--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เสนาะ VS ชำนิ ใครห่วย?


เพื่อไทย” รวมกับ “ประชาธิปัตย์” เป็นรัฐบาลแห่งชาติแนวความคิดที่นำเสนอออกมาแบบตรงๆ จากปากของท่านผู้เฒ่าการเมือง “เสนาะ เทียนทอง” ในฐานะประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ “ป๋าเหนาะ”

ออกอาการโหยหา ความปรองดองสมานฉันท์ อย่างเห็นได้ชัด...ที่ต้องการจะ ปฏิวัติสังคมไทยแต่การจะ พลิกขั้ว สูตรรัฐบาลใหม่อย่างขั้วการเมืองท่านนี้กล่าวอ้าง...ในบ้านเมืองยามนี้เป็นหลักปฏิบัติที่ “เป็นไปไม่ได้”น้ำกับน้ำมัน...เอามารวมกันไม่ได้!!เพราะทั้ง 2 พรรคต่างเป็น “แกนหลัก” ที่สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลหากมีการเลือกครั้งใหม่...เชื่อว่า ส.ส.ในมือ..รวมกับประชาชนในมือ ย่อมมีจำนวนใกล้เคียงกัน...เพราะทั้ง 2 ฝ่าย ต่างกุมฐานเสียงได้ในพื้นที่ตั้งของตนข้อเท็จจริง...หากเป็นพรรคเดียวที่สามารถ “ผูกขาด”ดึงเอาพรรคร่วมมาเข้าร่วมกับฝ่ายตนเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเอง...เป็นเรื่องที่ไม่ดีกว่าหรือ??ซ้ำร้ายการตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ จะทวี ความน่ากลัว ของการแบ่งแยกประเทศ...แบ่งแยกประชาชนให้เห็นเป็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นกล่าวได้ว่า...เมื่อถึงที่สุดในยุคที่บ้านเมืองไร้ทางออก...นักการเมืองของทั้ง 2 พรรค ก็ยังพอทำใจได้...หากตกลง ผลประโยชน์ กันได้วิน...วินตามพฤติกรรมนักการเมืองจำนวนไม่น้อย ที่คิดแต่หาผลประโยชน์ใส่ตน โดยละทิ้งผลประโยชน์ของส่วนรวมแต่กับ “ประชาชน” ทั้งประเทศ...ที่พวกเขาใช้เวลาทั้งชีวิตเกี่ยวเนื่องผูกพันอยู่กับ การเมือง...ผู้มีสิทธิ์มีเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่...ได้ตัดสินใจเลือกพรรคและเลือกนักการเมืองจากผู้สมัครของ สองพรรคใหญ่ซึ่งได้ผูกขาดมาหลายยุคหลายสมัยที่ “ประชาธิปัตย์” กับในยุคหลังซึ่งเป็นพรรคของอดีตนายกฯ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”ไล่มาตั้งแต่ ไทยรักไทย...จนมาถึงพรรคนอมินีอย่าง พลังประชาชนและ เพื่อไทย

