--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ค้านดะ... แค่เกมป่วน หรือจ้องล้ม !!?

จะเป็นเพราะรู้แกวว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีดวง หรือเรียกว่า ดวงกุดเลยก็ว่าได้ สำหรับระบบยุติธรรมในยุคนี้
หรือจะเป็นเพราะว่าผยองในความโชคดี หรือในการที่ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากกลุ่มบุคคลในระบบยุติธรรมบางกลุ่มมากเป็นพิเศษ จนไม่ว่าต่อให้เข้าตาจนสักเพียงใด ก็จะรอดสันดอนไปได้อย่างหวุดหวิดเฉียดฉิว

แม้จะต้องชนะฟาล์ว ชนิดค้านสายตาคนดูทั้งประเทศ หรือคนทั้งโลก ก็ไม่สน

แม้แต่กระทั่งจะดึงให้ระบบยุติธรรมสั่นคลอน ไปด้วยคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์”ก็ตาม ก็ไม่สนอีกเช่นกัน

เห็นได้ชัดจากท่าทีและการแสดงออกของพรรคประชาธิปัตย์ ในวันนี้ ที่เดินหน้าค้านดะ! ไปหมดทุกเรื่อง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์กับประเทศชาติหรือไม่

หรือแม้แต่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์จะเคยดำเนินการมาก่อนก็ตาม

กรณีล่าสุดคือเรื่อง องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ องค์การนาซ่า ขอใช้เพื่อจอดอากาศยานขึ้นบินเพื่อตรวจสอบสภาพอากาศ ที่โดนพรรคประชาธิปัตย์ค้านดะจนกระทั่ง นาซ่าทำท่าว่าจะเป็นฝ่ายที่พร้อมยุติโครงการเสียเองแล้ว

ในเมื่อพรรคฝ่ายค้านของไทยค้านดะ โดยไม่ฟังเหตุผลใดๆ โดยตั้งสมมุติฐานเอาเองเพียงแค่ว่า เรื่องนี้เป็นการทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับการออกวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

หากคิดได้แค่นี้ ยังคงก้าวข้ามไม่พ้นคนๆเดียว และมีอคติจนดันทุรังโยงทุกอย่างเข้าไปเป็นเกมการเมือง หวังปลุกเร้าคนไทยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง จึงต้องปิดหูปิดตาค้านหัวชนฝา

นาซ่า เจอแบบนี้ ย่อมไม่อยากที่จะเข้าไปในวังวนหรือปลักน้ำครำการเมืองไทยให้เปรอะเปื้อนไปด้วย จึงเริ่มแสดงท่าทีแล้วว่า หากการเมืองไทยมีปัญหาจนทำให้การตอบรับโครงการล่าช้า ก็จะขอยุติโครงการเสียเอง

ทั้งๆที่พรรคประชาธิปัตย์ รู้อยู่แก่ใจลึกๆว่า โครงการการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ (HADR) กับ โครงการการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพอากาศ (SEAC4RS) ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาโดยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่อย่างใด

เพราะโครงการ HADR ริเริ่มขึ้นมาโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยที่มีการไปนำเสนอต่อที่ประชุมอาเซียนสหประชาชาติครั้งที่ 3 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2553
ปรากฏหลักฐานแจ้งชัด รัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลก รัฐบาลประเทศในภูมิภาครู้ด้วยกันทั้งนั้น

เช่นเดียวกับโครงการ SEAC4RS สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ก็ได้มาพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคม 2554 รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง

ที่สำคัญโครงการนี้ก็มิได้ดำเนินไปแบบงุบงิบหรือว่าเป็นการแอบดำเนินการ แต่ทำมาอย่างเปิดเผย โดยตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2553 มาแล้วที่องค์การนาซาของสหรัฐได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จีสด้า) เพื่อตรวจสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศ

ทั้งหมดนี้ล้วนริเริ่มขึ้นในสมัยของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ทั้งสิ้น

แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งแบบหมดรูป จนต้องจำใจมาเป็นพรรคฝ่ายค้าน กลับใช้เหตุแห่งการก้าวข้ามไม่พ้นคนชื่อทักษิณ เดินหน้าค้านดะในสิ่งที่เป็นคนที่ริเริ่มขึ้นมาเองกับมือ

