กระแสข่าวฉาวยังไม่ตก..ยิ่งคาวคนยิ่งชอบไม่เว้นแม้แต่ในวงการการเมือง อย่างกรณีที่มีภาพล่อแหลมขึ้นฉายอล่างฉ่างกลางการประชุมรัฐสภา สร้างความฮือฮาให้กับบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่อยู่ในห้องประชุม
จนต้องเร่งควานหาต้นตอกันจ้าละหวั่น กระทั่งมีภาพนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ นั่งดูภาพวาบหวิวกลางห้องประชุมสภาจนต้องมานั่งถกกันว่าฝีมือพี่แกจริงหรือ..แม้จะใช่หรือไม่ใช่ในด้านของจริยธรรมการทำหน้าที่ของนักการเมืองก็ต้องมาตรวจสอบกันดูอีกทีว่า เหมาะสมหรือเปล่า
ล่าสุดนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.นครพนม ในฐานะประธานกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ มาชี้แจงต่อกรรมาธิการแล้วโดยวางกรอบให้นายณัฏฐ์ ชี้แจงหลักฐานต่างๆ ที่มี เพื่อแสดงว่าได้กระทำไปจริงหรือไม่ อย่างไร
งานนี้จะว่าเรื่องใหญ่ก็ใหญ่..จะว่าเรื่องเล็กก็มองได้ว่า คงไม่มีเจตนาตามที่นายณัฏฐ์ ได้เคยชี้แจงแถลงไขมาแล้ว แต่ที่แน่ๆ เมื่อมีช่องทางแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงอยู่เฉยไม่ได้ ตามวิสัยนักการเมือง แน่นอนว่า สารพัดขุนพลเพื่อไทยย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสนี้เป็นแน่แท้
ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต หรือหมวดเจี๊ยบคนสวย ในฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทยออกบริภาษด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงว่า
“ขอไว้อาลัย แด่ ความไร้บรรทัดฐานทางจริยธรรมของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำได้แค่ โยนเรื่อง ส.ส.ของพรรคตัวเองดูภาพโป๊ในสภาฯ ให้สภาฯ เป็นผู้ตรวจสอบ การกระทำดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ ทำได้แค่ปล่อย ให้คนลืมๆ เรื่องนี้ไปเอง และไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่สังคมมองว่า นี่เป็นเรื่องใหญ่ โดยโพลระบุว่า กรณีดังกล่าวส่งผล ให้ประชาชนร้อยละ 83.4 เสื่อมศรัทธาต่อรัฐสภา และประชาชน ร้อยละ 35.5 เรียกร้องให้ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ลาออก เพื่อแสดง ความรับผิดชอบ แต่นายอภิสิทธิ์ กลับไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทั้ง ยังประกาศว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ตั้งกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริง แต่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของสภาฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นการโยนกลองไปให้คนอื่น และเป็นการปัดความรับผิดชอบ”
พร้อมกะเทาะสนิมความจำอดีตนายกฯ ว่า ลืมกฎเหล็กที่ตนเองเคยตั้งไว้อย่างสวยหรูว่า “ความรับผิดชอบทางการเมือง สำคัญกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย”
พร้อมย้ำว่า นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีด้านจริยธรรมให้กับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ให้สมกับที่สร้าง ภาพมาตลอดว่ามีจริยธรรมเหนือกว่า มีชาติตระกูลสูงกว่า และมีการศึกษาดีกว่าผู้อื่น
ด้านพรรคประชาธิปัตย์เองก็พร้อมออกมาตีกำแพงตั้งโล่รับหอกเพื่อไทยอย่างเหนียวแน่น โดยในมุมของน.พ.วรงค์ เดชวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาป้องว่า นายณัฏฐ์ เองได้ออกมาแสดงความเป็นลูกผู้ชายแล้วโดยการออกมา อธิบายในเรื่องดังกล่าวแล้วและมีการลบภาพดังกล่าวที่อยู่ในเฟซบุ๊ก โปรไฟล์พิกเจอร์ ออกไปจากโทรศัพท์มือถือหมดแล้ว ซึ่ง ช่วงที่นายณัฏฐ์เปิดคลิปดังกล่าวนั้นอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น.แต่ภาพที่เกิดขึ้นใน สภาเกิดขึ้นเวลา 15.00 น. ดังนั้น มันเป็นความ บกพร่องของระบบการที่พรรคเพื่อไทยคนหนึ่งพยายามเชื่อมโยงภาพที่นายณัฏฐ์ดูกับภาพที่ปรากฏบนจอสภา ซึ่งทางสภาก็กำลังดำเนินการสอบอยู่ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ระบุว่าอาจเป็นความบกพร่องในการสับสวิตช์ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกัน ตนถือว่า พรรคเพื่อไทยกำลังบิดเบือนต่อ นายณัฏฐ์อย่างมหาศาล จนคนถูกอาจกลายเป็นคนผิด ดังนั้น สองเรื่องนี้จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เป็นความจงใจบิดเบือนของพรรคเพื่อไทย