ประชาชนเขาเลือกเพียง “พรรคเดียว” ต้องการนายกรัฐมนตรี “คนเดียว” ไม่ต้องการเลือกเอาทั้ง 2 พรรค หรือมีนายกฯ 2 คนข้อเสนอของ “เสนาะ เทียนทอง” ในบรรยากาศการประชุมเพื่อหาทางออกในการแก้วิกฤติทางการเมืองเมื่อเร็วๆ นี้มีคู่มวย คู่คี่สูสี คือ อีกหนึ่งกรรมการสมานฉันท์ “ชำนิศักดิเศรษฐ์” ส.ส.สัดส่วน ประชาธิปัตย์แม้ทั้ง 2 คน จะมีชื่ออยู่ใน คณะกรรมการสมานฉันท์แต่ก็เป็น สมานฉันท์คนละแนว ขัดแย้งโต้เถียงใส่กันอย่างดุเดือด“ป๋าเหนาะ” ชงให้ ประชาธิปัตย์ กับ เพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาล โดยกล่าวว่า“...ผมไม่ต้องการให้ไทยเหมือนเขมร ล้มล้างสถาบันฆ่ากันไม่พอ เอาเวียดนามมาด้วย บัวเหนือน้ำฆ่าทิ้งหมดและเขาแก้ปัญหากันยังมีนายกฯ 2 คนเลย...ทำไมเราทำไม่ได้ ธงพรรคประชาธิปัตย์และธงของพรรคเพื่อไทยหากเอาด้วยจบเลย”พอพูดเสร็จไม่นาน “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” ได้ลุกขึ้นตอบโต้“ป๋าเหนาะ” อย่างดุเดือดว่า“เรื่องที่เสนอเท่ากับ ฮั้วการเมือง ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ ประชาธิปัตย์ และ เพื่อไทย ความขัดแย้งได้พัฒนาก่อนการรัฐประหาร มันได้พัฒนาต่อเนื่องรุนแรงหนักหน่วงมาตลอด”แต่เมื่อดูจากหลากกระแสหลายประเด็น...นอกจาก “ชำนิ” แล้ว ยังมีคนในประชาธิปัตย์อีกหลายคนที่นัดพบปะกันเป็นกลุ่มย่อยนำเรื่องนี้ไปพูดอย่างสนุกสนานว่า“รัฐบาลแห่งชาติ” เป็นรัฐบาลชาติไหน??

หากตั้งแล้ว...ประเทศชาติบ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขจริงๆ อย่างนั้นหรือ เกรงว่า...มันจะยิ่งหนักหน่วงรุนแรงไปถึงประชาชน...คนภาคเหนือ ใต้ อีสาน ออก ตก กลับยิ่งต้องหัวปั่น...ก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่ผู้มีอำนาจกำลัง ยัดเยียดให้ด้วยความไม่เต็มใจรัฐบาลแห่งชาติ...ที่ป๋าเหนาะภูมิใจนำเสนอ เป็นความคิดซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการ “แบ่งแยกประเทศ”ยิ่งพักนี้มีกระแสความคิด แบ่งแยกประเทศไทย เป็นไทยเหนือ และ ไทยใต้ ดูเหมือนจะพูดกันเป็นเรื่องตลก...เรื่องพูดเล่นหรือประชดประชันแต่ที่น่ากลัว คือ มีการพูดถึงกันมากขึ้น...ยกตัวอย่าง...อุทาหรณ์ สงครามการเมือง ในประเทศ“เคนยา” ที่ลุกลามบานปลายไปสู่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพราะคำว่า “การเมือง” คำเดียวแท้ๆบางทีความคิดเห็นของผู้เฒ่า “ยุคอะนาล็อก” ก็ไม่สามารถนำมาใช้กับโลก “ยุคดิจิตอล” ได้เสมอไป...การนำมาใช้ต้องเป็นการนำมา “ประยุกต์” ไม่ใช่ยึดติดกับความคิด มาตรฐานเดิมของตนคนแก่เก่าเล่าความหลัง...จนบางครั้งก็เกิด “ช่องว่าง” ซึ่งบางคนอาจรับกับ แนวความคิด ของท่านไม่ได้แต่ก็ต้องย้อนถาม “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” กลับไปว่า เมื่อไม่ตั้งรัฐบาลแห่งชาติแล้ว...ประชาธิปัตย์ขึ้นมาทำหน้าที่บริหารประเทศนำทีมโดยนายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งเช่นนี้ “ประชาธิปัตย์”จะสามารถนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นวิกฤติตรงนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่า “ประชาธิปัตย์” ก็คือส่วนหนึ่งที่สังคมยังมองว่า...เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงของประชาชนเป็นเพียงรัฐบาลที่ขึ้นมาเพราะได้รับการ “โหวตเสียงลงคะแนน” จาก ส.ส.ในสภาฯ ซึ่งมีการ ล็อบบี้ กับ วิ่งเต้นจนเป็นที่มาของ “รัฐบาลไฮแจ็ค”“ชำนิ” ในฐานะลูกหม้อประชาธิปัตย์...ก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นพรรคการเมืองของตนนำประเทศชาติไปสู่ความเจริญแต่อย่าลืมคิดว่า...ถ้ายังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ต่อไปฝ่ายหนึ่งทำอะไรผิดหมด อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรถูกหมด...แม้ไม่อยากแบ่งแยก…แต่ในที่สุดคงแบ่งแยกกันโดยปริยายเพราะไม่มีมนุษย์หน้าไหนยอมให้กดขี่ตลอดไป“ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” รู้อยู่เต็มอกว่า...กว่า “อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ” จะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี “ประชาธิปัตย์”ต้องทุ่มเทหมดหน้าตักแทบตายเพียงใดพอขึ้นมาเป็นรัฐบาลเริ่มปฏิบัติหน้าที่ดำเนินงาน...ซึ่งประชาธิปัตย์เองรู้ดีถึงสถานการณ์ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองไม่สงบแต่เมื่อก่อนนี้ตั้งมาตรฐานไว้ว่า...“ถ้ามีคนมาชุมนุมขับไล่มากๆ เป็นผม ผมลาออก” ทว่า ปัจจุบันจำเป็นต้องตั้งมาตรฐานใหม่ว่า...

