--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ยักษ์ธุรกิจ ขยับรับ AEC ช้าง เปิดศึกชน ไฮเนเก้น..

ตลาดเครื่องดื่มเดือด!

ถึงตอนนี้ต้องบอกว่า เป็นเรื่องใหญ่ ลากยาว และน่าสนใจติดตามเป็นอย่างยิ่งสำหรับบิ๊กดีลแห่งปี ช้างเปิดศึกไฮเนเก้น

ย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปของบิ๊กดีลแห่งปีพบว่า เริ่มต้นจากปฏิบัติการแหย่หนวดเสือของกลุ่ม "นายเจริญ สิริวัฒนภักดี" เจ้าของฉายา เจ้าพ่อน้ำเมา, นักซื้อ, จอมเทกโอเวอร์ ด้วยการให้บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเครื่องดื่มตรา "ช้าง" เข้าซื้อหุ้นบริษัทเฟรเซอร์แอนด์นีฟ หรือเอฟแอนด์เอ็น ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ร้อยละ 22 จากธนาคารโอเวอร์ซี-ไชนีส แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือโอซีบีซี

กับอีกดีลให้บริษัท ไคน์เดสท์ เพลซ กรุ๊ป ของนายโชติพัฒน์ พีชานนท์ บุตรเขย เข้าซื้อหุ้นโดยตรงจาก บริษัท เอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ (เอพีบี) ผู้ผลิตและทำตลาดเบียร์ไทเกอร์ อีก 8.6%

และมีตัวเร่งให้กลายเป็น "ดีลเดือด" บิ๊กดีลแห่งปี เมื่อไฮเนเก้น ผู้ผลิตเบียร์พรีเมียมรายใหญ่จากประเทศฮอลแลนด์ ประกาศทุ่มเงิน 4,100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 1 แสนล้านบาท เข้าซื้อหุ้นในเอพีบี ส่วนที่เหลือทั้งหมดราวร้อยละ 40 ในราคาหุ้นละ 50 ดอลลาร์สิงคโปร์ ถือครองอยู่โดยเอฟแอนด์เอ็น

ความน่าสนใจของสงครามแย่งชิงธุรกิจเอพีบีระหว่างไทยเบฟและไฮเนเก้น ไม่ใช่แค่บิ๊กดีลมีมูลค่าการซื้อขายคิดเป็นเงินก้อนใหญ่มากกว่าแสนล้านบาทเท่านั้น

ทว่านี่คือสัญญาณบอกให้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตลาดสินค้าบริโภคกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคนี้ทั้งในมิติของโครงสร้างตลาด สินค้า การแข่งขัน มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับปากท้อง เงินในกระเป๋า

และยังเป็นเป็นการตอกย้ำความสำคัญของตลาดผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อบริษัทระดับโลก อันเป็นผลจากพลวัตความเปลี่ยนแปลงสองด้านหลักคือ วิกฤตในสหภาพยุโรป (อียู), สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, วิกฤตที่กำลังจะตั้งเค้าขึ้นในประเทศจีน และการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หรือเออีซี ในอีกสามปีข้างหน้านั่นเอง

เริ่มต้นทำความเข้าใจบิ๊กดีลนี้ด้วยการมองข้ามเรื่องรายละเอียดการซื้อหุ้น เพราะซับซ้อนไขว้กันไปมา ตามกลเกมทางการเงินสมัยใหม่

ให้ยึดเรื่องไฮเนเก้นเดินหน้าสวนกลับปฏิบัติการเปิดเกมรุกกระตุกหนวดเสือของกลุ่มเจริญ ด้วยการทุ่มเงินก้อนโตเพื่อผลักดันตัวเองสู่ผู้คุมนโยบายสูงสุดในเอพีบีแต่เพียงผู้เดียวว่า "คือการประกาศรักษาหน้าตักของผู้ผลิตเบียร์ในตลาดอาเซียน ชนิดที่เรียกว่าไม่มีใครยอมใคร"

กล่าวสำหรับเอพีบี เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างไฮเนเก้นและเอฟแอนด์เอ็น มีโปรดักส์สำคัญคือ เบียร์ไทเกอร์ สร้างขึ้นมาเพื่อทำตลาดในเอเชีย หรือรีจินัล แบรนด์ (regional brand) เป็นการเฉพาะ

