--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปรากฏการณ์ : Unfriend .

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราวันนี้หนักหนา หันไปทางไหนมีแต่เรื่องไม่สบายใจที่ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าจะเป็นแบบนี้ไป อีกนานแค่ไหน ความแตกแยกทางความคิดของคนในสังคมร้าวลึกจนยากที่จะคลี่คลายได้ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะเดินมาไกลถึงจุดนี้ 

เมื่อไรจะจบ จะจบแบบไหน ถามนักธุรกิจรายไหนรายนั้น วันนี้ได้คำตอบแค่ว่าจะจบแบบไหนก็ได้ขอให้จบสักที จบได้เร็วที่สุดยิ่งดี เพราะเมื่อไรที่จบได้ก็จะได้เริ่มต้นทำมาหากินกันต่อไป จะวางแผนลงทุนอะไรใหม่ ๆ จะจัดกิจกรรมการตลาดอัดฉีดยอดขาย ก็เริ่มต้นกันได้สักที 

แต่ถ้าเป็นไปแบบนี้ก็ไม่มีใครกล้าขยับอะไรมาก เดินหน้ากันไปแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ ไม่รู้อนาคต 

ความไม่แน่นอนไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่เฉพาะกับธุรกิจ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการดำเนินชีวิตประจำวันปกติก็ไม่เว้น 

เดี๋ยวนี้ก่อนออกจากบ้านต้องดูข่าวเช็กข้อมูลในทวิตเตอร์ว่า มีปิดถนนที่ไหนบ้าง จะไปไหนทีต้องตรวจสอบเส้นทางและเผื่อเวลา 

กูรูเศรษฐกิจนักธุรกิจใหญ่พูดตรงกันว่า เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เกินกลางปีพังกันไปหมดแน่ แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร 

สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ คำกล่าวนี้ยังใช้ได้อยู่หรือไม่ 

เราจะต้องลงทุนลงแรงและใช้เวลาปฏิรูปกอบกู้บ้านเมืองและเศรษฐกิจบนซากปรักหักพังเป็นเวลานานแค่ไหน กว่าที่จะกลับมาแข็งแรง เดินและวิ่งได้อีกครั้ง จะใช้เวลานานแค่ไหนอาจไม่สำคัญเท่ากับว่า เราจะเริ่มต้นกันได้เมื่อไร 

จบเมื่อไรสำคัญก็จริง ขอให้จบสักทีก็สำคัญ แต่จบแบบไหนไม่ได้สำคัญน้อยกว่าจบเมื่อไร เพราะถ้าจบแบบไม่จบจริง
แค่กลบฝังปัญหาบางอย่างไว้ ก็เท่ากับรอวันปะทุอีกครั้งเท่านั้นเอง 

แต่นาทีนี้เชื่อว่า ใคร ๆ ก็อยากเห็นบรรทัดสุดท้ายโดยเร็ว 

เราทั้งนั่งดู และเข้าไปเป็นตัวประกอบในบางฉากบางตอนของหนังเรื่องนี้ยาวนานเกินไปแล้ว ฉันเองเชื่อมั่นจริง ๆ ว่า ไม่ว่าเราจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันสักแค่ไหน 

แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังรักและหวังดีต่อบ้านเมือง อยากเห็นประเทศสงบสุข กลับมาเป็นสยามเมืองยิ้มเหมือนที่เคยเป็นอีกครั้ง แม้ในใจจะแอบคิดว่าคงเป็นไปได้ยาก เพราะอะไร ก็ ถึงขนาดที่ญาติพี่น้องคนในครอบครัวเราเองยังมีความคิดเห็นต่างกัน และไม่ใช่แค่แตกต่างธรรมดา ในบางครอบครัวถึงขั้นแตกแยก จนไม่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องการเมืองกันได้เลย ถ้าแม้แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวยังเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ กว่าทุกอย่างจะคลี่คลายเหมือนเดิมคงใช้เวลาอีกนาน 

ปัญหาในบ้านสะท้อนถึงปัญหาที่ใหญ่กว่าในบ้านเมืองในประเทศของเรา คำว่า "คนไทยลืมง่าย" จะยังใช้ได้อยู่อีกไหม 

ขยับจากบ้านมายังสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะในโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง "เฟซบุ๊ก"เห็นได้ชัดเจนมาก และคนส่วนใหญ่ในเวลานี้มีประสบการณ์ที่ไม่แตกต่างกันนัก 

เมื่อก่อน การแชร์ความคิดความเห็นและข้อมูลในเฟซบุ๊กส่วนตัวภายในเครือข่าย"เพื่อน" ทั้งที่เป็น "เพื่อน" กันในชีวิตจริงหรือ แค่คนรู้จัก และอาจไม่รู้จัก แต่ถ้ายอมรับให้มาอยู่ในเครือข่ายเพื่อนของแต่ละคน ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหา แต่ในห้วงที่การเมืองร้อนแรง ความคิดความเห็นแตกต่าง มีปรากฏการณ์ "ยกเลิกการเป็นเพื่อน" เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง 

การสกรีนหรือเลือก เพื่อนให้เข้ามาอยู่ร่วมในเครือข่ายของเรา อันที่จริงนับว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ เพราะก็แปะป้ายอยู่แล้วว่า คนที่อยู่ในเครือข่ายของเรา 

