ทำไมใส่สีแดง เพราะผมบอกก่อนว่า สีแดงเป็นของทุกคน มีหลายคนเขาเบื่อเขารำคาญครับ แม้แต่ศิลปินรุ่นใหญ่ยังบอกว่าเอาสีแดงคืนมา สีแดงอยู่ในธงชาติ ต้องหมายถึงว่าเป็นของคนทั้งชาติ ไม่ใช่ของคนกลุ่มเดียว ผมจะใส่สีแดงเป็นสิทธิของผม พวก คุณไม่ต้องมาต่อว่าในวันพรุ่งนี้ อย่างนี้เป็นสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่เที่ยวไม่ขัดขวางผู้อื่น ผมตั้งใจจะใส่สีแดง เพื่อที่จะบอกกับคนที่อ้างตัวเป็นคนเสื้อแดงว่า วันนี้ถ้าคุณอยากใส่เสื้อสีแดง แล้วบอกสีแดงเป็นอุดมการณ์ คุณต้องใส่แบบนี้ที่เขียนว่าหยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกง”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยที่เวทีประชาชน “เดินหน้าผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายล้างผิดคนโกง” เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปวันที่ 1 สิงหาคม ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง เมื่อค่ำวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสร้างความฮือฮาด้วยการใส่ “เสื้อสีแดง” ที่มีสกรีนคำว่า “หยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกง”
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวว่า ขอทวงคืนสีแดงมาเป็นของคนไทยทุกคน ปัญหาบ้านเมืองที่วุ่นวายจนมีการเสียชีวิต เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันนี้คนใส่เสื้อแดงจะต้องตัดสินใจ ถ้าเป็นเสื้อแดงที่ยึดอุดมการณ์ต้องรู้แล้วว่าใครชักชวนให้มาต่อสู้เพียงเพื่อเป็นเครื่องมือให้เขา แต่ไม่มีความจริงใจต่อกัน และไม่มีแม้แต่จะหยิบยื่นความเป็นธรรมให้ แม้ตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะถูกกล่าวหาและยกป้ายให้เป็น “ฆาตกร” แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องให้นิรโทษกรรม เพราะไม่ได้ทำ แต่คนที่รู้แก่ใจว่ามีการฝึกฝนให้คนติดอาวุธใส่ชุดดำแฝงตัวกับกลุ่มผู้ชุมนุมกำลังจะให้นิรโทษกรรมแก่ตัว เอง ถ้าใส่เสื้อแดงเพราะอุดมการณ์ก็ต้องเรียกร้องว่าห้ามออกกฎหมายนิรโทษกรรม แล้วต้องไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้คนคนหนึ่งล้างผิดในการทุจริตการโกงของตัวเอง แต่ถ้าใส่เสื้อแดงแล้วไม่ยอมเขียนหยุดปรองดองอย่างนี้ ไม่มาร่วมต่อต้าน เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับวิญญาณของคนที่เคยใส่เสื้อแดง เสื้อแดงของคุณไม่มีความหมายอะไร นอก จากการเป็น “ขี้ข้าทักษิณ”
“ถ้ามีใครใส่เสื้อแดงเพราะไม่ชอบ 2 มาตรฐาน คุณก็ต้องใส่เสื้อแดงที่เขียนว่าหยุดปรองดองจอมปลอมเหมือนกัน เพราะอะไรครับ เพราะประเทศไทยหรือประเทศไหนก็ตามครับ ไม่เคยสามารถทำให้คนร่ำรวยเท่ากันได้หรอกครับ อย่างที่ท่านนายกฯชวนพูด แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคกัน
ถ้าคุณใส่เสื้อแดงเพราะคุณไม่ชอบ 2 มาตร ฐาน แล้วพวกคุณใส่เสื้อแดงมาต่อสู้ ถูกจับ ถูกศาลลงโทษจำคุก ต้องเข้าไปอยู่ในคุก แล้วทำไมคุณจะปล่อยให้คนที่ปลุกระดมคุณนั้นทำผิดไม่รู้กี่คดี บอกว่าตัวเองไม่ต้องเข้าคุก นั่นแหละครับ 2 มาตร ฐานอย่างแท้จริง”
มาร์คสภาโจ๊ก
