วิกฤตชาดครั้งนี้ เป็นวิกฤตชาติที่รุนแรงที่สุดเท่าที่สังคมไทยเคยประสบมา และไฟแห่งความแค้นความรุนแรงยังระอุอยู่ในหลายๆ พื้นที่ จนทำให้รัฐบาล .. คงไว้ซึ่งมาตรการควบคุม (Repression) และจำกัด (Restriction)
ไม่มีใครจะคาดคิดมาก่อนว่า การชุมนุมทางการเมืองของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือที่รู้จักกันว่ากลุ่มคนเสื้อแดง (Red shirts) ในช่วงระหว่างกลางเดือนมีนาคมและพฤษภาคม จะเลวร้ายกลายเป็นวิกฤติชาด (Red crisis) ที่สั่นสะเทือนสังคมไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน
การชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 68 วัน ที่พัฒนากลายเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดในประวัติการเมืองไทยยุคใหม่ มีลักษณะพิเศษสำคัญๆ ที่ทำให้แตกต่างจากการชุมนุมทางการเมืองอื่นๆ เท่าที่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยหลายๆ ประการ
ประการแรก ในช่วงแรกเริ่มของการชุมนุม กลุ่มคนเสื้อแดงประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ (Ritual) ด้วยการเทเลือดในสถานที่ต่างๆ ของฝ่ายปฏิปักษ์ (Rivals) ทางการเมือง โดยเฉพาะทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งที่บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ ซึ่งเป็นอดีตเจ้าเมือง (Ruler) เชียงใหม่คนแรก
ประการที่สอง การปรากฏตัวของนักรบโรนิน (Ronin) และกลุ่มคนเสื้อดำติดอาวุธที่ผ่านการฝึกฝนทักษะรบพิเศษ (Rangers) กลายเป็น "อาวุธ" อันทรงพลังที่ทำให้ทฤษฎี "แก้วสามประการ" ของกลุ่มคนเสื้อแดงน่าสะพรึงกลัวอย่างคาดไม่ถึง รวมแม้กระทั่งข่าวร้ายว่าโจรใต้กลุ่มแนวร่วมอาร์เคเค (RKK) อาจจะร่วมผสมโรงเพื่อสร้างความเสียหายให้แก่กรุงเทพฯเป็นทวีคูณ
วิกฤติชาดครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต (อย่างเป็นทางการ) มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่ถึง 88 คน โดยเฉพาะ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (Romklao Thuwatham) และพลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของทั้งฟากกองทัพและกลุ่มคนเสื้อแดง (ตามลำดับ) ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้
การใช้อาวุธร้ายแรงนานาชนิด มีส่วนสำคัญที่ทำให้ความรุนแรงขยายดีกรีจนเกือบจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง (หลวง) ที่มีการเปรียบเทียบว่าไม่ต่างจากกรณีของประเทศรวันดา (Rwanda) ถึงแม้ว่า ระเบิดเอ็ม 79 จะเป็นหนึ่งในอาวุธที่สร้างความหวาดกลัวรายวันให้กับประชาชนมากที่สุดในช่วงการชุมนุม แต่จรวดอาร์พีจี (RPG) เกือบกลายเป็นอาวุธที่สร้างความสั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศ เพราะไม่ว่าเป้าหมายที่แท้จริงจะอยู่ที่กระทรวงกลาโหมหรือวัดพระแก้ว แต่หากยิงถูกเป้าเชื่อว่าจะสร้างความเสียหายทั้งในทางจิตวิทยาและทางสัญลักษณ์ที่ประเมินค่าไม่ได้จริงๆ
ในขณะเดียวกัน คมกระสุนของปืนไรเฟิลแรงสูง (Rifle) ด้วยฝีมือของของสไนเปอร์หรือพลซุ่มยิงระยะไกลที่ปลิดชีวิตเสธ.แดง ก็กระทบกระเทือนต่อจิตใจของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่น้อย
ประการที่สาม ในอดีตที่ผ่านมา ถนนราชดำเนิน (Ratchadamnoen) เป็นถนนที่มีความสำคัญทางสัญลักษณ์ทางการเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ "14 ตุลา 16" เหตุการณ์ "6 ตุลา 19" และเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ 35" แต่ในปีปัจจุบัน การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง (Red rally) ที่เดิมปักหลักอยู่ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ ก่อนที่จะย้ายฐานไปตั้งเวทีชุมนุมที่บริเวณแยกราชประสงค์ (Ratchaprasong) มากกว่าสองเดือน สร้างนวัตกรรมทางการเมืองทำให้ชื่อ "ราชประสงค์" โดดเด่นขึ้นมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเทียบเท่าชื่อ "ราชดำเนิน"
ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 36 วันที่มีการปักหลักชุมนุมอย่างหามรุ่งหามค่ำจนทำให้แยกราชประสงค์กลายเป็นจัตุรัสแดง (Red square) ไปโดยพฤตินัย กลุ่มคนเสื้อแดงยังได้ขยายขอบเขตพื้นที่เรดโซน (Red zone) ให้ครอบคลุมไปยังบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะถนนราชดำริ (Ratchadamri) ถนนราชปรารภ (Ratchapralop) ถนนราชวิถี (Ratchawithi) ซอยรางน้ำ (Rangnam) ถนนพระราม 1 (Rama I) และถนนพระราม 4 (Rama IV) ในขณะที่ชื่อ "ราบ11" กลายเป็นกรมทหารรักษาพระองค์ (Regiment Royal Guard) ที่มีบทบาทโดดเด่นมากที่สุดในช่วงวิกฤตการณ์การเมืองปี 2553 นี้ เพราะนอกจากจะเป็นศูนย์บัญชาการหลักของรัฐบาลและกองทัพ ภายใต้ชื่อศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แล้ว ยังเชื่อว่าเป็นเซฟเฮาส์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ รวมทั้งเป็นสถานที่ที่สาธารณชนได้มีโอกาสเห็น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในชุดเครื่องแบบทหารเป็นครั้งแรกๆ ในรอบ 20 ปี
ประการที่สี่ ทันทีที่แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมในบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมแสดงพลังต่อต้าน (Resistance) รัฐบาลอย่างเต็มที่ ด้วยการก่อการจลาจล (Riot) อย่างบ้าคลั่ง (Rampage) พร้อมทั้งเผา (Raid) อาคารทางธุรกิจสำคัญๆ ที่ตั้งอยู่ในเขตเรดโซนจนแปรเปลี่ยนกลายเป็นสมรภูมิกลางกรุง นับเป็นความบังเอิญอย่างยิ่งที่ความรุนแรงเหล่านี้กระจุกตัวในเขตตัวอาร์เป็นหลักไล่ตั้งแต่ เซ็นทรัลเวิลด์ (ราชประสงค์) โรงภาพยนตร์สยามและวัดปทุมวนาราม (พระราม 1) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (ราชดำริ) ซอยรางน้ำ (ราชปรารภ) สวนลุมพินี โรงแรมดุสิตธานี บ่อนไก่และอาคารช่อง 3 (พระราม 4) เซ็นเตอร์วัน (ราชวิถี) รวมทั้ง "วิกฤติชาด 10 เมษา" บริเวณสี่แยกคอกวัว (ราชดำเนิน)
โศกนาฏกรรมดังกล่าว ทำให้คนไทยและชาวโลกได้เห็นเป็นประจักษ์ด้วยสายตาเป็นครั้งแรกว่า ในที่สุด เมืองหลวงของประเทศไทยได้ถูกเผาจริงในปี 2553 โดยกลุ่มคนไทยผู้บ้าคลั่งราวกับว่าต้องการจะข่มขืนปู้ยี่ปู้ยำ (Rape) กรุงเทพฯให้ถึงที่สุด
และเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในเดือนเมษายนปี 2310 ซึ่งเรารับรู้เพียงเฉพาะข้อเท็จจริงว่า กรุงศรีอยุธยาถูกทหารพม่าเผาจนวอดวาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นภาพของความหดหู่อัปยศนั้นได้นอกจากจินตนาการ และการเสียกรุงครั้งที่สองนี้เป็นเงื่อนไขที่สำคัญ (ที่สุด) ที่นำไปสู่การกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯและการสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงใหม่
แต่นับเป็นความโชคดีของบ้านเมือง ที่การเผากรุงเทพฯในปี พ.ศ.นี้ ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ อย่างถอนรากถอนโคน เพราะที่ผ่านๆ มา กลุ่มคนเสื้อแดงที่มีความคิดหัวรุนแรง (Radical) ถูกกล่าวหาว่า ดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเป้าหมาย (แอบแฝง) สูงสุดคือการสถาปนารัฐใหม่ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงระบอบ (Regime) การเมืองการปกครองใหม่ให้เป็นสาธารณรัฐ (Republic) ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ โดยเรียกขานอย่างสวยหรูว่า คือการปฏิวัติประชาชน (Revolution)
