--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

เอ็ฟเฟกต์ : การเมืองหลังสงกรานต์ ....

มหาสงกรานต์การเมืองปีนี้ เหมือนมีเหตุอัศจรรย์ใจอย่างคาดไม่ถึง เมื่องานสงกรานต์ 3 แผ่นดิน มีคนไทยข้ามฟากไปทั้งงานตุ้มโฮมประชาธิปไตยทางฝั่งลาว และกัมพูชา กว่าครึ่งแสน..ประมาณโดยคร่าวๆ ข้ามฝั่งลาวเฉลี่ยวันละ 20,000 ส่วนตม.กัมพูชาเปิดเผยว่า เฉพาะผู้ที่ข้ามพรมแดนและแจ้งว่าเพื่อไปร่วมงานรดน้ำดำหัวที่เสียมเรียบ นั้นมีมากถึง 38,000 กว่าคน นับว่าสูงสุด เป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีการเปิดด่าน

ปรากฏการณ์เช่นนี้..สะท้อนถึงความนิยมชมชอบในตัวของคุณทักษิณ ชินวัตรอย่างยากที่จะปฏิเสธ ทำให้เกิดข้อกังขาว่าหลังจากนี้จะเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองไปในทิศทางเช่นไร???...

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระ ด้านรัฐศาสตร์ มีความเห็นว่า จากสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่าจะทำให้เกิดเอ็ฟเฟกต์ทางการเมืองอะไร และไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่เชื่อว่า คุณทักษิณน่าจะแสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างคุณทักษิณ กับคนเสื้อแดงที่ยังแนบแน่นอยู่ตลอดเวลา และยังมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอยู่

หากจะมองในมิติของการเมืองก็มองได้ว่า เป็นทั้งการหันเหความสนใจในเรื่องของกระแสความนิยม รวมถึงปรามฝ่ายตรงข้ามไปในตัวในเรื่องของการเล่นการเมือง

หากสังเกตดูจะเห็นว่าส่วนหนึ่งที่รัฐบาลไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ส่วนหนึ่งมาจากวิธีการเล่นการเมืองของฝ่ายค้าน ฉะนั้นการขับเคลื่อนของคุณทักษิณส่วนมากจึงเหมือนเป็นการปกป้องน้องสาวจากการโจมตีในด้านต่างๆ และต้องยอมรับว่าเป็นการเล่นการเมืองที่ชาญฉลาดทีเดียว เพราะในระยะหลังเราจะเห็นข่าวการโจมตีรัฐบาลน้อยลง แต่เป้าหลักกลับพุ่งไปที่คุณทักษิณ ทำให้รัฐบาลมีโอกาสทำงานได้อย่างเต็มที่

ส่วนที่มีคนมองว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีความห่างเหินกับคนเสื้อแดงในระยะหลังนั้น ต้องแยกกันให้ออก!..

เรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินกับความสัมพันธ์ทางการเมืองมันเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องดังกล่าวนี้เชื่อว่าทางคนเสื้อแดงเองก็เข้าใจ ในการจัดงานครั้งนี้จึงไม่น่าจะมองไปในประเด็น ที่ว่าจะเอาใจคนเสื้อแดง เพราะภาพที่สะท้อนออกมาทำให้เห็นถึงความศรัทธาในตัวบุคลของคนเสื้อแดงนั่นคือคุณทักษิณ

ในด้านการบริหารการเมืองรัฐบาลต้องทำอย่างเต็มความสามารถจะไปเห็นแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้มันต้องมองให้ชัดเจน

นอกจากนี้ ในการทัวร์สงกรานต์ครั้งนี้ มีการส่งสัญญาณจากคุณทักษิณ หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของการปรองดอง..

อย่างเมื่อมีการตั้งคำถามถึงการเจรจาเรื่องปรองดองว่าติดขัดเรื่องอะไร??..

คำตอบที่ได้รับคือ.. “ต้องถามหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค ผมตอบแทนไม่ได้”

จากท่าทีดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า คุณทักษิณ พุ่งเป้าเข้าหาพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่ รวมถึงปฏิเสธการเป็นศัตรูกับฝ่ายอำมาตย์ หรือที่เข้าใจกันว่าคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

เท่ากับว่างานนี้คุณทักษิณ เซฟคอสต์ลดขนาดของคู่ต่อสู้ให้เล็กนั่นคือการพุ่งเป้าหมายไปที่คู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างพรรค ประชาธิปัตย์เท่านั้น