ส่วนในประเด็นของการซิ้งภาพฉาวขึ้นจอมอนิเตอร์ก็ได้มีผู้ทรงภูมิเฉพาะด้านออกมาไขข้อข้องใจกันมากมายอย่าง ในรายการ “แบไต๋ไฮเทค” ของคุณหนุ่ย พงศ์สุข ซึ่งเป็นรายการที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ทำการทดสอบระบบโดยจำลองให้คล้ายคลึงกับความเป็นไปได้ที่อาจเกิดในห้องประชุมรัฐสภาซึ่งข้อสันนิษฐานของรายการได้ทดสอบว่า เป็นไปได้ว่าผู้ที่อยู่ในละแวกห้องประชุมอาจใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนทำการเปิดดูรูป ภาพดังกล่าว แล้วกดแชร์ภาพผ่านระบบที่มีการเซ็ตไว้ที่จอของเครื่องโทรทัศน์ในห้องประชุมแบบไวไฟ ซึ่งโทรทัศน์รุ่นที่ใช้ในห้อง ประชุมทางรายการระบุว่า ได้ติดตั้งระบบรองรับการแชร์ภาพจากสมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก ไอแพด รวมทั้งจากการสอบถามบริษัทดังกล่าวได้ระบุว่า ได้จำหน่ายโทรทัศน์รุ่นนี้ให้กับทางรัฐสภาด้วย
อีกด้านหนึ่งดร.ปริญญา หอมเอนก เลขานุการสมาคมความมั่นคงและความปลอดภัยสารสนเทศ ให้ความเห็นว่า กรณีการนำภาพโป๊ยิงขึ้นบนจอทีวีของรัฐสภาไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น เป็นการใช้งานเทคโนโลยี DLNA (Digital Living Network Alliance) ซึ่งสามารถใช้งานได้ร่วมกับแท็บเล็ตหรือโทรศัพท์มือถือภายในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเดียวกัน เช่นการเปิดดูวิดีโอ จากอุปกรณ์แท็บเล็ตหรือมือถือสมาร์ทโฟน ให้เปิดบนโทรทัศน์ที่รับสัญญาณ WIFI ทั้งแบบ Built-in หรือแบบ Dongle โดยการ ใช้แอพพลิเคชั่นหรือโปรแกรมที่เกี่ยวกับระบบ DLNA เช่น iMediashare ก็จะสามารถส่งไฟล์เข้าทีวีได้ทันที
ดร.ปริญญา ยืนยันว่า ไม่ใช่เพียงแค่ระบบ Andriod เท่านั้น ที่สามารถแชร์ภาพเข้าทีวีได้ แต่ยังสามารถใช้งานได้กับเครื่องตระกูล IOS หรือ iPad และ iPhone ได้อีกด้วย จากการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องกับ DLNA ก็ใช้งานได้ทันที แตกต่าง เพียงแค่วิธีการหรือรูปแบบของการใช้งานเท่านั้น
ส่วนกรณีการตรวจสอบผู้ส่งภาพอนาจารขึ้นไปบนจอทีวีภายในรัฐสภาระหว่างการประชุมสภานั้น ดร.ปริญญา เห็นว่า ควร ตรวจสอบตัว Dongle หรือตัวรับสัญญาณ WIFI ว่ามีระยะรับได้ไกลแค่ไหนตั้งแต่ 10-100 เมตร เพราะอาจเป็นผู้ไม่หวังดีที่อยู่ ด้านนอกก็ได้
ในด้านกระแสสังคมที่สะท้อนออกมากับกรณีดังกล่าว โดย เฉพาะคนในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน เองกลับมองเรื่องดังกล่าวไม่ดีนักโดยกลุ่มสตรีและเยาวชนเขตบางกะปิ ประมาณ 20 คนเข้ายื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้สอบสวนจริยธรรม คุณธรรมของนายณัฏฐ์ โดยอ้างว่า พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ผู้หญิงและเด็กเกิดความอับอายเพราะนายณัฏฐ์เป็นตัวแทนของชาวบางกะปิ แต่กลับมีภาพดังกล่าว เผยแพร่ออกต่อสาธารณชนจึงขอให้ประธานรัฐสภาตรวจสอบว่าการกระทำของนายณัฏฐ์ทำผิดคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ ถ้ามีผลออกมาอย่างไร ให้แถลงข่าวชี้แจง เพื่อให้ประชาชนรับทราบด้วย
แต่เรื่องดังกล่าวต้องผ่านการสอบสวนหาความจริง และนั่นคงไม่พ้นผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการทำหน้าที่ตรวจสอบจริยธรรมนักการเมือง หากผลการพิจารณา มีความเหมาะสม ทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะดำเนินการตาม ความเห็นดังกล่าว แต่หากผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นต่าง จะใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 280 เรียกให้มีการไต่สวนสาธารณะ เพิ่มเติม เพื่อเสนอเป็นแนวทางหนึ่งได้
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555
Cabinet Watch: รัฐบาลอนุมัติงบสนับสนุนโครงการ SMEs 7,325 ล้านบาท !!?