และด้วยความที่รู้ทางว่า ในสภาวะปัจจุบันที่ “ตุลาการภิวัฒน์”ได้สร้างอิทธิปาฏิหาริย์จนทำให้พรรคเพื่อไทยไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าบุ่มบ่ามกับเรื่องที่อาจจะต้องมีการตีความโดยระบบยุติธรรมอีกต่อไปแล้ว

ก็ขนาดอำนาจ 3 เสาหลักตามระบอบประชาธิปไตย นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ยังโดนเขย่าจากการตีความเข้าทางพรรคประชาธิปัตย์ และ 40 ส.ว.มาแล้ว แม้ว่าบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตด้านรัฐศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ นักกฎหมาย นักวิชการ จะออกมาบอกว่าการตีความออกคำสั่งของตุลาการรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจผูกพันที่จะมาแทรกแทรงรัฐสภาได้ ให้เดินหน้าชนเลย

แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่กล้าเสี่ยง ต้องยอมถอย

พรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมย่ามใจ และทำให้ในครั้งนี้ก็ใช้แนวเดิมคือลากเข้า ม.190 จนได้ ทั้งๆที่ในตอนที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทำเรื่องนี้ไม่ได้มีการพูดถึงหรือเอามาผ่านกระบวนการ ม.190 สักแอะ

ประชาธิปัตย์สั่งระบบยุติธรรมได้หรือไม่??? คงไม่มีใครที่จะระบุยืนยันชัดเจน ได้แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องที่รู้อยู่แก่ใจเห็นอยู่ด้วยตากับสิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
สั่งได้สั่งไม่ได้ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆเวลานี้ประชาธิปัตย์ผยองมากกับการดึงทุกเรื่องให้ผ่านกระบวนการตีความของระบบยุติธรรม

ฉะนั้นวันนี้จึงป่วยการเปล่าที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการวิจัย ไม่ใช่เรื่องทางทหาร เนื่องจากนาซาเข้ามาเรื่องวิทยาศาสตร์จริงๆ และทางกระทรวงกลาโหมก็จะส่งคนไปร่วมทีมด้วย เพื่อดูแลด้านความมั่นคง

เช่นการขึ้นไปตรวจสอบเครื่องบินที่จะมาสำรวจสภาพอากาศว่ามีอุปกรณ์อะไรบ้าง

ยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีการตีประเด็นสร้างกระแสขึ้นมาว่า ประเทศนั้นประเทศนี้อาจจะไม่พอใจ โดยเฉพาะประเทศจีนนั้น เอาเข้าจริง พล.อ.อ.สุกำพลก็ยืนยันว่าทางประเทศจีนไม่ได้สอบถามอะไร และไม่มีปัญหาอะไร รวมทั้งไม่ได้เสดงความห่วงอะไรเลย มีแต่คนไทยเท่านั้นที่ห่วงแทนประเทศจีน

“จีนก็ไม่ได้มีการทำหนังสือขอคำชี้แจงอะไร หากมีเรื่องอะไรกระทบกับจีนทางจีนคงพูดไปแล้ว วันนี้ทางจีนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร”

อีกทั้งทางประเทศกัมพูชาและสิงคโปร์ก็อนุญาตให้เครื่องบินทั้ง 3 ลำของนาซ่าขึ้นบินสำรวจเหนือน่านฟ้า เพื่อภารกิจทำการวิจัยในเรื่องนี้ได้ เพราะเป็นประโยชน์ของทั้งโลก ไม่ใช่ของประเทศไทยหรือของนาซ่า หรือเฉพาะภูมิภาคนี้

“หากทำแบบที่เป็นอยู่ ผมคิดว่ามันไม่ได้เป็นการรักประเทศชาติ ต้องดูว่ามีขอบเขตแค่ไหน และควรแยกให้ออกว่าเรื่องวิจัยก็เป็นเรื่องของการวิจัย นำไปพันโน้นพันนี่ มันไม่ถูก ที่นำไปอ้างว่าจะเสียอธิปไตยนั้น ความจริงแล้วทางสหรัฐฯเสียอธิปไตยมากกว่า เพราะเจ้าหน้าที่เราสามารถขึ้นไปตรวจสอบเครื่องบินที่จะทำการสำรวจวิจัยได้ ดังนั้นอย่าไปคิดในทางที่ไม่ดี”

