และได้ตั้งทีมงานดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ หากฝ่ายค้านมีข้อมูลหลักฐานรัฐบาลพร้อมรับไปตรวจสอบและดำเนินคดี”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรียังไม่ได้ตอบอีกหลายคำถาม โดยเฉพาะเรื่องโครงการรับจำนำข้าวที่ใช้งบประมาณไปกว่า 200,000 ล้านบาท แต่ถึงชาวนาเพียงครึ่งเดียว

“นายกฯไม่ได้มีท่าทีว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงการให้บริษัทเอกชนใช้สิทธิขายข้าวแบบจีทูจีแต่ไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขก็ยังไม่ได้ตอบ ที่ให้รัฐมนตรีท่านอื่นตอบแทนก็ตอบไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องขบวนการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งไม่สามารถตอบคำถามได้ บอกเพียงว่าได้รายงานให้นายกฯรับทราบทุกอย่าง เมื่อรับทราบปัญหาแล้วทำไมไม่เปลี่ยนนโยบาย”

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ข้อมูลของฝ่ายค้านที่หลายฝ่ายสบประมาทนั้นเป็นข้อมูลเชิงลึก และหวังว่าจะให้ฝ่ายอื่นๆในสังคมตรวจสอบต่อไป ส่วนการอภิปราย 2 วันที่ผ่านมาฝ่ายค้านสอบผ่านเพราะรัฐบาลไม่มีคำตอบ

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีเรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเพราะเห็นว่าเป็นแค่ความบกพร่องในการบริหารที่ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตจึงไม่ถึงขั้นที่จะยื่นถอดถอน ที่อภิปรายเรื่องนี้เพราะต้องการให้ประชาชนเห็นถึงภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี

“สัปดาห์หน้าจะไปยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบกรณีตรวจพบการโอนเงินผ่านธนาคารใหญ่ 4 แห่งที่โอนเข้ามาในช่วงเช้าและถอนออกหมดในช่วงบ่าย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อ้างว่าเป็นการขายข้าวแบบจีทูจี แต่เราสงสัยว่าเป็นการใช้บัญชีรัฐฟอกเงิน”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สรรพสามิตฯยันไม่จำกัดวงเงินคืนภาษีรถคันแรก !!?


นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ความคืบหน้าโครงการรถคันแรก จากข้อมูลล่าสุด 27 พ.ย.มีผู้ยื่นขอใช้สิทธิ 5.81 แสนราย รวมเป็นเงินภาษีที่จะต้องจ่ายคืนประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท และคาดว่าเมื่อสิ้นสุดโครงการจะมีมากกว่า 6 แสนราย ทั้งนี้แม้ว่าจะสูงกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 5 แสนราย คิดเป็นเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท แต่จะจ่ายคืนให้ทั้งหมด ไม่จำกัดจำนวนเงินแต่อย่างใด
"โครงการนี้ ทำให้ยอดการจัดเก็บภาษีรถยนต์ปรับเพิ่มขึ้น โดยในปีงบประมาณที่ผ่านมา จัดเก็บได้กว่า 1.1 แสนล้านบาท สูงกว่า 84% เทียบกับประมาณการ และ เพียง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน สามารถจัดเก็บได้กว่า 2.8 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการกว่า 46%"

ทั้งนี้เมื่อโครงการสิ้นสุดลง 31 ธ.ค. นี้ จะทำให้การจัดเก็บภาษีลดลง แต่มั่นใจว่าพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยังเติบโต และความต้องการของบริโภคยังคงมีอยู่ ทำให้การจัดเก็บภาษีลดลงไม่มากนัก โดยเป้าหมายการจัดเก็บภาษีปีงบประมาณ 2556 อยู่ที่ 4.12 แสนล้านบาท

ที่มา.เนชั่น
*************************************************************************

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชัยชนะที่แท้จริง !!?


       
แม้ม็อบขับไล่รัฐบาลจะยุติเร็วเกินความคาดหมาย หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะไม่มีผลอะไรกับเสถียรภาพรัฐบาล แต่รัฐบาลก็ต้องให้ความสำคัญกับเสียงส่วนน้อยและประชาชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาล โดยเฉพาะข้อครหาหรือข้อกล่าวหาต่างๆ รวมทั้งต้องเร่งสร้างผลงานให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา

อย่างผลวิจัยเชิงสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์สะท้อนชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สนใจการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่อยากให้โอกาส น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำงานเพื่อแก้ปัญหาให้กับบ้านเมืองและประชาชน ปกปักษ์รักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอยากเห็นความปรองดอง บ้านเมืองมีความสงบสุขและก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่จมปลักอยู่กับความแตกแยกทางการเมือง ขณะที่การสำรวจความเห็นของสวนดุสิตโพลพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชียร์ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ทั้งยังตอกย้ำว่าเบื่อการเมืองไทย ที่มีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งพรรคแบ่งพวก เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ฯลฯ

ที่น่าสนใจคือ ประชาชนอยากให้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไป เห็นด้วยที่ฝ่ายค้านจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่อยากให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ คือทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง

ดังนั้น ไม่ว่าการชุมนุมขับไล่รัฐบาลขององค์การพิทักษ์สยาม หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน จึงไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะ แต่ควรเป็นบทเรียนของทุกฝ่าย รวมทั้งประชาชนที่จะตระหนักถึงความแตกแยกนั้น มีแต่ทำให้บ้านเมืองหายนะ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือเศรษฐกิจ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กลัวคนกว้างขวางครองเมือง !!?


โดย ชลิต กิติญาณทรัพย์

เสธอ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ จะจุดม็อบหรือเรียกชุมนุมผู้คนมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เนื้อหาหรือวัตถุประสงค์ต่างหากที่สำคัญ

พล.อ.บุญเลิศประกาศ ชัดเจนถึงเหตุผลที่ต้องขับไล่รัฐบาลที่มาจากเลือกตั้ง เพราะต้องการแช่แข็งประเทศ 5 ปี ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศ แต่จะให้คณะบุคคลเข้ามาดูแลแล้วปฏิบัติภารกิจ 4 ข้อ คือ

1.แก้รัฐธรรมนูญ

2.เพิ่มการศึกษา

3.เพิ่มความรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

4.นำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมารับโทษตามกฎหมาย

เนื้อหาสาระดังกล่าวมีความหมายในทำนองเดียวกับคณะปฏิวัติในอดีต ซึ่งนิยมนำมาแอบอ้างหลังจากเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อเหตุผลสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเอง

น่าแปลกใจจริง ๆ คนไทยกลุ่มหนึ่งนิยมชมชอบ พล.อ.บุญเลิศ นั่นย่อมหมายถึงการสนับสนุนแนวคิดให้แช่แข็งประเทศ 5 ปี ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยก้าวเดินอยู่บนเวทีประชาธิปไตยมาช้านานแล้วเมืองไทยเคยได้รับความชื่นชมจากนานาชาติว่า เป็นผู้นำประเทศประชาธิปไตยในกลุ่มอาเซียน

ขณะ นั้น พม่า ลาว เวียดนาม ปิดประเทศฟื้นฟูตัวเอง ปัจจุบันนี้ ลาว เวียดนาม พม่า เปิดประเทศเชิญชวนให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนโครงการต่าง ๆ ขณะที่เมืองไทย เดินสวนทางกับชาติเพื่อนบ้าน จะแช่แข็งประเทศ 5 ปี บนเส้นทางธุรกิจ การหยุดนิ่งอยู่กับที่ เท่ากับถอยหลัง

ถ้าเสธ.อ้ายทำสำเร็จ เห็นจะต้องเอาปี๊บคลุมหัวกันทั้งประเทศ แล้วชาติบ้านเมืองที่ปิดประเทศเขาเป็นอย่างไรบ้าง พลิกประวัติศาสตร์ไปดู ประเทศยูกันดา และอีกชาติในทวีปแอฟริกา ดูไม่จืดจริง ๆ นึกไม่ออก ว่าสภาพจะเป็นเช่นไร

ผมอยากจะถามว่า ความชอบธรรมของเสธ.อ้ายอยู่ตรงไหนครับ อยู่ ดี ๆ มาเรียกร้องให้ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง ภายใต้กติกาที่คณะปฏิวัติ 19 กันยายน เขียนขึ้นมา

รัฐบาลยิ่งลักษณ์คือชัยชนะของตัวแทนประชาชนที่มีต่ออำนาจเผด็จการทหาร คณะปฏิวัติเขียนกติกาขึ้นเอง แถมยังโดดลงมาเล่นเอง แต่ในที่สุดก็แพ้ประชาชน เขารู้ว่า ประชาธิปไตยนั้นดีกว่าเผด็จการอย่างไร อย่างน้อยที่สุด หากให้นักการเมืองบริหารประเทศ เขาสามารถตรวจสอบนักการเมืองเหล่านั้น ได้ตามวิถีทางประชาธิปไตย ผิดกับรัฐบาลปฏิวัติ ประชาชนตรวจสอบไม่ได้

พูดถึงม็อบเสธ.อ้าย ได้ยินได้ฟังว่า มีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งสนับสนุน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นักการเมืองกลุ่มนั้นจะทรยศต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย พวกเขาไม่มีจิตวิญญาณของประชาธิปไตยแม้แต่น้อยวินาทีนี้ อยากให้พวกเราใช้สติใคร่ครวญไตร่ตรอง ระหว่างการเมืองระบอบประชาธิปไตยกับม็อบ เราควรจะยืนข้างใคร

ขอส่งเสียงหน่อย เดี๋ยวคนกว้างขวางครองเมือง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เฉลิม. ขอเอกสารทุจริตจำนำข้าวฝ่ายค้าน ยันดำเนินการทันที

 การประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่สอง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าว ได้ลุกขึ้นชี้แจงแทน นายกฯ ว่า การดำเนินการจับกุมผู้ทำทุจริตได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งหมด 81 คดี และส่งให้ศาลตัดสินไปแล้ว 2 คดี ที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ มูลค่าความเสียหาย 325 ล้านบาท ส่วนประเด็นที่ฝ่ายค้านอภิปรายพบการทุจริต ขอให้นำเอกสาร หลักฐานมาให้กับตน โดยจะเปิดห้อง 3310 รอข้อมูล ทั่งนี้ตนขอชี้แจงว่ารัฐบาลจริงใจที่จะแก้ปัญหา ดังนั้นขอให้นำหลักฐานที่ได้อภิปรายมามอบให้กับตนเพื่อดำเนินการ ทั้งนี้ตนจะเรียกตำรวจที่มีหน้าที่มารับเรื่องร้องทุกข์

จากนั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน อภิปรายว่า กรณีที่บอกว่ามีการจับกุมผู้ที่กระทำทุจริต เป็นการปาหี่เท่านั้น ซึ่งการอภิปรายของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์รอบต่อไป จะแสดงให้เห็นว่ากระบวนการปาหี่เรื่องจับทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเป็นอย่างไร ทันใดนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ลุกขึ้นชี้แจงว่า "ยืนยันไม่มีปาหี่ เพราะเป็นเอกสารทางราชการ ผมไม่มีความจำเป็นต้องปาหี่

ที่มา .เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

นายกฯแจง.. ยันเคารพ ระบบรัฐสภา !!?

