ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนและประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ตามที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้ข่าวว่ารัฐบาลไทยจะซื้อคืนดาวเทียมไทยคมจากกองทุนเทมาเสค ของประเทศสิงคโปร์ ตนจึงขอตั้งคำถามไปยังนายกรณ์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี 7 ข้อ คือ
ข้อที่ 1 นายกรณ์ จาติกวณิช และนายศิริโชค โสภา สส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปพบผู้บริหารของกองทุนเทมาเซกเมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ประเทศสิงคโปร์ ในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะ รมว.คลังเนื่องจากนายกรณ์ให้สัมภาษณ์ว่าไปอย่างเงียบๆ หากไปในฐานะ รมว.คลัง ควรจะต้องมีเจ้าหน้าที่ หรือข้าราชการกระทรวงเดินทางไปด้วย ไม่ใช่นายศิริโชค ซึ่งเป็น สส.เท่านั้น และหลังจากนายกรณ์พบผู้บริหารกองทุนฯแล้ว ทางกองทุนฯ แถลงว่า มาพบเป็นเรื่องไม่ปกติเป็นการมาพบเพื่อเรื่องส่วนตัว
2. มีแหล่งข่าวอันน่าเชื่อถือได้ว่า ระหว่างสนทนา ผู้บริหารเทมาเสคได้แจ้งให้ นายกรณ์ทราบว่าหากจะมีการติดต่อซื้อหุ้นของกองทุนเทมาเสค ให้นายกรณ์ไปติดต่อกับ บมจ.ไทยคมและบมจ.ชินคอร์ปฯ โดยตรง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจนถึงปัจจุบันนายกรณ์ยังไม่ได้มีการติดต่อทั้ง 2 บริษัทแต่อย่างใด แต่นายกรณ์กลับให้สัมภาษณ์ว่าจะซื้อหุ้นคืนจากเทมาเสคก่อน
3.โครงสร้างผู้ถือหุ้น บมจ.ไทยคม มีบมจ.ชินคอร์ปฯ ถือหุ้น 41 เปอร์เซ็นต์ ผู้ถือหุ้นรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ 59 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบัน บมจ.ไทยคมเป็นของประเทศไทย ไม่ใช่ของประเทศสิงคโปร์ ดังนั้นการที่นายกรณ์และรัฐบาลสร้างกระแสชาตินิยมเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการประจำสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ ได้อธิบายชัดเจนว่ามีดาวเทียมหลายดวงที่มีฐานที่ตั้ง ในประเทศไทย ถ้ารัฐบาลอ้างเรื่องความมั่นคงจะซื้อดาวเทียมทุกดวงหรือไม่
4.จากการที่นายกรัฐมนตรี รมว.คลัง และนายศิริโชค ได้ออกมาประกาศเจตนาของรัฐบาลจะซื้อดาวเทียมไทยคม ทราบหรือไม่ว่าการกระทำดังกล่าวมีผลต่อการขึ้นลงของราคาหุ้นบมจ.ไทยคม อีกทั้งรัฐบาลและนายกรณ์ได้แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบ เพื่อให้หยุดการซื้อขายหุ้นไทยคมก่อนออกมาให้ข่าวหรือไม่ หากไม่มีการแจ้งถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นในต่างประเทศนายกรณ์จะต้องลาออกทันที เพราะขณะนี้นายกรณ์เป็น รมว.คลัง ไม่ใช่พ่อค้าเหมือนในอดีต
5. จากการตรวจสอบการพบว่าปริมาณการซื้อขายหุ้น บมจ.ไทยคม เพิ่มขึ้นอย่างมากผิดปกติในเดือนมี.ค. 2553 โดยเพิ่มเป็นวันละ 100 ล้านบาท 200 ล้านบาท 346 ล้านบาท 418 ล้านบาท บางวันพุ่งสูงถึง 734 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยหุ้นละประมาณ 4.60 – 5.60 บาท จากปกติมีการซื้อขายเพียงวันละไม่กี่ 10 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัยหากินบนคราบน้ำตาประชาชน
ทั้งนี้ ในวันที่ 14 มิ.ย. 2553 มีข่าวว่ารัฐบาลจะซื้อดาวเทียมไทยคมผ่าน นสพ.บางกอกโพสต์ฉบับเดียว ทำให้หุ้นบริษัทไทยคม ในตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้นชนเพดาน จากราคาหุ้น 5.45 บาท เพิ่มขึ้นถึง 7.05 บาท สูงขึ้น 29% มียอดซื้อขาย 124 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 825 ล้านบาท
6. การที่นายกรณ์ อธิบายว่าจะซื้อเฉพาะดาวเทียม โดยไม่ซื้อ บริษัทไทยคม นั้นทำได้จริงหรือ เรื่องนี้เป็นการสร้างความสับสนและเข้าใจผิดและปั่นกระแสคลั่งชาติขึ้นมา
7. ถ้าจะซื้อคืนดาวเทียมได้เตรียมการบริหารจัดการอย่างไร เพราะพบว่าไม่มีการเตรียมการเรื่องนี้
“เรื่องนี้สรุปว่ามีวาระซ่อนเร้น มีการใช้สถานะไปทำการอินไซเดอร์ข้อมูลเพื่อเก็งกำไรจำนวนมากนับ 1,000 ล้านบาทจากการซื้อและเทขาย สะท้อนว่าคนพวกนี้มีเถยจิตเป็นโจร ผมฟันธงว่ามีคนอัปรีย์จัญไรหากินบนคราบน้ำตาประชาชนได้ประโยชน์ ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท กรณีนี้หากเกิดในต่างประเทศบุคคลที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องต่อการทำผิดกฎตลาดหลักทรัพย์ จะต้องลาออกจากตำแหน่งทันที จึงเรียกร้องให้อภิสิทธิ์และกรณ์ตอบคำถามทั้ง 7 ข้อดังกล่าว
ทั้งนี้เปิดประชุมสภาผู้แทนเมื่อไหร่พรรคฝ่ายค้านจะนำไปตั้งกระทู้ถามในสภา หรือถ้ารัฐบาลอยู่ยาวอย่างที่พูดก็จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม กล่าว
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น