ปมปีนเกลียว กกต.2543 โชว์ตัวตน ขาใหญ่ ผูกขาด งบฯตรวจสอบเลือกตั้ง ตะลึง ขอแล้วไม่ให้ ขู่ฟ้องเอาตาย
รวมไปถึงปรากฏข้อมูลว่า ในการเลือกตั้ง ส.ว.ดังกล่าว “องค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย” กลับ รายงานบัญชีค่าใช้จ่ายกับทาง “กกต.” ยังไม่ครบจำนวน 4 สัญญา เป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 7.6 ล้านบาท !
ซึ่งนับถึงขณะนี้ ระยะเวลาก็ยืดยาวมากว่า 15 ปีแล้ว
ซึ่งนับถึงขณะนี้ ระยะเวลาก็ยืดยาวมากว่า 15 ปีแล้ว
และเรื่องดังกล่าวนี้ คนที่ “ชี้แจงแถลงไข” ได้ดีที่สุด จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก “สมชัย ศรีสุทธิยากร” กกต.มือ 1 ผู้เคยสวมหมวก “เลขานุการใหญ่องค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย” และนั่งครองเก้าอี้ “ผู้ประสานงานองค์กรฯ” มายาวนานต่อเนื่องกันมากกว่าสิบปี !!
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ เมื่อปรากฏ “ข้อมูล” ดังกล่าวข้างต้นออกมา ได้ทำให้หลายฝ่ายเกิดข้อสงสัยว่า แท้ที่จริงแล้ว “องค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย” เป็นใคร มาจากไหน ?
เข้าไปรับ “งบประมาณ” ของ “กกต.” และมีกิจกรรม-พฤติกรรม การใช้เงินงบประมาณอย่างไร ?
ที่สำคัญคือ เกี่ยวโยงกับ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” กกต.แถวหน้าประเทศไทย อย่างไร ?
ที่สำคัญคือ เกี่ยวโยงกับ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” กกต.แถวหน้าประเทศไทย อย่างไร ?
โดย “เว็บไซด์มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย” ระบุเอาไว้ว่า เริ่มแรกมีการจัดตั้ง “องค์กรกลางการเลือกตั้ง” ตาม “คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 3/2535” เพื่อเป็นองค์กรที่เข้าร่วมตรวจสอบการเลือกตั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ จากนั้นได้มีการจดทะเบียนเป็น “มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย” พร้อมจัดตั้ง “เครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง” (People Network for Election in Thailand – P-NET (พีเน็ต)) ขึ้นในเวลาต่อมา
แม้คำสัมภาษณ์ของ “ร.ต.วิจิตร อยู่สุภาพ” อดีตเลขาธิการ กกต. ที่เผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐในปี 2543 จะทำให้เห็น “การทำงาน” และ “ผลงาน” ของ “พีเน็ต” อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการ “งบประมาณ จำนวนมากกว่า 85 ล้านบาท”
แต่นั่นเป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” เท่านั้น เพราะในข้อเท็จจริงที่ปรากฏผ่าน “สื่อสารมวลชน” ในช่วงที่เกิดปัญหา ระหว่าง “กกต.” และ “พีเน็ต” ระหว่างปี 2543-2544 กลับกลายเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นการใช้ “งบประมาณ” และ “การทำงานไ ของ “พีเน็ต” ได้อย่างลึกซึ้ง
โดยหลังจากที่ “ร.ต.วิจิตร อยู่สุภาพ” อดีตเลขาธิการ กกต. ออกมา เปิดฉากแฉข้อเท็จจริง “ผลงานไร้คุณภาพ” ของ “พีเน็ต” จากงบประมาณตรวจสอบการเลือกตั้ง 85 ล้านบาท ในการเลือกตั้ง ส.ว.3 ครั้งในปี 2543 ทำให้ กกต.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเคลือบแคลงในวิธีการปฏิบัติของ “พีเน็ต” และส่งผลให้ “กกต.” ต้องกลับมาพิจารณาการทำงานร่วมกับ “พีเน็ต” ครั้งใหญ่ และมีที่ท่าที่จะยกเลิกการทำงานร่วมกันและการให้งบประมาณในการเลือกตั้งครั้งต่อมา คือการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป 6 มกราคม 2544
โดยเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2543 “พล.อ.สายหยุด เกิดผล” ประธานเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง ขณะนั้นแถลงข่าวร่วมกับ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” เลขานุการมูลนิธิองค์กรกลางฯ ว่าได้เสนอโครงการตรวจสอบการเลือกตั้ง ส.ส.วันที่ 6 มกราคม 2544 ต่อ กกต.ไปเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2543 ในรูปแบบโครงการเดียว เพื่อของบประมาณสนับสนุนในการจัดทำโครงการตรวจสอบการเลือกตั้งเป็นโครงการเดียวทั่วประเทศจำนวน 43.4 ล้านบาท
จากนั้น 20 พฤศจิกายน 2543 มีการประชุมร่วมกันของ กกต. นำโดย นายโคมธม อารียา กกต.ขณะนั้น กับ พล.อ.สายหยุด เกิดผล ตัวแทนพีเน็ต เพื่อหารือถึงแนวทางการให้งบประมาณและการทำงานในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งภายหลังการประชุมยาวนานกว่า 2 ชั่วโมงนายโคทม อารียา กกต.กล่าวว่า องค์กรเอกชนที่ลงทะเบียนกับ กกต.กว่า 100 องค์กร จึงเห็นว่าการจะให้พีเน็ตตรวจสอบการเลือกตั้งเพียงองค์กรเดียวอาจจะไม่เหมาะสม
“พีเน็ต” ที่เคยใหญ่คับการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา และผูกขาดการตรวจสอบการเลือกตั้งเพียงรายเดียวหลายปี จึงถูกปฏิเสธจาก กกต.ชุดนั้น แบบไม่มีแม้กระทั่งเยื่อใย

“พีเน็ต” ที่เคยใหญ่คับการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา และผูกขาดการตรวจสอบการเลือกตั้งเพียงรายเดียวหลายปี จึงถูกปฏิเสธจาก กกต.ชุดนั้น แบบไม่มีแม้กระทั่งเยื่อใย
ไม่กี่วันหลังจากนั้น พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานพีเน็ต ได้สัมภาษณ์พิเศษกับหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดยระบุว่า “เสียใจที่นายโคทม อารียา กกต.บอกว่าพีเน็ต ต้องการผูกขาดการตรวจสอบการเลือกตั้งเป็นโครงการเดียวทั้งประเทศ และกล่าวหาพีเน็ต ต้องการครอบงำองค์กรเอกชนอื่น” พร้อมทั้งระบุว่า “กกต.ชุดนี้เพี้ยนไปแล้ว พวกผมตรวจสอบการเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี 2539 มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศ แต่ กกต.กลับปฏิเสธองค์กรเอกชนที่เข้มแข็งและไปให้งบสนับสนุนองค์กรเอกชนเล็กๆน้อยๆ”
นอกจากนี้ยังระบุว่า “ กกต.มีหน้าที่สนับสนุนองค์กรเอกชน ที่ต้องการเข้ามาร่วมตรวจสอบการเลือกตั้ง ตามกฎหมายระบุไว้ชัดเจน หาก กกต.ไม่ให้เงินสนับสนุนพีเน็ต เครือข่ายพีเน็ตทั่วประเทศ ก็จะยื่น กกต.ต่อศาลปกครองในข้อหาทำผิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญและทำผิดกฎหมายเลือกตั้งที่ปฏิเสธการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมทั้งยื่นห้องให้ทบทวนการทำงานของ กกต.ที่ทำหน้าที่บกพร่อง ทำให้ประเทศชาติต้องเสียงบประมาณเป็นพันล้านในการเลือกตั้ง ส.ว.ซ้ำซาก”
กลายเป็น “คำประกาศ” จาก “ขาใหญ่” ที่ส่งผลสะเทือนถึง “กกต.” ขณะนั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ !!