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลุกชี้แจงประกอบนำชาร์จภาพมาอธิบายในประเด็นที่พรรคฝ่ายค้านกล่าวหาในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยใช้เวลาชี้แจงรวม 45 นาที ว่า ช่วงเวลา 6-7 ปีที่ผ่านมาประเทศไม่ได้รับการพัฒนา ไม่มีบรรยากาศของการลงทุน มีแต่ภาพความแตกแยก และความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้นเมื่อตนเข้ามาบริหารประเทศ มีเจตนารมย์ที่อยากเห็นประเทศก้าวไปข้างหน้า มีความรัก และความสามัคคี และเข้ามาช่วยแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้ได้รับความเป็นธรรม อย่างเสมอภาพ ไม่มีแบ่งแยกพื้นที่ และสีเสื้อ ตามที่ได้ปวารณาตัวกับประชาชนแล้วว่าต้องการมาแก้ไข ไม่แก้แค้น โดยการทำงานนั้นได้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และยึดความเป็นมืออาชีพ รวมถึงมีความซื่อสัตย์ ยุติธรรม ซึ่งการทำงานได้เน้นความเป็นทีม และให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งรัฐบาลยินดีรับฟังความเห็น ข้อเรียกร้องของ ส.ส. และประชาชน รวมถึงหน่วยราชการต่างๆ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงต่อว่า หลักการทำงานที่ยึดหลักทำงานเป็นทีม คือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเป็นความรับผิดชอบร่วมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยวิธีการทำงานของ ครม. คือ มีนายกฯ ทำหน้าที่ กำกับตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มีการมอบนโยบายต่างๆ ส่วนรองนายกฯ มีหน้าที่กำกับบริหารราชการในกระทรวงต่างๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย ด้านรัฐมนตรีมีหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาในกระทรวง กำหนดนโยบาย กำหนดผลสัมฤทธิ์ในกระทรวง ทั้งนี้ตนไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ ยังทำงานติดตามความสำเร็จของงาน ทุกระยะ แต่การทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย ต้องแบ่งชั้นความรับผิดชอบ ไม่ใช่ก้าวก่ายงาน รวมถึงต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันในการทำงาน

"กรณีที่บอกว่า ดิฉันเลือกปฏิบัติ เช่น ตำรวจต้องไม่เลือกข้าง ต้องเลือกประชาชน ต้องเลือกความถูกต้อง และไม่เลือกปฏิบัติ ในการทำงานดิฉัน ยึดมั่นหลักประชาธิปไตย และเคารพสามเสาหลัก คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ซึ่งพยายามทำงานอย่างสมดุลและมีเสถียรภาพ โดยงานนิติบัญญัติ ดิฉันพร้อมผลักดันกฎหมายที่สำคัญ และเป็นประโยชน์ ดิฉันเคารพและให้เกียรติรัฐสภา แต่ลักษณะการทำงานที่มีการมอบหมาย ดังนั้นการตั้งกระทู้ จึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาตอบกับ ส.ส.โดยตรง" น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้แจง

นายกฯ ชี้แจงต่อว่า งานด้านบริหารราชการแผ่นดิน ตนทำงาน 7 วันไม่ได้หยุด เพราะต้องเร่งแก้ปัญหาและเตรียมวางแผนอนาคตประเทศให้เข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 55 โดยปัญหาที่สำคัญ นับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ คือ ปัญหาอุทกภัย ที่ไม่เคยเจอพายุเข้าติดต่อกัน 5 ลูก อีกทั้งประเทศไม่มีการเตรียมพร้อมรองรับ ดังนั้นจึงเป็นที่มา คือการกำหนดงบกลาง จำนวน 1.2 แสนล้านบาท ผลที่ออกมาทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ฟื้นขึ้นมาภายใน 6 เดือน คือ ไตรมาสแรก จีดีพี อยู่ที่ 0.4 กลับฟื้นมาอยู่มาอยู่ที่ 4.4 ในไตรมาสสอง ซึ่งการดำเนินโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณดังกล่าว ยืนย้นว่าได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และได้มอบหมายรัฐมนตรีกำกับดูแล

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อ้าย..ย่ะ มาเร็ว-เคลมเร็ว-ไปเร็ว !!?


ม็อบ เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ มาเร็วเคลมเร็วอย่างเหลือเชื่อ
จากที่ฮึกเหิมประกาศเผด็จศึกรัฐบาลแบบม้วนเดียวจบ เพื่อให้เสียเลือดเสียเนื้อน้อยที่สุด กลับเป็นการชุมนุมต้องยุติลงอย่างรวดเร็วภายในวันเดียว จนหลายคนงงเป็นไก่ตาแตกไปตามๆกัน

แม้แต่ผู้มาร่วมชุมนุมเองก็งงทำไมเลิกเร็ว บางคนเพิ่งออกจากบ้าน บางคนยังอยู่ระหว่างเดินทาง บางคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จยังไม่ทันแต่งตัวก็ได้ยินแกนนำประกาศเลิกม็อบซะแล้ว

สาเหตุของการเลิกเร็วในเบื้องหน้าแม้ เสธ.อ้ายจะบอกว่าทำเพื่อไม่ให้มีคนต้องตาย จนได้รับการปรบมือถึงความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้มาชุมนุม
แต่เบื้องหลังมีอะไรที่มากกว่านั้น

หากไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นท่าทีของ เสธ.อ้ายคงไม่อ่อนลงเร็วอย่างกะทันหัน ทั้งที่เพิ่งประกาศสู้แบบตายเป็นตาย หลังจากที่เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุมที่พยายามฝ่าแนวกั้นเข้ามา
เรียกร้องให้คนออกมาร่วมกันให้มากขึ้นอีก เพื่อใช้หมัดเด็ดที่เตรียมไว้ และไม่ลืมเรียกร้องให้ทหารออกมาปกป้องชีวิตผู้ชุมนุม

แต่ไม่กี่ชั่วโมงให้หลังกลับประกาศยุติการชุมนุมหน้าตาเฉย ประกาศวางมือไม่ขอเป็นผู้นำการชุมนุมอีก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ขอหันหน้าเข้าวัดทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่าไปตามเรื่อง
บ่งบอกออกอาการน้อยใจสุดๆ
การปิดฉากลงอย่างรวดเร็วของม็อบไล่รัฐบาลขององค์การพิทักษ์สยาม ถูกประเมินไว้หลายประการ

หนึ่ง เพราะแกนนำไม่โดดเด่น ไม่มีประสบการณ์ด้านงานมวลชน นำคนจำนวนมากไม่ได้ ปราศรัยไม่เป็น ไม่อาจดึงคนออกจากบ้านให้มานั่งฟัง

สอง ภาพลักษณ์แกนนำไม่ดี ถูกมองว่าเป็นพวกไดโนเสาร์ ล้าหลัง ปฏิเสธระบอบประชาธิปไตย โหยหาอำนาจเผด็จการ

สาม จัดชุมนุมในสถานการณ์ที่ยังไม่สุกงอมเพียงพอ ขาดเหตุผลที่จะใช้ขับไล่รัฐบาล

สี่ พรรคการเมืองบางพรรคไม่ได้ขนมาเติมม็อบอย่างเพียงพอตามที่ได้ตกลงกันไว้ ทำให้ความฝันอันสูงสุดที่จะมีคนเรือนแสนกลับมาแค่หลักหมื่นต้นๆ

ห้า เมื่อจำนวนคนไม่เอื้อ ผู้คุมกำลังที่นัดกันว่าจะเดินทางไกลก็โดดหนี เพราะก่อนประกาศเลิกม็อบมีการโทรศัพท์ไปทวงถามแต่ได้รับคำตอบว่ายกเลิกภารกิจ

หก ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเพราะอำนาจการสั่งเคลื่อนย้ายกำลังตาม พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเป็นของนายกรัฐมนตรีแต่ผู้เดียว ใครขืนทะลึ่งเคลื่อนย้ายกำลังโดยไม่มีคำสั่งจะถูกจับข้อหากบฏในทันที
เจ็ด ตำรวจเด็ดขาดกว่าที่ผ่านมา จุดไหนห้ามเข้า คือห้ามเข้า ฝ่าฝืนเป็นจับ ไม่เล่นชักเย่อดันกันไปดันกันมาแล้วถอนกำลังให้ม็อบได้ใจเหมือนในอดีต

นั่นคือปัจจัยที่ทำให้ม็อบไล่รัฐบาลของ เสธ.อ้ายมาเร็ว เคลมเร็ว และไปเร็วกว่าที่คิด
แต่ก็อย่าได้คิดว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจะยุติปล่อยให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริหารประเทศต่อไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตาม กว่าจะตั้งหลักรวมตัวกันได้ใหม่ฝ่ายต่อต้านคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ โดยเฉพาะโจทย์หินเรื่องแกนนำที่ผู้อยู่เบื้องหลังต้องตีให้แตกว่าจะโปรโมตใครขึ้นมาเป็นนอมินีรายต่อไป

กวาดตาไปทั่วสยามประเทศ แม้ยังพอมีคนให้จับมาเชิดเล่น แต่ก็คงไม่ง่าย เพราะหากคนอยู่เบื้องหลังยังไม่เปิดหน้าเล่นอย่างเต็มตัวเพื่อสร้างหลักประกันในชัยชนะ ก็คงไม่มีใครอยากเปลืองตัวรับงานเป็นนอมินี เพราะกลัวจะเจ็บช้ำซ้ำรอย เสธ.อ้าย

รัฐบาลจึงน่าจะอยู่อย่างสงบไปได้สักระยะหลังจากนี้


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

บุญทรงยืนยันเดินหน้าจำนำข้าว !!?

ายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะชี้แจงการอภิปรายของฝ่ายค้านในภาพรวมของนโยบายต่างๆ แต่หากตนถูกพาดพิงก็จะใช้สิทธิชี้แจง โดยเฉพาะเรื่องโครงการรับจำนำข้าว พร้อมยืนยันไม่จำเป็นต้องทบทวนการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว เพราะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด และที่ผ่านมาก็เปิดเผยการดำเนินการทุกขั้นตอน แต่ยอมรับรายละเอียดตัวเลขการขายข้าวแบบจีทูจี จำเป็นต้องปิดเป็นความลับ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่าประเด็นการเมือง ส่วนการอภิปรายของรัฐมนตรีทั้ง 3 คนเมื่อวันที่ 25 พ.ย.ถือว่าชี้แจงกับฝ่ายค้านได้ แต่เห็นว่าข้อมูลที่ ฝ่ายค้านเตรียมมานั้นยังไม่ละเอียด

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แผนปฏิบัติการ ศอ.รส และประกาศฉบับที่ 1-4 !!?


รวมประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 1-4 ลงนามโดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.ศอ.รส.)


ประกาศ ศอ.รส.ฉบับที่ 1/2555

เรื่องห้ามบุคคลเข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด ลงวันที่ 22 พ.ย.55
1. ห้ามบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใด เข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ และอาคารทำเนียบ รัฐบาล และรัฐสภา เว้นแต่ผู้ซึ่งได้รับอนุญาต หรือได้รับคำสั่งจากพนักงานเจ้าหน้าที่
2. ห้ามบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใด เข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ ดังต่อไปนี้ เว้นแต่ผู้ซึ่งได้รับอนุญาต หรือได้รับคำสั่งจากพนักงานเจ้าหน้าที่

ก.ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่สะพานมัฆวาน ถึงแยกถนนศรีอยุธยา
ข.ถนนลูกหลวงตั้งแต่สะพานวิศุกรรมนฤมาณ ถึงสะพานเทวกรรม
ค.ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกวังแดง ถึงแยกพาณิชย์
ง.ถนนนครปฐม ตั้งแต่สะพานอรทัย ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร
จ.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกพาณิชย์ ถึงถนนลูกหลวง
ฉ.ถนนลิขิต
ช.ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกราชวิถี ซ.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงถนนราชวิถี
ญ.ถนนอู่ทองใน  ตั้งแต่แยกอู่ทองใน ถึงลานพระราชวังดุสิต ด้านหลังพระบรมรูปทรงม้า

3.ให้ ผอ.รมน. ผอ.ศอ.รส. หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้

ประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 2/2555 

เรื่องห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ ลงวันที่ 22 พ.ย.55
1. ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมดังนี้  เว้นแต่ได้รับการอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่
ก.ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่สะพานมัฆวาน ถึงแยกถนนศรีอยุธยา
ข.ถนนลูกหลวงตั้งแต่สะพานวิศุกรรมนฤมาณ ถึงสะพานเทวกรรม
ค.ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกวังแดง ถึงแยกพาณิชย์
ง.ถนนนครปฐม ตั้งแต่สะพานอรทัย ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร
จ.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกพาณิชย์ ถึงถนนลูกหลวง
ฉ.ถนนลิขิต
ช.ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกราชวิถี
ซ.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงถนนราชวิถี
ญ.ถนนอู่ทองใน  ตั้งแต่แยกอู่ทองใน ถึงลานพระราชวังดุสิต ด้านหลังพระบรมรูปทรงม้า

2.ห้ามใช้ยานพาหนะใดๆ กระทำการอันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แก่ประชาชน หรือกระทำการยั่วยุหรือปั่นป่วนการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่หรือความสงบสุขของประชาชนในพื้นที่ตามข้อ 1

3.ห้ามนำรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส สารเคมี หรือวัตถุอัตรายใดๆ เข้าไปในพื้นที่ตามข้อ 1 เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

4.ให้ผู้ประกอบกิจการสถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงหรือแก๊สในพื้นที่ตามข้อ 1  ควบคุมการเก็บรักษาน้ำมัน แก๊ส และรถบรรทุกสิ่งดังกล่าวให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม ปลอดภัย

5.ห้ามมิให้จอดยานพาหนะกีดขวางการจราจรในพื้นที่ตามข้อ 1

6.ให้ผอ.รมน. ผอ.ศอ.รส. หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้

ประกาศ ศอ.รส.ฉบับที่ 3/2555
เรื่องห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน ลงวันที่ 22 พ.ย.55
1.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
2.ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนำสิ่งใดที่อาจนำมาใช้ได้อย่างอาวุธ เช่นหนังสติ๊ก ลูกเหล็ก ท่อนเหล็ก ดอกไม้เพลิง หรือสิ่งอื่นใดทำนองเดียวกันที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย ของบุคคลใด รวมถึงเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน หรือทางราชการ ในพื้นที่ ที่ประกาศเป็นพื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (เขตดุสิต พระนคร และป้องปราบศัตรพ่าย)
3.ให้ ผอ.รมน. ผอ.ศอ.รส. หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้ โดยให้ประกาศมีผลตั้งแต่ออกประกาศ (22 พ.ย.55)

ประกาศ ศอ.รส. ฉบับที่ 4/2555
เรื่องห้ามการใช้ยานพาหนะในเส้นทางคมนาคม ลงวันที่ 23 พ.ย.55

ตามที่ได้มีการประกาศให้เขตพื้นที่ดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555และมีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่ง พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งได้มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการกำหนดเงื่อนเวลาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในการปฏิบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควรนั้น

เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ในพื้นที่ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเกิดประสิทธิภาพ สามารถป้องกันและควบคุมไม่ให้สถานการณ์ขยายลุกลาม จนเกิดความารุนแรงเกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร รวมทั้งการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ  อาศัยอำนาจตามความในข้อ 4 และวรรคสามของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรพ.ศ. 2551 ผู้อำนวยนการศูฯย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยจึงออกประกาศกำหนดดังนี้

1. ห้ามการใช้ยานพาหนะในเส้นทางคมนาคมดังต่อไปนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ก.ถนนศรีอยุธยาตั้งแต่สะพานวัดเบญจมบพิตร ถึงแยกกองพล 1
ข.ลานพระราชวังดุสิต

2. ห้ามมิให้จอดยานพาหนะทุกชนิดกีดขวางการจราจรในพื้นที่ตามข้อ 1
3. ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้
4. ประกาศกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


แผนปฏิบัติการ "ศอ.รส." รับมือการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม

พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และเลขาธิการ ศอ.รอ. แถลงแนวทางการปฏิบัติของ ศอ.รส.ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 24 พฤศจิกายน โดยเนื่องจากการชุมนุมในครั้งนี้ ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงไม่ใช้แผนกรกฎ 52 แต่ ศอ.รส.ได้ออกแผนปฏิบัติการที่ 1/2555 เป็นหลักในการปฏิบัติงาน แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่

1.ขั้นเตรียมการจะเป็นขั้นที่ดำเนินการก่อนการชุมนุม โดยดำเนินการด้านการข่าว การเตรียมการด้านกำลังพล การจัดเตรียมสถานที่ควบคุมกรณีเหตุการณ์บานปลาย การเตรียมการด้านแผนต่างๆ ที่สำคัญ

2.ขั้นการเผชิญเหตุจะเป็นขั้นที่ดำเนินการขณะชุมนุม โดยยึดถือแนวทางตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่ระบุให้ตำรวจท้องที่เข้ารักษาความสงบบริเวณที่ชุมนุมและใกล้เคียง ดำเนินการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคลสำคัญ ใช้ศูนย์ปฏิบัติการทุกระดับ ในการติดตาม ควบคุม และสั่งการ ชี้แจงทำความเข้าใจต่อแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมให้ทราบถึงขอบเขตของการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดำรงการเจรจาต่อรอง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์

3.ขั้นการใช้กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์จะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ 22-30 พฤศจิกายน โดยแจ้งเตือนและเจรจากับผู้ชุมนุม เพื่อป้องกันการปลุกระดมและสร้างความวุ่นวาย พร้อมทั้งปฏิบัติการข่าวสารควบคู่กับการปฏิบัติงานในทุกขั้นตอน เมื่อการเจรจาต่อรองหรือการปฏิบัติการอื่นใดไม่เป็นผล สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์พิจารณาสั่งใช้กำลังเข้าแก้ไขสถานการณ์และรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ทราบทันที และการใช้กำลังให้ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังในการควบคุมฝูงชน

4.ขั้นการฟื้นฟู เป็นขั้นตอนที่ดำเนินการหลังการชุมนุม โดยจะดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด การฟื้นฟู เยียวยาการจัดทำรายงานภายหลังการปฏิบัติ และบทเรียนจากการปฏิบัติงาน และชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชน

สำหรับกฎการใช้กำลังตำรวจต้องพึงระลึกและยึดถือรัฐธรรมนูญว่า การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายโดยมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้ 1.ต้องพิจารณาถึงความชอบธรรมในการใช้กำลังตามที่กฎหมายกำหนด 2.ยึดหลักในการคุ้มครองเสรีภาพและหลักในการรักษาความสงบเรียบร้อย 3.การใช้กำลังตามกฎนี้ให้หมายความรวมถึงการใช้อุปกรณ์หรืออาวุธประกอบการใช้กำลังด้วย และ 4.การจัดการเมื่อมีการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ตำรวจจะต้องดำเนินการจัดการตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ หลักการใช้กำลังของตำรวจที่ควบคุมฝูงชนที่มีผลต่อชีวิตร่างกายตำรวจต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ หลักแห่งความจำเป็นให้ตำรวจใช้กำลังเท่าที่จำเป็น พยายามใช้วิธีการอื่นเท่าที่สามารถทำได้ก่อน เลือกวิธีการใช้กำลังที่เบาที่สุด (เป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุมน้อยที่สุด) และหากผู้ชุมนุมลดหรือยุติความรุนแรง ต้องลดระดับหรือยุติระดับกำลังด้วย หลักแห่งความได้สัดส่วน ให้ใช้วิธีการและกำลังที่เหมาะสม สอดคล้องกับภยันตรายที่คุกคามเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น หลักความถูกต้องตามกฎหมายให้พิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือ หรือยุทโธปกรณ์ตามที่มีกฎหมาย ระเบียบ หรือตามหลักสากลกำหนด และหลักความรับผิดชอบให้พิจารณาถึงผลที่เกิดจากการใช้กำลังโดยต้องมีผู้รับผิดชอบในการสั่งการ

