--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฝันสีทองของ..‘มาร์ค’

ระวังเคลิ้มเห็นภาพ‘ลุงหมัก’

มาตามนัดไม่มีเบี้ยวในทุกคิวที่จัดตั้ง ไร้ซึ่งอาการ “โรคแทรกซ้อน” มากล้ำกราย..สมราคาแห่งฉายา “เทพประทาน” พะยี่ห้อ “เด็กมีของแขวนหลวงพ่อรอด” ที่ชอบหม่ำ “เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊ว” เป็นชีวิตจิตใจ

รัฐบาลภายใต้การนำของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังคงเฉิดฉายบนหัวโขนฝ่ายกุมอำนาจประเทศ ในแบบที่ไม่ มีท่าทีจะเพลี่ยงพล้ำ แม้กระทั่งการอภิปราย ไม่ไว้วางใจที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ เซียนเขี้ยว หน้าโพเดี้ยมยังสามารถจัดฉากบนความทุกข์ร้อนของประชาชน

จนชาวบ้านสับสน ไม่ทราบว่างานนี้.. ใครอภิปรายใครกันแน่???

ตอบโจทย์เจ้าภาพร่วมเกมอำนาจตัวจริงในทุกคำถามแห่งวิธีพิเศษ สอบผ่าน ฉลุยแบบ “วิน วิน” กันทุกฝ่าย ปักหมุดเข็มทิศประเทศใส่เกียร์ห้ามุ่งหน้าไปสู่วันเลือกตั้ง ตามหมายกำหนดการที่ถูกล็อก ไว้ในห้วงปลายมิถุนายนไปจนถึงต้นกรกฎาคมแบบ “ชิลล์..ชิลล์”

ส่วนเงื่อนไขอันไม่เป็นคุณที่เหลือก็ปล่อยให้ “วิชามาร..ระดับเทพ” บริหารจัดการล็อกตายไม่ให้ “ม็อบเหลือง ม็อบแดง” กระดุกกระดิกและขยับเขยื้อนตัวไปไหนได้

จำอวดหน้าม่านเริ่มออกแขก จูบปาก ผสมพันธุ์สร้างราคาโก่งค่าตัว เพื่อให้ได้โควตาเสนาบดีตามที่ใจเป้าประสงค์.. “เตี้ย” อุ้ม “ห้อย” กิน “กล้วย” จนอ้วน “พี” ออกลีลาโชว์ลวดลายเคาะราคาต่อรองหวังให้ “รจนามาร์ค” เสี่ยงมาลัยไปร่วมเสพสมประโยชน์เป็นการตอบแทน

ภาพการตบเท้าในงานเบิร์ธเดย์คุณ แม่ของ “พินิจ จารุสมบัติ” ที่มีคนระดับนำอย่างก๊วน “3 พี” ที่มีสัญญาใจกับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” แห่งรวมชาติพัฒนา ควง ส.ส. ในกระเป๋าเข้าอวยพรวันเกิดผู้หลักผู้ใหญ่ แถมยังมีการปรากฏตัวของท่าน มท.1 “ปู่จิ้น-ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” ผู้พ่อ และ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” ผู้ลูก บวกกับคนดังอย่าง “วิษณุ เครืองาม” ย่อมเป็นระดับความสัมพันธ์ที่จงใจแสดงออกซึ่งไม่ธรรมดาเลย

ภาพการหัวล่อต่อกระซิกระหว่างอา หลานอย่าง “ผอ.บรรหาร ศิลปอาชา” แห่งชาติไทยพัฒนา กับ “ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ” แห่งภูมิใจไทย ในงานเลี้ยงอาหารเที่ยงของ 2 พรรคอาหลาน ที่โรงแรมสยามซิตี้ ซึ่งบรร ยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น นั่นก็ไม่ต่างจาก การส่งสัญญาณก่อนการเลือกตั้ง ที่จงใจแสดง ออกสู่สาธารณชนอย่างไม่ธรรมดาอีกเช่นกัน

นักการเมืองปรับโหมดประเทศเข้าสู่ การเลือกตั้งแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ สนใจภัยพิบัติธรรมชาติถล่มโลก รอเพียงเงื่อนไขสุดท้ายในกติกาเลือกตั้งและการโยกย้ายข้าราชการตกผลึก ตกโบนัสจัดหนักล็อตสุดท้ายให้ทุกฝ่ายเพื่อความเป็นปึกแผ่นและพร้อมเพรียง เมื่อวันนั้นมาถึง ประชาชนคนไทย รอหัวคะแนนวนเวียนมา เคาะประตูบ้านแบบหัวกระไดไม่แห้งได้เลย