เอพีบี มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 10,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 342,000 ล้านบาท มีฐานการตลาดอยู่ใน 14 ประเทศทั่วเอเชีย โดยเฉพาะถือเป็นผู้นำส่วนแบ่งการตลาดในตลาดเกิดใหม่อย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ประเทศสำคัญในอาเซียน ภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตและการบริโภคเบียร์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ข้อมูลจากยูโรมอนิเตอร์ชี้ว่า การบริโภคเบียร์ใน 9 ประเทศอาเซียน มียอดรวม 6,840 ล้านลิตร ในปี 2554 เพิ่มขึ้น 6.2% จากปี 2553 ตลาดนี้มีเวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์ ติดกลุ่มนักบริโภคเบียร์ตัวยง เฉพาะเมืองไทยในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าการบริโภคหรือตลาดรวมกันถึง 130,000 ล้านบาท หรือ 2,000 ล้านลิตรต่อปีเลยทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของเอพีบี ถือเป็นฐานที่มั่นสำคัญในตลาดเอเชียและอาเซียน ตลาดที่กำลังจะรวมเป็นหนึ่งเดียวมีประชากรสูงถึง 600 ล้านคน ในปี 2558 ส่งผลให้ไฮเนเก้นอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบโต้ด้วยการทุ่มเงินผลักดันตัวเองขึ้นสู่ผู้คุมนโยบายสูงสุด บล็อกไม่ให้กลุ่มเจริญเข้ามาเกี่ยวในเรื่องกำหนดโยบายบริหารบริษัท

นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญทางการเงินในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์หลายราย เห็นในทางตรงกันว่าไฮเนเก้นคงต้องเพิ่มราคาแข่งขึ้นไปอีกกันไม่ให้กลุ่มเจริญเข้ามา หลังจากกลุ่มนี้ขอซื้อหุ้นเพิ่มในเอพีบีอีกราวร้อยละ 7 ในอัตราหุ้นละ 55 ดอลลาร์สิงคโปร์ สูงกว่าราคาซื้อเดิมของไฮเนเก้นที่ระดับ 50 ดอลลาร์สิงคโปร์

นั่นประการแรก เป็นการรักษาฐานธุรกิจในห้วงเวลาเศรษฐกิจยุโรป สหรัฐอเมริกาดิ่งตัวลง ธุรกิจต่างชาติหลากหลายภาคส่วน พาเหรดเข้าสู่เออีซี ภูมิภาคที่คาดการณ์กันว่าจะเป็นอีกหนึ่งเสาหลักในการฉุดดึงเศรษฐกิจโลก นำไปสู่สงครามแย่งชิงหุ้นกันในบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในที่สุด

อีกประการถัดมา การเข้าซื้อหุ้นเอฟแอนด์เอ็นของกลุ่มเจริญยังจะเป็นตัวเร่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในภาคอาหารเครื่องดื่มในกลุ่มประเทศอาเซียนอีกทางหนึ่งด้วย

กลับมาทางฝั่งเอฟแอนด์เอ็น เวลานี้ไทยเบฟขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 24% หลังซื้อเพิ่มอีกจากรายย่อยในตลาด ตามด้วย "คิริน โฮลดิ้ง" ผู้ถือหุ้นลำดับสองในสัดส่วน 15%

กล่าวสำหรับคิริน ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตเบียร์และเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ได้ซื้อหุ้นเอฟแอนด์เอ็นจากเทมาเส็ก หรือกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา เพื่อสร้างฐานที่มั่นในธุรกิจเครื่องดื่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังตลาดเบียร์ในญี่ปุ่นถดถอยลงตามภาวะเศรษฐกิจ

นอกจากแผ่เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเข้าไปถือหุ้นในเอฟแอนด์เอ็น และยังบุกเข้าไทยโดยผนึกเข้ากับทางโอสถสภา เปิดตัวสินค้าแบรนด์แรกอย่างยิ่งใหญ่ "ชาเขียวนามาชะ" ยอมทุ่มจ้าง "เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์" มาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าด้วยเงินลงทุนก้อนโต แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จทางตลาด

กระนั้น คิรินยังได้เข้าซื้อกิจการเบียร์มาแล้วหลายครั้งในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ไล่เรียงมาตั้งแต่ การซื้อหุ้นในบริษัทไลอ้อน นาธาน บริษัทผู้ผลิตเบียร์อันดับ 2 ในออสเตรเลีย การเข้าซื้อกิจการของชินคาริโอล บริษัทผู้ผลิตเบียร์และเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของบราซิล เป็นต้น