ต้องยอมรับว่าการเดินสายอภิปรายนอกสภาของพรรคประชาธิปัตย์นับตั้งแต่การตีรวนไม่ยอม รับ พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้รับความสนใจจากมวลชนที่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย รวมถึงความสนใจของสื่อต่างๆที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ลีลาการพูดของนายอภิสิทธิ์เป็นกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่การใส่เสื้อแดงเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ยังลงทุนเล่น “มาร์คสภาโจ๊ก” ดัดเสียงล้อเลียน “จ่าเซาะกราว” จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ทำหน้าที่ยกมือค้านการอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยสีหน้าท่าทางที่เรียกเสียงเฮและปรบมือพอใจของแม่ยกพ่อยกที่เล่นงาน “จ่าบ้านนอก” ได้อย่างสะใจ
แต่คนอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงนักวิชาการที่ติด ตามการเมืองไทยกลับเห็นว่านายอภิสิทธิ์ไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว เพราะกลายเป็น “ตลกการเมือง” มาก กว่าการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเองและพรรค ประชาธิปัตย์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตกต่ำที่สุดยุคหนึ่ง
แม้การใส่เสื้อแดงหรือล้อเลียน “จ่าบ้านนอก” จะเป็นคลิปยอดฮิตในยูทูบที่มีคนคลิกเข้าไปดูจำนวน มาก แต่ส่วนหนึ่งกลับรู้สึกสังเวชและไม่เชื่อว่าคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรีจะสามารถเป็นได้เช่นนี้
แทนที่นายอภิสิทธิ์จะแสดงให้เห็นถึงการเป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ กลับออกอาการหลุดเหมือนเป็นมวยรุ่นใหญ่ แต่กลับไปท้าชกมวยรุ่นเด็กอย่าง “จ่าประสิทธิ์” แล้วยังโชว์วาทกรรม “ดีแต่พูด” และ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ซึ่งไม่ใช่แค่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่กล่าวหาว่าเป็น “ฆาตกร” แต่ประชาคมโลกเองก็ประณามการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งเกิดในยุคที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
ใครฮากว่ากัน?
อย่างที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คว่า มีคนส่งคลิปให้ดู 2 คลิป คลิปแรกเป็นคลิป “พระเทศน์เป็นจังหวะร็อก” และคลิป 2 “อภิสิทธิ์ล้อเลียนเสียงจ่าประสิทธิ์” เปิดเข้าไปดูต้องยอมรับว่าอดขำไม่ได้เมื่อได้ยินบทสวดมนต์ในคลิป
“แต่อีกคลิปผมขำก๊ากเลยครับ เป็นครั้งแรกที่ผมหัวเราะท่านอภิสิทธิ์ปราศรัย (เฉพาะตอนเล่นตลกนี้นะครับ ไม่ใช่ตอนด่าคุณพ่อผม) ในทางการตลาดเรื่องแบบนี้ไม่ซีเรียสครับ ถือเป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดผู้ฟังได้เป็นอย่างดี แต่พอฟังคำวิจารณ์จากผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองและการศาสนา หลายๆ ท่านอาจไม่ค่อยสบายใจในเรื่องวุฒิภาวะของท่านอภิสิทธิ์ และการสำรวมตนของสงฆ์ ก็เกิดการถกเถียงกันเป็นหย่อมๆทั่วไปในโลกไซเบอร์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง และมีผู้สนับสนุนทั้งคู่ ในเรื่องพระสวดนี้เห็นว่ามีพระผู้ใหญ่ออกมาติงแล้วว่าไม่เหมาะสม ผมว่าเมืองไทยเราเมืองพุทธครับ พระท่านท้วงติงมาเราก็ต้องฟัง และคอยระมัดระวัง อย่าไปทำอะไรที่ไม่เหมาะสมอีก ส่วนเรื่องท่าน อภิสิทธิ์นี่เหมาะสมหรือไม่ ผมว่าเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องชี้แจงเอง แต่ถ้าถามผม ผมว่าท่านมีอารมณ์ขันบ้าง บรรยากาศของการปรองดองมันดีกว่าการเผชิญหน้าในสภาช่วงที่ผ่านมาเยอะเลยครับ”
