วงการค้าปลีกชี้กำลังซื้อชาวบ้านวูบกว่า 20 % ชี้รถคันแรกเบียดงบใช้จ่ายประจำวัน ม.หอการค้าไทยชี้เงินเปิดเทอมสะพัดกว่า 5.3 หมื่นล.แต่ยังต่ำกว่าคาดการณ์ ของแพงซ้ำเติมผู้ปกครองจำใจปรับตัว จำกัดงบซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ลูกหลาน โรงตึ๊งเผยลูกค้ายุคนี้จำนำทองน้ำหนักน้อยลง หลังปล่อยทองเส้นใหญ่หลุดตั้งแต่ตอนราคาดิ่งเหว คนแห่เข้าดิสเคาต์สโตร์ยักษ์แทน เหตุของครบ ติดราคาชัด แถมอัดฉีดราคาถูกกว่าตลาด
แม้ทางการได้ปรับเพิ่มเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปี 2556 ขึ้นจากเดิม เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจหลักในไตรมาสแรกขยายตัวต่อเนื่อง แต่ล่าสุดทั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ต่างชี้ตรงกันว่า เมื่อเทียบตัวเลขเดือนต่อเดือนพบว่า มีเศรษฐกิจไทยสัญญาณแผ่วตัวลง สะท้อนผ่านการส่งออก การลงทุนภาคเอกชน และการบริโภค โดยตัวเลขการบริโภคมีทิศทางลดลงในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ชี้ว่าประชาชนมีข้อจำกัดเรื่องรายได้ ทำให้ต้องชะลอการใช้จ่าย นั้น
-ยันกำลังซื้อหด 20 %
นายประพจน์ นันทวัฒน์ศิริ กรรมการสมาคมสบู่ ผงซักฟอก และผลิตภัณฑ์ซักล้าง และอยู่ในวงการซัพพลายเออร์ระดับประเทศ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ตั้งแต่ต้นปีมานี้ กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงไปจากปกติแล้วประมาณ 20 % เป็นผลจากนโยบายรถคันแรก ที่ทำให้ประชาชนมีภาระเพิ่มขึ้น จึงชะลอการใช้จ่ายสินค้าในชีวิตประจำวันลง ขณะที่ราคาสินค้าได้ปรับเพิ่มมากขึ้นด้วย จากต้นทุนการผลิตต่าง ๆ ที่สูงขึ้น ประกอบกับเวลานี้เป็นช่วงเปิดเทอม ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในวัยเรียน มีภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ยิ่งทำให้กำลังซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคต้องถูกจำกัดลงไปอีก เชื่อว่ากำลังซื้อจะกลับมาเป็นปกติได้ ในช่วงหลังการเปิดเทอมไปแล้ว
"สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังซื้อในตลาดลดลงคือ เจ้าของสินค้าและห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เร่งกระตุ้นยอดขาย ด้วยการแข่งขันเสนอโปรโมชัน มีการลดแลกแจกแถมกันอย่างรุนแรง อาทิ ซื้อสินค้าครบ 800 บาท จะได้รับเงินคืน 80 บาท เป็นต้น หากภาวะเศรษฐกิจดีคนมีกำลังซื้อมาก ก็ไม่จำเป็นจะต้องจัดโปรโมชัน เพราะสินค้าของกินของใช้เป็นของจำเป็นที่ขายได้เรื่อย ๆ แต่ปัจจุบันของแพงขึ้น กำลังซื้อลดลงจึงต้องกระตุ้นยอดขาย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญเข้ามาแก้ไขเลย" นายประพจน์ กล่าว
ด้านดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานกรรมการบริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ บริษัท เซเรบอส แปซิฟิก จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารเสริม อาทิ แบรนด์, วีต้า เป็นต้น กล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกภาพรวมสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบบ้าง จากนโยบายรถคันแรก แต่ในส่วนของบริษัทยังคงเติบโตจากสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค การทำตลาดและกระตุ้นกำลังซื้อสำหรับฐานลูกค้าเดิม แต่สำหรับลูกค้ารายใหม่อาจจะดึงกำลังซื้อได้ยากขึ้น แต่เชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติกำลังซื้อจะกลับมาเหมือนเดิม
เปิดเทอมภาระพ่อแม่เฉียดหมื่น
ขณะที่นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ปกครอง ช่วงเปิดเทอมใหญ่ปีนี้ ว่า น่าจะมีเงินสะพัด 53,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% จากปีก่อน แต่ถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่า จะเติบโต 8-10 % คิดเป็นมูลค่า 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งแม้มูลค่าเม็ดเงินจะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนชิ้นในการซื้อสินค้าและอุปกรณ์การเรียนลดลง โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 9,128 บาทต่อ
สำหรับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเกี่ยวกับการเล่าเรียนของบุตร พบว่า เป็นค่าเล่าเรียน/ค่าหน่วยกิต 10,455 บาท เพิ่มจากปีก่อนที่ 8,608 บาท ค่าบำรุงโรงเรียน 1,422 บาท เพิ่มขึ้นจาก 1,247 บาท ค่าแป๊ะเจี๊ยะ 7,400 บาท เพิ่มจาก 7,062 บาท ค่าหนังสือ 1,371 บาท เพิ่มจาก 1,095 บาท ค่าอุปกรณ์การเรียน 992 บาท เพิ่มจาก 673 บาท ค่าเสื้อผ้า รองเท้า 1,721 บาท เพิ่มจาก 1,226 บาท ค่าบริการพิเศษ ค่าประกันชีวิต 1,515 บาท เพิ่มจาก 1,290 บาท
ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ให้การจับจ่ายในปีนี้ชะลอตัวมากที่สุดคือ ปัญหาราคาสินค้าที่แพงขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งตัว ทำให้ผู้ปกครองมีความระมัดระวังในการใช้เงิน ขณะที่การจำนำสินค้าและการกู้นอกระบบในปีนี้ก็ลดลงไปจากปกติด้วย สะท้อนเรื่องของกำลังซื้อที่หายไป ขณะที่การจับจ่ายผ่านบัตรเครติดมีมากขึ้น ส่งผลให้เกิดหนี้ต่อครัวเรือนเพิ่มตามไปด้วย
สำหรับปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งตัว กระทบถึงธุรกิจเอสเอ็มอี ทำให้การจับจ่ายในภาคเกษตรกรรมลดลง ส่งผลไปสู่กำลังซื้อทั่วประเทศ ดังนั้นจึงควรมีการดูแลอย่างใกล้ชิด หากมีความจำเป็นควรลดอัตราดอกเบี้ย และหากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 28.5-29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วประเทศ ยังคงเติบโตไปตามเป้าหมายที่วางไว้ระดับ 4.8-5.2 %
ลูกค้าลดซื้อ ลดจ่าย
สำรวจกำลังซื้อช่วงเปิดเทอม พบผู้ปกครองจำกัดจำเขี่ยงบประมาณเต็มที่ โดยที่ "ศูนย์การค้าเอ็นมาร์ท" (น้อมจิตต์) ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าสำหรับนักเรียน นักศึกษา มีลูกค้ามาใช้บริการจำนวนมาก เพราะมีสินค้าครบครัน พร้อมบริการปักชื่อและตราโรงเรียน แต่เทียบแล้วน้อยลงกว่าปีก่อน ไม่ต้องต่อแถวหรือรอคิวซื้อสินค้าอย่างเคย เช่นเดียวกับร้านจำหน่ายชุดนักเรียนย่านดินแดง ลูกค้ามาซื้อสินค้าบางตา รวมทั้งเลือกซื้อน้อยชิ้นลง โดยใช้งบประมาณเฉลี่ยคนละ 1.5 -2 พันบาท ซึ่งจะได้เสื้อ พร้อมกระโปรงหรือกางเกงนักเรียน 2 ชุด รวมถุงเท้า รองเท้าเท่านั้น
-จำนำทองแค่ครึ่งสลึง
ขณะที่การใช้บริการโรงรับจำนำก็เงียบเหงาลงเช่นกัน โดยนายสุทธิชัย อภิวัฒนานุกุล ผู้จัดการ โรงรับจำนำบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ กล่าวว่า บรรยากาศการรับจำนำในช่วง 10 วันแรกของเดือนพฤษาภาคมนี้ ค่อนข้างซบเซาเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยจำนวนลูกค้าลดลงไปถึง 20% ขณะที่สินค้าที่นำมาจำนำก็มีมูลค่าลดลงไปกว่า 50% ซึ่งสินค้าหลักยังเป็นทองคำรูปพรรณ โดยมีน้ำหนักทองคำที่นำมาจำนำอยู่ที่ครึ่งสลึงถึง 50 สตางค์ จากในช่วงปีที่ผ่านมา น้ำหนักจะเฉลี่ยที่ 1 บาท ส่วนสินค้าประเภทอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า มีลูกค้านำมาจำนำน้อยมาก
บรรยากาศปีนี้คนนำของมาจำนำน้อยมาก สาเหตุสำคัญเพราะคนไม่มีของมาจำนำแล้ว โดยเฉพาะทองคำที่ช่วงก่อนหน้าราคาบาทละ 2.2-2.3 หมื่นบาท และราคาได้ลดลงมาเหลือ 1.7-1.8 หมื่นบาท คนเลยทิ้งไม่มาไถ่ถอนคืนทำให้ตอนนี้ไม่มีของมาจำนำอีก แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจปีนี้ไม่ดีเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แม้ว่าปีนี้จะมีการปรับค่าแรงขึ้น 300 บาท แต่สินค้าของกินของใช้ก็ปรับราคาเพิ่มขึ้นพอ ๆ กัน คนเลยไม่มีกำลังซื้อมากขึ้น ตอนนี้โรงรับจำนำให้ราคาทองที่มาจำนำถ้าครึ่งสลึง 2.1 พันบาท และถ้าน้ำหนัก 1 บาทจะให้ประมาณ 1.7-1.8 หมื่นบาท"
