--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เส้นทางและอนาคต ทองคำ !!?


โดย ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ นักลงทุนผู้เชี่ยวชาญการลงทุนทางเทคนิค

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้แวะไปทำธุระแถวเยาวราช และได้สัมผัสปรากฏการณ์ "ตื่นทอง" แผงแขวนสร้อยทองโล่งเลย อดประหลาดใจไม่ได้ว่าทำไมต้องขนาดนี้ อะไรคือบรรทัดฐานที่ทำให้คนคิดว่าต่ำกว่าบาทละ 20,000 บาท คือ ถูก มันใช่เหรอ ? และจุดนี้ที่ซื้อคือการซื้อเก็บยาว อีก 10 ปีค่อยว่ากัน หรือซื้อเก็งกำไรระยะสั้นหรือยังไง

บทวิเคราะห์ออกมาเพียบ ส่วนใหญ่เชิงเทคนิคคอล ว่า แนวรับ-แนวต้านที่มีนัยสำคัญอยู่ตรงไหน ที่ Extreme หน่อยก็คือ การมองว่า ทองคำ ไม่ใช่สินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe haven อีกต่อไป จะเหลือ $800 อีกครั้ง ฯลฯ รับข้อมูลไปไม่พิจารณาให้ดี อ่วมแหง ๆ

ผมว่า เราต้องพิจารณาที่มากันก่อน ราคาทองคำเลี้ยงอยู่ข้างในกรอบ 300-500 ดอลลาร์ อยู่ 20 ปี (ช่วงปี 1980-2001+/-)

และหลังจากนั้นก็ดีดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกเกือบทศวรรษที่ผ่านมาจนกระทั่งไปพีก (สูงสุด) ที่ระดับ 1,921 ดอลลาร์ เพราะประธานาธิบดี Richard Nixon ยกเลิก Gold standard ใน US dollar (เรียกเหตุการณ์นี้ว่า Nixon shock) ก็ไม่เชิง เพราะประกาศยกเลิกไปตั้งแต่ปี 1971 นั่นเพราะสมัยก่อนธนบัตร US dollar มีเขียนว่า "Redeemable in gold หรือสามารถนำไปขึ้นเป็นทองคำได้" ที่ต้องทำก็เพื่อให้ธนบัตรนั้นมีมูลค่า ไม่งั้นมันก็คือกระดาษเปล่า ๆ Link: http://goo.gl/qTXS) แต่กว่าจะได้เปลี่ยนเป็นเรื่องเป็นราว (คือเลิกผูกธนบัตรกับทองคำอย่างเป็นทางการ) ก็ปี 1976 ซึ่งทำให้ทองดีดขึ้นจากระดับที่ผูกไว้ที่ 35 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นหลักร้อย

แต่ก็ไม่ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมราคาทองถึงนิ่งอยู่เป็น 20 ปีหลังจากนั้น และจะบอกว่าจากการวินาศกรรมอาคาร World Trade Center ในปี 2001 "คนเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต" ซึ่งเป็นเหตุให้สหรัฐตัดสินใจบุกประเทศอัฟกานิสถาน และอิรัก และ FED จำเป็นต้องปั๊มเงิน

ออกมาจำนวนมาก เพื่อ Finance สงครามอ่าวเปอร์เซีย ผลคือเงินเฟ้อสูงขึ้น นักลงทุนเริ่มเล็งเห็นว่า เงินดอลลาร์ มีแต่จะด้อยค่า "คนเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยในทรัพย์สิน" เลยแห่ไปซื้อทอง ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะในปี 1991 สหรัฐก็ประกาศสงครามกับอิรัก ราคาทองยังนิ่ง ๆ อยู่ที่ระดับ $350+/- อีกเป็น 10+ ปี ก็น่าคิดนะ

