--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

เชือด จำนำข้าว !!?

ตอนนั้นนายจำลองโต๊ะทองเป็นผู้จัดการแบงก์ธ.ก.ส. นักข่าวรุมถามกันหนักว่าดีหรือเวิร์กแน่หรือเพราะเป็นสิ่งใหม่ก็ได้รับคำยืนยันว่าโดยหลักการแล้วดีมากๆ แต่ผลที่ออกมาในปีแรกไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่นักเพราะเจอปัญหาเรื่องที่ชาวนาต้องขนข้าวจากที่อื่นมาที่อยุธยา

ในปีการผลิต 2529 / 2530 รัฐบาลจึงปรับเปลี่ยนวิธีการให้ธ.ก.ส. รับจำนำข้าวเปลือกที่ชาวนาเก็บไว้ในยุ้งฉางได้จึงได้รับการตอบรับอย่างดีทำให้รัฐบาลต่อๆ มาเดินแนวนี้ตลอดกระทั่งปีการผลิต 2542 / 2543 รัฐบาลมีมติให้อคส. เช่าคลังสินค้าเอกชนเพื่อรับจำนำข้าวจากชาวนาทำให้โครงการรับจำนำข้าวเป็นที่ชื่นชอบของชาวนาและแบงก์ธ.ก.ส. เองไล่มาตั้งแต่ยุคนายจำลองต่อมาเป็นนายสุวรรณไ ตรผล แล้วเป็นนายทวีศักดิ์ ทังสุพานิช นายมนัส ใจมั่น และ นายพิทยา พลนาถธราดล ผู้จัดการคนต่อๆ มา ก็ล้วนทำเรื่องรับจำนำข้าวมาตลอดทำให้แบงก์ธ.ก.ส. มีรายได้จากโครงการนี้มาตลอดด้วยเช่นกัน

กระทั่งปีการผลิต 2544 / 2545  รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดกับเพิ่มปริมาณรับจำนำและให้โรงสีเอกชนเข้ามาเป็นกลไกสำคัญในกระบวนการรับจำนำนอกเหนือจากธ.ก.ส. และยังกำหนดให้มีการรับจำนำใบประทวนฯโดยให้ชาวนานำข้าวเปลือกไปจำนำกับโรงสีโดยมีอตก. และอคส. เป็นผู้ออกใบประทวนแล้วสามารถนำใบประทวนมาขึ้นเงินกับธ.ก.ส. ได้ตามราคารับจำนำที่ประกาศไว้

ในปีการผลิต 2546 / 2547 และ  2547 / 2548  รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ได้กำหนดปริมาณการรับจำนำข้าวสูงถึง 9 ล้านตันหรือประมาณ 1 ใน 3 ของผลผลิตข้าวทั้งประเทศโดยกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดข้าวเปลือกหอมมะลิ  ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกหอมจังหวัดตันละ  8,000 บาทส่งผลให้มีชาวนาเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น

ปีการผลิต 2546 / 2547 มีเข้าร่วมโครงการสูงถึง 2.7 ล้านตัน ปีการผลิต 2547 / 2548 เพิ่มขึ้นเป็น  9.4 ล้านตัน และปีการผลิต 2548 / 2549 เพิ่มขึ้นเป็น  9.5 ล้านตันเมื่อครบกำหนดไถ่ถอนปรากฎว่ามีข้าวหลุดจำนำตกเป็นของรัฐในปีการผลิต 2548 /2549ประมาณ 3 ล้านตันเศษ

จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การเลือกตั้งสมัยที่ 2 พรรคไทยรักไทยกวาดเก้าอี้ส.ส.ได้มากถึง 377 เก้าอี้
หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ปรับลดราคารับจำนำ

ลงมาให้ใกล้เคียงราคาตลาดอีกทั้งยังลดปริมาณรับจำนำลงเหลือ 8 ล้านตันต่อมาปี 2551 ยุครัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ราคาข้าวในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเป็นตันละ 15,000  บาท ชาวนาจึงเรียกร้องให้รัฐบาลปรับราคารับจำนำข้าวให้สูงขึ้นใกล้เคียงกับราคาตลาดรัฐบาลมีมติให้รับจำนำข้าวเปลือกความชื้นไม่เกิน 15% จากเดิมตันละ 7,100 บาทเป็นตันละ 14,000 บาท

โครงการจำนำข้าวมาถูกยกเลิกไปในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ประกาศใช้นโยบายประกันรายได้แทนการรับจำนำ

เมื่อพรรคเพื่อไทยได้กลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้งภายใต้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นโยบายรับจำนำข้าวซึ่งเป็น 1 ในนโยบายหาเสียงจึงถูกผลักดันอีกครั้งและกลายเป็นนโยบายที่นำไปสู่เรื่องราวทางการเมืองมากมายจนถึงขั้นถูกป.ป.ช.  จ้องชี้ป็นชี้ตายนายกฯ ยิ่งลักษณ์อยู่ในขณะนี้