ตำรวจต้องใช้กำลังตามระดับความรุนแรงของผู้ชุมนุมหรือได้สัดส่วนกับความรุนแรงที่คุกคาม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิผล ตามภัยคุกคามหรือความรุนแรงของผู้ชุมนุมดังนี้ 1.ผู้ชุมนุมโดยสงบ ให้ตำรวจดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ด้วยการแสดงกำลัง การเจรจา ให้ข้อมูลข่าวสาร หรือชักจูงแนะนำ 2.ผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำแนะนำของตำรวจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ไม่มีพฤติการณ์ก้าวร้าวหรือก่อเหตุ หรือกระทำผิดกฎหมายเล็กน้อย ให้ตำรวจแสดงกำลัง หรือใช้วิธีการในการเจรจาหรือดำเนินกลยุทธ์กดดันผู้ชุมนุม (Offensive Movement) ที่ได้สัดส่วนกับการกระทำผิดเล็กน้อย หรือการก่อเหตุนั้นๆ หากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ประกอบก็ให้ใช้อุปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต 3.สถานการณ์การชุมนุมที่ไม่สงบหรือมีอาวุธหรือมีการก่อเหตุวุ่นวาย ทำร้ายตำรวจหรือบุคคลอื่น ให้ตำรวจพิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือที่เหมาะสมในรูปแบบที่เป็นระดับที่สูงขึ้นเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การใช้กำลังที่อาจจะเกิดอันตรายต่อผู้ชุมนุม ได้แก่ การใช้แก๊สน้ำตา หรือเครื่องเปล่งเสียงความถี่สูง การใช้กำลังผลักดัน การใช้น้ำฉีดแรงดันสูง และการยิงกระสุนยาง ต้องมีการประกาศแจ้งเตือนผู้ชุมนุมก่อนทุกครั้ง และให้เวลาพอสมควรเพื่อให้ ผู้ชุมนุมสามารถปฏิบัติตามคำเตือนได้ทันเว้นแต่ไม่สามารถประกาศเตือนได้ก่อนหรือหากไม่ใช้กำลังเช่นว่านั้นในทันทีทันใดจะเกิดภัยอันตรายต่อบุคคล สถานที่ หรือทรัพย์สิน

แนวทางการปฏิบัติหลังการใช้กำลัง เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะต้องดำเนินการ คือ 1.การช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการปฐมพยาบาล และรีบส่งไปรับการรักษาพยาบาลตามความจำเป็นรวมทั้งแจ้งญาติให้รับทราบ 2.การบันทึกและการรายงาน หน่วยจะต้องบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดและรายงานตามสายการบังคับบัญชาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 3.การปฏิบัติต่อพื้นที่เกิดเหตุ ให้ปิดกั้นบริเวณพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ ไว้จนกระทั่งมีการดำเนินการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และรวบรวมหลักฐานสำหรับใช้ดำเนินการทางกฎหมายต่อไป 4.โดยถือปฏิบัติด้วยความมีมนุษยธรรมและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ ศอ.รส.มีข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร คือ 1.ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ มีคำสั่ง หรือเป็นการปฏิบัติตามแผนการดำเนินการ เพื่อป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

2.ห้ามบุคคลใดเข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และภายในระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลที่มีประกาศของบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น

3.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน 4.ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะหรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด

5.ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตามชนิด ประเภทลักษณะการใช้หรือภายในเขตบริเวณพื้นที่ที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน

ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปลุกวิญญาณแดง แช่แข็ง อำมาตย์ !!?

ถ้อยคำผ่านวิดีโอลิงก์ข้ามโลกของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี มายังเวทีคนเสื้อแดงที่ชุมนุมต่อต้านการแช่แข็งประเทศ ภายใต้ชื่อว่า "รวมพลคนรักรัฐบาล ต้านกบฏ เดินหน้าลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3" นับเป็นการปลุกพลังมวลชนเสื้อแดงให้ลุกขึ้นสู้กับม็อบ "องค์การพิทักษ์สยาม" (อพส.) "บ้านเมืองต้องมีกติกา ถ้าจะแช่แข็งกัน ต้องมีกติกา บ้านเมืองจะไปได้ ถ้าไม่มีกติกา บ้านเมืองก็เจ๊ง ที่มีกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวให้แช่แข็งประเทศไทย ขอให้พี่น้องประชาชนอยู่กับบ้านเฉย ๆ สื่อสารกันไว้ อย่าหวั่นไหวกับกลุ่มคนเหล่านั้น แต่ถ้าเมื่อไรบ้านเมืองไม่มีกติกา แล้วเราค่อยออกมาคิดว่าจะทำอย่างไร เพราะการแช่แข็งเอาไว้ใช้กับคนตาย คนเป็นเขาไม่แช่แข็งกัน ไว้ให้คนพวกนั้นตายเมื่อไร ผมจะมาแช่แข็งให้"

เป็นการปลุกคนเสื้อแดงทุกหัวมุมเมือง ตั้งแต่เชียงใหม่ อุดรธานี นครราชสีมา ปทุมธานี สมุทรปราการ ให้เตรียมพร้อมรอฟังเสียงสัญญาณนกหวีดจากแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งบัญชาการมาจากกรุงเทพมหานคร หากเกิดการใช้วิธีนอกระบบ เข็นรถถังออกมายึดอำนาจ

ขณะเดียวกัน ถ้อยคำของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ก็เป็นกุศโลบาย-ปั่นกระแสประชานิยมซื้อใจคนรากหญ้า คนชั้นกลางให้ลุกขึ้นต่อต้านวาทกรรม "แช่แข็งประเทศ"

"ไม่เข้าใจว่าพวกเสธ.อ้ายจะออกมาแช่แข็งประเทศไทยทำไม ในเมื่อประเทศกำลังไปด้วยดี วันนี้เก็บภาษีทะลุเป้า โครงการบ้านหลังแรกทะลุเป้า ค่าแรง 300 บาทต่อวัน ราคาจำนำข้าว 1.5 หมื่นบาท ทำให้เศรษฐกิจประเทศเข้มแข็ง ชาวนาได้ประโยชน์ และประเทศไทยยังได้รับการยอมรับ"

"หลังจากดูแลคนชั้นล่างแล้ว ต่อไปจะดูแลคนชั้นกลาง สิ่งหนึ่งที่กำลังคิด คือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บางอันมันมากไป เราอยากให้ไทยมีความสุข มีสวัสดิการที่ดี" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

ดังนั้น การวิดีโอลิงก์ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เป็นการใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ผสมการปรุงแต่งถ้อยคำ แฝงนัยการเมือง หวังผลให้คนตั้งแต่ระดับรากหญ้า จนถึงคนชั้นกลางที่หาเช้า-กินค่ำได้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของ "ม็อบเสธ.อ้าย" ทำให้ประเทศล้าหลัง กระทบไปถึงโครงสร้างเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก

อย่างไรก็ตาม แม้ "พ.ต.ท.ทักษิณ"-แกนนำคนเสื้อแดงประเมินว่า การชุมนุมของ อพส.อาจลุกลามกลายเป็นความรุนแรง เพราะมีมือที่ 3 เข้ามาปั่นป่วน สร้างสถานการณ์ สำทับกับหน่วยข่าวด้านความมั่นคงว่า กลุ่มทุนเก่าและกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายมีการลงขันถึง 6 พันล้านบาท เพื่อล้มรัฐบาล จนทำให้การคุ้มกันอาคารรัฐสภาเป็นไปอย่างเข้มงวด รัดกุม มาตร

วัดระดับการรักษาความปลอดภัยถึงขั้นสีแดง มีการเตรียมแผน "high alert" พร้อมสละอาคารรัฐสภาทันทีที่ม็อบประชิดรั้ว

แต่วอร์รูมประเมินสถานการณ์ระดับผู้นำความคิดในพรรคเพื่อไทยประเมินสถานการณ์การชุมนุมของอพส.ว่าไม่มีทางล้มรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้

เพราะเมื่อยกความเข้มข้นทางอุดมการณ์ของ อพส. รวมทั้งปัจจัยแวดล้อมการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ในยุค "ยิ่งลักษณ์" เป็นนายกฯ จะเห็นได้ว่าพลัง-ความเข้มข้นทางอุดมการณ์ของ อพส.น้อยกว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

เมื่อครั้งยึดสะพานมัฆวานรังสรรค์ ล้อมอาคารรัฐสภา ยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ
ในยุค 2 นายกฯ "สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์" จากพรรคพลังประชาชน

เมื่อประเมินว่าการชุมนุมของ อพส.ไม่สามารถใช้เป็นอาวุธจัดการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ฟาดฟันให้ล้มพ้นอำนาจการเมืองได้ จึงวิเคราะห์ถึงดาบ 2 คือการใช้กลไกรัฐธรรมนูญที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยขึ้นมาจัดการผ่านกระบวนการตุลาการภิวัตน์

แต่เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีบทเรียนจากการยุบพรรคไทยรักไทย-พรรคพลังประชาชน จึงทำให้ทุกก้าวย่างทางการเมืองเป็นไปอย่างรัดกุม

