หลังเสร็จสิ้นภารกิจขอคืนพื้นที่ นปช. ที่ดูเหมือนงานครั้งนี้ “กองทัพ”จะสอบผ่านในสายตาประชาชนที่ต้องการความสงบกลับคืนมา แต่ในเนื้อแท้แล้วงานของกองทัพยังไม่จบเฉกเช่นการสั่งให้ทหารกลับกรมกอง ทั้งนี้ เพราะว่าเหตุการณ์บ้านเมืองที่กำลังอยู่ในภาวะฟื้นฟูนั้น ยังไม่อีกหลายเรื่องที่ “กองทัพ”ต้องทำงานหนักขึ้นอีกหลายเท่า งานแรก คือ การสร้างความเข้าใจกับประชาชนและการสร้างภาพลักษณ์ทหารที่ออก
มาเข่นฆ่าประชาชน ให้ออกไปจากความคิดของคนไทย ซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นงานอันดับต้นๆที่กองทัพ มอบหมายให้ กอ.รมน.จังหวัดทุกจังหวัด เร่งเครื่องทำความเข้าใจกับประชาชนทั้งในชุมนุมต่างๆ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน ที่ต้องยอมรับว่าเป็น “พื้นที่สีแดง” ของจริง อย่างไรก็ตาม งานทำความเข้าใจที่ต้อง
เข้าหามวลชน แม้จะเป็นงานที่ถนัดของกอ.รมน. แต่ในยามที่บ้านเมืองเพิ่งเสร็จสิ้นเหตุจลาจลกลางเมืองไปและมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตนั้น การจะปรับความเข้าใจของประชาชนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะทุ่มงบประมาณจำนวนหลายล้านบาทลงมาก็ตาม ล่าสุด พบว่า ศอฉ.หรือศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิก
ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าภาพขอคืนอาวุธปืน จากประชาชนที่มาร่วมชุมนุมนำอาวุธสงครามของกองทัพเก็บไว้ในครอบครอง เพื่อส่งคืนให้กองทัพโดยไม่เอาผิด นับเป็น “ไม้อ่อน” ที่กองทัพงัดออกมาใช้เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้ขาวสะอาดดังที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ต้องจับตาดูว่าอาวุธสงครามที่หายไประหว่าง
การเข้าสลายการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. เป็นต้นมานั้น จะได้คืนกี่กระบอก งานที่ 2 ที่กองทัพกำลังเร่งทำคือการสร้างความเชื่อมั่นต่อสายตาชาวโลก กรณีประชาชนเสียชีวิต 6 ศพ ในวัดปทุมวานาราม ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันว่า “ชายชุด”หรือ“ไอ้โม่ง” ซึ่งอยู่ในคลิปที่ส.ส.ฝ่ายค้านเปิดกลางสภานั้นเป็นใคร? งานนี้
รัฐบาลและกองทัพต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากระบอกปืนของทหาร แม้เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะออกมาปฏิเสธ ทันทีที่ส.ส.ฝ่ายค้านเปิดคลิปนี้ในสภา แต่มาจนถึงวันนี้ เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบเป็นที่พอใจของญาติผู้เสียชีวิต ทำให้วันก่อน ผบ.ทบ. ที่ใกล้เกษียณ
อย่าง “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ออกมาพูดถึงกรณีนี้เป็นครั้งแรก ผบ.ทบ. ยืนยันว่า ในวันที่ 19 พ.ค.ทหารไม่ได้อยู่ในบริเวณวัดปทุมวานาราม พร้อมระบุด้วยว่า...ในการชี้แจงข้อเท็จจริงมีช่องว่าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเราได้เรียนไปแล้วว่า...ในเวลานั้นอยู่ที่ใด ตนก็อยากจะบอกกับสื่อมวลชนว่าอย่าไปตามกระแส
สื่อจะต้องดูข้อเท็จจริง “ ถ้าถามเรื่องกระแสตนคงไม่สามารถที่จะตอบได้ แต่ถ้าให้พูดตามข้อเท็จจริงทางเจ้าหน้าที่เขายืนยันว่าในช่วงเวลานั้นไม่ได้ อยู่ตรงนั้น และมีการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีใครใช้อาวุธกับประชาชนนั่นคือข้อเท็จจริง” ทั้ง 2 เรื่องที่ “กองทัพ”กำลังเผชิญนี้ ยังไม่รวมกับข้อสงสัยเกี่ยวกับการจัดสรร
งบประมาณปี 2554 ที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า และการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธในกองทัพ ที่มีหลายรายการที่ซื้อแล้วใช้งานไม่ได้หรือกำลังจะซื้อแต่ถูกคัดค้าน จากนี้ไป “กองทัพ”ยังต้องเจอศึกหนักหลายระลอก เพราะสงคราม(รอบใหม่)เพิ่งเริ่มต้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
......................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น