--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

M-79 กับปริศนาที่ไขยาก !!?

โดย : วิศิษฏ์ ชวนพิพัฒน์พงศ์

แก๊งเอ็ม79 กับปริศนาที่ไขยาก ตำรวจลุยค้น8จังหวัดสกัด ฮาร์ดคอร์.

จากคดีระเบิดที่เกิดขึ้นในที่ชุมนุมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เวทีปราศรัยสี่แยกราชประสงค์ และเวทีปราศรัยในตลาดกลาง อ.เขาสมิง จ.ตราด ทำให้เด็กผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตไปถึง 4 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมากนั้น นับเป็นเหตุอุกฉกรรจ์ที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วประเทศ

ถือเป็นความรุนแรงจากผลของความขัดแย้งทางการเมืองที่ยากจะยอมรับ...

จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำให้ท่าทีของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลงไป แม้กระทั่งตำรวจ จากเดิมที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง "เกียร์ว่าง" หรือ "เข้าข้างรัฐบาล" ก็มีการเร่งรัดงานสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดอย่างคึกคักขึ้น กระทั่ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ออกไปรับมอบช่อดอกไม้จากกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ด้วยตนเอง เมื่อครั้งที่ กปปส.เดินทางไปเยี่ยมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 26 ก.พ.

หลังจากนั้นไม่ทันข้ามวัน ก็มีการแถลงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนในหลายๆ คดีที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้รับความเสียหาย โดยมีการนำหลักฐานไปขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาปาระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ที่เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รวมทั้งคดียิง นายสุทิน ธราทิน แกนนำกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ที่หน้าวัดศรีเอี่ยม เขตบางนา ก็สามารถขอหมายจับชายตามภาพที่ถืออาวุธปืนด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ท่าทีของตำรวจที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้หลายฝ่ายเริ่มหันกลับมาตั้งความหวังว่าตำรวจจะช่วยคลี่คลายคดีเพื่อขจัดกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงให้หมดสิ้น และทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย สมดั่งที่ได้รับการขนานนาม "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์"

โดยเฉพาะคดียิงเอ็ม 79 พล.ต.อ.อดุลย์ ก็ได้แต่งตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษขึ้นมาคลี่คลายคดี พร้อมมอบหมายให้ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้ช่วย ผบ.ตร. รับผิดชอบภารกิจนี้

พล.ต.ท.วินัย เปิดใจกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า การทำคดีระเบิดเอ็ม79 ที่เกิดขึ้นทั้ง 10 คดีในช่วงการชุมนุม กปส.ที่ผ่านมา ค่อนข้างยาก เพราะ 1.เป็นคดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ทำให้หาพยานหลักฐานยาก ต่างจากคดีที่เกิดกับบุคคลทั่วไป ซึ่งมีสาเหตุเพียงไม่กี่อย่าง จึงสืบสวนสอบสวนได้ไม่ยาก และ 2.อาวุธประเภทนี้มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เวลายิงไม่มีเสียง เมื่อยิงไปแล้วระยะที่ลูกระเบิดตกห่างจากจุดยิงถึง 300-400 เมตร ทำให้ไม่ค่อยมีประจักษ์พยาน เมื่อกระสุนตกก็ระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้ยากต่อการตรวจพิสูจน์และหาวัตถุพยาน

แต่ถึงกระนั้น พล.ต.ท.วินัย บอกว่า ในจำนวนคดีเอ็ม79 ที่เกิดขึ้นทั้ง 10 คดี มีบางคดีที่พอจะได้เบาะแสของผู้ต้องสงสัยเช่นกัน โดยเฉพาะคดียิงเอ็ม79 ใส่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา มีพยานเห็นและมีภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (ซีซีทีวี) ยืนยันว่าคนร้ายมีทั้งหมด 3 คน ใช้รถจักรยานยนต์ 2 คันเป็นพาหนะ ใช้เครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 ยิงกระสุนขนาด 40 มม.จากซอยวิภาวดี 60/1

เครื่องยิงลูกระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นแบบบรรจุลูกระเบิดทีละลูก เพราะพยานเห็นพฤติกรรมคนร้ายขณะก่อเหตุ ได้หักปืนเพื่อบรรจุลูกระเบิด ฉะนั้นจึงไม่ได้ใช้เครื่องส่งแบบบรรจุที่ละ 6 ลูกตามที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน" ผู้ช่วย ผบ.ตร.ระบุ