การรุกเข้าไปไปถือหุ้นในเอฟแอนด์เอ็นของไทยเบฟบริษัทในกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มเหมือนกัน ทำให้คิริน รู้สึกอึดอัดและไม่อาจนิ่งเฉยได้ เวลานี้ผู้ผลิตเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นเหลือทางเลือกอยู่ไม่มากนัก หนึ่งในทางนั้นคือผนึกเข้ากับไทยเบฟไม่รับข้อเสนอขายหุ้นเอฟแอนด์เอ็นในเอพีบีให้ไฮเนเก้น บล็อกไฮเนเก้นไม่ให้กุมอำนาจการบริหารสูงสุดในตลาดเบียร์เอเชียแปซิฟิก กับการขยายแบรนด์เครื่องดื่มเพิ่มเติมขอซื้อกิจการเครื่องดื่มในกลุ่มซอฟต์ดริงก์ภายใต้แบรนด์ฟรุตทรี ของเอฟแอนด์เอ็นในประเทศมาเลเซีย

...ถึงจะไม่ใช่บิ๊กดีล ทว่าการขยับตัวของคิรินยังสะเทือนไปถึงผู้ผลิตเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของโลกอีกรายคือ "โคคา โคล่า"

ผู้ผลิตชั้นนำจากอเมริการายนี้ จะมีท่าทีสนใจซื้อแบรนด์ซอฟต์ดริงก์ของเอฟแอนด์เอ็น ประกอบด้วย 100พลัส น้ำผลไม้ น้ำแร่ และผลิตภัณฑ์นมตราหมีเช่นกัน เพียงแต่รอดูสถานการณ์การแย่งชิงหุ้นเอฟแอนด์เอ็นถืออยู่ในเอพีบี ระหว่างไฮเนเก้นและไทยเบฟเวอเรจ ว่าจะลงเอยอย่างไร

สิ่งที่ทาง "คิริน" และ "โคคา โคล่า" ทำมีเป้าหมายเช่นเดียวกับ "ไฮเนเก้น" คือ การรักษาหน้าตักอาเซียน ตลาดที่มีการประเมินผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพีในอีก 18 ปีข้างหน้าจะเพิ่มจาก 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 71.3 ล้านล้านบาท ในสิ้นปีนี้เป็น 10 ล้านล้านดอลลาร์หรือประมาณ 310 ล้านล้านบาท ในปี 2573

..ในฟากธุรกิจสองเหตุผลหลักในเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจโลกกับเออีซี กำลังจะเป็นตัวเร่งให้สงครามธุรกิจในภูมิภาคนี้กำลังลุกลาม ดึงเอาอีกหลายบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มอีกหลายรายเข้าสู่เกมนี้

เกิดการต่อสู้แย่งชิงธุรกิจในสองฟากหลัก คือการรุกคืบเข้าไปในกิจการของยุโรป อเมริกา ที่เข้ามาปักธงในภูมิภาคนี้โดยกลุ่มบริษัทข้ามชาติทั้งคนไทย ญี่ปุ่น จีน กับอีกทางข้อเสนอซื้อหุ้นจากกลุ่มเจริญสะท้อนแนวโน้มบริษัทข้ามชาติในไทยรวมทั้งเอเชียต้องการแผ่ขยายุรกิจ เข้าสู่ภูมิภาค ตลาดโลก โดยเลือกช็อปของถูกเอาจากวิกฤตอียู และอเมริกา

..แล้วถามว่า ผู้บริโภคจะได้อะไรบ้างจากสนามรบอันเดือดพล่านนี้

ตอบว่าได้ประโยชน์แน่ การผนึกเข้ากับบริษัทในภูมิภาคเดียวกันในลักษณะไทยเบฟเข้าซื้อหุ้นเอฟแอนด์เอ็นช่วยเพิ่ม economy of scale กดต้นทุนการดำเนินงานให้ต่ำลง และเมื่อมีสินค้าบริการเพิ่มขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างเสรี ผู้บริโภคคือกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองสูงสุด

...เว้นแต่เสียว่า การได้มาของธุรกิจนั้นๆ จะทำให้เกิดการผูกขาด โดยผู้ผลิตเพียงรายเดียว และไม่มีใครคาดเดาได้ซะด้วยว่าเกมนี้จะลงเอยอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น