--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จำคุกตลอดชีวิต ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ ขบวนการพูโล ฐานกบฏแยกราชอาณาจักร

ศาลฎีกาพิพากษายืน ตัด สินจำคุกตลอดชีวิต 4 โจรพูโล นำโดย "หะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ" หัวหน้าขบวนการพูโลกับพวก ฐานดำเนินการเป็นขบวนการก่อความไม่สงบ วางระเบิดตามสถานที่ต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย


เวลา 09.30 น. วันที่ 2 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณา 914 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีกบฏแบ่งแยกดินแดน หมายเลขดำ ด.2722/2541 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายหะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ หรือดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือดาโอะ มะเซ็ง อดีตหัวหน้าขบวนการพูโล นายหะยี บือโด เบตง หรือนายบาบอแม เบตง หรือนายหะยี อาเซ็ม ประธานขบวนการพูโล นายอับดุล เราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ หรือนายหะยี สมาชิกขบวนการพูโล และนายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ หรือนายสะมะแอ สะอะ หรือหะยี อิสมาแอล กัดดาฟี หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธขบวนการพูโล เป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดร่วมกันเป็นกบฏแบ่งแยกราชอาณาจักร สะสมกำลังพลและอาวุธ สมคบกันเป็นซ่องโจร

ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างปี พ.ศ.2511-2541 มีกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลาม สมคบกันก่อตั้งองค์การทางการเมืองชื่อ องค์การปลดแอกแห่งชาติปัตตานี หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนพูโล เพื่อแบ่งแยกดินแดน 5 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วยจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี สตูล และสงขลาบางส่วน สถาปนาเป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง โดยไม่ขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลไทย ทั้งชักชวนให้สมาชิกนำญาติมิตรเข้าร่วมขบวนการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ ฝึกวิชาทหาร และการสู้รบแบบกองโจร ก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการต่างๆ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานีตำรวจ สถานีรถไฟ โรงแรม เผาอาคารสถานที่สำคัญ เช่น โรงเรียน เป็นต้น รวมทั้งใช้อาวุธยิงข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศนับถือศาสนาอิสลาม ตลอดจนมีการข่มขู่กรรโชกทรัพย์เรียกค่าคุ้มครองจากพ่อค้า นักธุรกิจ เจ้าของสวนยางพารา และบริษัทรับเหมาก่อสร้างอื่นๆ ทำให้ขบวนการพูโลมีเงินทุนซื้ออาวุธเพื่อก่อความวุ่นวายดังกล่าว ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1-4 ให้การรับสารภาพ ส่วนชั้นศาลจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ส่วนจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เป็นให้ลงโทษประหารชีวิต แต่คำให้การจำเลยที่ 3 มีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 50 ปี จำเลยยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันอย่างละเอียดรอบคอบแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีพยาน ซึ่งเป็นน้องชายพี่สะใภ้ของจำเลยที่ 2 รวมทั้งพยานอีกหลายปาก ซึ่งร่วมกันเป็นสมาชิกของขบวนการเบิกความว่า ก่อนที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มจำเลยได้ถูกชักชวนให้ร่วมเป็นสมาชิก และเคยเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มสมาชิกเคยเห็นกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 20 คนร่วมอยู่ด้วย โดยระบุว่าหากเป็นสมาชิกจะได้สิทธิพิเศษในประเทศมาเลเซียและได้รางวัลตอบแทน เมื่อจำเลยที่ 1 และ 2 ได้สั่งให้ก่อความวุ่นวาย ซึ่งพวกจำเลยจะทำจดหมายข่มขู่เรียกค่าคุ้มครองและแบ่งแยกดินแดนไปวางไว้ตามสถานที่ต่างๆ ขณะที่พยานโจทก์ยังระบุว่าเมื่อร่วมเป็นสมาชิกแล้วระยะหนึ่งต่อมามีคนในขบวนการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม จึงทำให้เกิดความรู้สึกขาดความน่าเชื่อถือ ทำให้สมาชิกบางส่วนเข้ามอบตัวผ่านทาง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมน ตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น

ข้อเท็จจริงที่ได้จากคำให้การรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้เริ่มขบวนการมาตั้งแต่ปี 2529 และได้เป็นหัวหน้าขบวนการที่ติดอาวุธอยู่ในป่า จ.ยะลา ซึ่งภายหลังได้มีการแต่งตั้งสมาชิกคนอื่นให้เป็นหัวหน้าควบคุมแทน ซึ่งแม้ว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานโจทก์บางปากจะเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่เมื่อรับฟังร่วมกับพยานแวดล้อมต่างๆ มีรายละเอียดเชื่อมโยงสอดคล้อง จึงสามารถรับฟังได้ ประกอบกับพยานโจทก์ซึ่งร่วมขบวนการก็ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ก่อนที่จำเลยที่ 1-4 จะถูกจับกุมในคดีนี้เป็นเวลานานหลายปี พยานโจทก์จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัย

ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 ฎีกา อ้างว่าคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนไม่ได้ทำด้วยความสมัครใจ แต่ถูกกดดัน ขู่เข็ญจากเจ้าพนักงานนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นสอบสวนเจ้าหน้าที่ได้มีการบันทึกภาพวีดิทัศน์ของจำเลยที่ 1 ขณะแสดงวิธีการประกอบระเบิด ที่ไม่ได้แสดงว่ามีท่าทีถูกกดดัน และยังมีคำให้การของพยานที่นำมาประกอบรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปศึกษาที่ประเทศซีเรียและได้รับการสอนวิธีการทำระเบิด ประกอบกับการออกคำแถลงของพวกจำเลยภายหลังถูกจับกุมมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น และรองอธิบดีกรมตำรวจ รวมทั้งพนักงานสอบสวนร่วมอยู่ด้วย จึงไม่น่าเชื่อว่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะกลั่นแกล้ง ขณะที่การสอบสวนดำเนินการเป็นคณะ จึงยากที่จะปรุงแต่งรายละเอียด ฎีกาของจำเลยที่ 1-4 ฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 ฎีกาขอให้ศาลพิพากษาลงโทษสถานเบานั้นเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1-4 ได้ดำเนินการเป็นขบวนการก่อความไม่สงบ โดยวางระเบิดสถานที่ต่างๆ และยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายปี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แม้ว่าพวกจำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา จึงเห็นได้ว่าพวกจำเลยไม่สำนึกในการกระทำผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนั้นเหมาะสมแล้ว พิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการอ่านคำพิพากษาในวันนี้เป็นการอ่านให้นายอับดุล เราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ จำเลยที่ 3 ฟัง ส่วนนายหะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ จำเลยที่ 1 นายหะยี บือโด เบตง จำเลยที่ 2 และนายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ จำเลยที่ 4 ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสงขลานั้น ศาลจังหวัดสงขลาอ่านคำพิพากษาให้ฟังไปเมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา



ที่มา: นสพ.ข่าวสดภาพ: http://news.mthai.com
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น