ประการที่ห้า บทบาทของสื่อมวลชนในช่วงวิกฤตชาดนี้โดดเด่นมากเป็นพิเศษ ผู้สื่อข่าว (Reporter) ทั้งไทยและเทศกลายเป็นเหยื่อเป็นเป้าหมายของความรุนแรง รวมทั้งเนลสัน แรนด์ (Nelson Rand) แห่งสำนักข่าวช่อง France24 ที่รอดตายอย่างหวุดหวิดที่สุด และสื่อเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดก็คือการทำหน้าที่ "เอียง" ของนายแดน ริเวอร์ส (Dan Rivers) แห่งสำนักข่าวซีซีเอ็น
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาที่กรมตำรวจกำลังประสบปัญหาศรัทธาความน่าเชื่อถือมากที่สุดนั้น ชื่อของ พ.ต.อ.ฤชากร จรเจวุฒิ (Ruechakorn Jorajewut) ก็ได้รับการยกย่องจากสื่อบางฉบับให้เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้ปิดทองหลังพระ ในบทบาทและภารกิจที่กล้าหาญเสี่ยงตายช่วยเหลือชีวิตพนักงานมากกว่าสี่ร้อยคนจากเหตุการณ์เผาเซ็นทรัลเวิลด์
กล่าวกันในบรรดานักการทูตทั้งหลาย ดูเหมือนว่า นายแองโธนิโอ วีนัส โรดิเกวซ (Antonio Venus Rodriguez) เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ มีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์การชุมนุมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอมากที่สุด (คนหนึ่ง) และในฐานะคณบดีผู้อาวุโสสูงสุดในบรรดาทูตานุทูตต่างประเทศทั้งหมด นายโรดิเกวซมีบทบาทไม่น้อยในการประสานทำความเข้าใจระหว่างทูตต่างประเทศและรัฐบาลไทยถึงความสำคัญของ "กิจการภายในประเทศ"
ประการที่หก ในช่วงระหว่างการชุมนุม ได้มีความพยายามจากหลายๆ ฝ่ายที่จะให้มีการเจรจาเพื่อหาทางยุติวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ว่ากันว่าสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยก (Rift) ในสังคมไทยที่ชัดเจนและร้าวลึกมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2475 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่จะขอเข้าเฝ้าฯ (Royal audience) พระเจ้าแผ่นดิน "พ่อหลวง" ของคนไทย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นพระวรกาย (Recuperate) ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทรงพระมหากรุณาธิคุณแก้ไข (Resolve) ปัญหาบ้านเมือง แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงความไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะดึงสถาบัน (Royal institution) ที่คนไทยรักและเคารพเทิดทูน (Revere) มากที่สุด ลงมาเกี่ยวข้องกับทางการเมือง (Royal intervention)
ในขณะเดียวกัน ก็มีความพยายามและเรียกร้องให้ต่างประเทศเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวกลางเจรจา โดยเฉพาะสหประชาชาติ องค์การอาเซียน หรือองค์การกาชาดสากล (Red Cross) แต่บทบาทของกัมพูชาในช่วงวิกฤตชาดนี้กลับชวนให้น่าสงสัยมิน้อย เพราะในด้านหนึ่ง มีการปรับเปลี่ยนท่าทีและนโยบายของนายกรัฐมนตรีฮุน เซนต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นับตั้งแต่การประชุมพบปะที่หัวหินในช่วงต้นเดือนเมษายนอย่างคาดไม่ถึง และตลอดระยะเวลาสองเดือนของการชุมนุมคนเสื้อแดง กัมพูชาแทบจะไม่แสดงบทบาทใดๆ ที่เปิดเผยหรือสร้างความรำคาญใจให้แก่รัฐบาลไทยเหมือนก่อนหน้านี้ ที่ดูเหมือนว่าผู้นำกัมพูชาจะ "ถือหาง" คุณทักษิณอย่างชัดเจน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง กัมพูชากลับพยายามแสดงบทบาทอย่างกระตือรือร้นและล็อบบี้ให้อาเซียนยกระดับวิกฤตชาดในประเทศไทยให้เป็นปัญหาของภูมิภาค (Regional concern) เปิดทางให้อาเซียนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ปรากฏว่าสมาชิกส่วนใหญ่ไม่เห็นดีเห็นงามด้วย นอกจากนี้ ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทหารกัมพูชามีบทบาทร่วมอยู่ในกลุ่มผู้ก่อการร้ายชุดดำด้วย แต่รัสเซีย (Russia) กลับกลายเป็นประเทศแรกที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ "19 พฤษภา" เพราะหมายกำหนดการเดินทางไปเยือนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีในช่วงวันที่ 7-9 มิถุนายนต้องถูกเลื่อนออกไป