ด้วยอาณัติสัญญาณที่สะท้อนออกมา ผ่านวันคือก่อนการเลือกตั้ง มันย่อมพยากรณ์ ล่วงหน้าได้เลยว่า..การเลือกตั้งที่จะบังเกิด ย่อมดุเดือดกว่าทุกครั้งที่เคยมีมาบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย

พรรคร่วมรัฐบาลผนึกกันแน่น แถมมีกระสุนดินดำพร้อมยิงเต็มกระเป๋า ในขณะ เดียวกัน ก็เป็นวันที่ “นายใหญ่” ลอยคอรอคอยความหวังที่จะตีตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ แล้วมีหรือท่อน้ำเลี้ยงขนาดมหึมา จะไหลผ่านกองทุนปริศนาซึ่งตั้งอยู่ในสารพัด เกาะที่ใช้ฟอกเงิน และเผอิญเข้ามาลงทุนใน บริษัทน้อยใหญ่ในไทย จะทะลักล้นเข้า สู่สนามเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต อันใกล้

กระนั้นก็ตาม มูลค่าเพิ่มจากการเลือกตั้ง มันไม่ได้วัดกันที่กระสุนดินดำเพียง อย่างเดียว และด้วยเหตุด้วยผลแห่งกติกา บุคลากร และการจัดตั้ง ที่พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาลกุมสภาพความได้เปรียบ เอาไว้ได้ทั้งหมด มันย่อมทอดยอดมาเป็นความมั่นอกมั่นใจในการเบิ้ลเก้าอี้นายกฯ รอบสองของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

ฉันใดฉันนั้น หากว่ากันตามเนื้อผ้าผ่านทฤษฎีเดียวกัน มูลค่าเพิ่มจากการเลือกตั้ง มันก็ไม่ได้วัดกันที่กติกา บุคลากรและการจัดตั้ง ที่จะเป็นบรรทัดฐานเทียบบัญญัติไตรยางค์ได้อีกเช่นกัน

เนื่องด้วย ตราบใดที่รัฐบาลชุดนี้ ยังไม่สามารถใช้เวลาที่เหลือในการแก้สารพัด ปัญหาที่รุมเร้าประเทศทั้งในทางตรงผ่านน้ำมือนักการเมือง และในทางอ้อมผ่านกระแสผ่านเทรนด์โลกได้

มันก็มีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกัน ที่ฝันสีทองของ “นายกฯ อภิสิทธิ์” จะมีสิทธิ์ เคลิ้มจนเผลอไประลึกชาติเห็นเหตุการณ์ครั้งการเลือกตั้งหลังการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน ที่ “อดีตนายกฯ สมัคร สุนทรเวช” ผู้ล่วงลับ นำพาพรรคพลังประชาชน ฝ่าแนวต้านสีเขียว เข้าสู่หอคอยงา ช้างได้ในท้ายที่สุด

ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงอยู่วัน ยังค่ำ วันวาน “นายกฯ อภิสิทธิ์” ต้องพ่ายแพ้เพราะ “รัฐบาลขิงแก่” บริหารประเทศ แบบไม่บริหาร จนประชาชนเกิดข้อเปรียบเทียบ และในวันนี้ “รัฐบาลเทพประทาน” บริหารประเทศอย่างไร ประชาชนหรือแม้กระทั่ง เหล่านักเลือกตั้งก็ย่อมรู้แก่ใจตัวเองดีอยู่

อย่างไรก็ดี ถึงนาทีนี้ หากว่ากันตาม ความเพียบพร้อม ก็ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า ประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลมีข้อได้ เปรียบทุกด้านอยู่ในอุ้งมือ แต่นั่นมันก็ไม่สลัก สำคัญไปกว่าเสียงของประชาชนอันเป็นที่สุด.. ว่าเขาเหล่านั้นจะเดินเข้าคูหาไปเลือกท่าน กลับมาเป็นปากเป็นเสียงแทนเขาหรือไม่???

ยิ่งในวันนี้ เป็นวันที่คนไทยทั้งประเทศกำลังสำลักน้ำเน่าการเมือง เพราะฉะนั้น นักเลือกตั้งยิ่งต้องสังวรณ์ และต้องคิดเผื่อ เนื่องด้วยปาฏิหาริย์แห่ง พลังเงียบมันมีจริง..ขอรับ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น