--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โค้งหักศอก.. 10 วันอันตราย จับตาเกมล้มอำนาจรัฐ !!?

เป็นการคลี่คลายวิกฤติแห่งรัฐธรรมนูญ หลังคำวินิจฉัยของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 7-1 “ให้ยกคำร้อง” กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ไม่ขัดมาตรา 68” เพราะเห็นว่ายังไม่มีการกระทำที่จะเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยเคาะกันตามเกม!! ที่สุดพรรคเพื่อไทย และ “กลไกนิติบัญญัติ” ก็สามารถล้าง “อาถรรพ์ศุกร์ 13” ได้แล้วแต่กระนั้น แม้ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็น “หนทาง” ซึ่งประนีประนอมกันมากที่สุด แต่ยังคงไว้ซึ่ง “เงื่อนไข” ที่ให้แก้เป็นรายมาตรามิใช่แก้ทั้งฉบับ ได้มีการกล่าวถึง “จินตภาพแห่ง รธน.” ที่ไม่ว่า “ผลลัพธ์” จะออกมาในแง่บวกหรือลบ นั่นย่อมกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” แห่งชะตากรรมของการเมืองไทยทั้งระบบ และย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยในเรื่องการถ่วงดุลอำนาจระหว่าง “ฝ่ายตุลาการ” และ “ฝ่ายนิติบัญญัติ”

เมื่อมองไปถึงการเคลื่อนไหวใน “ซีกมวลชน” แต่ละขั้ว ไม่ว่าฝ่าย “ผู้ร้อง” และ “ผู้ถูกร้อง” ก็มีแนวโน้มที่ว่า...ต่างฝ่ายยอมหักไม่ยอมงอ นั่นคือ การเปิดประตูไปสู่ความวุ่นวาย! “ปะ-ฉะ-ดะ” บนเกมการเมืองข้างถนน ทั้งในปีกคนเสื้อแดง หรือกระทั่งเสื้อเหลือง ที่จะออกมา “เคลื่อนไหว” ไปพร้อมๆ กับ “ม็อบบลูสกาย” ยิ่งในเบื้องลึกแล้ว! การเผชิญหน้า ระหว่างมวลชนขั้วตรงข้าม ในจังหวะการเคาะ “คำตัดสิน” อาจไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถือเป็นการต่อสู้กันอย่างเปิดเผยระหว่าง “กลุ่มมวลชน” ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

ทว่าเวลานี้ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจยิ่งกว่า เพราะ มี “สัญญาณ” จากแกนนำในรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง ตีธงออกมาเป็นทิศทางเดียวกันว่า “ศุกร์ 13” ยังมิใช่จุดที่ “วิกฤติ” อย่างแท้จริง หากแต่สถานการณ์อันล่อแหลม หลังวันที่ 13 ก.ค.ไปแล้ว ดูจะยิ่งข้นคลั่ก ทำให้ทุกฝ่ายมิควรคลาดสายตา!! จะเห็นได้ว่า การระดมมวลชนทั้ง จาก “ฝ่ายต่อต้าน” และฝ่ายพิทักษ์ตุลาการรัฐธรรมนูญ ไม่ได้รุนแรงหรือไม่มากอย่างที่มีการ “ประโคมข่าว” กัน เอาไว้ เช่นเดียวกับ กระแสเสียงใน “ภาคประชาชน” ที่แม้จะมีมุมความคิดต่างกันไป ทว่าได้มีทรรศนะที่ตรงกันว่า “โมเดลแก้ รธน.” จะเป็นชนวนร้าวที่นำไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่ “น.พ.ประเวศ วะสี” ราษฎรอาวุโส ย้ำหัวตะปูว่า สิ่งที่กำลังดำเนินไปอยู่ขณะนี้ คือการกระพือความเกลียด ชังกันในสังคมไทย ซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรงที่เรียกว่า “มิคสัญญีกลียุค”

