การแข่งขันทางการเมือง กับ การมุ่งทำลายล้างทางการเมือง เป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เพราะการแข่งขันทางการเมืองนั้น เป็นสิ่งที่นานาอารยะประเทศยอมรับได้ ทุกประเทศเสรีประชาธิปไตยจะต้องมีพรรคการเมืองที่ทำงานแข่งกัน เพื่อที่จะให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าพรรคการเมืองใด สมควรที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ
ถ้าได้รับการเลือกตั้งให้บริหารประเทศแล้วทำไม่ได้ หรือผลงานไม่เข้าตาประชาชน ก็เลือกตั้งกันใหม่
นี่คือระบอบประชาธิปไตยที่เสียงของประชาชนมีความหมายต่อการก้าวเดินไปข้างหน้าของประเทศ
ซึ่งแม้ในบางประเทศจะเป็นการแข่งขันกันของพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ที่ต้องขับเคี่ยวแข่งขันกันก็ไม่เป็นไร ประชาชนที่เป็นแฟนคลับของเดโมแครต หรือแฟนคลับของรีพับบลิกัน ก็ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้าเข้าใส่กัน
ช่วงไหนพรรคการเมืองใดมีผลงานดี มีนโยบายที่ถูกใจประชาชน ก็เป็นฝ่ายชนะไป อีกฝ่ายก็ต้องปรับปรุงตัวปรับปรุงการทำงาน
แต่ต้องไม่ใช่การมุ่งทำลายล้างกันในทางการเมืองอย่างเช่นที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในขณะนี้
เลือกตั้งสู้ไม่ได้ ก็ใช้สารพัดวิธีการ สารพัดกลุ่มเข้ามาเล่นงานพรรคการเมืองและรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าอย่างไรประชาชนที่ลงคะแนนเสียงเลือกพรรคเลือกรัฐบาลเข้ามา ก็ย่อมที่จะยอมรับไม่ได้
การเผชิญหน้ากันก็ย่อมบังเกิด ในขณะที่การปรองดองก็กระเด็นหายไปจากสังคม
อย่าว่าแต่สังคมไทยภายในประเทศด้วยกันเองเลย แม้แต่ต่างประเทศก็อึดอัด และยากที่จะยอมรับกฏเกณฑ์กติกาใดๆที่เห็นชัดว่าเป็นเกมการทำลายล้างกันในทางการเมืองได้
ฉะนั้นจะเห็นว่ารัฐบาลชุดที่แล้วของนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ค่อนข้างที่จะมีปัญหากับบรรดามิตรประเทศ เพราะประเทศเหล่านั้นแม้จะไม่บอยคอต แต่ก็อึดอัดใจที่จะให้ความร่วมมือ เลยใช้วิธีการเพียงแค่รักษามารยาททางการทูตเอาไว้เท่านั้น
แต่สำหรับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีชายแดนติดกัน มีปัญหากระทบกระทั่ง มีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ระหว่างชายแดน ประเทศพวกนี้จะไม่มีการเกรงใจประเทศไทยในช่วงรัฐบาลที่แล้วเลย
เพื่อนบ้านจึงมีลักษณะไม่ใช่มิตรประเทศเหมือนในอดีต
สิ่งเหล่านี้ หากยอมรับความเป็นจริง พรรคประชาธิปัตย์จะต้องมองเห็นว่าการที่มุ่งแต่จะไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยที่ให้นายกษิต ภิรมย์ ดำเนินการทุกรูปแบบนั้น ได้ทำให้ประเทศไทยในสายตาต่างประเทศ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศต่างๆนั้นวูบลงมากมายเพียงใด
ก็สมควรแล้ว เมื่อนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะตอบชี้แจงกระทู้เรื่องการออกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ยังถือโอกาสบอกให้คนไทยได้รับรู้อย่างชัดเจนด้วยว่า ต่างประเทศอึดอัดใจเพียงใดในช่วงที่ผ่านมา
อย่างตอนที่นายสุรพงษ์ไปทำหน้าที่เยี่ยมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่อาบูดาบี และเชิญเขามาไทย ปรากฏว่าทางนั้นระบุชัดเลยว่า 2 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์เปรียบเหมือนน้ำแข็งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“แม้ผมจะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่สามารถพูดกับเมียนมาร์ให้เขาเปิดด่านแม่สอดที่ปิดไป 1 ปี 6 เดือนเศรษฐกิจเสียหายไปเท่าไหร่ ถึงจะไม่พูดฝรั่งปร๋อ ไม่ได้เรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก แต่สามารถพูดจนรัฐบาลเมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และความสัมพันธ์ดีขึ้น เวลาไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ต่างก็พูดว่ารัฐบาลที่แล้วไล่ตามล่า พ.ต.ท.ทักษิณจนทะเลาะเบาะแว้งกับเขาหมด ไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ อยากให้เล่นการเมืองอย่างสร้างสรรประเทศจะได้เจริญ วันนี้มาพูดความจริงกัน”