แหล่งข่าวจากวอร์รูมพรรคเพื่อไทยวิเคราะห์ว่า เวลานี้ยังไม่มีปัจจัยใด ๆ ที่เป็นอันตรายถึงขั้นทำให้พรรคเพื่อไทยถูกกระบวนการตุลาการภิวัตน์เขี่ยพ้นกระดานการเมือง และยังไม่มีข้อกล่าวหาใดที่พุ่งตรงไปถึงตัว "ยิ่งลักษณ์" แต่ก็มีการประเมินสถานการณ์ถึงขั้นเลวร้ายที่สุด หากกลุ่มทุนเก่า-กลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย-กลุ่มชนชั้นนำเล่นเกมแรงแบบพรรคเพื่อไทยไม่คาดฝัน ทำให้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องพ้นเก้าอี้นายกฯด้วยกระบวนการกฎหมายที่ยังกึ่งเผด็จการ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมหาคนในพรรคขึ้นมารับตำแหน่งนายกฯแทนทันที "แม้จะจัดการกับนายกฯไม่ง่าย แต่หากเขาทำสำเร็จ นายกฯคนต่อไปก็ยังอยู่ในพรรคเพื่อไทย" แหล่งข่าวกล่าว

สอดคล้องกับ "จาตุรนต์ ฉายแสง" อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย มองเกมเบื้องหน้า วิเคราะห์ถึงเกมเบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่ม อพส.ว่ามี 2 ระยะ 1.ระยะสั้น ใช้การชุมนุมของมวลชนกดดันรัฐบาล 2.ระยะยาว ใช้กระบวนการตุลาการภิวัตน์จัดการ

"จาตุรนต์" บอกว่า "ถ้าล้มเหลวตั้งแต่ระยะสั้น การจะฟื้นการเคลื่อนไหวแบบนี้จะทำได้ยากมาก เพราะทั่วทั้งสังคมจะเรียนรู้ เป็นการดิ้นเฮือกสุดท้าย"

แม้เขาทำนายว่า การชุมนุมของ อพส.จะเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของเสธ.อ้าย แต่ก็ยังไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้ายของชนชั้นนำ

"มันอาจดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของกลุ่มที่เคลื่อนไหว แต่อาจยังไม่ใช่เฮือกสุดท้ายของชนชั้นนำที่ยังไม่เชื่อเรื่องประชาธิปไตย อาจมีเรื่องไม่เป็นเหตุผล ลี้ลับซับซ้อนปนอยู่ บางทีเราคาดไม่ถึง แต่มันเป็นไปได้ เพราะให้คิดแทน ก็ไม่รู้มันคืออะไร แต่มันต้องมีเหตุที่เราคาดไม่ถึง หรือเป็นเหตุที่เขาไม่พูดตรง ๆ แต่การที่เขาใช้เหตุ ข้ออ้างที่ไม่เป็นเหตุผล มันทำให้เคลื่อนไหว ลดความชอบธรรม ลดความน่าเชื่อถือลงอย่างมาก ถ้าสำเร็จได้ต้องมุทะลุบ้าบิ่น บ้าเลือด" จาตุรนต์กล่าว

วาทกรรมของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" การปลุกคนเสื้อแดงทุกหัวเมืองผ่านวิดีโอลิงก์ เป็นเกมดึงคนรากหญ้า-ดึงคนชั้นกลางเข้ามาเป็นพวก พร้อมทั้งผลักม็อบ "เสธ.อ้าย" ให้กลายเป็นพวกล้าหลัง เป็นวิธีการเคลื่อนไหวแยบยลมีนัย เป็นการแช่แข็ง "เสธ.อ้าย" และเผด็จศึกม็อบอำมาตย์

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผนปฏิบัติการ ศอ.รส. รับมือม็อบ เสธ.อ้าย !!?


พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และเลขาธิการ ศอ.รอ. แถลงแนวทางการปฏิบัติของ ศอ.รส.ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 24 พฤศจิกายน

การชุมนุมในครั้งนี้ เนื่องจากใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงไม่ใช้แผนกรกฎ 52 แต่ ศอ.รส.ได้ออกแผนปฏิบัติการที่ 1/2555 เป็นหลักในการปฏิบัติงาน แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่

1.ขั้นเตรียมการจะเป็นขั้นที่ดำเนินการก่อนการชุมนุม โดยดำเนินการด้านการข่าว การเตรียมการด้านกำลังพล การจัดเตรียมสถานที่ควบคุมกรณีเหตุการณ์บานปลาย การเตรียมการด้านแผนต่างๆ ที่สำคัญ

 2.ขั้นการเผชิญเหตุจะเป็นขั้นที่ดำเนินการขณะชุมนุม โดยยึดถือแนวทางตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่ระบุให้ตำรวจท้องที่เข้ารักษาความสงบบริเวณที่ชุมนุมและใกล้เคียง ดำเนินการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคลสำคัญ ใช้ศูนย์ปฏิบัติการทุกระดับ ในการติดตาม ควบคุม และสั่งการ ชี้แจงทำความเข้าใจต่อแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมให้ทราบถึงขอบเขตของการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดำรงการเจรจาต่อรอง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์

3.ขั้นการใช้กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์จะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ 22-30 พฤศจิกายน โดยแจ้งเตือนและเจรจากับผู้ชุมนุม เพื่อป้องกันการปลุกระดมและสร้างความวุ่นวาย พร้อมทั้งปฏิบัติการข่าวสารควบคู่กับการปฏิบัติงานในทุกขั้นตอน เมื่อการเจรจาต่อรองหรือการปฏิบัติการอื่นใดไม่เป็นผล สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์พิจารณาสั่งใช้กำลังเข้าแก้ไขสถานการณ์และรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ทราบทันที และการใช้กำลังให้ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังในการควบคุมฝูงชน

4.ขั้นการฟื้นฟู เป็นขั้นตอนที่ดำเนินการหลังการชุมนุม โดยจะดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด การฟื้นฟู เยียวยาการจัดทำรายงานภายหลังการปฏิบัติ และบทเรียนจากการปฏิบัติงาน และชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชน

สำหรับกฎการใช้กำลังตำรวจต้องพึงระลึกและยึดถือรัฐธรรมนูญว่า การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายโดยมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้ 1.ต้องพิจารณาถึงความชอบธรรมในการใช้กำลังตามที่กฎหมายกำหนด 2.ยึดหลักในการคุ้มครองเสรีภาพและหลักในการรักษาความสงบเรียบร้อย 3.การใช้กำลังตามกฎนี้ให้หมายความรวมถึงการใช้อุปกรณ์หรืออาวุธประกอบการใช้กำลังด้วย และ 4.การจัดการเมื่อมีการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ตำรวจจะต้องดำเนินการจัดการตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ หลักการใช้กำลังของตำรวจที่ควบคุมฝูงชนที่มีผลต่อชีวิตร่างกายตำรวจต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ หลักแห่งความจำเป็นให้ตำรวจใช้กำลังเท่าที่จำเป็น พยายามใช้วิธีการอื่นเท่าที่สามารถทำได้ก่อน เลือกวิธีการใช้กำลังที่เบาที่สุด (เป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุมน้อยที่สุด) และหากผู้ชุมนุมลดหรือยุติความรุนแรง ต้องลดระดับหรือยุติระดับกำลังด้วย หลักแห่งความได้สัดส่วน ให้ใช้วิธีการและกำลังที่เหมาะสม สอดคล้องกับภยันตรายที่คุกคามเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น หลักความถูกต้องตามกฎหมายให้พิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือ หรือยุทโธปกรณ์ตามที่มีกฎหมาย ระเบียบ หรือตามหลักสากลกำหนด และหลักความรับผิดชอบให้พิจารณาถึงผลที่เกิดจากการใช้กำลังโดยต้องมีผู้รับผิดชอบในการสั่งการ

ตำรวจต้องใช้กำลังตามระดับความรุนแรงของผู้ชุมนุมหรือได้สัดส่วนกับความรุนแรงที่คุกคาม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิผล ตามภัยคุกคามหรือความรุนแรงของผู้ชุมนุมดังนี้ 1.ผู้ชุมนุมโดยสงบ ให้ตำรวจดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ด้วยการแสดงกำลัง การเจรจา ให้ข้อมูลข่าวสาร หรือชักจูงแนะนำ 2.ผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำแนะนำของตำรวจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ไม่มีพฤติการณ์ก้าวร้าวหรือก่อเหตุ หรือกระทำผิดกฎหมายเล็กน้อย ให้ตำรวจแสดงกำลัง หรือใช้วิธีการในการเจรจาหรือดำเนินกลยุทธ์กดดันผู้ชุมนุม (Offensive Movement) ที่ได้สัดส่วนกับการกระทำผิดเล็กน้อย หรือการก่อเหตุนั้นๆ หากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ประกอบก็ให้ใช้อุปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต 3.สถานการณ์การชุมนุมที่ไม่สงบหรือมีอาวุธหรือมีการก่อเหตุวุ่นวาย ทำร้ายตำรวจหรือบุคคลอื่น ให้ตำรวจพิจารณาใช้กำลังและเครื่องมือที่เหมาะสมในรูปแบบที่เป็นระดับที่สูงขึ้นเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การใช้กำลังที่อาจจะเกิดอันตรายต่อผู้ชุมนุม ได้แก่ การใช้แก๊สน้ำตา หรือเครื่องเปล่งเสียงความถี่สูง การใช้กำลังผลักดัน การใช้น้ำฉีดแรงดันสูง และการยิงกระสุนยาง ต้องมีการประกาศแจ้งเตือนผู้ชุมนุมก่อนทุกครั้ง และให้เวลาพอสมควรเพื่อให้ ผู้ชุมนุมสามารถปฏิบัติตามคำเตือนได้ทันเว้นแต่ไม่สามารถประกาศเตือนได้ก่อนหรือหากไม่ใช้กำลังเช่นว่านั้นในทันทีทันใดจะเกิดภัยอันตรายต่อบุคคล สถานที่ หรือทรัพย์สิน

แนวทางการปฏิบัติหลังการใช้กำลัง เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะต้องดำเนินการ คือ 1.การช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการปฐมพยาบาล และรีบส่งไปรับการรักษาพยาบาลตามความจำเป็นรวมทั้งแจ้งญาติให้รับทราบ 2.การบันทึกและการรายงาน หน่วยจะต้องบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดและรายงานตามสายการบังคับบัญชาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 3.การปฏิบัติต่อพื้นที่เกิดเหตุ ให้ปิดกั้นบริเวณพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ ไว้จนกระทั่งมีการดำเนินการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และรวบรวมหลักฐานสำหรับใช้ดำเนินการทางกฎหมายต่อไป 4.โดยถือปฏิบัติด้วยความมีมนุษยธรรมและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ ศอ.รส.มีข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร คือ 1.ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ มีคำสั่ง หรือเป็นการปฏิบัติตามแผนการดำเนินการ เพื่อป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร

2.ห้ามบุคคลใดเข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และภายในระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลที่มีประกาศของบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น

3.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน 4.ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะหรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ ทั้งนี้ ตามที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด

5.ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตามชนิด ประเภทลักษณะการใช้หรือภายในเขตบริเวณพื้นที่ที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ ประกาศกำหนด เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

แก่แช่แข็ง: การชุมนุมล้มล้างประชาธิปไตยขององค์การพิทักษ์สยาม !!?