“ถ้าคนมาชุมนุมขับไล่นับแล้วหากมาไม่ครบ 65 ล้านคน...อย่าหวังว่าผมจะลาออกให้เมื่อยตุ้ม!”รอไปก่อนก็แล้วกัน ประเทศนี้ไม่ใช่ของตนคนเดียว พังเป็นพัง...ขออยู่ต่อให้หายอยากก่อนก็แล้วกันเป็นปัญหาที่แม้แต่ “ประชาธิปัตย์” เองก็ยังแก้ไม่ตก...แล้วจะเรียกให้ประชาชนหันหน้ามา “ศรัทธา” ได้อย่างไรเมื่อผู้มีอำนาจในคณะกรรมการสมานฉันท์ยังมี ความเห็นขัดแย้ง และยังเป็นการยกเอาเหตุผลซึ่งดูแล้วจะ “เข้าข้าง”ทางฝักฝ่ายพรรคพวกตัวเองประเทศชาติมันก็ยิ่ง “แตกแยก”หากวันหนึ่ง...มี อัศวินขี่ม้าขาว มาเสนอแนวคิดแบบอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย คือ แต่ละรัฐหรือเขตการปกครองมีรัฐบาลท้องถิ่น แล้วก็มีรัฐบาลกลางร่วมกันโดยมีรัฐบาลกลางดูแลเรื่อง คมนาคม การทหาร และสาธารณสุข เป็นต้น เป็นกิ่ง เป็นใบ เป็นราก แล้วแต่อยากจะเป็นประชาชนต้องการใจจะขาด...แต่ผิดกับผู้มีอำนาจที่ไม่คิดกระทำ เพราะผลประโยชน์ไม่รู้ไปตกอยู่ในมือใครอาการโหยหา “คนดี” กับ “ปฏิวัติสังคมไทย” เป็นสิ่งที่ยังต้อง เรียกร้อง กันต่อไปการเสนอความคิดเห็น...การตอบโต้ของคณะกรรมการสมานฉันท์ ทั้ง “เสนาะ เทียนทอง” และ “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์”เราในฐานะคนไทยจำเป็นต้องคิดตามใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ นักการเมือง หรือ ประชาชนสรุปแล้วโต้วาทีคราวนี้ เสนาะ VS ชำนิ เสียมวยพอๆ กัน!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
......................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น