--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

“ปฏิรูปประเทศไทย”: การต่อสู้ทางการเมืองของรัฐบาลอภิสิทธิ์และพลพรรคเสื้อแดง

ความจริงที่โหดร้ายก็คือ ประเทศไทยไม่เคยดำรงอยู่จริง ประวัติศาสตร์ไทยที่ผ่านมาคือ การแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรอยุธยาในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพื่อเข้าครอบครองเมืองเล็กเมืองน้อยรอบตัว โดยใช้กลไกทางการเมืองตั้งแต่การแต่งงานถึงระบบราชการอย่างค่อยเป็นค่อยไปตลอดระยะเวลา 400 ปี จึงประสบความสำเร็จในการเชื่อมร้อยผู้คนเข้าด้วยกัน

กรุงเทพ คือ ศูนย์กลางอำนาจที่สืบทอดกลไกการสร้างอาณาจักรมาจากอยุธยา และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งสามารถหลอมรวมเป็น “ชาติไทย” ที่เป็นปึกแผ่นมั่นคง

ภายใต้กระบวนการหลอมรวมเพื่อสร้างชาติไทยที่พัฒนาปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อาณาจักรอยุธยาในสมัยพระบรมไตรโลกนาถและพระนเรศวรมหาราชจนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทำให้ “ความเป็นไทย” ที่ถูกกำหนดโดยศูนย์กลางอำนาจคือ กรุงเทพมหานคร ได้เป็นที่ยอมรับโดย 75 จังหวัดที่เหลือทั่วประเทศไทย

ท่ามกลางกระบวนการหลอมรวมของศูนย์กลางอำนาจที่พัฒนาขึ้นมาตลอด 700 ปีได้ทำให้แผ่นดินไทยเป็นปึกแผ่นเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่กระนั้น ความขัดแย้งระหว่างศูนย์กลางอำนาจกับดินแดนรอบนอกก็เกิดขึ้นมาตลอด 700 ปีเช่นกัน โดยปัญหาที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นการกบฎหรือการทรยศทั้งหลายนั้น ก็ล้วนแต่ทำให้ “ศูนย์กลาง” ต้องขบคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่เพื่อทำให้กระบวนการหลอมรวมยังคงรุดหน้าและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป


“สงครามคอมมิวนิสต์” ที่ปะทุอย่างรุนแรงภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แท้จริงแล้วก็เป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างศูนย์กลางอำนาจในกรุงเทพมหานครกับชนบทรอบนอกที่ต้องการจัดสรรอำนาจและทรัพยากรที่ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม

ท่ามกลางปัญหาขัดแย้งที่คุกคามรุมเร้า ในที่สุดศูนย์กลางอำนาจก็สามารถคิดค้น “นวัตกรรม” ในการหลอมกลืนระหว่างกรุงเทพมหานครและชนบทได้อีกครั้งในปี 2523 นั่นคือ ยุทธศาสตร์ “การเมืองนำการทหาร” อันลือลั่น ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยสามารถมีส่วนร่วมในอำนาจและทรัพยากรได้ดียิ่งขึ้นโดยผ่านวิถีประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่จะพัฒนาต่อมาเป็นประชาธิปไตยเต็มใบภายหลังเหตุการณ์พฤษภา 2535

วิกฤตราชประสงค์ในปี 2553 ที่ชาวชนบทในนามของกลุ่มคนเสื้อแดงได้เข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมที่หัวใจของศูนย์กลางอำนาจ ก็ได้สะท้อนถึงกลไกจัดสรรผลประโยชน์และการหลอมรวมความเป็นไทยได้กำลังเผชิญวิกฤตใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ที่ลำพังเพียง “ประชาธิปไตย” ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายหลังนวัตกรรมการเมืองนำการทหารในปี 2523 ย่อมไม่เพียงพอสำหรับประเทศไทยที่ถูกคุกคามโดยโลกาภิวัตน์อีกต่อไป