เรายอมรับเขาในฐานะ "เพื่อน"การ จะแชร์ข้อมูลส่วนตัวของเราเองว่าเราทำอะไรในแต่ละวัน คิดเห็น และมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ก็ควรที่จะแบ่งปันกันเฉพาะในหมู่เพื่อนฝูง 

ลองค้นหาความหมายของคำว่า "เพื่อน" ในกูเกิล ได้คำตอบว่า เพื่อน คือบุคคลที่คบกับเราในลักษณะที่เราเป็นอยู่โดยเราไม่ต้องใส่หน้ากาก เพื่อน คือผู้ที่รักใคร่ชอบพอกัน และกระทำความดีต่อกันเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ ไม่เลือกเพศ วัย ความรู้ ชาติ ศาสนา 

ลองค้นหาต่อมาถึงคำว่า "มิตร" หมายถึง เพื่อนผู้รักใคร่คุ้นเคยกัน เป็นผู้มีไมตรีเยื่อใยต่อกัน 

ในเฟซบุ๊กของเราเอง ถ้าเรายอมรับใครเข้ามาเป็นเพื่อนในเครือข่ายของเรา ก็สมควรที่จะต้องเป็นกลุ่มคนที่เป็นเพื่อนในความหมายข้างต้น 

ถ้าที่ผ่านมากดรับเป็นเพื่อนโดยไม่เคยสกรีน แค่เคยรู้จัก คลับคล้ายคลับคลา หรือแค่คุ้นชื่อคุ้นหน้าก็รับเข้ามา การอันเฟรนด์ หรือยกเลิกความเป็นเพื่อนจึงไม่น่าจะผิดปกติอะไร 

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้กลับไม่ปกติธรรมดา เพราะมีไม่น้อยที่อันเฟรนด์เพื่อนในชีวิตจริงที่ใช้เวลาไม่ใช่น้อยสร้างมิตรภาพนั้นขึ้นมา แต่วันนี้ต้องมายกเลิกความเป็นเพื่อน ถึงจะใน "เฟซบุ๊ก" ก็เถอะ ไม่ใช่แค่การขึ้นป้ายห้ามรบกวนชั่วคราว แต่ได้ก้าวข้ามไปสู่การปิดประตูบ้าน แยกคนที่เห็นแตกต่างไปอยู่อีกฟากฝั่ง ใช่หรือไม่ว่า ถ้าอีกฟากเป็นขาว อีกฝั่งก็ต้องเป็นดำ ถ้าอีกด้านดี อีกด้านก็ต้องเลวเท่านั้น จึงอย่าต้องมารับมารู้ความเป็นไปของกันและกัน ไม่ต้องพูดคุย ทักทาย หรือจะแค่กดไลก์ก็ตาม 

ใช่หรือไม่ว่า ปรากฏการณ์อันเฟรนด์ใน "เฟซบุ๊ก" เป็นภาพสะท้อนของร่องรอยปริแยกในความสัมพันธ์ในชีวิตจริง ระหว่างเพื่อน ระหว่างคนในบริษัทในสังคม และในประเทศของเรา ในโปรแกรมแชต "ไลน์" ก็ไม่ต่างจากพื้นที่ใน เฟซบุ๊กมากนัก คนที่ใช้ไลน์แต่ละคนมักจะมีไลน์กรุ๊ปคนละหลายกรุ๊ป มีทั้งกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย กลุ่มเพื่อนในที่ทำงาน หรือกลุ่มเพื่อนที่รู้จักในการงานอาชีพ และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ผ่านมา

ในแต่ละกรุ๊ปก็ทักทายเฮฮาสัพเพเหระ แบ่งปันข่าวสารข้อมูลกันเป็นปกติธรรมดา แต่วันนี้หลายคนเลือกที่จะออกจากกรุ๊ปไลน์โน่นนี่ "ไลน์" ต่างจากเฟซบุ๊กตรงที่เมื่อคนตั้งกลุ่มไลน์ดึงเราเข้ากลุ่มแล้ว ถ้าเราจะไม่อยู่ในกลุ่มก็ต้องเลือกดีลีตตนเองออกจากกลุ่มไปเอง 

ไม่น่าเชื่อว่า เราเดินมาถึงจุดที่ไม่สามารถยอมรับฟังกันและกันได้อีกต่อไป 

ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ยังรักและหวังดีต่อบ้านเมืองของเรา และอยากเห็นปัญหาต่าง ๆ คลี่คลายโดยเร็ว เพื่อที่เราจะเดินหน้าปฏิรูปประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่าอย่างแท้จริง 

ขอเพียงแต่เริ่มต้นไปสู่จุดนั้นได้ ไม่ว่าฝั่งไหน ต้องไม่คิดว่า เป้าหมายคือ "ชัยชนะ" เมื่อมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ การเดินหน้าไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่าจึงไม่ใช่การเร่งปิดเกมเพื่อกำชัยชนะ แต่คือการเปิดใจ เลิกแบ่งแยกพวกเขาพวกเรา หันหน้ามาคุยกันว่า เราจะเดินร่วมกันต่อไปได้อย่างไร ไม่ใช่แค่ตัวเราเองหรือพวกพ้อง แต่เพื่อประเทศชาติของเราทุกคน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น