แต่นายอภิสิทธิ์ และแก๊ง หูอื้ออึงไปด้วยตัณหาการเมือง จนไม่ยอมรับฟังอะไรแล้ว จึงป่วยการที่จะชี้แจง

ก็ขนาดนายปณิธาน วัฒนายากร อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีความเป็นนักวิชาการมากกว่าความเป็นนักการเมือง ก็ยังยอมรับเลยว่าตัวโครงการไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นโครงการทางวิทยาศาสตร์และการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม

ส่วนการที่โครงการนี้เริ่มตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วทำไมไม่ออกมาบอกสังคมหรือทำไมไม่ต้องผ่านสภาม.190 นายปณิธานอ้างว่าโครงการนี้เริ่มตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วก็จริง แต่ยังไม่ทำอะไรมาก เพราะเพิ่งเริ่มต้นที่เราไปติดต่อ ก็มีการประสานงานมาที่กระทรวงการต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร เพราะมีการเลือกตั้ง ความจริงโครงการนี้ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย แต่ต้องบอกรายละเอียด

นอกจากนี้ยังอาจจะมีเรื่องการเมืองระหว่างประเทศด้วย เพราะหากเราดำเนินโครงการอาจจะทำให้จีนไม่พอใจเราจะเสียเพื่อนไปกลุ่มหนึ่ง แต่หากเราล้มเลิกโครงกาก็จะทำให้สหรัฐฯไม่พอใจเราก็จะเสียเพื่อนไปอีกกลุ่ม

ดังนั้นต้องถามรัฐบาลว่าเราดำเนินนโยบายแบบไหนจะทำแบบเลือกข้างหรือไม่ หรือเลือกที่จะคบทุกฝ่าย หากเราเลือกข้างก็ง่าย คือหากเราเลือกจีนก็ยกเลิกโครงการหรือเราเลือกสหรัฐฯก็ดำเนินการต่อไป แต่หากเราจะเลือกทุกฝ่ายก็ต้องทำงานหนัก ต้องไปอธิบายให้จีนเข้าใจ

“ตอนนี้ทางคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งมาต้องรีบศึกษารายละเอียดและสรุปผลให้เร็ว เพราะสหรัฐฯก็เร่งมา และเราก็ต้องไปอธิบายกับจีนด้วย หากชักช้าอาจจะเสียผลประโยชน์จากทุกฝ่าย ตอนนี้ไทยกำลังถูกกระชากลากถูไปมาให้ต้องเลือกข้าง รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายให้ดีอย่าสับสน”นายปณิธานกล่าว

จริงๆสิ่งที่นายปณิธานต้องการรายละเอียดนั้น ไม่ใช่แค่รัฐบาลจะให้คำตอบ ทางนาซ่าเองก็เปิดเผย ถึงขนาดที่จะเอา ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรคนไทยในนาซามาร่วมโครงการนี้ด้วย เพื่อให้ไทยสบายใจขึ้นว่า นาซามาเพื่อสำรวจสภาพอากาศจริงๆ

ที่สำคัญสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ก็ได้ทำคำชี้แจงแล้วว่า นาซาได้เสนอขอใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ เพื่อดำเนินงานค้นคว้าเกี่ยวกับรูปแบบสภาพอากาศมรสุมในเอเชียและผลกระทบของการปล่อยก๊าซต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“โครงการดังกล่าวขององค์การนาซาเป็นการดำเนินการทางวิทยาศาสตร์เพียงประการเดียว และมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ได้จากการศึกษาทั้งหมดทางอินเตอร์เน็ต และผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์จะนำไปตีพิมพ์ในวารสารด้านวิทยาศาสตร์”

และอย่าง นายธวัช วิรัตติพงศ์ นักวิทยาศาสตร์ชาวไทย ในฐานะผู้จัดการฝ่ายออกแบบและ ติดตั้งระบบการสื่อสารบนยานอวกาศไร้คนของนาซา ก็มีการให้สัมภาษณ์ว่า ที่หลายฝ่ายกังวลว่า กองทัพสหรัฐจะใช้นาซาเข้ามาล้วงความลับที่เป็นความมั่นคงนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ กองทัพสหรัฐมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยกว่าที่หลายคนคิดและรู้เห็นมาก