ประการที่เจ็ด แน่นอนที่สุดว่า "วิกฤตชาด 2553" ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เกิดจากต้นรากมูลเหตุ (Roots) หลายๆ ประการ
มูลเหตุอันดับแรกสุดก็คือ "ปัจจัยทักษิณ" เพราะนับตั้งแต่ถูกรัฐประหารโค่นล้มอำนาจทางการเมืองในเดือนกันยายน 2549 แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องหลบลี้หนีภัยอาศัยอยู่ในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีซื้อขายที่ดินรัชดาฯ (Ratchadaphisek) และยึดทรัพย์กว่า 4.6 หมื่นล้านบาท กลายเป็นแหล่งเพาะความแค้น (Revenge) ที่รอการสนอง โดยมีเป้าหมายหลักสามประการคือ การกลับเมืองไทย (Return) การขอคืนทรัพย์สินที่ถูกยึด (Reclaim) และการได้รับอภัยโทษ (Royal pardon)
นอกจากนี้ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวย (Rich) และคนยากจนระดับรากหญ้าในชนบท (Rural) รวมทั้งความเหลื่อมล้ำทางสังคม ในเรื่องสิทธิ (Rights) ต่างๆ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ "ลาวาแดง" ไหลทะลักพลุ่งพล่านปกคลุมสังคมการเมืองไทย ที่ถึงที่สุดแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างทฤษฎีใหม่เพื่อหักล้างทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย เพื่อพิสูจน์ว่า นอกจากจะเป็นผู้ตั้งรัฐบาลแล้ว คนต่างจังหวัดยังสามารถล้มรัฐบาลได้เช่นกัน
ประการที่แปด วิกฤตชาดครั้งนี้รุนแรงและร้ายแรงเกินกว่าที่จะปล่อยให้ผ่านไปเป็นเพียงประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งได้ คำกล่าวขอโทษและเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรจะต้องแสดงออกซึ่งความเสียใจสำนึกผิด (Remorse) ต่อสิ่งที่ได้กระทำและร่วมรับผิดชอบ (Responsibility) ในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบทางแพ่ง ทางอาญาและทางการเมือง
ในด้านหนึ่ง มีเสียงเรียกร้องจากกลุ่มคนเสื้อแดงตลอดเวลาให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง (Resign) เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อ 88 ชีวิตที่เป็นเหยื่อของความขัดแย้ง
แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้แสดงออกซึ่งท่าทีที่ชัดเจนว่า ภายใต้แผนการโรดแมป (Roadmap) เพื่อการสมานฉันท์ (Reconciliation) แห่งชาตินั้น ผู้ร่วมชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงโดยส่วนใหญ่ จะได้รับการปฏิบัติตามแนวทางยุติฉันท์ (Restorative justice) เพราะเชื่อว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ไม่ได้กระทำผิดกฎหมายใดๆ
ในขณะที่แกนนำและผู้อยู่เบื้องหลังในการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็น "กบฏแดง" (Red rebel) คือผู้ก่อการร้ายที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ และจะต้องถูกลงโทษตามแนวทางทัณฑ์ฉันท์ (Retributive justice) นั่นคือคนผิดต้องรับโทษ โดยมีอดีตหัวหน้าพรรคผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยเป็นเป้าหมายสำคัญแรกสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในช่วงระหว่างวิกฤติชาด มีข่าวลือ (Rumour) แพร่สะพัดว่า อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 กำลังเผชิญกับโรคร้ายแรงมะเร็งใกล้จะเสียชีวิต แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ ณ เวลานี้ คุณทักษิณกลายเป็นคนสองสัญชาติเป็นพลเมืองของมอนเตเนโกรตามกฎหมาย ภายหลังจากที่เข้าไปลงทุนร่วมทำธุรกิจกับกลุ่มเรสติส กรุ๊ป (Restis Group)
เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญห้ามการส่งพลเมืองมอนเตเนโกรไปดำเนินคดีในประเทศอื่น การร้องขอ (Request) ของทางการไทยให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ ในขณะเดียวกัน การร้องขอให้องค์การตำรวจสากลออกหมายแดง (Red notice) เพื่อจับกุมคุณทักษิณในข้อหาก่อการร้าย อาจจะเป็นหนทางเดียวที่รัฐบาลไทยวาดหวังได้ในขณะนี้ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ว่าโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม (Robert Amsterdam) ที่ปรึกษาทางกฎหมายชาวแคนาดาจะสามารถช่วยเหลือและสร้างข้อได้เปรียบให้คุณทักษิณได้มากน้อยแค่ไหน
จริงอยู่ คุณทักษิณอาจจะยอมรับคำขอจากนายมิลาน โรเซน (Milan Rocen) รัฐมนตรีต่างประเทศของมอนเตเนโกร ที่ให้หลีกเลี่ยงการใช้มอนเตเนโกรเป็นฐานเพื่อก่อให้เกิดปัญหาทางการเมืองในประเทศไทยอีก แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะให้อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ทำให้เกิดภาวะ "แผ่นดินไหว" ที่สั่นสะเทือนการเมืองไทยมากที่สุดยอมสละ (Revoke) สัญชาติไทยตามคำท้าทายของนายกรัฐมนตรี
การถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงที่ทำให้เกิดวิกฤตชาดที่รุนแรงที่สุดในครั้งนี้ ทำให้โอกาสที่คุณทักษิณจะได้กลับเมืองไทยอย่างยิ่งใหญ่ ได้รับการต้อนรับบน "พรมแดง" (Red carpet) อย่างสมเกียรติจากกลุ่มคนเสื้อแดงตามที่วาดฝันไว้นั้น เหลือน้อยมาก
ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิกฤตชาดครั้งนี้เป็นวิกฤตชาติที่รุนแรงที่สุดเท่าที่สังคมไทยเคยประสบมา และไฟแห่งความแค้นความรุนแรงยังระอุอยู่ในหลายๆ พื้นที่ จนทำให้รัฐบาลอ้างเป็นเหตุผลของการคงไว้ซึ่งมาตรการควบคุม (Repression) และจำกัด (Restriction) สิทธิและเสรีภาพบางประการตาม พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ตลอดจนการใช้รถยนต์กันกระสุน Range Rover ของผู้นำในรัฐบาลและกองทัพ ที่สะท้อนถึงความไม่ปกติในบ้านเมือง แต่ในทางกลับกัน การร่วมมือร่วมแรงกันช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (Retailers) ที่ได้รับความเสียหายจากวิกฤตชาดก็เป็นสัญญาณที่ดีของพลังสังคม "สายรุ้ง" (Rainbow) หลากสีสัน
เพราะฉะนั้นแล้ว การปรองดองสมานฉันท์จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นอันดับแรกสุดและเป็นเป้าหมายสูงสุดของประเทศ ณ เวลานี้ เพื่อที่จะสามารถสมานเยียวยา (Remedy) แผลแห่งความเกลียดชังและคับแค้นใจ (Resentment) ที่ร้าวลึกนี้ได้ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลและคนไทยโดยรวมต้องร่วมมือกัน (Reunite) ในการฟื้นฟู (Rehabilitate) และบูรณะ (Rebuild) ประเทศให้พลิกฟื้นขึ้นมา (Recover) เพื่อกอบกู้ (Restore) ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างหลักประกันว่าบ้านเมืองจะดำรงความเป็นนิติรัฐ (Rule of law) อย่างแท้จริงให้ได้ และที่จะขาดเสียมิได้ ก็คือการปฏิรูป (Reform) ทางการเมืองและสังคม เพื่อลดเงื่อนไขต่างๆ ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงในอนาคต
มิฉะนั้นแล้ว สังคมไทยจะมีสภาพที่ทรงกับทรุด (Relapse) ไม่ต่างจาก "คนป่วยแห่งเอเชีย"
โดย ปรีชาญาณ วงศ์อรุณ
มติชนออนไลน์
คิดได้อย่างไง มหัศจรรย์จริงๆ
ตอบลบ