1. จุดพลังไฟในการทำงาน
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่ “ตัวเรา” หากมัวแต่โทษ “รัฐบาลห่วย” ก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด ทางที่ดีกว่าคือ การทำงานหนักเป็น 2 เท่า เพื่อเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบด้านลบที่ไม่คาดฝัน
ตัวอย่างเช่น พ่อค้าแม่ค้าย่านราชประสงค์ หากในช่วงต้นปีมุ่งมั่นทำงานโดยไม่เคยหยุดพักสักวันเดียว วิกฤตการเมืองในเดือนพฤษภาคม ก็อาจถือเป็นโอกาสพักร้อนผ่อนคลาย ในขณะที่คนอื่นวุ่นวายเดือดร้อนเพราะสถานที่ทำมาหากินถูกใช้เป็นสนามรบทางการเมือง
2. ปลดปล่อยตัวเองจากความ “ไม่รู้”
วิกฤตราชประสงค์ 19 พฤษภาคม 2553 ได้ปลุกคนไทยตื่นขึ้นมาจากความหลับใหล โดยเฉพาะเมื่อการเมืองมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน
การศึกษาความรู้เรื่องการเมือง จึงไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยอย่างที่เคยเข้าใจอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การติดตามข้อมูลจากทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ อาจยังไม่เพียงพอเพราะถูกครอบงำจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ
Social Media ตั้งแต่ Twitter ยันถึง Facebook กำลังเป็นสื่อทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากประชาชนในการติดตามข่าวสารเพื่อรับมือกับรัฐห่วย โดยเฉพาะเมื่อสื่อกระแสหลักก็เริ่มหยิบยืมข้อมูลจากโลกออนไลน์ ที่สำคัญ รัฐบาลก็เริ่มตระหนักถึงอิทธิพลของสื่อออนไลน์และยินยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องในบางประเด็นที่อาจมีผลกระทบต่อคะแนนเสียงทางการเมือง
3. พลังเครือข่าย พลังแห่งความหวัง
ความสุขของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 คือ การมี “ทางเลือก” ที่หลากหลายตามหัวใจปรารถนา ขณะเดียวกัน การปลุกระดมมวลชนเพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมแบบคอมมิวนิสต์ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เหมาะสมกับยุคสมัย โดยเฉพาะเมื่อความแตกต่างของปัจเจกชนมีค่ามากกว่าความมั่นคงปลอดภัย
“เครือข่าย” จึงกลายเป็นพลังสำคัญในรวมตัวทางการเมืองของประชาชน เพื่อเรียกร้องและต่อรองกับรัฐบาล โดยที่แต่ละกลุ่มผลประโยชน์มีเสรีภาพในการดำเนินงานตามความถนัดของตนเอง ขณะเดียวกันในยามที่บ้านเมืองมีปัญหาเร่งด่วน กลุ่มคนที่หลากหลายนี้ก็ยังสามารถรวมตัวเพื่อผลประโยชน์โดยรวมแห่งประเทศชาติได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ “เครือข่ายพลังบวก” ที่เกิดจากกลุ่มคนหลากหลายสาขาตั้งแต่นักศึกษา นักธุรกิจ กระทั่งถึง นักสำรวจขั้วโลกและนักออกแบบตัวอักษร โดยในยามปกติกลุ่มคนเหล่านี้ก็ใช้ชีวิตสนุกสนานในชุมชนแห่งวิชาชีพของตน แต่ด้วยแรงบันดาลใจจากโศกนาฎกรรมราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ก็ทำให้พวกเขาละทิ้งความหมกมุ่นในโลกแคบที่แสนสุขออกมาเผชิญหน้ากับภารกิจที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน เพียงเพื่อถักทอรอยยิ้มคนไทยคืนกลับมา
4. ปันใจรักให้พรรคฝ่ายค้าน
อำนาจประชาชนไม่ได้เริ่มต้นและสิ้นสุดเพียงแค่ในวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ดังที่ถูกทำให้เชื่อกันมานานแสนนาน แต่กระนั้น การเรียกคืนอำนาจจากรัฐบาลที่อ้างว่าได้รับเสียงสวรรค์มาจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
ภายใต้ระบบโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีที่มีจำกัด ทำให้พรรครัฐบาลต้องจำกัดจำนวนพรรคที่จะเข้าร่วมกับรัฐบาล นี่จึงทำให้ฝ่ายค้านในระบบประชาธิปไตยไทยมีความเข้มแข็งไม่ถูกดูดกลืนไปเข้าฝ่ายรัฐบาลจนหมดสิ้น ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของประชาชนในการปลดอำนาจของรัฐบาลที่ไร้คุณภาพในการบริหารประเทศ โดยอาศัยความร่วมมือจากพรรคฝ่ายค้านที่ต้องการลิ้มรสอำนาจบ้าง ผสานเสริมกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่พอใจในเก้าอี้รัฐมนตรีที่ถูกจัดสรร แต่ทั้งหมดย่อมคุ้มค่าหากได้รัฐบาลใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดีกว่า
5. นวัตกรรมสังคม นวัตกรรมประชาธิปไตย
ยิ่งเวลาผ่านไป ความต้องการของมนุษย์ก็ยิ่งมีความสลับซับซ้อน ตั้งแต่ความห่วงใยสิ่งแวดล้อมไปจนถึงการสร้างตัวตนในโลกเสมือนจริง ดังนั้น จึงเป็นไปได้ยากที่รัฐบาลจะสามารถตอบสนองทุกความต้องการของประชาชนได้อย่างทันท่วงที
พลังแห่งเสรีภาพและจินตนาการของปัจเจกชน จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญของรัฐสมัยใหม่ โดยเฉพาะการเป็นฝ่ายริเริ่มนวัตกรรมและโครงการที่มีคุณค่าต่อสังคม ในที่สุดเมื่อนวัตกรรมมีความแพร่หลายต่อสังคมในวงกว้างแล้ว รัฐบาลก็จะเข้ามาช่วยผลักดันให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การถือกำเนิดของธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ในประเทศไทย ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ริเริ่มของประชาชน โดยมีการถักทอเชื่อมร้อยเป็นโครงข่ายที่แข็งแกร่งโดยสถาบัน Change Fusion ที่ช่วยประชาสัมพันธ์และจัดหาแหล่งทุนให้กับภารกิจนี้ ในที่สุด รัฐบาลไทยก็ตระหนักและยอมรับ จึงนำไปสู่การจัดทำ “แผนแม่บท” ในการสร้างเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม (Social Enterprise) เพื่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน
ที่มา.Siam Intelligence
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น