“แม้ปัญหาความขัดแย้งยังมี แต่ไม่ควรกระพือความเกลียดชัง เราต้องช่วยกันสร้างสังคมที่ความเป็นธรรม แต่ที่ผ่านมาสังคมไทยมีช่องว่างความเหลื่อมล้ำมาก ทำให้นำไปสู่ปัญหาต่างๆ รวมทั้งความขัดแย้ง คนไทยไม่ว่าจะสีแดง สีเหลือง สีเขียว หรือไม่มีสีก็ตาม การตื่นตัวทางการเมืองถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องระวังอย่าให้เกิดความวุ่นวาย”

ทั้งหมดทั้งปวง สอดรับกระแสใน ช่วง 10 วันอันตรายนับจากนี้ไป ที่ดูจะ สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก และคงต้อง ระมัดระวังทุกย่างก้าว เพราะ 13 กรกฎาคม คือวันชี้คดี แก้รัฐธรรมนูญว่าจะขัดมาตรา 68 อันเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่... ซึ่งก็รู้ผลลัพธ์กันไปแล้ว ส่วน 23 กรกฎาคม เป็นวันชี้ชะตากรรมทางการเมืองของแกนนำเสื้อแดง “จตุพร พรหมพันธุ์” ซึ่งถูกเพิกถอนประกันตัวต่อศาลอาญา หลังถูกชี้ว่ามีพฤติกรรมข่มขู่ศาล

แม้เวลานี้ “จตุพร” กำลังตกอยู่ใน “วงล้อม” แห่งความยากลำบาก แต่กระนั้นเขาก็ยังคง “วาดหวัง” กับการ “ปูนบำเหน็จ” ในเก้าอี้เสนาบดีแห่งรัฐ หลังมี “สัญญาณให้เตรียมตัว” ส่งมาจากคนแดนไกล จะ..“วืด” หรือจะ..“สมปรารถนา” ?! และ “จตุพร” จะเอาตัวเองพ้นคุก ได้หรือไม่?! ทั้งหมดทั้งปวงย่อมจะเป็น “ตัวเร่งปฏิกิริยา” ให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง...ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งที่พอจะเป็น “ธงในใจ” และพอจับเค้าใจความได้ นั่นคือการที่ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่ออกมายอมรับว่า สิ่งที่เขารู้สึกเป็นห่วง ไม่ใช่การเคลื่อนไหวของมวลชนหน้าศาลรัฐธรรมนูญ เพราะทุกคนต้องกระทำภายใต้กรอบของกฎหมายภายใต้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่ไม่อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายอย่าง “อำนาจนอกระบบ” ต่างหากที่ฝ่ายยุทธศาสตร์เพื่อไทย อดวิตกกังวลไม่ได้ว่า “ประวัติศาสตร์” กำลังจะย่ำซ้ำรอยเก่าอีกครั้ง

แถมมีการออกมาปูดกระแส ว่าด้วย “อำนาจนอกระบบ” ดูจะสอดคล้อง กับจังหวะก้าวของ “แกนนำคนเสื้อแดง” โดยเฉพาะสายฮาร์ดคอร์หลายคน ที่ผลัดเวียนกันออกมา “โยนระเบิดกลางวง” ว่า...เวลานี้กำลังมีรายการ “ลงขัน” เพื่อ “ล้มรัฐบาล” จากฝ่ายอนุรักษนิยม 3 กลุ่ม เคาะวงเงินกันสูงถึง 6 พันล้านบาท!!