แต่หากถามว่านโยบายรับจำนำข้าวดีหรือไม่บอกได้เลยว่าโดยหลักการถือว่าดีได้ประโยชน์กับชาวนาจึงทำให้ชาวนาชื่นชอบถ้าไม่ดีจริงคงไม่อยู่ยาวมาตั้งแต่ปี 2528 ซึ่งมาถึงวันนี้ก็ปาเข้าไป 29 ปีแล้ว

เพียงแต่ว่ายุคที่จำนำข้าวบูมสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯนั้นเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ มีการผ่าตัดระบบราชการมีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูงแถมรัฐมนตรีในยุคนั้นก็เฟ้นหามือดีๆ เข้ามามีนายสมคิด จาตุศรีพิพักษ์ เป็นรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ สมัยรัฐบาลนายสมัคร ก็มีการเอานายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ซึ่งเป็นมือขายระดับเซียนของโตโยต้ามาเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ ทำให้เมื่อรับจำนำข้าวมาแล้วสามารถที่จะขายออกไปได้ในขณะที่ไม่ได้มีเรื่องฉาวเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น

แต่ในยุครัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ต้องยอมรับความจริงว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ ยังมีบารมีไม่เท่ากับอดีตนายกฯ ทักษิณ ในขณะที่มือทำงานด้านเศรษฐกิจก็ได้แค่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มาเป็นรองนายกฯ ควบเก้าอี้รัฐมนตรีพาณิชย์ผลงานก็อย่างที่เห็นๆ ค้าขายไม่เป็นจนต้องลุกออกไปควบรัฐมนตรีคลังแทนส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีพาณิชย์ก็กลายเป็นนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ซึ่งถูกมองว่า มาจากสายของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็กลายเป็นเป้ามาตั้งแต่ตอนนั้นและกลายเป็นคนที่ถูกป.ป.ช. ลงมติเชือดพร้อมกับคนรอบๆ กาย

นี่คือ ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดของมือบริหารโครงการรับจำนำข้าวที่วันนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ต้องทบทวนบทเรียน และต้องยอมรับความจริงว่าความตั้งใจดีตั้งใจทุ่มเททำงานอย่างหนักของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวนั้น ไม่พอแต่จะต้องมีทีมที่ทำงานได้ดี
และปราศจากเรื่องทุจริตด้วย

หากคนทำมือไม่ถึงหรือหากมีลูกเกรงใจและที่สำคัญหากมีคนจ้องเข้ามากอบโกยผลประโยชน์แม้เป็นโครงการที่ดีเป็นโครงการที่มีประโยชน์กับชาวนาก็สั่นสะเทือนได้และมีสภาพอย่างที่โดนกระหน่ำในขณะนี้จากทั้งป.ป.ช. และจากการเมืองขั้วตรงข้าม

วันนี้โครงการรับจำนำข้าวจึงโดนยำเละพรรคประชาธิปัตย์ดาหน้าขุดคุ้ยเรื่องนี้อย่างเอาเป็นเอาตายจะเพื่อแลกหมัดกับที่ถูกตรวจสอบเรื่องทุจริตไทยเข้มแข็งสารพัดโครงการแลกหมัดกับที่ถูกสอบทุจริตการระบายข้าวจากโครงการประกันราคาข้าวหรืออะไรก็สุดแล้วแต่ที่แน่ๆคือสามารถทำได้ผลเพราะโครงการรับจำนำข้าวมีปัญหาเรื่องทุจริตจนป.ป.ช.กระโดดเข้าใส่จริงๆ

ข้อมูลที่ป.ป.ช. มีนั้นถ้าฟังจากปากคำของนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. ก็ชัดเจนว่ามาจากการขุดคุ้ยของประชาธิปัตย์แล้วป.ป.ช.มารับลูกต่อจนเพลินชนิดที่ลืมคดีทุจริตระบายข้าวของประชาธิปัตย์ไปเลยคดีค้างอยู่ 2-3 ปีไม่มีความคืบหน้า

ดังนั้นปัญหาเรื่องโครงการรับจำนำข้าวในวันนี้จึงอยู่ที่ว่าจะแก้ข้อครหาเรื่องทุจริตได้อย่างไรเพราะจากการสืบค้นบรรดาตัวละครต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องล้วนเป็นประเด็นให้ประชาธิปัตย์กัดติดและป.ป.ช. จ้องฟันได้จริงๆ