สังเกตดี ๆ มักเกิดเหตุการณ์หรือภาวะบางอย่างที่ไปสร้าง "จุดเปลี่ยน" หรือ Trigger

ให้ทองคำ หลังจากที่ราคาเคลื่อนไหวออกข้างมา 20 ปี เริ่มเป็น Uptrend อะไรเป็นเหตุที่แท้จริง ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน มีแต่สมมติฐานทั้งนั้น พอที่จะมีทฤษฎีอธิบายเหมือนกัน เขาเรียกว่า Black swan effect เขียนไว้

ในหนังสือชื่อเดียวกันโดย Nassim Nicholas Taleb - Link: http://goo.gl/MxYT7

สรุปไว้ว่า "บทมันจะมาก็มา บทมันจะไปก็ไป"

เมื่อทองคำเริ่มสร้างฐานที่ระดับ 450 ดอลลาร์ อีกครั้งในปี 2005 ก็ไล่ราคาขึ้นไป และไม่เคยลงมาที่ระดับนั้นอีกเลย

ในบรรดาสมมติฐานทั้งหลาย ผมเชื่อ ว่าราคาทองจะเปลี่ยนได้ระดับ 500 ดอลลาร์ ไป 1,900 ดอลลาร์ (เกือบ 4 เด้ง) นั้น บทบาทในตลาดทุนโลกต้องเปลี่ยน ซึ่งไม่ใช่แค่สกุลเงินดอลลาร์ เท่านั้นที่ลดมูลค่า แต่กับสกุลเงินทั่วโลกก็ลดค่า วิธีการรับมือกับเงินเฟ้อในระยะยาวกว่า คือต้องโยกไปในสินทรัพย์อื่น ๆ ถ้าดีที่สุด ต้องเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สามารถสร้าง Supply เพิ่มขึ้น

ได้อีก เช่น ที่ดิน แปลว่า เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 2 เท่าตัว ที่ดินราคาเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว ที่รองลงมาคือ ทองคำ เพราะหาได้ยาก และทุกวัฒนธรรมมองทองคำเป็นโลหะมีค่า ถามว่าพวกเพชร หรือหินมีค่าได้มั้ย ก็ได้เหมือนกัน แต่ทองคำแพร่หลายมากกว่า และมาตรฐานทองคำก็ค่อนข้างนิ่ง อย่างบ้านเราก็ 96.5%

ที่ไม่แปลกว่าทำไมนักลงทุนถึงมองทองคำ เป็น Safe haven ก็เพราะมีมูลค่าในทุกวัฒนธรรม ขึ้นเงินที่ไหนก็ได้ สภาพคล่องเหลือเฟือ แต่อย่างที่บอก

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ และ Gold standard ก็ถูกยกเลิกไปกว่า 20 ปี เพิ่งจะมาขึ้น ผม เชื่อว่า เกิด Triggering events คนก็เริ่มหวั่นใจในความปลอดภัยของชีวิต (และทรัพย์สิน) จากการก่อการร้าย ทองคำเริ่มซื้อขายได้สะดวก Gold ETF เปิดตัวในปี 2003 และสกุลเงินสุดท้ายที่ยกเลิก Gold standard คือ Swiss Franc ยกเลิกใน

ปี 2000 เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งอาจไม่สร้างกระแสมากพอให้ทองคำดีดตัวขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน แม้จะ

ไม่ได้เกี่ยวกัน ก็สร้าง Black swan effect ซึ่งไปเตะตานักลงทุน

นี่แหละ ตัวเร่งปฏิกิริยา

บทบาทของทองคำเปลี่ยนตั้งแต่ปี 1971 แต่เพราะไม่มีตัวเร่ง ไม่มี "เหตุ" ราคาก็ไม่ไปไหน วิ่งในกรอบ พอเกิดเหตุการณ์ (ที่อ้างมาข้างต้น) มุมมองนักลงทุนเปลี่ยน เริ่มโยกเงินมาเป็นทองคำ ราคาทองคำขึ้น มีการเก็งกำไรเข้ามาเอี่ยว พอเริ่มเก็งกำไร ราคาทำนิวไฮหรือสร้าง All time high คนก็ยิ่งซื้อ ยิ่งซื้อก็ยิ่งเก็งกำไร ฯลฯ จนทำให้ราคาขึ้นในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา

แล้วการที่ราคาทองคำลงในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาล่ะ จะกลับขึ้นขาขึ้นแล้วหรือยังลงต่อได้อีก ? ก็ต้องทบทวนเงื่อนไขว่า บทบาทของทองคำยังเป็น Safe haven อยู่มั้ย ทุกประเทศทั่วโลกหยุดปั๊มเงินอัดเข้าระบบเศรษฐกิจแล้วใช่มั้ย มีการสร้าง Supply ทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ?

คำตอบคือ "ไม่" ตราบใดที่ยังมีการปั๊มเงินพิมพ์แบงก์ ทองคำก็จะยังเป็น Safe haven ไม่เปลี่ยนแปลงครับ

อ้าว ! แล้วที่ราคาลงหนักสุดในรอบ 30 ปีล่ะ ? คำถามนี้ต้องตอบ 2 ส่วน

1)เวลาเราคำนวณการลงในขาขึ้น เราต้องคำนวณเป็นสัดส่วน (%) นะครับ ไม่ควรคำนวณเป็นส่วนต่าง

ช่วงวิกฤตซัพไพรม ทองขึ้นไปสูงสุดที่ 1,033.90 ดอลลาร์ และลงมาต่ำสุด 681.0 ดอลลาร์ และลงมา 352.9 ดอลลาร์ หรือ 34.14% และช่วง Sideway ใหญ่ยักษ์ที่ผ่านมา ทองขึ้นไปทำจุดสูงสุด 1,923.7 ดอลลาร์ และลงมาต่ำสุด 1,321.5 ดอลลาร์ ยังลงต่อมา 602.2 ดอลลาร์ หรือเพียง 31.30% มองแบบนี้ทองราคาลงช่วงซัพไพรม

"รุนแรง" กว่าตอนนี้เสียอีก

และ 2) (ผมเชื่อว่า) เป็นเพียงการทำกำไรในขาขึ้นช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น

ชัดเจนว่าราคาสร้างฐานที่ระดับ +/-1,550 ดอลลาร์ และก็ยังเป็น "แนวรับสุดท้าย" ของขาขึ้นด้วย ถ้าซื้อทองเพื่อเก็งกำไร

นี่คือราคาสุดท้ายที่ต้องปิดสถานะซื้อ... และที่บอก ๆ กันว่าทองกลับตัวแล้ว ด้วยภาพนี้ "ยากครับและไม่เร็ว" สังเกตว่าราคาออกข้างอยู่กว่า 18 เดือน ก่อนที่จะกลับตัวจาก Uptrend และหลุดลงมา อย่าเพิ่งประมาทว่า Reversal pattern จะลงแค่นี้

ครับ รอให้เห็น Bullish reversal ชัด ๆ เสียก่อน ยังไงก็ซื้อทันครับ

เพราะทองคำยังเป็น Safe haven อยู่ สำหรับการออม (ผมซื้อทองคำแท่งเพื่อออมเท่านั้น) ยังไม่มีความจำเป็นต้องขาย แต่ควรใช้ Hedging techniques พวก Gold futures/option เพื่อลดแรงกดดันหากทองคำลงต่อ สำหรับการเก็งกำไร

ผมว่า Technical play บน TF day ก็น่าจะ Bias short ต่อได้ หลุด 1,400 ดอลลาร์ก็น่าจะเห็น 1,200 ดอลลาร์

มุมมองทางเทคนิคส่วนตัวของผม คือ ในสัญญาณกลับตัวมักไม่จบที่ 161.8% แต่ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 261.8% หรือ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น