ซึ่งสุดท้าย “กกต.” ก็เจียด “งบประมาณ” ให้กับ “พีเน็ต” เพื่อทำโครงการตรวจสอบการเลือกตั้ง 6 มกราคม 2544 โดย “นายสมชัย ศรีสุทธิยากร” ในฐานะเลขานุการองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์กับ “ผู้จัดการรายวัน” ฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน 2543 ชี้แจงถึงสาเหตุที่พีเน็ต ลดระดับโครงการตรวจสอบการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศเหลือเพียงโครงการตรวจสอบการเลือกตั้งเขตพิเศษ 200 เขต ระบุว่า “ไม่ได้เกิดจาก พีเน็ต ของบประมาณมากเกินไปจน กกต.ไม่สามารถจัดหางบประมาณให้ได้ แต่เกิดจากแนวคิดการทำงานที่ไม่ตรงกัน พีเน็ตของบประมาณไปเพียง 43 ล้านบาท ในการดำเนินการตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งน้อยกว่างบที่ กกต.ให้กับ ธกส. การสื่อสารฯ สภาทนายความ และองค์กรอิสระในท้องถิ่น ดำเนินการจำนวน 68 ล้านบาท”
ซึ่งสุดท้าย “กกต.” ก็เจียด “งบประมาณ” ให้กับ “พีเน็ต” เพื่อทำโครงการตรวจสอบการเลือกตั้ง 6 มกราคม 2544 โดย “นายสมชัย ศรีสุทธิยากร” ในฐานะเลขานุการองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์กับ “ผู้จัดการรายวัน” ฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน 2543 ชี้แจงถึงสาเหตุที่พีเน็ต ลดระดับโครงการตรวจสอบการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศเหลือเพียงโครงการตรวจสอบการเลือกตั้งเขตพิเศษ 200 เขต ระบุว่า “ไม่ได้เกิดจาก พีเน็ต ของบประมาณมากเกินไปจน กกต.ไม่สามารถจัดหางบประมาณให้ได้ แต่เกิดจากแนวคิดการทำงานที่ไม่ตรงกัน พีเน็ตของบประมาณไปเพียง 43 ล้านบาท ในการดำเนินการตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งน้อยกว่างบที่ กกต.ให้กับ ธกส. การสื่อสารฯ สภาทนายความ และองค์กรอิสระในท้องถิ่น ดำเนินการจำนวน 68 ล้านบาท”
โดยมีรายงานว่า การเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2544 “กกต.” ได้จัดสรรงบประมาณสำหรับ “โครงการตรวจสอบการเลือกตั้งเขตพิเศษ 200 เขต” ให้กับ “มูลนิธิองค์กรกลางฯ”ไปดำเนินดำเนินงาน “เขตเลือกตั้งละ 15,000 บาท” (รวม 200 เขต เป็นเงิน 3,000,000 บาท !!!
เหล่านี้คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอันเกี่ยวเนื่องกับ “พีเน็ต-กกต.และงบประมาณการตรวจสอบการเลือกตั้ง” ในช่วงปี 2543 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป 6 มกราคม 2544
ซึ่งในปัจจุบัน “สมชัย ศรีสุทธิยากร” กระโดดจากเก้าอี้ “บิ๊กพีเน็ต” ที่เป็นผู้คอยประสานงานกับ กกต. ในการเสนอโครงการเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการตรวจสอบการเลือกตั้ง มาเป็น “กกต.ด้านบริหารจัดการการเลือกตั้ง” ที่มี “งบประมาณ” ในการ “จัดการเลือกตั้ง ส.ส.”หลายพันล้านบาท
ส่วน “พล.อ.สายหยุด เกิดผล” ประธานพีเน็ต ที่เคยเรียกร้องให้ กกต. ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ในการให้ “งบประมาณ” กับ “พีเน็ต” ถึงขั้นขู่ที่จะฟ้องร้อง กกต. ดังกล่าวนั้น ล่าสุดก็คือหัวแถว “คณะรัฐบุคคล” ที่ประกอบไปด้วย “อดีตนายทหาร-นักวิชาการตกรุ่น” นั่งประชุมสุมหัวกันร้องขอ ให้ “กองทัพ” เลือกข้างในสถานการณ์การเมือง พร้อมสนับสนุนให้สรรหา “คนดี” เข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรี” โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด !!!
ที่มา.พระนครสาส์น
------------------------------------------
ส่วน “พล.อ.สายหยุด เกิดผล” ประธานพีเน็ต ที่เคยเรียกร้องให้ กกต. ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ในการให้ “งบประมาณ” กับ “พีเน็ต” ถึงขั้นขู่ที่จะฟ้องร้อง กกต. ดังกล่าวนั้น ล่าสุดก็คือหัวแถว “คณะรัฐบุคคล” ที่ประกอบไปด้วย “อดีตนายทหาร-นักวิชาการตกรุ่น” นั่งประชุมสุมหัวกันร้องขอ ให้ “กองทัพ” เลือกข้างในสถานการณ์การเมือง พร้อมสนับสนุนให้สรรหา “คนดี” เข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรี” โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด !!!
ที่มา.พระนครสาส์น
------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น