นอกจากนี้นายพานทองแท้ยังแสดงความเห็นกรณีนายเทพไท เสนพงษ์ วิจารณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางเยือนเยอรมนีและฝรั่งเศสว่า หนีวิกฤตบ้านเมืองและถือโอกาสโชว์แฟชั่น-เที่ยวต่างประเทศว่า เหมือนลูกสมันน้อยพลัดหลงไปอยู่ใจกลางฝูงไฮยีน่าตัวเดียวกลางป่า แล้วถูกผลัดกันต้อนซ้ายที ขวาที พอเผลอก็โดนกัด ตะปบ เหน็บ แขวะ จิก ทั้งที่เป็น “มนุษย์เพศหญิง” ทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งประเทศ กลับมาถูกผู้ชายอกสามศอกรุมตำหนิเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ว่าการแต่งตัว ตำส้มตำ พูดวนกันไปมาเหมือน “ชกไม่สมศักดิ์ศรี” ในฐานะทีมงาน “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษ ฎร” แล้วยังเปรียบเทียบระหว่างนายกฯยิ่งลักษณ์แต่งชุดสวยจากศูนย์ศิลปาชีพเพื่อโปรโมตสินค้าไทย กับนายอภิสิทธิ์เปลี่ยนชุดถ่ายแบบเป็นสิบๆชุดเพื่อโปรโมตตัวเอง และใส่หมวกถุงยางอนามัยยืนยิ้มว่าอันไหนดู “ติ๊งต๊อง” กว่ากัน
ตลกร้าย “ฆาตกร”?
การใส่เสื้อแดงและปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ที่เสียดสีคนเสื้อแดงให้เลิกเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” และไม่มีอุดมการณ์นั้น ย่อมได้รับความสนใจจากสื่อในประเทศและสื่อต่างชาติ แม้จะเป็นการแสดงการตอบโต้ในเชิงสัญลักษณ์ แต่ในมุมกลับกันก็น่าจะเป็น “ตลกร้าย” ที่ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องตอบประชาชนและประชาคมโลกถึงคำว่า “จริยธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ทำให้มีการเข่นฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐถึง 98 ศพและบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน เพราะจนทุกวันนี้ยังไม่มี “คำขอโทษ” แม้แต่คำเดียวจากนายอภิสิทธิ์แล้ว ยังพยายามยัดเยียดและกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” และผู้อื่นผู้อยู่เบื้องหลังอีก
อย่าง ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Taona Sonakul ว่า
“เรียนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากท่านเชื่ออย่างจริงใจว่าประชาชนไทยเป็นผู้มีจิตใจเป็นเสรีชน สามารถมีความให้เกียรติในความเห็นที่แตกต่างของเพื่อนร่วมชาติด้วยกันอย่างแท้จริงแล้ว..ถ้าหากพวกเขาอยากจะใส่เสื้อสีอะไรก็ให้เขาใส่ไปเหอะ จะสีเหลือง สีแดง สีฟ้า สีม่วง สีดำ ฯลฯ ไม่มีความ จำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปบอกให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อเป็นสีโน้นสีนี้ พวกเขาอยากจะใส่เสื้อสีห่าอะไรก็ให้เขาใส่ไป อย่าไปขออะไรกับคนอื่นที่เขามีที่มาที่ไปกันคนละแบบกับท่านเลย..คนที่เขาเลือกใส่สีแดง สีเหลือง ก็เพราะเขาใส่แล้วเขามีความสุขของเขา..