“ปรองดอง” ย่อมนับว่าเป็นนวัตกรรมล่าสุดในการหลอมรวมความเป็นไทยระหว่างกรุงเทพและชนบท ที่ต้องผ่านบทพิสูจน์ของกาลเวลาเช่นเดียวกับ “การเมืองนำการทหาร” ในปี 2523 โดยแก่นแท้ของการปรองดองในปี 2553 คือ การปฏิรูปประเทศไทยเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ของคนชนบทและกรุงเทพมหานคร ที่ลำพังเพียงระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทนเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถให้คำตอบได้อีกต่อไป

ในยกแรกนี้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ได้ชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบ “คนเสื้อแดง” เพราะเป็นคนเริ่มต้นประกาศนโยบายปฏิรูปประเทศที่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนในประเทศไทย จึงทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ได้หมดความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวอีกต่อไป

แกนนำเสื้อแดงสายเหยี่ยว ที่ยังเชื่อมั่นในการใช้กำลังอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จะเริ่มหมดอำนาจลง เพราะวิธีนี้ไม่ตรงกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการ “ปฏิรูปประเทศไทย” อย่างสันติมากกว่าการนองเลือดที่อาจไม่ได้ช่วยพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้นเลย

อย่างไรก็ตาม แกนนำเสื้อแดงสายพิราบก็จะได้โอกาสในการขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์โดยการตรวจสอบประสิทธิภาพของนโยบายปฏิรูปประเทศไทยว่าจะสามารถช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชนบทได้มากน้อยเพียงใด และหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังคงใช้นโยบายพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของชนบทไทยในยุคโลกาภิวัตน์เหมือนที่เคยเป็นมาตลอด 50 ปี ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า แกนนำเสื้อแดงสายพิราบที่เข้าใจในลักษณะเฉพาะของชนบทไทยและลักษณะทั่วไปของโลกาภิวัตน์ได้ดีกว่า จะนำเสนอนวัตกรรม “ปฏิรูปประเทศไทย” ที่เหนือล้ำกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ กระทั่งสามารถแย่งชิงการนำและเข้ามาบริหารประเทศได้ในท้ายที่สุด

โชคร้ายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็คือ การชิงชัยในยกที่ 2 ของนโยบาย “ปฏิรูปประเทศไทย” ไม่ได้อยู่ที่กลยุทธ์การเมืองและการสื่อสารมวลชนที่เป็นจุดแข็งของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่กลับเป็นการค้นคว้าวิจัยที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับเอกลักษณ์ของชนบทไทยที่สามารถนำมาประยุกต์พลิกแพลงให้มี “มูลค่าเพิ่ม” ที่สอดคล้องกับความต้องการของกระแสทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่พัดกระหน่ำอย่างไม่เคยปราณีใคร ซึ่งในประเด็นนี้แกนนำเสื้อแดงสายพิราบดูเหมือนจะมีความได้เปรียบรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

ข่าวดีของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็คือ ชัยชนะทางการเมืองในวิกฤตราชประสงค์ที่พึ่งผ่านพ้นมา ได้สร้างอำนาจและคะแนนเสียงอย่างล้นหลามให้รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ในการวางยุทธศาสตร์สำหรับการปฏิรูปประเทศไทย ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำคัญของรัฐบาลในการระดม “มันสมอง” ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ แม้กระทั่งการยืมตัวนักคิดจากพรรคเพื่อไทยหรือแกนนำเสื้อแดงสายพิราบที่ยังมีภาพลักษณ์เป็นที่ยอมรับในสังคม เพื่อมาร่วมกันวิจัยลึกซึ้งในการค้นหาคำตอบสำหรับ “ชนบทไทย” ที่เต็มไปด้วยศักยภาพทั้งในเชิงเกษตรกรรมและวัฒนธรรมที่งดงามอ่อนช้อย ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการปรุงกลั่นให้สอดคล้องกับรสนิยมทางเศรษฐกิจของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ที่จะช่วยพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทยไปตลอดกาล
---------------------------------------------------------------------
“ประวัติศาสตร์ย่อมไม่ให้อภัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ หากว่าพวกเขาไม่ลงมือปฏิรูปประเทศไทยให้เติบโตก้าวหน้าในท่ามกลางวิกฤตการเมืองที่เชี่ยวกรากนี้”
---------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น