--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ขังเดี่ยว-ขังหมู่ต้องยุติธรรม !!?

ไม่เกินเที่ยงรู้ผลว่าแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ในจำนวน 24 คนที่ถูกศาลเรียกไปไต่สวนเพื่อพิจารณาถอนประกันตัว ใครบ้างจะได้กลับไปนอนบ้าน ใครบ้างที่ต้องเข้าไปนอนในเรือนจำ

ได้กลับบ้านกันทั้งหมดหรือไปนอนเรือนจำกันทั้งหมดก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถคาดเดาผลการตัดสินได้

ขณะที่ผลไม่อาจคาดเดาได้ ความสงบเรียบร้อย ความอลหม่านวุ่นวายก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นเดียวกัน ศาลและตำรวจจึงประชุมเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างขมักเขม้น

เหตุที่ต้องแอบหวั่นว่าจะเกิดความวุ่นวายก็เพราะ 24 คนที่ถูกเรียกมาสอบเพื่อพิจารณาถอนประกันล้วนมีแต่แกนนำระดับบิ๊กเนมทั้งสิ้น

นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย (สาระคำ) ไพรพนา, นายพงษ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง, น.พ.เหวง โตจิราการ, นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก, นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายอดิศร เพียงเกษ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายวิเชียร ขาวขำ, นายอารี ไกรนรา, นายสุขเสก พลซื่อ, นายสุรชัย เทวรัตน์, นายรชต วงศ์ยอด, นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์

จำเลยที่เป็น ส.ส. 4 คนประกอบด้วย นายก่อแก้ว นพ.เหวง นายณัฐวุฒิ และนายวิภูแถลง ตัดสินใจไม่ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองการเป็น ส.ส. ขอเดินทางมาร่วมการไต่สวนพร้อมแกนนำคนอื่นๆ

คนเหล่านี้มีแฟนคลับ มีคนรักที่ติดตามเชียร์จำนวนมาก จึงไม่แปลกที่ศาลจะแอบหวั่นว่าจะเกิดความวุ่นวายหากผลออกมาไม่ตรงใจผู้สนับสนุน

ตำรวจประเมินว่าจะมีคนมาให้กำลังใจแกนนำราว 3,000 คน จึงออกมาตรการห้ามเข้าในเขตรั้วศาล ห้ามปิดทางเข้าออก ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง ฯลฯ

ผู้ฝ่าฝืนมีข้อหาละเมิดอำนาจศาล ซึ่งมีโทษจำคุก 6 เดือน

นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ระบุว่า องค์คณะผู้พิพากษาที่จะออกนั่งบัลลังก์พิจารณาเป็นชุดเดิมที่ดูแลคดีก่อการร้ายมาตั้งแต่ต้น โดยจะสอบถามจำเลยแต่ละคนว่าได้ทำผิดเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราวตามข้อมูลที่ได้จากฝ่ายผู้ร้องหรือไม่ โดยจะซักถามไปเรื่อยๆ และให้จำเลยตอบชี้แจงกระทั่งได้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควรที่จะตัดสินได้ ซึ่งจะรู้ผลทันทีหลังการไต่สวนจบสิ้นลง แต่หากผู้พิพากษาเห็นว่ามีข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาเพิ่มอาจนัดมาฟังคำสั่งภายหลัง

“ศาลได้ประชุมหารือร่วมกับตำรวจและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับกรณีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวแกนนำ นปช. บางราย โดยจะส่งตัวไปยังเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพด้วยความรวดเร็ว ปลอดภัยที่สุด และไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน”

“คดีนี้ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยตั้งแต่ต้น แต่มีการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวต่อเนื่อง จนที่สุดศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว หากศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยก็มีสิทธิที่จะยื่นขอประกันตัวใหม่ได้ ปัญหาอยู่ที่ว่าการจะขอปล่อยตัวชั่วคราวจะมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ศาลเชื่อได้ว่าจะไม่ไปกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งศาลอีก”

“หากศาลมีคำสั่งเพิกถอนปล่อยตัวจำเลยช่วงเช้าก็จะส่งตัวจำเลยเข้าเรือนจำทันที ขณะเดียวกันช่วงบ่ายจำเลยสามารถยื่นขอปล่อยตัวได้ทันที แต่จะได้หรือไม่เป็นดุลยพินิจของศาล หรือจะรอทอดเวลาไป 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ค่อยมายื่นใหม่ เป็นหน้าที่ของทนายจำเลย”

คำพูดของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาสะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลว่าจะเกิดความวุ่นวาย อันเป็นความวุ่นวายที่เกิดจากผลการพิจารณา

ความจริงเรื่องละเมิดข้อกำหนดปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่เป็นเรื่องของพฤติกรรมจำเลย และเป็นเรื่องการใช้ดุลยพินิจของผู้พิพากษา

ถ้าตรงไปตรงมาไม่จำเป็นต้องกังวลต่อผลที่จะตามมา

เหตุแห่งความกังวลน่าจะเป็นผลมาจากความรู้สึก “สองมาตรฐาน” ที่ฝังลึกอยู่ในใจของคนเสื้อแดง

แน่นอนว่าในฝั่งของศาลยืนยันหนักแน่นชัดเจนมาตลอดว่า “ตัดสินตามเนื้อผ้า ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ไม่มีธง ไม่มีใบสั่ง”

แต่กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ในช่วงที่ผ่านมาได้บั่นทอนความเชื่อในความ “เป็นธรรม เป็นกลาง”ของฝ่ายตุลาการลงไปมากทีเดียว

ไม่ว่าผลการตัดสินครั้งนี้จะออกมาอย่างไร

ขังหมู่ ขังเดี่ยว หรือปล่อยหมด

ก็ไม่เท่ากับความเป็นธรรม เป็นกลาง ตรงไป ตรงมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเปรียบเทียบไปทางฝั่งของคนอีกสีเสื้อหนึ่งที่มีคดีร้ายแรงติดตัว และมีพฤติกรรมที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

หากผลการตัดสินทำให้รู้สึกถึงความ “เป็นธรรม เป็นกลาง” ได้

ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีความวุ่นวาย


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น