และตามมาด้วยการแฉ “แผนบันได 2 ขั้น” โดย “วรชัย เหมะ” แดงสายฮาร์ดคอร์ และ ส.ส.ปากน้ำ พรรค เพื่อไทย ได้กล่าวอ้างว่า “ขั้นที่ 1” จะใช้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นกลไกแรกเพื่อล้มรัฐบาล และหากยังไม่สำเร็จ จะตาม มาด้วยบันไดขั้นต่อไป คือการดึง “กองทัพ” ให้ออกมา “ปฏิวัติ”

เช่นที่ว่านี้ การออกมาให้ความเห็น ของคนในซีกรัฐบาลและแกนนำเสื้อแดง กำลังบ่งชี้ให้เห็นถึง “ชนวนร้าว” ที่จะเป็นหมายเหตุแห่งความวุ่นวายหลังหลุดพ้น “อาถรรพ์ศุกร์ 13” ไปแล้ว..ใช่หรือไม่ ?!! ต้องไม่ลืมว่า การระดมมวลชนไม่ว่าจะเสื้อสีใดก็ตาม คงต้องเผชิญกับ คำสั่ง “ให้แตะเบรก” จากเจ้าของอำนาจที่กำกับฉากอยู่เบื้องหลัง เพราะ หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเดินเกมผิดพลาด ย่ำเข้าสู่ “กับดัก” ด้วยการเป็นฝ่ายเล่นเกมแรงก่อน ก็อาจเป็นฝ่ายล้มคว่ำไปเสียเอง เชื่อเหลือเกินว่า หากใครเริ่มก่อน คงไม่แคล้วเป็น “มวยแพ้หมดรูป” ตามโจทย์แห่งความชอบธรรม ที่สุดแล้วก็จะ กลายเป็น “เงื่อนไข” ที่นำมาซึ่ง “ปฏิบัติ การกวาดล้าง” เช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และยิ่งทำให้ฝ่ายที่ก้าวพลาด ตายตกเป็น “จำเลย” ที่สร้างความปั่นป่วนขึ้นในสังคม

ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังสุกงอม ก็ดูน่าแปลกสำหรับการเคลื่อนไหวของ ฝ่ายต่อต้านอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่ง อยู่ในอารมณ์อันคุกรุ่น “สวนทาง” กับจังหวะการก้าวของ “ฝ่ายไม่เอาทักษิณ” หรือฝ่ายองครักษ์พิทักษ์ “ตุลาการภิวัฒน์” ทั้งเหลือง หลากสี หรือม็อบบลูสกาย ตลอดจนแนวร่วมฯ ทั้งหลายแหล่ ที่เวลานี้ดูสงบเรียบร้อย...ผิดปกติ ไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด

แม้จะมีการลั่นปี่กลองออกมาเป็น ระยะ แต่บนความเคลื่อนไหวของ “แกนนำสารพัดสี” ในซีกอนุรักษนิยม กลับยังไม่แน่ชัด และไม่สะท้อนให้เห็นถึง “ความแรง” ที่มากพอ หรือการจุดกระแสให้เกิดเหตุ “ประจันหน้า” กันอย่างที่คาดกันเอาไว้ เหล่านี้ยิ่งทำให้ขุมข่ายอำนาจในซีกรัฐบาล ประเมินสถานการณ์การสู้รบได้อย่างยากลำบากยิ่ง!

กระนั้นในเรื่อง “ทุนล้มรัฐบาล” แม้ดูเป็นการพูดกันอย่างเลื่อนลอย แต่ก็ดูมีน้ำหนักขึ้นมาเยอะ หากเทียบเคียงกับพฤติการณ์ “นิ่งเงียบ” ของหมู่มวลพันธมิตรฯ เพราะยากจะปฏิเสธได้ ว่าเวลานี้ “ม็อบ” กำลังขาดน้ำเลี้ยง!!! ในความเงียบที่ดูไม่ปกตินี้ จะเป็นเพียงแค่ “คลื่นกระทบฝั่ง” หรือจะบานปลายถึงขั้นเป็น “มรสุมลูกใหญ่” ผ่านการเดินเกมเขย่ารัฐบาลทั้ง “ใต้ดิน-บนดิน” ผ่านทุกเส้นใยอำนาจ ที่จะเป็น “ตัวแปร” ไปสู่การพลิก-หมากการเมืองทั้งกระดาน?!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น