ความแตกแยกไม่ได้มาจากสีเสื้อ ความแตก แยกมาจากความเจ็บช้ำน้ำใจ และความรู้สึกว่าไม่มี ความยุติธรรม และตราบใดที่ท่านยังไม่สามารถแสดงน้ำใจขอโทษประชาชนไทย และวิญญาณของคนที่ต้องตายไปกว่าร้อยศพ โดยการบริหารงานที่ผิดพลาดของท่านในฐานะนายกรัฐมนตรี..
ท่านอย่าได้มาเสียเวลาเปลืองน้ำลายฝันบ้าๆบอๆไปว่าจะมีใครลุกขึ้นบ้าใส่เสื้อแดงเพื่อเป็นแนวร่วมกับท่านเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้คนที่ท่านเองนั่นแหละเป็นคนทำพวกเขาตาย..ท่านเป็นคนที่จิตป่วยมากๆแล้ว ท่านต้องพบจิตแพทย์ และหลบไปอยู่ในที่สงบๆสักพัก”
ไล่ “มาร์ค” ใส่ชุดพลทหาร
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ว่า การแสดงความเห็นเป็นเสรีภาพ แต่การแสดงออกบางอย่างของนายอภิสิทธิ์ที่วันหนึ่งแต่งตัวล้อเลียน จ.ส.ต.ประสิทธิ์ และใส่เสื้อแดงเรียกร้องให้เสื้อแดงสนับสนุน ถือว่าผิดปรกติและอาการอยู่ในขั้นที่ประชาชนต้องพิจารณาแล้ว เพราะหลังจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเวทีปราศรัยทั่วประเทศอาการก็เริ่มหนักขึ้นทุกวัน ตนอยากให้ความรู้นายอภิสิทธิ์ว่า ปัญหาทางการเมืองขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อ ไม่ใช่ว่าใส่เสื้อสีเดียวกันแล้วจะนับเป็นพวก จนลืมหลักการประชาธิปไตยที่ผลักดันให้ประชาชนออกมาต่อสู้โดยไม่กลัวเสียอิสรภาพ แต่สีเสื้อเป็นสัญ ลักษณ์ของการรวมกลุ่มเท่านั้น นายอภิสิทธิ์ไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้ เพราะหากเข้าใจประชาชนจะไม่ถูกสไนเปอร์ยิงตายเกือบร้อยชีวิต และมีนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยรับผิดชอบอะไร
“ผมอยากให้นายอภิสิทธิ์ใส่ชุดพลทหาร เพื่อสื่อสารไปถึงคนทั้งประเทศว่า ลูกชาวนา คนยากจน ต้องเกณฑ์ทหาร” นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า การใส่เสื้อแดงไม่มีความหมายอย่างที่นายอภิสิทธิ์ต้องการ การแต่งกายของนายอภิสิทธิ์ไม่มีผลอะไรกับการเคลื่อนไหวหรือการต่อสู้ของคนเสื้อแดงให้อ่อนแอหรือแตกแยก ตรงข้ามจะเข้มแข็งและรวมพลังกันมากขึ้น เพราะรู้ว่านายอภิสิทธิ์ไม่จริงใจ แต่มีเป้าหมาย ทางการเมืองแอบแฝง ยิ่งทำให้คนเสื้อแดงตื่นตัวและ รวมพลังกัน เหมือนอยู่ในบ้านและเห็นแมลงสาบจะเข้าบ้าน เป็นธรรมดาที่เจ้าของบ้านต้องต่อต้าน
ปชป. ยุคผู้นำ “ป่วย”!