นายบุญทรงนั้นโดนเชือดแน่นอนแล้วเพราะมีการใช้ข้อมูลเกี่ยวกับพ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ ซึ่งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีพาณิชย์ทั้งในยุคของนายบุญทรงและในยุคของนายกิตติรัตน์เอามาเป็นตัวจิ๊กซอว์ที่ทำให้ถูกเล่นเต็มๆโดยพยายามโยงพ.ต.นพ.วีระวุฒิ เชื่อมต่อกับ “เสี่ยเปี๋ยง” หรือนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่เกี่ยวพันกับโครงการรับจำนำข้าวมาตลอดกระทั่งมีคดีล้มละลายไปแล้วแต่ก็ยังเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทใหม่คือ บริษัทสยามอินดิก้า ที่เข้ามาผงาดในโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์

โดยสยามอินดิก้าถูกมองว่า แปลงร่างมาจากเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง เพราะกรรมการและผู้ถือหุ้นหลายคนในสยามอินดิก้า เคยเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง มาก่อนแถมตอนที่เพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ย่ำแย่สยามอินดิก้า ก็เคยเข้าไปช่วยเพิ่มทุนให้มาแล้ว

ยิ่งข้อมูลป.ป.ช. กรณีการขายข้าวจำนวน 7.32 ล้านตัน ให้กับบริษัทต่างประเทศในรูปแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีโดยบริษัทจากจีนชื่อ “GSSG IMP AND EXPORT CORP” อยู่ที่เมืองกวางเจา เข้ามาทำสัญญาค้าข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ 5 ล้านตัน แต่ปรากฏว่า ผู้ที่มีอำนาจของบริษัทคือนายรัฐนิธ โสติกุล และมอบอำนาจให้นายนิมล รักดี ชาวบางมูลนาก จ.พิจิตร เป็นผู้ดำเนินการแทน

มีการโยงว่านายนิมล รักดี หรือในวงการเรียกว่า “เสี่ยโจว” นั้นเป็นมือขวา “เสี่ยเปี๋ยง” หรือนายอภิชาติ แล้วก็โยงนายอภิชาติว่า มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพ.ต.นพ.วีระวุฒิ โดยอาศัยหลักฐานว่าอดีตภรรยาของพ.ต.นพ.วีระวุฒิ เคยครอบครองรถยนต์โฟล์กตู้คันหนึ่งซึ่งบังเอิญเคยเป็นของบริษัทสยามอินดิก้ามาก่อน

จากนั้นก็พาดพิงต่อไปถึงเรื่องที่ว่าพ.ต.นพ.วีระวุฒิ เคยเป็นกรรมการบริษัท สยามรักษ์ จำกัด 1 ในเอกชน 3 รายที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้จำหน่ายข้าวถุงในโครงการระบายข้าวจากการรับจำนำ
  แถมเสี่ยเปี๋ยงจากที่บริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง เป็นหนี้ธนาคาร 8 แห่งเป็นเงินกว่า 12,000 ล้านบาท จนถูกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดถูกยื่นฟ้องล้มละลายจู่ๆ มาตอนนี้ก็กลับรวยขึ้นมาถึงขนาดที่ต้องการขยายเขตพื้นที่บ้านในซอยนาคนิวาส ย่านลาดพร้าว ก็ควักเงินซื้อบ้านข้างๆโดยหลังหนึ่งจ่ายไป 350 ล้านบาท ส่วนอีกหลังหนึ่ง 80 ล้านบาทได้อย่างหน้าตาเฉย

แน่นอนว่าพ.ต.นพ.วีระวุฒิ ที่ถูกเชื่อมโยงในฐานะกุญแจสำคัญเพราะเป็นเลขารัฐมนตรีพาณิชย์และรู้จักกับเสี่ยเปี๋ยงก็ได้ออกมาปฏิเสธและตอบโต้ตลอดยืนกรานว่าถูกเล่นงานทางการเมืองข้อมูลต่างๆ ที่ถูกนำขึ้นมาอ้างก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการโยกย้ายผู้บริหารในอคส. แล้วเกิดความไม่พอใจ

ปัญหาก็คือ วันนี้ ป.ป.ช. เชื่อข้อมูลเหล่านี้และพยายามที่จะใช้ข้อมูลเหล่านี้โยงไปให้ถึงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาลและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ว่าจะต้องรับผิดชอบ

ซึ่งนั่นหมายถึงการเชือดเหมาเข่งในคราวเดียวไปเลย
ส่วนจะมองข้ามช็อตว่า จะทำให้เกิดสุญญากาศการเมืองและนำมาซึ่งนายกฯ มาตรา7 หรือไม่นั้น
ป.ป.ช. รู้ดีกว่าใครเพื่อนว่าในใจคิดอย่างไร

อยู่ที่วิชา มหาคุณ จะกล้ายอมรับตรงๆ หรือไม่เท่านั้นเอง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น