เป็นสิ่งที่น่าจะสะท้อนอะไรได้บ้าง หากจะเปิดใจกว้างยอมรับกัน
แต่กลับกลายเป็นว่า พอนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วพยายามที่จะแก้ไขฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลับกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ยุคนายอภิสิทธิ์ ก็ตั้งป้อมถล่มซ้ำๆซากๆ อยู่แต่ว่าจะมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
อย่างกรณีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางไปร่วมหารือกับผู้นำลุ่มน้ำโขงที่ประเทศพม่า ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลประโยชน์ทับซ้อน... นอกจากจะถือเป็นการเล่นงานหวังดิสเครดิตรัฐบาล หวังทำลายพรรคการเมืองภายในประเทศด้วยกันเองแล้ว
เคยคิดให้รอบคอบบ้างหรือไม่ว่า วิธีการแบบนี้เท่ากับไปกระทบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยเต็มๆ ฉะนั้นไม่แปลกที่หากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล แล้วพรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมจะเอ่ยปากว่าคบยาก และบรรดาประเทศเพื่อนบ้านจะไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย
ใครจะอยากคบกับรัฐบาลที่บริหารโดยกลุ่มคนที่พูดไม่คิด พูดไปเรื่อย ขอให้เอาดีเข้าตัวเป็นพอ ความเลวความชั่วจะไปตกที่ใครก็ช่าง
ไม่ได้ดูเลยว่า ในการเดินทางไปเยือนพม่าของ นางสาวยิ่งลักษณ์นั้น ประธานนาธิบดี เต็งเส่ง มีความสนิทและชื่นชอบในตัว นางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นอย่างมาก และทุกครั้งที่ไปเยือนก็จะพูดถึงแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คอยชี้นำให้กับรัฐบาลพม่า ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการดูแลประชาชนให้มีงานทำ สร้างงานให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลพม่าไม่เคยลืม
พอ นางสาวยิ่งลักษณ์ เดินทางไปจึงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ได้พบปะทั้งรัฐบาล ทั้งผู้นำประเทศ รวมทั้งแต่กระทั่งนางอองซาน ซูจี ด้วย
ที่สำคัญในการเดินทางไปก็ทำทุกอย่างเพื่อประเทศไทย พยายามจะไปลงนามข้อตกลงโครงการต่างๆที่เริ่มในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งซ่อมสะพานเนยวดี-แม่สอด สะพานเนยวดี-ตะนาวศรี
ปัญหาก็คือ ไม่รู้ว่าการที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ไปฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายนั้น เป็นสิ่งที่แสลงใจพรรคประชาธิปัตย์ แสลงใจนายอภิสิทธิ์ หรือไม่??? จึงได้ตั้งป้อมกล่าวหากันชนิดไม่ห่วงว่าจะกระทบความรู้สึกของประเทศเพื่อนบ้าน
ฉะนั้นการที่จะโดนนายสุรพงษ์ สวนกลับว่า
“ผิดกับรัฐบาลที่ผ่านมา ที่แม้จะพูดภาษาฝรั่งเก่งแต่ก็ไปทะเลาะกับประเทศต่างๆ อย่างกัมพูชาก็ไปตั้งท่าทะเลาะกับเขา แล้วความสัมพันธ์จะดีได้อย่างไร การที่บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการต่างๆ เล่นการเมืองถูกต้องหรือไม่ คดีที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นธรรมหรือไม่ ถ้าเป็นท่านบ้างจะรู้สึกอย่างไร ตลอดชีวิตหาเงินมา 4 หมื่นล้าน กว่าจะได้มาทุกคนก็รู้ที่มาที่ไป ไม่ได้โกงกินอย่างน้อยก็มีต้นทุน แต่ไปยึดของเขาหมดไม่ละอายใจบ้างหรือ อยากถามพวกท่านว่าหัวใจทำจากหินหรืออย่างไร”
นี่คือการตอบโต้ด้วยความรู้สึกที่สอดคล้องกับมุมมองของคนส่วนใหญ่ในประเทศใช่หรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ ที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งแบบหมดรูปน่าจะไปวิเคราะห์เองได้!!