จากคำประกาศทางการล่าสุด กลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยพิทักษ์สยามระบุว่าเป้าหมายของการชุมนุมวันที่ 24 พฤศจิกายนในกรุงเทพฯคือ การบังคับให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรลาออกจากตำแหน่ง แม้ว่าองค์การพิทักษ์สยามจะทราบดีว่ารัฐบาลมากจากการเลือกตั้งโดยคนส่วนมากเมื่อ 18 เดือนที่แล้วจะไม่คิดว่าการรวมตัวของคนไม่กี่หมื่นคน (อย่างมากที่สุด) จะเป็นเหตุผลของการลาออก โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลได้รับเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่ในรัฐสภาและยังได้รับแรงหนุนอย่างเหนียวแน่นจากประชาชนโดยเห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็น ความคิดที่ว่าคนกลุ่มน้อยควรจะเอาชนะเจตจำนงค์ของประชามติจากการเลือกตั้งโดยคนส่วนมากไม่ต้องครงกับความคิดของยุคศตวรรษที่ 21 ของประเทศไทย นี่ไม่ใช่ประเทศไทยในยุครุ่นปู่ย่าตาทวดอีกต่อไป

เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา แกนนำชราภาพขององค์กรพิทักษ์สยามเปิดเผยแผนการของพวกเขาอย่างตรงไปตรงมามากกว่านี้  พวกเขาถูกบังคับให้เปลี่ยนท่าทีเนื่องจากมาจากคำแถงการณ์ต่อสาธารณชนอันน่าตลกขบขันก่อนหน้านี้  พวกเขาบอกว่ากับนักข่าวว่า ควรมีจะการปิดประเทศไทย หรือที่เขาใช้ศัพท์ว่า “แช่แข็ง” เหมือนที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอย่างนายพอลพตและเนวินเคยใช้ พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิสรุปว่า “รัฐประหารคือวิธีเดียวที่จะล้มล้างรัฐบาล”

ความหมายโดยนัยคือภารกิจขององค์การพิทักษ์สยามคือการสร้างเงื่อนไขซึ่งจะนำไปสู่การทำรัฐประหาร อย่างน้อยที่สุดคือจำเป็นต้องมีการทำให้คนเข้าร่วมการชุมนุมในจำนวนที่มากพอ-คือไม่ใช่การล้มล้างรัฐบาลโดยตรงแต่เป็นการสร้างเงื่อนไขให้คนอื่นไปใช้อ้างว่าจะต้องมีการขับไล่รัฐบาลเพราะ “ประชาชน” ไม่ต้องการรัฐบาลอีกต่อไป ข้ออ้างประเภทนี้ถูกป่าวประกาศโดยสื่อมวลชนในกรุงเทพฯ และได้รับการสนับสนุน  (โดยไม่เจตนา) จากสื่อมวลชนต่างชาติ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไม่เคยไปไกลกล่าวแนวความคิดของกลุ่มอำมาตย์ในกรุงเทพฯ (ตัวอย่างล่าสุดเช่น: http://online.wsj.com/article/SB10001424127887324352004578134581768219170.html?mod=SEA_TOPLEFT)

และเงื่อนไขอื่นที่ผสมผสานรวมกันอันอาจเป็นสาเหตุของการทำรัฐประหารคือความรุนแรงและความวุ่นวายบนท้องถนนในระดับหนึ่ง หากมองตามแนวทางขององค์การพิทักษ์สยามแล้ว ความรุนแรงเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาสองประการ: ประการแรก เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลต่อคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เพราะจะต้องมีการตำหนิรัฐบาลที่ไม่สามารถคุ้มครองพวกเขาให้ได้รับความปลอดภัยได้; ประการที่สองคือ เป็นข้ออ้างเอามาใช้ในการขับไล่รัฐบาล ด้วยการอ้างว่าจะต้องมีการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือโน้มน้าวบังคับทางอ้อมให้ประชาชนเลือกเอาความปลอดภัยมากกว่าประชาธิปไตย (อีกครั้ง) และที่สำคัญคือเป็นยุทธศาสตร์เดิมที่กลุ่มพันธมิตรใช้ในปี 2552 ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมกลุ่มศาสนาอย่างกลุ่มสันติอโศก และกลุ่มที่บ้าคลั่งอย่าง “กองทัพธรรม” ออกมาให้การสนับสนุนองค์การพิทักษ์สยามอย่างมาก เนื่องจากความนิยมของรัฐบาล ก็มีความเป็นไปได้ว่าองค์การพิทักษ์สยามต้องการคนมากกว่าที่พันธมิตรต้องการเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ทำงานอย่างหนักเพื่อเคลื่อนผู้สนับสนุนของพรรค ด้วยความหวังว่าจะได้คนไปร่วมชุมนุมตามจำนวนที่ต้องการ

นอกจากนี้  จุดจบของวาระมีลักษณะเปิด เพราะรัฐประหารในประเทศไทยสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ พลเอกบุญเลิสแสดงความเห็นว่าชอบการทำรัฐประหารโดยกองทัพมากกว่า โดยกล่าวว่าประเทศต้องมีทหารเป็นผู้นำ กองทัพมีอาวุธอาวุธเพียงพอที่จะจัดการกับผู้ต่อต้านการทำรัฐประหาร และสร้างสถานการณ์ “แช่แข็ง” พลเอกบุญเลิสอธิบาย อย่างไรก็ตาม การทำรัฐประหารโดยกองทัพเป็นการทำรัฐประหารที่เสี่ยงที่สุด โดยเฉพาะในบริบทนี้ เพราะต่างจากปี 2549 ผู้นำโลกเหมือนจะรับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่น่าจะให้ความร่วมมือกับผู้ที่ก่อรัฐประหารเหมือนเมื่อ 6ปีที่แล้วโดยปริยาย

หากเหล่านายพลไม่กล้าที่จะทำรัฐประหาร องค์การพิทักษ์สยามและผู้สนับสนุนยังคงหวังว่าจะมี “ตุลาการรัฐประหาร”  หากเงื่อนไขครบถ้วน ศาลรัฐธรรมนูญสามารถช่วย “สุมเชื้อเพลิง” ในการหาสาเหตุที่จะถอดถอนรัฐบาล เหมือนที่พวกเขาทำสองครั้งในปี 2552 อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีว่าเราจะได้เห็นรัฐประหารชนิดใหม่ และเนื่องจากไม่มีคำจำกัดความที่ดีกว่านี้ (หลังจาก 80 ปี รัฐประหาร 18 ครั้ง ศัพท์ดีๆถูกได้ถูกนำใช้ไปหมดแล้ว) อาจมีการเรียกการทำรัฐหารครั้งนี้ว่า “รัฐประการโดยพนักงานฝ่ายปกครอง” หรือ “รัฐประการโดยวุฒิสภา”

หนึ่งวันหลังจากการชุมุนมขององค์การพิทักษ์สยาม มีกำหนดการอภิปรายไม่วางใจรัฐบาล แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจยื่นโดยพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ได้มีผลมากนัก เพราะรัฐบาลมีจำนวนสส.ในสภาที่จะลงคะแนนเสียงสนับสนุนรัฐบาล นอกจากนี้ ประเด็นของพรรคประชาธิปัตย์ยังอ่อนมากและอาจทำให้พรรคฝ่ายค้านอื่นตัดสินใจสนับสนันรัฐบาลในที่สุด คำขู่ที่สำคัญมากมาจากวุฒิสภา วุฒิสภาไม่ได้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นถอดถอนนายกยิ่งลักษณ์, รมว.กลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัตและรมช.มหาดไทย พล.ต.อ.ชัช กุลดิลก ภายใต้บทบัญญัติในมาตรา 270-274 ของรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาสามารถส่งคำร้องให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ได้ ซึ่งตอนนี้ ปปช.กำลังพิจารณาคำร้องอยู่ หากหลังจากทำการสอบสวน ปปช.เห็นด้วยกับวุฒิสภา วุฒิสภาสามารถถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้โดยเสียงส่วนมากอย่างน้อย 60 เปอร์เซ็นต์

การกระทำที่คล้ายกันในอดีตนั้นลงเอยด้วยความล้มเหลว แต่เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อแนวทางนี้ได้ โดยเฉพาะหากองค์การพิทักษ์สยามและแนวร่วมประสบความสำเร็จในการทำให้รัฐบาลอ่อนแอโดยการสร้างสถานการณ์ ทั้งนี้ปปช.เป็นหน่วยงานเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่าเป็นพรรคพวกของคนเหล่านี้ ในขณะที่ วุฒิสภาซึ่งมาจากการแต่งตั้งและมีอยู่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอะไรที่มากไปกว่าความต้องการในการจำกัดประชาธิปไตย สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากแต่งตั้งและเลือกตั้งมีความใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ และมีความเป็นไปได้ว่าวุฒิ

สมาชิกจะสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ โดยเฉพาะหากมีมือที่มองไม่เห็นได้ออกมากดดันเหมือนที่ทำในปี 2552 จนทำให้อภิสิทธิ์ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หากกลุ่มอำมาตย์กระหายอยากขับไล่รัฐบาล พวกเขาอาจต้องพึ่งพาปปช.หรือวุฒิสภา

