ในระบอบประชาธิปไตย หากมีคนตายทางการเมืองแม้แต่คนเดียวเช่นกรณีกลุ่ม พันธมิตรเสื้อเหลือง เห็นหรือไม่ว่าพลังแห่งการเรียกร้องหาความยุติธรรมจากรัฐบาลคุณสมัครมีความรุนแรงไม่น้อย
เมื่อมีฝูงชนถูกฆ่าทางการเมืองมากถึง 91 ศพ ในปี 2553 และตายเพิ่ม ภายหลังเป็น 98 ศพ ย่อมเป็นธรรมดาที่พลังมวลชนเสื้อแดงเรียกร้องหาความยุติธรรมจากรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนหลอกหลอนมาจนถึงวันนี้..ทั้งๆ ที่พรรคของคุณอภิสิทธิ์ก็เป็นฝ่ายค้านไปนานถึง 1 ปีแล้ว
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงพึงสำเหนียกทุกขณะจิตว่า ต้อง แสดงความรับผิดชอบเช่นไร จึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองมีจิตสำนึกดี มีวุฒิภาวะสูง เป็นที่ชื่นชมสรรเสริญของประชาชนโดยทั่วไป เหมือนประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ เคย แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์มาแล้ว
แต่คุณอภิสิทธิ์นอกจากไม่แสดงภาวะผู้นำมาตรฐานแล้ว ยังปล่อยให้ความตายของคนไทยเกือบร้อยศพถูกเรียกร้องหาความยุติธรรมแทบไม่คืบหน้า เรียกว่า ถ่วงเวลา ให้นานที่สุดด้วยซ้ำ มันจึงส่งผลสะเทือนไปสู่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดให้พรรคประชาธิปัตย์ต้อง พ่ายแพ้แบบ “หูรูดตูดฉีก” อย่างเหลือเชื่อ
ไม่น่าเชื่อว่า ทั้งที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ และทหาร “ให้ท้าย” ทั้งกองทัพสนับสนุน เต็มกำลัง ก็ยังแพ้หมดรูป
ครั้งที่คุณอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาล ผู้คนก็เห็นว่าข้าราชการหลายกรมกองถูกโยกย้ายเพื่อ “ผ่องถ่าย” ให้พวกข้าราชการที่ฝ่ายประชาธิปัตย์ไว้ใจเข้าไปทำงานแทนที่ ฉะนั้นเมื่อคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นรัฐบาลแล้ว ฝ่ายค้านจึงไม่ควรโวยวาย เมื่อข้าราชการที่ฝ่ายเพื่อไทย ไม่ไว้ใจต้องถูกโยกย้ายเป็นธรรมดา
วันนี้ที่พรรคฝ่ายค้านรู้สึกว่า ฝ่ายตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม จึงไม่ต่างจากที่ฝ่าย มวลชนเสื้อแดงเคยประสบมาแล้ว แต่เสื้อแดงเขาพกความแค้นมากกว่าเพราะมี “คนตาย 98 ศพ” เป็นประสบการณ์การต่อสู้ ซึ่งเป็นธรรมดาอีกนั่นแหละที่รัฐบาลนี้ดำเนินคดีได้รวดเร็ว ไม่ถ่วงเวลา จนถึงขั้นเชิญตัวคุณอภิสิทธิ์-คุณสุเทพเป็นฝ่ายถูกสอบจาก ปมฆ่า 98 ศพที่นักการเมืองห้วงนั้นไม่แสดงความรับผิดชอบมาตั้งแต่ต้น
มองด้วยใจเป็นธรรม จึงพูดไม่ได้ว่าคุณอภิสิทธิ์หรือคุณสุเทพถูกกลั่นแกล้ง แต่น่าจะเป็นผลกรรม
ยิ่งได้เห็นหนังสือลับ ลงวันที่ 17 เม.ย. 53 สมัยคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อนุมัติ ให้เจ้าหน้าที่ใช้ “พลแม่นปืน” และ “สามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จาก ศอฉ.ได้”...โดยลืมการอนุมัติให้ใช้โล่ ไม้พลองยาว หรือการฉีดน้ำและใช้คลื่นเสียง แม้แต่แก๊สน้ำตา กระบองหรือกระสุนยาง หรือยิงเตือน
จึงเป็นอนุสติเตือนนักการเมืองในอุดมคติ พึงหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดกับการใช้ทหาร ที่มีอาวุธสงครามเพื่อนำมาสกัดฝูงชนที่เรียกร้องประเด็นการเมือง โดยเฉพาะคนที่ผ่าน สถาบันการเมืองมาจากอังกฤษ
แม้ฝ่ายทหารจะอ้างว่า ทหารก็เจ็บและเสียชีวิตหรือมีเหตุผลมากพอ แต่มันก็เกิน กว่าเหตุที่ภาพจากช่างภาพและกล้องวีดิโอจำนวนมากได้บันทึกเป็นประจักษ์ว่า ทหารใช้อาวุธสงคราม ใช้กระสุนจริง ใช้สไนเปอร์จริง และใช้รถหุ้มเกราะปฏิบัติการเทียบเท่า “สนามรบ” ใช้รหัส “เผาบ้านเผาเมือง” เหมือนฝูงชนเหล่าเนื้อเชื้อสายคนไทยด้วยกันเป็นข้าศึกศัตรูร้ายจากต่างชาติ
ที่ประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไม่ควรกดปุ่มเลือกใช้
แต่นักการเมืองจากพรรคเก่าแก่กลับกล้าหาญชาญชัยใช้แก้ปัญหาการเมืองด้วยอารมณ์อำมหิต
คำตอบที่ซ้ำซากก็คือ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ใช้เวทีประชาธิปไตย เลือกตั้งไม่ไว้วางใจให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอีก
วิญญาณ 98 ศพ จึงเรียกร้องโหยหวนยาวนานมาจนถึงวันนี้ และวันต่อไป...ตราบใด ที่นักการเมืองบางคน “ไม่เข้าถึงจิตสำนึกประชาธิปไตย” มัวแต่ตะแบง “ดีแต่พูด” หวังใช้คารมบิดเบือนข้างๆ คูๆ ทุกเวที
โดยหารู้ไม่ว่า “ยิ่งตะแบง ก็ยิ่งเสื่อม” แม้กระทั่งความหล่อเหลาที่เหลืออยู่ ก็ช่วยกู้หน้าไม่ได้!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น