ที่ย่านบางกะปิมีผู้ปกครองมาใช้บริการโรงรับจำนำน้อยลงเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ประจำโรงรับจำนำ เผยว่า ค่อนข้างเงียบเหงา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทั้งที่เป็นช่วงโค้งท้ายใกล้เปิดเทอมซึ่งปกติจะมีพ่อแม่ ผู้ปกครองมาใช้บริการโรงรับจำนำจำนวนมาก เพื่อนำเงินไปจับจ่ายซื้อเสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์การเรียน ตลอดจนจ่ายค่าเล่าเรียน จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะลดลงราว 10-15% ขณะที่ทองคำยังเป็นสินค้าที่นิยมนำมาจำนำมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 80-90% ส่วนที่เหลือเป็นนาฬิกา กล่องถ่ายรูป โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เป็นต้น
เท่าที่พูดคุยกับลูกค้า พบว่าหลายคนหันไปกู้นอกระบบ เพราะไม่ต้องมีสินทรัพย์ และยังให้กู้ยืมง่าย"
-โรงตึ๊งกทม.ลดดอกดูดลูกค้า
ส่วนโรงรับจำนำกทม.กลับมา ลูกค้าคึกคัก โดยนายชัชวาล ศรีนนท์ ผู้อำนวยการสถานธนานุบาล กทม.(โรงรับจำนำกทม.) กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนยังใช้บริการอย่างคึกคักมาตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากนโยบายของผู้ว่าฯ กทม.ที่ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตลอดไป อย่างไรก็ตามเนื่องจากราคาทองคำยังค่อนข้างผันผวน จึงมีนโยบายให้ทุกสาขาติดตามแนวโน้มราคาทองคำ และสามารถปรับเพิ่มหรือลดวงเงินรับจำนำตามสถานการณ์ เช่น สูงสุด 87.5 %หรือปรับลด 85 %
โดยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา สถานธนานุบาล กรุงเทพมหานคร ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ประกอบด้วยเงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตรา 0.25 % ต่อเดือน สำหรับเงินต้น 5,001 - 15,000 บาท คิดดอกเบี้ย 1.00 % ต่อเดือน ส่วนเงินต้นเกิน 15,000 บาทนั้น แบ่งเป็น เงินต้น 2,000 บาทแรก คิดดอกเบี้ย 2 % และส่วนเกิน 2,000 บาทขึ้นไปคิดดอกเบี้ย 1.25 % ต่อเดือน
-หนีซื้อของห้างดิสเคาต์ยักษ์
ขณะที่นายกุฎาธาร นาควิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) กล่าวว่า ปีนี้มีผู้ปกครองมาซื้อสินค้าช่วงเปิดเทอมที่บิ๊กซี จำนวนมากเป็นพิเศษ น่าจะเกิด 2 ปัจจัยคือ มีการติดป้ายราคาที่ชัดเจน และมีราคาถูกกว่าสินค้าที่วางจำหน่ายทั่วไป 20-30 % มีสินค้ามากกว่า 20 แบรนด์ และมีขนาดให้เลือกได้หลากหลาย สามารถเลือกซื้อได้ครบครันและอยู่ในงบประมาณที่วางไว้
เดิมเราตั้งเป้าที่จะมียอดขายเติบโตขึ้น 8-10% ตลอดช่วงที่จัดโปรโมชัน แต่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโค้งท้ายของการจับจ่ายก่อนเปิดเทอม พบว่ามีลูกค้ามาใช้บริการจำนวนมาก ส่งผลให้มียอดขายเติบโตกว่า 10 % เร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ อีกทั้งเป็นการเติบโตทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมลูกค้า เลือกซื้อสินค้าที่คุ้มค่ามากขึ้น"
ด้านนางจินดา เมฆบุตร ผู้จัดการ บริษัท อินซไพรด คิดดิ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้า กล่าวว่า บริษัทขายส่งชุดนักเรียนให้กับร้านค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งยอดการสั่งชุดนักเรียนมีเข้ามาเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยมีลูกค้าใหม่ที่เข้ามาซื้อสินค้าไปขายต่อเพิ่มขึ้น 30% สาเหตุคงเป็นเพราะบริษัทมีช่องทางอินเตอร์เน็ตในการสั่งซื้อสินค้า และราคาขายส่งของบริษัทปรับราคาเพิ่มขึ้นเพียงชุดละ 5 บาทจากปีที่ผ่านมาเท่านั้น แม้ต้นทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นก็ตาม โดยเฉพาะค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 30 % ที่สำคัญชุดนักเรียนเป็นสินค้าจำเป็นที่ผู้ปกครองต้องซื้อ อย่างน้อย 2-3 ชุดต่อคน ทำให้ยอดขายในปีนี้จึงยังดีต่อเนื่อง
ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น