“ที่สำคัญคือ นาซากับกองทัพ ไม่ค่อยจะยุ่งกัน ยิ่งเรื่องการไปก้าวล่วงอาณานิคมของประเทศอื่นแล้วเอานาซาเป็นข้ออ้างนั้น เป็นไปไม่ได้เลย เราจะไม่มีวันที่จะทำจารกรรมประเทศอื่น โดยใช้การสำรวจทางวิทยาศาสตร์มาบังหน้าเด็ดขาด หากกระทรวงกลาโหมหรือกองทัพสหรัฐจะกระทำจารกรรมประเทศไทย หรือประเทศเพื่อนบ้าน โดยอาศัยภาพถ่ายทางอากาศ หรือการดักฟังข้อมูล ข่าวสารต่างๆ เขาจะมีวิธีการอื่นที่ดีและแยบคายกว่านี้แน่นอน เราไม่มีวันที่จะรู้ได้เลย ดังนั้น สิ่งที่นาซาได้ร้องขอมายังประเทศไทยในโครงการนี้ เป็นการขอความร่วมมือ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนในโลก ไปตีความให้ยุ่งเหยิงและคิดมากไปเอง”นายธวัชกล่าว

เช่นกันกับ ดร.นริศรา ทองบุญชู ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ซึ่งเคยเข้าร่วมวิจัยกัยนาซ่า ก็ยอมรับว่า นาซาเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด

แม้แต่สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ซึ่งร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายตามคำเชิญของกระทรวงการต่างประเทศ ก็ทำรายงานถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยืนยันว่า

ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับแวดวงวิทยาศาสตร์ช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการพยากรณ์และการป้องกันภัยพิบัติในภูมิภาคนี้

ชัดๆแบบนี้ มีคนยืนยันแบบนี้ มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากออกมาแสดงความเสียดายหากโครงการนี้แท้ง ในฐานะนักวิชาการนายปณิธานน่าที่จะเอารายละเอียดเหล่านี้ไปบอกให้พลพรรคประชาธิปัตย์ฟังบ้าง ก็จะดีกับประเทศชาติไม่น้อย

วันนี้ความกังวลของพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อมโยงฐานความคิดมาจากกลุ่มพันธมิตร ควรที่จะทบทวนว่าเป็นเรื่องอคติทางการเมืองจนเกินไปแล้วหรือไม่ หรือเป็นเจตนาจ้องล้มรัฐบาลใช่หรือไม่???

หรือจริงๆแล้วคือเกมการเมือง ที่ต้องค้านทุกเรื่องเพื่อไม่ให้รัฐบาลเดินหน้าใดๆให้เป็นผลงานได้ ยิ่งนับแต่วันที่นางสาวยิ่งลักษณ์เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ท่าทีสหรัฐ ผ่านนางฮิลารี คลินตัน เห็นชัดว่าให้การยอมรับและสนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์ มากกว่าตอนที่ประชาธิปัตย์ดั้นเมฆมาเป็นรัฐบาล ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

อาจจะเป็นแผลใจที่ทำให้ประชาธิปัตย์คาใจกับสหรัฐฯอยู่ลึกๆก็เป็นได้

จึงได้ลากเรื่องนี้มาเป็นการเมือง และดึงเอา พ.ต.ท.ทักษิณ มาโยงเข้าไป เพราะรู้ว่าประเด็นนี้ขายได้ทางการเมือง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ

ซึ่งการกระทำของประชาธิปัตย์ครั้งนี้ หากโครงการสำรวจของนาซ่าจะแท้งไป ก็คงจะดีเหมือนกัน เพราะหากไม่มีโครงการนี้ให้ประชาธิปัตย์โจมตีว่าเป็นโครงการแลกกับวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว
ถึงเวลาในเดือนกรกฎาคม พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถบินไปสหรัฐฯได้

ตอนนั้นประชาธิปัตย์จะอ้างว่าอะไรอีก

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น