พล.ต.ท.วินัย บอกด้วยว่า นอกจากสาเหตุหลักๆที่ทำให้การสืบสวนเป็นไปด้วยความยากลำบากแล้ว ชุดสืบสวนยังต้องเผชิญกับปัจจัยแทรกซ้อนที่เกิดกับการตรวจสอบเบาะแสภาพผู้ต้องสงสัยหรือยานพาหนะจากกล้องซีซีทีวีในหลายๆ จุดด้วย

แม้ว่าจะมีอุปสรรคในการสืบสวนคลี่คลายคดี แต่การสืบสวนสอบสวนไม่ได้จำกัดเฉพาะหลักฐานจากที่เกิดเหตุเท่านั้น โดย พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า ชุดสืบสวนได้นำข้อมูลจากอีกหลายส่วนมาร่วมวิเคราะห์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลคดียิงเอ็ม79 ที่เกิดขึ้นในช่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ปี 48-49 และที่เกิดขึ้นในช่วงการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ปี 52-53

หรือข้อมูลการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมอาวุธสงครามในช่วงการชุมนุมปี 53 และครั้งอื่นๆ แล้วนำมาวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อตัดกลุ่มผู้ต้องสงสัยให้แคบลง นอกจากนั้นยังอาศัยข้อมูลเชิงลึกจากการสืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับกลุ่มฮาร์ดคอร์ร่วมวิเคราะห์ด้วย

"จากการสืบสวนเราพบว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีกลุ่มฮาร์ดคอร์ แต่ละกลุ่มมีเป็น 10 คน แต่ว่าจะมีไม่กี่กลุ่มที่ใช้ระเบิดชนิดนี้ เพราะการใช้ต้องอาศัยความชำนาญ และต้องจัดหาเครื่องยิงและลูกกระสุนได้ด้วย จึงต้องมีศักยภาพพอสมควร" หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษคลี่คลายคดีเอ็ม79 ระบุ

ทั้งนี้ ชุดสืบสวนพิเศษชุด พล.ต.ท.วินัย ไม่ได้รับมอบหมายเพียงเข้าไปคลี่คลายคดีเพื่อจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีเท่านั้น แต่ยังมีภารกิจในการหยุดยั้งกลุ่มฮาร์ดคอร์ไม่ให้ก่อเหตุป่วนด้วย โดยในส่วนของการหยุดยั้งการก่อเหตุรุนแรง ได้มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาคต่างๆ ที่รับผิดชอบพื้นที่เป้าหมายเข้าไปกดดันเพื่อป้องปรามแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการจัดกำลังลงพื้นที่กดดันกลุ่มฮาร์ดคอร์ในหลายจังหวัด

"เราระดมตรวจค้นมาแล้วกว่า 100 จุด แต่ก็ยังไม่พบอาวุธใดๆ โดยจุดต่างๆ ที่เข้ากดดัน อยู่ในพื้นที่ จ.ระยอง จันทบุรี ตราด สระแก้ว ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพฯ"

นอกจากรับผิดชอบคลี่คลายคดีระเบิดเอ็ม79 แล้ว ก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.วินัย ยังได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ทั้งที่เป็นผู้ต้องหาก่อเหตุรุนแรง และแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีหมายจับติดตัวด้วย

ต่อข้อถามว่า ในการก่อเหตุแต่ละครั้งนั้น กลุ่มคนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขบวนการ มีชุดล่วงหน้า ชุดลงมือ ชุดหลบหนี มีเซฟเฮาส์สำหรับซ่อนตัวหรือไม่ พล.ต.ท.วินัย ได้ยกตัวอย่างคดีปาระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อ 19 ม.ค.57 ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับ นายกฤษดา ไชยแค ตามภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อไม่นานมานี้ จากการตรวจสอบพยานหลักฐานพบว่า เขาก่อคดีเพียงคนเดียว โดยขี่รถจักรยานยนต์มาจากคลองเตย แล้วมาก่อเหตุ เพื่อปาระเบิดแล้วก็หลบหนีไปคนเดียว

"จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า ผู้ต้องหารายนี้มีแนวคิดรุนแรงทางการเมือง และก่อเหตุคนเดียว นอกจากเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้แล้วยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยปาระเบิดที่ถนนบรรทัดทอง (เมื่อ 17 ม.ค.57) ด้วย"

ส่วนที่มีกระแสข่าวพาดพิงว่าพวกฮาร์ดคอร์เหล่านี้เป็นคนของ "นายพลเฒ่า" คนหนึ่งนั้น พล.ต.ท.วินัย บอกว่า เป็นการคาดการณ์กันไป แต่ตำรวจจะพูดอะไรต้องมีหลักฐาน ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้...

แต่หากพยานหลักฐานไปถึงใคร หรือกลุ่มใด ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งหมด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น