ผลการประชุมของคณะรัฐมนตรี นำโดย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ วันที่ 24 เมษายน 2555 มีมติที่น่าสนใจด้านเศรษฐกิจ ประเด็นที่ ๑๒ ว่าด้วยเรื่อง มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
1.4 กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ SMEs
มาตรการตามข้อ 1.1 – 1.3 มีงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนทั้งสิ้นไม่เกิน 7,325 ล้านบาท ส่วนมาตรการตามข้อ 1.4 – 1.5 ไม่ต้องใช้งบประมาณในการสนับสนุน ทั้งนี้ มาตรการทั้ง 5 มาตรการดังกล่าวจะก่อให้เกิดการสร้างสินเชื่อให้กับ SMEs เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 86,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมี SMEs ที่ได้รับประโยชน์กว่า 28,000 ราย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
- เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs
- อนุมัติให้จัดสรรงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนโครงการเป็นวงเงินไม่เกิน 7,325 ล้านบาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายตามจริง โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป
- อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 3 ฉบับ ดังนี้ (3.1) ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….(3.2) ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….(3.3) ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
- การยกระดับผลิตภาพการผลิต (Productivity)
- การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ
- การลดภาระต้นทุนจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น สรุปได้ดังนีั
1. มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย
1.1 โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โดย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ประกอบด้วยสินเชื่อ 2 ประเภท คือ- สินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักรและสินเชื่อเพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน โดยมีวงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 2 ปี นับจากวันที่มติคณะรัฐมนตรี
- และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนไม่เกิน 1,805 ล้านบาท
- โดยมีวงเงินค้ำประกันรวม 24,000 ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ 18 ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ 5 ปี
- และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างค่าประกันชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน 2,220 ล้านบาท
1.4 กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ SMEs
- กู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 ต่อปี
- วงเงินกู้ยืมสูงสุด 42,000 บาท
- ระยะเวลาชำระคืน 4 ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝึกอบรม ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเงินกองทุนอยู่ 570 ล้านบาท และคณะกรรมการกองทุนฯ มีมติเห็นชอบรายละเอียดการกู้ยืมดังกล่าว
มาตรการตามข้อ 1.1 – 1.3 มีงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนทั้งสิ้นไม่เกิน 7,325 ล้านบาท ส่วนมาตรการตามข้อ 1.4 – 1.5 ไม่ต้องใช้งบประมาณในการสนับสนุน ทั้งนี้ มาตรการทั้ง 5 มาตรการดังกล่าวจะก่อให้เกิดการสร้างสินเชื่อให้กับ SMEs เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 86,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมี SMEs ที่ได้รับประโยชน์กว่า 28,000 ราย
2. มาตรการภาษี
โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับ SMEs ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี ประกอบด้วยมาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มาตรการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อยกเว้นรัษฎากรและหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน รวม 3 ฉบับสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
- 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555
- 2. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดเงื่อนไขและอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555
- 3. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายเป็นค่าจ้างเฉพาะส่วนต่างของค่าจ้างที่ได้มีการจ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันตามที่กำหนดในแต่ละเขตจังหวัดกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นเงินวันละสามร้อยบาท ให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากรและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555
ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555
ปฏิกิริยาสังคมต่อกรณี นายกฯ เข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม !!?