ถ้าประชาชนไม่เห็นว่าครอบครัวชินวัตรถูกกระทำ ไม่เห็นว่าจากพรรคไทยรักไทย เป็นพรรคพลังประชาชน จนกระทั่งมาถึงพรรคเพื่อไทย ล้วนถูกกระทำมาตลอด ผลการเลือกตั้งจะออกมาชนะขาดลอยอย่างที่เกิดขึ้นหรือ
และหลังชนะการเลือกตั้ง กระทั่งมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย บรรดามิตรประเทศเพื่อนบ้าน และนานาประเทศจะให้การยอมรับ มีการเยี่ยมเยือนกันไปมาหลายประเทศแล้วนั้น นั่นคือการกลับมายอมรับรัฐบาลไทยที่มาจากการเลือกตั้งจริงๆไม่ใช่หรือ
หลายๆประเทศกลับมาให้ความร่วมมือ กลับมาช่วยเหลือประเทศไทยอีกครั้งในขณะนี้
ซึ่งหากเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เล่นการเมืองโดยสู้กันด้วยผลงานเพื่อสร้างการยอมรับให้กับประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ควรจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ทำไมตอนที่นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นาน 2 ปี 7 เดือน ต่างประเทศจึงไม่ได้ให้ความร่วมมือไม่ได้ให้ความสัมพันธ์เหมือนกับขณะนี้ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ เพิ่งจะเข้ามาเป็นรัฐบาลได้เพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น
ล่าสุดหนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่ทั่วโลกยอมรับว่าจะผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่ในโลกอย่างแน่นอน คือ ประเทศจีน ก็ได้มีการกระชับความสัมพันธ์กับไทยกับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างเต็มที่
นายสี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีจีน ได้เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 22-24 ธันวาคมทีผ่านมา ได้มีการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันทั้งด้านการส่งเสริมความสัมพันธ์ และความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทย-จีน
วาระสำคัญ คือ การลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และระบบรางเชื่อมโยงลาว-ไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งความร่วมมือระหว่างกันในสาขาต่างๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีได้ เพราะแต่ละประเทศให้เกียรติกันและกันใช่หรือไม่ ตรงนี้พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ ควรที่จะต้องเก็บไปคิดว่า การใช้นายกษิต ภิรมย์ให้ทำงานด้านการต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วจริงๆหรือ?
ทำไมตอนนายอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาล นายกษิตจึงไม่สามารถทำให้เกิดภาพที่น่าประทับใจกับมิตรประเทศไม่ได้
ในขณะที่วันนี้ทางจีนเองก็ประทับใจกับการที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ทำพิธีต้อนรับ นายสี จิ้นผิง ด้วยการเดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศผสม บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
และยังได้นำนายสี จิ้นผิง เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
ซึ่งรัฐบาลจีนนั้นได้มีการรับเสด็จฯ พระราชวงศ์ไทยในการเสด็จเยือนจีนอย่างสมพระเกียรติเสมอมา อีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือประเทศไทยที่ประสบอุทกภัยที่ผ่านมา ทั้งในรูปเงินสด 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และสิ่งของมูลค่า 140 ล้านหยวนอีกด้วย นี่คือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่ว่าพรรคการเมืองใดมาเป็นรัฐบาลก็ควรจะต้องเรียนรู้ และพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีให้ได้
เมื่อความสัมพันธ์ดีแล้ว ก็ไม่แปลกที่ในครั้งนี้จะมีการลงนามความตกลงระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับไทยถึง 6 ฉบับประกอบด้วย 1.หนังสือรับมอบความช่วยเหลืออุทกภัย 2.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาอย่างยั่งยืนไทย-จีน ในประเทศไทย เพื่อการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง กทม- เชียงใหม่ และระบบราง การพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างครบวงจร การวิจัย-พัฒนาพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน หลังงานทดแทนในชนบท 3.สนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษา
4.แผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ระหว่าง ปี 2554-2556 5.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทะเล และ 6.ความตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตราแบบทวิภาคี ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารกลางจีน เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน มีอายุสัญญา 3 ปี วงเงิน 70,000 ล้านหยวน หรือ 320,000 ล้านบาท
ที่สำคัญรัฐบาลจีนเสนอวงเงินกู้พิเศษ 400 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ให้รัฐบาลไทยใช้พัฒนาประเทศ ขณะเดียวกันจะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ถึง 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับมิตรประเทศเพื่อนบ้านนั่นเอง
หากนายอภิสิทธิ์ แอนด์ เดอะ แก๊งค์ และพลพรรคในประชาธิปัตย์ทั้งหลาย จะเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ดังปากว่าจริงๆ ก็น่าที่จะเปิดใจกว้างในการพิจารณาไตร่ตรองเปรียบเทียบด้วยใจเป็นธรรมว่า
ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จึงได้รับความร่วมมือกับนานาประเทศทั้งหลายมากขนาดนี้
แล้วทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์ จึงไม่ได้มีภาพเช่นนี้เกิดขึ้นเลย ทั้งๆที่พูดภาษาอังกฤษสไตล์ UK ได้เก่งมาก
หรือจะเป็นดังสัจจะธรรมที่ว่า “คำพูดไม่สำคัญเท่าการกระทำ”?
ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น