สำหรับกรณีดังกล่าว อาจารย์อัษฎางค์ มองว่าในสภาฝ่ายค้าน กับฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นศัตรูกันโดยหน้าที่อยู่แล้ว การปรับเปลี่ยนเป้าหมายมาที่พรรคประชาธิปัตย์โดยตรง ก็มองได้ว่า หลังจากนี้การเคลื่อนไหวทางการเมืองน่าจะเข้าสู่ระบบรัฐสภาเห็นหลัก อย่างที่กล่าวมาแล้วคุณทักษิณเป็นคนที่เล่นการเมืองเป็นมองจังหวะและโอกาสออกว่าเวลาไหนควรเล่นแบบไหน เล่นกับใคร ทำอย่างไรเพื่อพลิกโอกาสมาเป็นของตัวเอง ยิ่งประชาธิปัตย์เล่นการเมืองแบบนี้ก็ยิ่งลำบากกับตัวเองเพราะไม่มีคนชอบทำให้ตัวเองเสียโอกาสไปเปล่าๆ

เมื่อถามว่าประชาธิปัตย์ควรจะปรับเปลี่ยนท่าทีอย่างไรเพื่อ ไม่ให้ถูกโดดเดี่ยวทางการเมือง อาจารย์อัษฎางค์ กล่าวว่า เขาไม่เคยเปลี่ยน..เขาเปลี่ยนไม่ได้ ผมเคยบอกกับผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์มาหลายครั้งแล้วว่าสังคมมันเปลี่ยนไป การเมืองมันไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่เขาประมาทและเชื่อมั่นว่าตัวเองมีคนหนุนหลัง เชื่อมั่นในประวัติศาสตร์อันยาวนานทำให้พรรคประชาธิปัตย์ติดหล่มอยู่ในวังวนเก่าๆ เล่นเกมการเมืองแบบเดิมๆ

เล่นการเมืองแบบเน่าๆ ไม่สร้างสรรค์ ทำให้คนเบื่อการเมืองแบบประชาธิปัตย์ การที่ประชาธิปัตย์มุ่งแต่เล่นประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ในการมุ่งหวังโจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ได้มองถึงผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ได้มองในเรื่องของประชาชนว่าจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

ดูกันง่ายๆ ในข่าวที่เราเห็นกันแต่ละวัน..เราจะเห็นแต่หน้า เดิมๆ ของพรรคประชาธิปัตย์คือ คุณเทพไทย เสนพงศ์ กับคุณชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต แล้วดูว่าวันๆ เขาพูดเรื่องอะไรบ้าง..

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ปรับตัวเองให้เข้ามาเล่นการเมืองในเกมแบบสร้างสรรค์เขาก็อยู่ได้ แต่ถ้ายังเล่นแบบเดิมๆ เล่นแบบ น้ำเน่าต่อไปเขาก็จะลำบากเอง

การเมืองมันไม่ใช่ของยั่งยืน..มาแล้วก็ไป มันเปลี่ยนแปลงไปตามวัฏจักรของมัน อย่าไปหลงอย่าไปยึดติด

นั่นเป็นทัศนคติที่ รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร มองปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากเทศการสงกรานต์ว่าจะมีทิศทางเป็นเช่นไร

สำหรับทิศทางการเมืองไทยโดยรวมแล้วก็ต้องยอมรับว่ายังหาความชัดเจนไม่ได้ทั้งประเด็นการสร้างความปรองดองที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่ายังมีประเด็นข้อขัดแย้งอยู่มาก ตั้งแต่ขั้นตอนและกระบวนการสร้างความปรองดอง รวมถึงประเด็นที่นำไปสู่การสร้างความปรองดอง หากประเด็น จากกระแสการสร้างความปรองดองที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่ายังไม่เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการตามข้อเสนอของสภาผู้แทนราษฎรนั้นจะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น เพราะความพยายามทางการเมืองที่จะสร้างความปรองดองนั้นกำลังถูกมองว่ามาจากการใช้อำนาจทางการเมืองมากกว่าเกิดกระบวนการปรองดองอย่างแท้จริง

แม้แต่ในเรื่องของประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างมากกับการเมืองไทย และยังไม่มีความชัดเจน ว่า จะมีการแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่เท่าที่ติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมือง ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนว่า การแก้ไขในครั้งนี้เป็นการแก้ไขตามความประสงค์ของนักการเมืองเป็นหลัก ขณะที่ในส่วนของภาคประชาชนแทบไม่มีใครพูดถึง ดังนั้น ประเด็นจึงพุ่งเป้าไปที่กระบวนการเอาผิดและตรวจสอบ อำนาจทางการเมืองมากกว่าสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม กลเกมทางการเมืองก็ยังต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าฝ่ายไหนจะเลือกที่จะสวมบทบาทเช่นไร และจะเลือกที่จะหยิบกลยุทธ์เช่นไรออกมาเล่นกันก็คงต้องจับตามองกันต่อไป..

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น