ปฏิกิริยาของแต่ละบุคคล และกระแสสังคมต่อกรณี 'ยิ่งลักษณ์' เข้ารดน้ำขอพร'พล.อ.เปรม' เนื่องในโอกาสปีใหม่ไทย
กระแสสังคมและบุคคลต่างๆที่มีความเห็นหลากหลายต่อการเตรียมคณะรัฐมนตรีเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อขอพรในโอกาสปีใหม่ไทย โดยมีความเห็นหลากหลายอย่างต่อเนื่อง
โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐมนตรีที่จะเข้าในครั้งนี้จะเป็นในส่วนของรองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพื่อเป็นการขอพรเนื่องในโอกาสปีใหม่ไทย และพล.อ.เปรม ถือเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ให้ความเคารพ ขออย่าโยงเป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งการเข้าพบในครั้งนี้ไม่ได้มีการหารือข้อราชการ หรือ เรื่องการเมือง และพร้อมที่จะรับคำแนะนำจากท่าน
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รองนายกรัฐมนตรีที่จะเดินทางไปพร้อมนายกรัฐมนตรี จะประกอบด้วย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และตน ส่วนร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงและนายชุมพล ศิลปอาชา ติดภารกิจ โดยจะเดินทางไปที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ในเวลา 14.00 น.
ทั้งนี้การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นำคณะเข้าพบ พล.อ.เปรม จะทำให้ประชาชนสบายใจ และท่าที่ตรวจสอบปฏิกิริยาจากผู้นำเหล่าทัพ ตั้งแต่ระดับผบ.ส.ส.จนถึงผบ.เหล่าทัพ อย่างผบ.ทบ.ก็คุยกับตนตอนเดินทางลงภาคใต้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าการที่นายกฯเข้ารดน้ำดำหัวพล.อ.เปรมเป็นเรื่องดี การแสดงความเคารพผู้ใหญ่เป็นภาพที่ดี เหล่าทัพไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนกรณีที่คนเสื้อแดงบางส่วนแสดงความไม่เห็นด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า คงมีบางส่วน แต่อยากให้คนเหล่านั้นมองภาพรวมของประเทศ ในการสร้างความปรองดอง เพราะหากบ้านเมืองเรายังแตกแยก จะสูญเสียความสามารถในการพัฒนา ส่วนฝ่ายอื่นที่ยังไม่เห็นด้วยก็คงต้องมีการทำความเข้าใจต่อไป
ด้านผู้นำฝ่ายค้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า การที่ครม.จะรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ในโอกาสสงกรานต์เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่เกี่ยวข้องกับความปรองดอง เป็นการแสดงความเคารพ เพราะถ้าอยากแสดงความปรองดองต้องให้แกนนำเสื้อแดงไปขอขมา พล.อ.เปรมมากกว่า เช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตร นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ไปขอขมาได้ว่าสิ่งที่เคยกล่าวหา พล.อ.เปรม เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงจะเรียกว่าปรองดอง
แต่ถ้าเป็น ครม.เข้ารดน้ำดำหัวเป็นเรื่องของการทำตามประเพณี ถ้านายณัฐวุฒิเข้าไปและขอขมาในสิ่งที่เคยล่วงเกินก็จะได้เห็นว่าปรองดองจริงหรือไม่ แต่ถ้านายณัฐวุฒิไม่ไปก็จะยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ว่า ในเมื่อ ครม.ว่างหมดแล้ว ทำไมนายณัฐวุฒิจะไม่ว่างอยู่คนเดียว สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร
ด้านผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เชื่อไม่มีนัยยะทางการเมืองที่ นายกรัฐมนตีจะนำคณะรัฐมนตรี เข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยไม่มี 2 แกนนำนปช.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กับ จตุพร พรหมพันธุ์ เข้าร่วมด้วย
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นเรื่องดีที่ผู้ใหญ่ได้พบกัน แต่ใครจะรู้สึกอะไรก็ขอให้นึกถึงประเทศชาติในระยะยาว และความรู้สึกที่ดีต่อกันถือเป็นเรื่องดี ทั้งนี้ การทำให้คนจำนวนมากมีความเห็นเหมือนกันหมดนั้นคงเป็นไปไม่ได้
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีนี้ว่า "ทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ควรจะหันหน้าไปในทิศทางเดียวกันเพื่ออนาคตของประเทศ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใครจะขอขมาใคร ประเด็นมันอยู่ที่ต้องเห็นว่าประเทศไทยต้องเห็นร่วมกันว่าเราจะจมปลักอยู่ กับความขัดแย้งไม่ได้"
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนี้ว่า การที่นายกฯไป ท่านคิดไตร่ตรองแล้วและในยามสถานการณ์บ้านเมืองอย่างนี้ท่านก็มีหน้าที่ทำทุกอย่าง ส่วนตนได้นำทหารไปรดน้ำ พล.อ.เปรม ด้วยความเคารพในตัวท่าน เพราะท่านเป็นรัฐบุรุษคนหนึ่ง ยามนี้อะไรที่ทำได้และเป็นสิ่งที่ดีก็ต้องทำ ถ้ากลัวคนค้านก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ส่วนจะมีการไปทำความเข้าใจหรือไม่นั้น เราต้องดูว่า คนไหนที่เราจะอธิบายได้และเขาเข้าใจก็อธิบายไป แต่บางคนอธิบายให้ตายก็ไม่รู้เรื่อง ก็ตัดทิ้งไป เราก็รู้ว่าใครเป็นใคร ก็ดูเอา