บางคนวิจารณ์รัฐบาลไทยว่าถือเอาคำขู่นี้เป็นเรื่องจริงจัง  แน่นอนมันเป็นเรื่องยากที่จะหยั่งรู้ว่องค์การพิทักษ์สยามลและแนวร่วมอาจจะโง่พอที่จะสร้างสถานการ์ทำให้เกิดรัฐประหารและนำไปสู่หายนะอันร้ายแรงหรือไม่  อย่างไรก็ตาม เมื่อมองว่าเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นประเทศไทยและความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไม่สามารถที่จะสบประมาทความสามารถององค์กรพิทักษ์สยามได้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความสนับสนุนที่ได้รับจากกลุ่มที่บ้าคลั่ง เงินทุนที่พวกเขาได้รับ และความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับกลุ่มอำมาตย์ โดยเฉพาะเมื่อคนที่มีสายสัมพันธ์อันแน้นแฟ้นกับอำมาตย์อย่างนายนายวสิษฐ เดชกุญชรออกมาเตือนรัฐบาลว่าอาจลงเอยเหมือนกัดดาฟี่ กล่าวคือข่มขู่ว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายจะถูกสังหาร รัฐบาลไทยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะต้องถือเอาคำขู่นี้เป็นเรื่องจริงจัง ความตื่นตระหนกได้แผ่ขยายในกลุ่มของผู้สนับสนุนองค์กรสยามพิทักษ์ในกองทัพและพรรคประชาธิปัตย์บางรายว่า เพราะระบบการทำผิดแล้วลอยนวลกำลังสั่นคลอนและนั้นอาจส่งผลทำให้พวกเขาทำอะไรที่อันตรายและไม่คาดคิดได้มากขึ้น

เราได้เรียนรู้ใน 7 ปีที่ผ่านมาว่า กลุ่มหัวรุนแรงที่อยู่เบื้องหลังองค์กรพิทักษ์สยามสามารถทำลายประเทศได้หากจำเป็น รัฐที่เลือกตั้งมาจากประชาชนจึงมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้พวกเขาทำเช่นนั้น

Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ภราดร..ยันไม่สลายชุมนุม ใช้แก๊สน้ำตาแค่ยิงเตือน !!?


พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจทีวี" ถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ในช่วงเช้าที่ส่อเค้ารุนแรงเพราะมีการใช้แก๊สน้ำตาจากเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า ยังไม่รุนแรง เป็นเพียงการจัดระเบียบผู้ร่วมชุมนุม เพราะเจ้าหน้าที่ยึดหลักการให้ประชาชนชุมนุมได้อย่างเสรีตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่ขอความกรุณาให้เข้าพื้นที่ชุมนุมตามเส้นทางที่เจ้าหน้าที่กำหนด เพราะเส้นทางที่ไม่อนุญาตให้ใช้นั้น จะผ่านไปยังสถานที่ราชการสำคัญ

"เมื่อผู้ชุมนุมไม่ทำตาม ก็มีการปะทะกันนิดหน่อย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่าจะใช้แก๊สน้ำตา ได้แจ้งเตือนก่อนแล้วว่าจะใช้ มั่นใจว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย เพราะเจ้าหน้าที่ได้เรียกแกนนำผู้ชุมนุมมาทำความเข้าใจเรียบร้อยว่ามีช่องทางเข้าสู่พื้นที่ชุมนุมอยู่แล้ว"

"เรื่องการใช้แก๊สน้ำตา เราตัดสินใจใช้เพราะพูดแล้วผู้ชุมนุมไม่ฟัง มีการประสานแล้วทุกอย่าง แต่ไม่ฟัง จึงมีการ 'ยิงแจ้งเตือน' ซึ่งก่อนยิงแก๊สน้ำตาก็ได้ประกาศเตือนและแจ้งว่าจะใช้แล้วนะ ก็มีการเตือนทุกครั้งตามขั้นตอน"

พล.ท.ภราดร ยังกล่าวถึงข่าวการจับกุมผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเนื่องจากพกพาอาวุธว่า เจ้าหน้าที่พบอุปกรณ์ที่อาจนำมาทำเป็นอาวุธได้ จึงควบคุมตัวผู้ชุมนุมไป แต่สถานการณ์ตอนนั้นชุลมุนวุ่นวาย จึงมีผู้สื่อข่าวติดไปด้วย ตอนนี้ได้สอบสวนกันเรียบร้อยแล้ว และได้ปล่อยตัวไปแล้ว

"เรายืนยันว่าให้ชุมนุมอย่างเสรี เพราะ เสธ.อ้าย ก็ประกาศว่าจะชุมนุมอย่างสันติ ถ้ามีปัญหาก็จะคุยกับเสธ.อ้ายว่าจะยุติดีกว่าหรือไม่ แต่ยืนยันว่าจะไม่สลายการชุมนุม" พล.ท.ภราดร กล่าว

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พ.ร.บ.มั่นคงคุมม็อบ ศาลรัฐธรรมนูญไฟเขียวไล่รัฐบาล !!!?


รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯควบคุมการชุมนุมในพื้นที่ 3 เขตคือ พระนคร ดุสิต ป้อมปราบศัตรูพ่าย ตั้งแต่วันที่ 22-30 พ.ย. หลังฝ่ายข่าวพบมีแนวโน้มเกิดความรุนแรง รับกังวลบุกยึดสถานที่ราชการจนถึงบุกจับตัวนายกรัฐมนตรี “เสธ.อ้าย” เย้ยกลัวม็อบ มั่นใจช่วยเรียกมวลชนเข้าร่วมมากขึ้น ด้านศาลรัฐธรรมนูญเปิดไต่สวนคำร้องม็อบใช้วิถีทางนอกกฎหมายไล่รัฐบาล ล้มล้างการปกครอง ก่อนมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เพราะยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่าจะมีการกระทำตามข้อกล่าวหา แค่มาแสดงพลังขับไล่รัฐบาล

ที่ทำเนียบรัฐบาล คณะรัฐมนตรี (ครม.) กลุ่มย่อย 9 คนที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ครอบคลุมพื้นที่ 3 เขตของกรุงเทพมหานคร (กทม.) คือ เขตพระนคร เขตดุสิต และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย มีผลตั้งแต่วันที่ 22-30 พ.ย. นี้

ม็อบมามากกว่า 5 หมื่น

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่าจะมีผู้ร่วมชุมนุมมากกว่า 50,000 คน แต่ไม่ถึงล้านคนอย่างที่แกนนำตั้งเป้าไว้ การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผู้ชุมนุมให้ปลอดภัย และให้เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือรองรับการปฏิบัติงาน

หวั่นบุกจับตัวนายกฯ

“ผมจะเป็นผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจที่ตั้งขึ้น โดยใช้ชั้น 20 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นศูนย์อำนวยการ ที่ต้องใช้กฎหมายพิเศษเพราะมีแนวโน้มว่าผู้ชุมนุมจะใช้ความรุนแรง มีกลุ่มที่จ้องจะก่อความวุ่นวาย และมีความกังวลว่าจะมีการบุกยึดสถานที่ราชการตลอดจนการบุกจับตัวนายกรัฐมนตรี”

“สุกำพล” ชี้ล้วนหน้าเก่า

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ที่ทหารมีการเคลื่อนไหวในช่วงนี้เพราะเตรียมพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา จึงมากันหลายหน่วย ไม่เกี่ยวกับการปฏิวัติ

“คนที่มาชุมนุมก็ให้ดูหน้าเอาเอง เป็นศัตรูถาวรกันไปแล้ว เรารู้หมดว่าฝ่ายที่มาร่วมชุมนุมมีใครบ้าง คนเก่าๆทั้งนั้น”

พ.ร.บ.มั่นคงช่วยเรียกแขก

ที่สนามม้านางเลิ้ง พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีเหตุผลใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพราะเราประกาศแล้วว่าจะชุมนุมโดยสงบ ไม่ยืดเยื้อ ไม่เคลื่อนย้าย ไม่ยึดสถานที่ราชการ

“แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกลัวการชุมนุม หากไม่กลัวคงไม่ใช้กฎหมายพิเศษ แต่ก็คงไม่มีกฎหมายใดสกัดการชุมนุมได้ และการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงจะเป็นการเรียกแขกให้มาชุมนุมมากขึ้นแน่นอน”

ศาล รธน. ออกบัลลังก์ไต่สวน

ที่ศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ยื่นขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่าการชุมนุมของ อพส. ภายใต้การนำของ พล.อ.บุญเลิศเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่  ซึ่งศาลได้เรียก พล.อ.บุญเลิศ และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี โฆษก อพส. มาให้ปากคำ แต่ทั้ง 2 คนไม่ได้มาตามนัดหมาย โดยมอบหมายให้นายประยงค์ ไชยศรี และนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ เข้าชี้แจงแทน

ทนายยันชุมนุมสงบ

นายประยงค์กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยไม่ดำเนินการ แสดงตนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการทุจริตคอร์รัปชัน การชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาชัดเจนว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีการปลุกระดมให้เกิดการคลุ้มคลั่ง ไม่เคลื่อนไปยึดสถานที่ราชการหรือรัฐสภา หากผู้ชุมนุมมาน้อยจะยุติการชุมนุม อีกทั้งรัฐบาลก็ระบุเองว่าจะจัดกำลังตำรวจดูแลไม่น้อยกว่า 50,000 นาย มีการตรวจค้นไม่ให้พกพาอาวุธ

ด้านนายเรืองไกรนำหลักฐานการถอดเทปคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.บุญเลิศมายื่นต่อศาล ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ไต่สวนแค่ 15 นาทีก่อนตัดสิน

ทั้งนี้ ศาลใช้เวลาไต่สวนเพียง 15 นาที โดยมีคำถามสำคัญคือ ที่ พล.อ.บุญเลิศประกาศจะแช่แข็งประเทศไทยมีความหมายอย่างไร และคณะผู้บริหารประเทศที่มาจากการปฏิวัติของประชาชนคืออะไร รวมถึงการชุมนุมครั้งนี้มีเจตนาเพื่อล้มล้างรัฐบาลโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติใช่หรือไม่

ยกคำร้องไม่สั่งห้ามชุมนุม

หลังการไต่สวนศาลมีคำสั่งไม่รับคำร้องทั้ง 3 คำร้อง เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า จากการสอบถามผู้แทน พล.อ.บุญเลิศ และผู้แทน พล.อ.ท.วัชระ ยืนยันว่าไม่ได้มีการกล่าวเกี่ยวกับแนวคิดการปิดประเทศหรือแช่แข็งประเทศ แต่หมายความว่าเป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่วไว้ 5 ปี เพื่อป้องกันมิให้เข้ามากอบโกยหาผลประโยชน์ การนัดชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย. เป็นการชุมนุมเพื่อแสดงพลังขับไล่รัฐบาล หากขับไล่แล้วไม่เป็นผลก็จะยุติการชุมนุม ยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่าจะมีการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ต้นกำเนิด แช่แข็ง !!?