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์และจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศชัดเจนว่าจะต่อต้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ และมาตรา 309 โดยการสร้างกระแสให้เชื่อว่าทั้งหมดเป็นการปรองดองจอมปลอม และล้างความผิดให้ พ.ต.ท. ทักษิณนั้น ก็มีคำถามว่าจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้บ้านเมืองมีระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน และเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง หรือเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ต้องยึดโยงกับอำนาจนอกระบบ และผู้มีบารมีนอกระบบอย่างทุกวันนี้
โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ที่มีคำถามถึง “จริย ธรรม” ในฐานะเป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งวันนี้ยังใช้วาทกรรมเป็นอาวุธทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามทุกรูปแบบนั้น จะทำให้ประชาชนเชื่อและเลือกพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาเป็นรัฐบาลในอนาคตได้ หรือแค่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่ปรกติอย่างที่ผ่านมา เพื่อมี “กลไกพิเศษ” ให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
โดยเฉพาะครั้งล่าสุด พรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคเพื่อไทยอย่างราบคาบนั้น มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งต้องการให้ปฏิรูปพรรคแบบถอนรากถอนโคน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค อย่างที่นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ผู้อาวุโสพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นเพราะ “สร้างศัตรู” ไว้มาก แม้แต่คะแนนเสียงในภาคใต้ยังลดลง ในพรรคก็มีปัญหาความไม่เท่าเทียมในแต่ ละกลุ่มก๊วน เปรียบเทียบรัฐบาลชวน 2 จะเห็นคนเก่าคนแก่ในพรรคเป็นหลัก แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับหายหน้าไปหมด เพราะ “นายกฯโดดเดี่ยวตัวเอง”
เช่นเดียวกับนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่วิจารณ์จุดอ่อนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์คือการบริหารงาน ส่วนจุดอ่อนของนายอภิสิทธิ์คือใช้คนไม่เป็น ไม่ฟังคนเก่าคนแก่ โดยนายอภิสิทธิ์เคยมาหาตน 2 ครั้งสมัยเป็นนายกฯ และให้คำแนะนำไปหลายอย่าง แต่ไม่ทำสักอย่าง เคยคุยวิธีจะแก้ไขความปรองดอง บอกขั้นตอนทุกอย่าง แม้กระทั่งก่อนเลือกตั้งหลายเดือนให้เตรียมบินไปคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแบบส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็ตกลงหมดทุกอย่าง แต่นายอภิสิทธิ์ก็รับฟังเฉยๆ
อย่างไรก็ตาม นายพิชัยยอมรับว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ แต่ใช้คนไม่เป็น ใช้คนไม่กี่คนที่ล้อมรอบ แม้กระทั่งนายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็เคยเตือน แต่ก็ไม่ฟัง “มันมาจากสันดานคนที่ไม่เหมือนกัน สันดานของคนที่ไม่รู้จักใช้คน”
พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์จึงมีปัญหาทั้งในพรรคและนอกพรรค โดยเฉพาะพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ที่ถูกกล่าวหาเป็น “ฆาตกร” ซึ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ถูกตั้งคำถามถึง “จริยธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” ที่นายอภิสิทธิ์พร่ำสอนและเรียกร้องให้คนอื่นมี “จริย ธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” แต่นายอภิสิทธิ์ กลับถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายว่าไม่มีสำนึกทางการเมืองและจริยธรรมเสียเอง
แต่จากเหตุการณ์และพฤติกรรมที่แสดงออกมาทั้งหมด โดยเฉพาะหลังแพ้การเลือกตั้งซ้ำซาก คนไทยอาจต้องคิดใหม่และเปลี่ยนมาเห็นอกเห็นใจนายอภิสิทธิ์มากขึ้น
เพราะคนเสื้อสีต่างๆ แม้แต่เสื้อหลากสีเองก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านายอภิสิทธิ์มีอาการ “ป่วยทางจิต” จนถึงขั้น “สติวิปลาส” ไปแล้วหรือไม่?
ถ้ามีการเปลี่ยนตัวหัวหน้า พรรคประชาธิ ปัตย์ขึ้นมาจริงๆ ..เห็นทีพรรคเพื่อไทยจะเดือดร้อน!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น