นาทีนี้ การเมืองเกิดอาการหน้ามืดตามัว งัดเกม ระดมมวลชนเตรียมพร้อมออกมาเผชิญหน้ากันชนิด “ไม่มีอะไรต้องเสีย” อีกแล้ว จึงส่งผลให้บรรยากาศการเมืองเริ่มร้อนแรงนับแต่ต้นเดือนกรกฎาคม พรรคเพื่อไทยกับแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตระเวนไปตะวันออก ตก เหนือ อีสาน เพื่อเปิดเวที “พรรคเพื่อ ไทยพบประชาชน”... แต่ขุนพล นปช. ปราศรัยบนเวทีกลับระเบิดอารมณ์ชำแหละศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเละเทะไม่เหลือชิ้นดี
พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยิ่งหย่อนกันเดินสายเปิดเวทีประชาชนในชื่อ “เดินหน้าผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายล้างผิดคนโกง” เพียงแค่หัวข้อ ย่อมบ่งบอกเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่ง...แน่ละ...เป็นเป้าหมายมุ่งโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ทรงอิทธิพลแห่งพรรคเพื่อไทยและนายใหญ่ของ นปช.
อีกทั้งยังเน้นโน้มน้าวให้ประชาชนแสดงพลังสนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญให้ช่วยยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ของพรรครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีชัดเจนยิ่ง การเผชิญหน้าทาง การเมืองส่ออาการแตกหัก ไม่มีรอม ชอม ล้วนมีแกนกลางอยู่ที่บทบาทหน้าที่ขององค์กรอิสระทั้งสิ้น โดยเฉพาะองค์กรอิสระที่ชื่อ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งกำลังถูกฝ่ายการเมือง “จัดหนัก จัดเต็ม” ในขณะนี้
พรรคเพื่อไทยหวั่นเกรงจะกลาย เป็นเหยื่อและถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “ยุบพรรคครั้งที่ 3” จึงต้องปั่นพลังแนวร่วมมา “เขย่าขวัญ” ปรามการใช้อำนาจแบบ “กินเปล่า” มาย่ำยี ซ้ำเติมอย่างไม่รู้จบสิ้นการตระเวนพบประชาชนฐานเสียง จึงเท่ากับเป็นการปลุกพลังให้ “ลุกขึ้นสู้” ไม่ยอมเป็นคนชั้นล่างคอยถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเนิ่นนานชั่วรุ่นชีวิตความเป็นคน
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ต้องการฉวยโอกาสสร้างเนื้องานให้เข้าตากลุ่มพลังอำนาจสังคม เพื่อดึงอำนาจนี้มาเป็นพวกคอยหนุนยันการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญแต่ที่สำคัญ การสนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีความหมายถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจของพลังชนชั้นสูง ที่พวกเขาต้องออกแรงปกป้องเอาไว้จนสุด ฤทธิ์เดชของทายาทพรรคอำมาตย์ถึงที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็น องค์กรแกนหลักคอยจุดชนวนความแตก แยกในสังคมอีกแล้วอย่างนั้นหรือ...!!!
หลังการรัฐประหารเมื่อกันยายน 2549 องค์กรอิสระอย่างน้อย 3 แห่ง คือ ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มีบทบาทสัมพันธ์กับความขัดแย้งทาง การเมืองอย่างเข้มข้นและออกหน้าแบบแนบเนียนกับความชอบธรรม
องค์ประกอบขององค์อิสระเหล่านี้ ส่วนใหญ่และส่วนสำคัญมาจากกระบวนการยุติธรรมระดับสูงของสังคมเป็นหลัก เมื่อมีหน้าที่สัมพันธ์ทางการเมืองจึง ถูกเรียกอย่างมีนัยซ่อนเร้นเชิงประชดประชันว่า “คณะตุลาการภิวัฒน์” สามัคคีพลังตุลาการวิวัฒน์เปิด ฉากขึ้นด้วยการเล่นงาน “รัฐบาล ทักษิณ” แล้วขยายอิทธิพลทำลายล้างสั่ง “ยุบพรรคไทยรักไทย” เมื่อปี 2550 แล้วยุบพรรคพลังประชาชนกับพรรคอื่นๆ ที่มาตั้งรัฐบาลอีกครั้งเมื่อปลายปี 2551
จนทำให้นักการเมืองถูกตุลาการภิวัฒน์เขี่ยออกจากการเมืองมากถึง 220 คน แต่พ้นจากการถูกเว้นวรรค 5 ปีเมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา 111 คน
นักการเมือง 111 คนคือขุมพลังอันสำคัญที่จะมาช่วยงานการเมืองเพื่อผลักดันให้พรรคเพื่อไทยเติบใหญ่ยิ่งขึ้น นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่ฝ่ายคนคอยต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่นิ่งๆ ได้ในสนามเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์แพ้ซ้ำซาก จนเป็นฝ่ายค้านแบบหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ในทางการเมืองแล้ว กลับยืนแป้น “ผู้ชนะตลอดกาล”
ชัยชนะทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์มีจุดเด่นอยู่ที่การเป็น “แนวร่วมอำนาจ” ของพลังควบคุมสังคม ดังนั้น เกมรุกทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ จึงเต็มไปด้วย “ตัวช่วย” จากองค์กรอิสระมาเป็น แนวร่วมขย่มอำนาจพรรคเพื่อไทย โดยมีเป้าหมายเดิมๆ คือ ยุบพรรคเพื่อไทย
แต่การยุบพรรคเพื่อไทย ทำไม่ได้ง่ายๆ อย่างในอดีต ในปีนี้จะเกิดการต่อต้านครั้งใหญ่ เพราะ “ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว” พวกเขาจึงต้องสู้เพื่อ “วัดใจ” ศาลรัฐธรรมนูญ “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำ นปช.ตระเวนปราศรัยหามรุ่งหามค่ำแทบทุกเวที “พรรคเพื่อไทยพบประชาชน” โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เช่นเดียวกับ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำนปช.อีกคนที่ได้ดีเป็นรมช. กระทรวงเกษตรฯ
เขาป่าวประกาศให้มวลชนเสื้อแดง “เตรียมพร้อม” กับการย่ำยีทาง การเมืองในอนาคตอันใกล้ ด้วยการ นำเหตุการณ์ถูกกระทำมาอธิบายเป็นรูปธรรมทุกเวที การป่าวประกาศปลุกพลังเกิดขึ้นในทำนองนี้ พวกเขาย้ำแล้ว ย้ำอีก เพื่อให้เตรียมพร้อมเตรียมพร้อมเพื่อมาแสดงพลังเล่นเกมเขย่าขวัญกับอำนาจที่ต้อง การ ยุบพรรคเพื่อไทย ที่เริ่มแสดงผ่านการพิจารณาคำร้องกล่าวหาว่า “ล้มล้างการปกครอง” ซึ่งจะเปิดฉากขึ้นในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ “ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว” สะท้อนถึงอารมณ์มุ่งมั่นเพื่อ “เขย่าขวัญ” ตามประสาพลังชาวบ้านทื่อๆ ได้ถ่องแท้ จนยากจะคาดเดาอนาคตเมื่อทุกพลังจากทุกฝ่ายมา บรรจบกัน!!
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น