เสธ.อ้าย. พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ รู้ฤทธิ์ถูกจับเข้าห้องฟรีส ห้องเย็น จนหมดแรง
ตนเองในฐานะ “นายกสมาคมมวยสมัครเล่น” ถูกต่อต้านจนสิ้นฤทธิ์
“นักมวยทีมชาติ” ทั้งชายและหญิง ไม่ให้ความร่วมมือ อย่างที่คิด
เป็นการจับ “เสธ.อ้าย” แช่แข็ง..เพราะเป็น “นายกฯสมาคมมวย” ที่บ่มิไก๊ เหลือดี
โดนแช่แข็งจนสิ้นสภาพ...นี่ไงขอรับ...ผู้เป็นต้นฉบับ ที่นักมวย พากันแอนตี้

+++++++++++++++++++++++++++++++

“ตีกิน”ไปวัน ๆ
สื่อสาร อย่างหลุดโลก อีกแล้วขอรับล่ะท่าน
เมื่อ “หมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์” ตัวเป๋งม๊อบหลายสี ปากพาทีหลุดโลก
อวดหน้าตัก “ม๊อบภาชีกีฬาบัตร” มีทหารเสือราชินี ร่วมด้วย..หลายคนมองว่าเป็นเรื่องตลก
ทหารอยู่ในระเบียบวินัย รักประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศก้าวหน้า ไปในสังคมที่ดี
อ้างโดยไม่รับผิดชอบ...อ้างกันทุกจ๊อบ...ทหารไม่ชอบ เลิกอ้างเสียที

+++++++++++++++++++++++++++++++

“เต้น”ลนลาน
ฐานเสียงเลือกต้น ในพื้นที่ภาคใต้ ถิ่นแดนสะตอ คะแนนนิยม กำลังเป็นของรัฐบาล
“ธานี เทือกสุบรรณ” สส.ประชาธิปัตย์ เมืองสุราษฎร จึงตีขลุมเป็นวรรคเป็นเวร
ว่า “ตระกูลชินวัตร” หลอกชาวใต้ ทุกคนต่างมองเห็น
แต่แปลกแฮะ, คนใต้ชื่นชม “ทักษิณ ชินวัตร” และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นกอง
เทงบพัฒนาภาคใต้...เรื่องที่รับปากเอาไว้..ไม่เคยทำผิดเงื่อนไข หลอกเสียทีไหนพี่น้อง

+++++++++++++++++++++++++++++++

ตีตราจองเก้าอี้
พ้นโทษการเมือง หลุดจากการจองจำ จากสมาชิกบ้านเลขที่ตองหนึ่ง กันเสียที
“ธานี ยี่สาร” คนดีคนเก่ง แห่ง ท่ายาง เมืองเพชรบุรี ..นักการเมืองหัวใจแกร่ง
มาทวงแชมป์คืน จาก สส.ประชาธิปัตย์ “นายกัมพล สุภาแพ่ง”
“ประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เตรียมลดยอด สส.ลงไปได้
แค่ “ธานี ยี่สาร” พ้นโทษ...คนก็เชียร์กันโลด...ให้กระโดดกลับมาเป็น “ผู้แทน”กันใหม่

+++++++++++++++++++++++++++++++

“ต้นไม้ใหญ่” ใครก็อาศัย
บินไปพบกันมาหลายรอบ สำหรับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” คุยกันทุกเรื่องจบ
ส่วนกับ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้เคยแตกทัพ เพราะถูก “สีเขียว”บีบจนตาถลน ก็เคยพบ??
ว่ากันว่า เมื่อคราวที่ “ทักษิณ” บินไปเมืองผู้ดีอังกฤษ “เนวิน” ก็เข้าไปเจรจาต้าอวย
“ประชาธิปัตย์”อย่าได้มาจีบ..ขอให้อยู่หัวเดียวกระเทียมลีบ...เอาหัวคลุมปี๊บ ไม่มีใครเป็นพวกด้วย

โดย:ตอดนิดตอดหน่อย, บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จับสัญญาณร้ายหนีไม่พ้นนองเลือด !!!?


นปช. จะว่าจ้างผู้ตรวจสอบทางกฎหมายให้ลงพื้นที่ในระหว่างการชุมนุม และประสานกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย เพื่อประกันว่าหากมีรัฐประหารหรือความรุนแรงอันร้ายแรงเกิดขึ้น ประชาคมโลกต้องประณามและนำตัวคนที่มีส่วนรับผิดชอบมาลงโทษ และเมื่อกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินต่อการเคลื่อนไหวนี้ถูกเปิดโปงต่อสาธารณชน นปช. มีแผนการเรียกร้องให้สมาชิกกว่า 14 ล้านคน เลิกอุดหนุนกลุ่มธุรกิจดังกล่าวในประเทศไทย...”

เสียงขู่ออกอากาศดังๆของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายมือหนึ่งด้านต่างประเทศของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน

ส่งสัญญาณให้รู้ว่างวดนี้ใครคิดจะทำอะไรไม่ง่าย

ถ้าปฏิวัติยึดอำนาจจะถูกสังคมโลกรุมประณามและไม่ให้การยอมรับ ถึงปิดประเทศได้แต่ก็ไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย

ขณะที่กลุ่มทุนสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อให้เปลี่ยนแปลงโดยวิธีการนอกระบบก็ต้องหนาวๆร้อนๆกับคำขู่ว่าจะเปิดโปงรายชื่อเพื่อให้สมาชิกคนเสื้อแดงกว่า 14 ล้านคน บอยคอตไม่ซื้อ ไม่กิน ไม่ใช้บริการธุรกิจของกลุ่มทุนเหล่านั้น

ตัดฉากไปที่รัฐสภา นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง แท็กทีมกันมาเล่าฉากหลังความเคลื่อนไหวของม็อบไล่รัฐบาล

ขณะนี้พบว่ามีการวางแผนก่อเหตุ ซึ่งไม่ได้มาจากมือที่สาม แต่มาจากกลุ่มผู้ชุมนุมเอง โดยเป็นไปได้ 4 แนวทางคือ 1.ก่อเหตุการณ์คล้ายกับวันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล้อมสภา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จากนั้นเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ หากไม่ยอมจะก่อการจลาจล ตามด้วยให้ทหารออกมายึดอำนาจ

2.สร้างสถานการณ์ให้คนไทย 2 กลุ่ม เกิดการเผชิญหน้ากันจนบาดเจ็บล้มตาย และนำไปสู่การให้ทหารออกมา

3.ส่งคนเข้ามาแฝงตัวในสภาเพื่อก่อเหตุร้าย และ 4.ส่งคนเข้ามาแฝงและจับกุมตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้เชื่อว่าจะมียุทธการลักษณะคู่ขนาน การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านจะมีเหตุวุ่นวายในสภา จนทำให้สังคมเห็นว่ากลไกในสภาไม่ทำงาน

เมื่อตั้งเป้าหมายไว้สูงว่าจะต้องทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงก็มีทางเดียวคือ ต้องทำให้เกิดความรุนแรงให้ได้มากที่สุด เพราะการชุมนุมปรกติล้มรัฐบาลไม่ได้

ฟังแล้วก็รู้สึกระทึกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ไม่รวมกับข่าวการตรวจพบว่ามีการเตรียมอาวุธสงคราม เช่น ระเบิด เอ็ม 79 เพื่อยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อสร้างเหตุจลาจล และอาจมีการยิงเข้ามาในสภาด้วย และยังทราบมาว่ามีทหารยศพลเอกชื่อย่อ น. สั่งให้คนไปซื้อเหล็กแป๊ป 100 ท่อน และไม้ตีหัวตะปู รวมถึงไม้ชนิดอื่นๆกว่าพันท่อน อยากถามว่าเตรียมไว้ทำอะไร

เร้าฉากบู๊ตะลุมบอนที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ร้อนถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องออกหน้ามารับรองความชอบธรรมของม็อบไล่รัฐบาล

นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรค จวกตำรวจเละว่าใส่ร้าย ดูถูกประชาชนที่จะมาชุมนุมว่ารับค่าจ้างวันละ 300-1,500 บาท และมีแผนเคลื่อนไหวแบบดาวกระจายไปปิดล้อมสถานที่สำคัญต่างๆ

นายถาวรมั่นใจว่าการชุมนุมขับไล่รัฐบาลเป็นการรวมตัวของกลุ่มประชาชนคนไทยที่ทนไม่ได้กับการบริหารราชการแผ่นดินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ใช้นโยบายประชานิยมผลาญงบประมาณ เปิดช่องให้มีการทุจริตคอร์รัปชัน และทำ 2 มาตรฐาน มีการเล่นพรรคเล่นพวก

นอกจากรับประกันว่ามาด้วยใจ ยังมั่นใจว่าไม่มีมือที่สามสวมรอยเป็นแดงเทียมก่อเหตุปั่นป่วน มีแต่แดงฮาร์ดคอร์ที่จ้องลอบกัดผู้ชุมนุม โดยให้ดูสัญญาณของการสร้างสถานการณ์ง่ายๆว่าในช่วงชุมนุมมีบรรดาลูกหลานของคนตระกูลชินวัตรเดินทางออกนอกประเทศหรือไม่

ประทับตรารับรองล่วงหน้าว่าถ้ามีความรุนแรงก็ไม่ได้เกิดจากผู้ชุมนุม

จับสัญญาณจาก 2 ฝ่าย ทำให้มั่นใจได้ว่าโอกาสจะมีเหตุการณ์เลือดตกยางออกในการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนั้นมีความเป็นไปได้มาก

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

**********************************************************************