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เผยว่า ทางพรรคเพื่อไทย ได้รับโทรศัพท์ว่า ประชาชนรู้สึกสบายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ ครม. ได้เข้าพบผู้ใหญ่อย่าง พล.อ.เปรม ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าบ้านเมืองกำลังมุ่งไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ และจะทำให้รัฐบาลมีการประสานงานกับผู้ใหญ่ องค์กรต่างๆ ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในรัฐบาลมากขึ้น ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี
อย่างไรก็ตามกระแสส่วนมากจากโลกออนไลน์อย่างเฟสบุ๊คต่างเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกันตามความเห็นชอบของแต่ละบุคคล อย่างเช่นหนึ่งความเห็นจากเฟสบุ๊คที่มองว่า "การกลับกรอกของคำพูดบางคนที่อ้างอยากเห็นความปรองดอง แต่ธาตุแท้กลับไม่อยากปรองดอง ที่ทำเพื่อหวังช่วยใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น"
กระแสสังคมออนไลน์ส่วนมากยังติดใจกับคำพูดในอดีตของบางท่านที่เคยพูดไม่ดีถึง พล.อ.เปรม เมื่อครั้งปราศรัยบนเวที ทำให้เชื่อว่าการเข้าพบขอพร พล.อ.เปรม ครั้งนี้มีนัยยะซ่อนเร้นทางการเมืองมากกว่าหวังการปรองดองเพื่อชาติ
โดยส่วนมากมีเสียงวิจารณ์จากกลุ่มคนเสื้อแดงที่แสดงความไม่เห็นด้วยต่อเรื่องนี้อย่างเด่นชัด
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555
นิติราษฎร์ค้านนิรโทษกรรม
“วรเจตน์” ออกแถลงการณ์ในนามคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร แสดงจุดยืนคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมยกโทษให้คนสั่งการยันระดับปฏิบัติที่ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายในทุกเหตุการณ์การเมืองตั้งแต่หลังวันที่ 19 ก.ย. 2549 ส่วนผู้ชุมนุมหากผิดแค่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กฎหมายความมั่นคงให้ยกโทษ เว้นผู้ทำผิดกฎหมายอื่นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปรกติ แนะแก้รัฐธรรมนูญเพิ่มหมวดว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง เปิดทางตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาครบวงจร ทั้งฐานความผิดและการเยียวยา
+++++++++++++
คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร โดย ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แสดงจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบันผ่านเว็บไซต์ http://www.enlightened-jurists.com 4 ข้อประกอบด้วย 1.ยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เมื่อส่งรายชื่อเสนอแก้ไขแล้วเป็นหน้าที่ของสภาที่ต้องพิจารณา
2.ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ทุกคนทุกฝ่าย โดยอ้างเรื่องความปรองดองสมานฉันท์ เพราะนอกจากจะทำให้ประชาชนพ้นผิดแล้วจะมีผลให้ผู้สั่งการและปฏิบัติการสลายการชุมนุมพ้นจากความผิดไปพร้อมกันด้วย ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุม
3.การตรากฎหมายเพื่อขจัดความขัดแย้งจะต้องพิจารณาแยกแยะลักษณะการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และจัดวางโครงสร้างของกฎหมายโดยมีสาระสำคัญหลักคือ ต้องไม่นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์การชุมนุม ตลอดจนการสลายการชุมนุมทุกเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติ หากการกระทำนั้นเป็นความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ให้นิรโทษกรรมทันทีกับประชาชนที่มีความผิดตามกฎหมายฉุกเฉินต่างๆ และกฎหมายความมั่นคงที่ประกาศใช้ในช่วงที่มีการชุมนุมในที่ต่างๆ หากความผิดนั้นเป็นความผิดลหุโทษ
สำหรับผู้ทำผิดตามกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น และไม่ใช่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ตลอดจนการกระทำความผิดของบุคคลที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง แต่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังวันที่ 19 ก.ย. 2549 ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ และให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาก่อน
กรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำใดไม่อยู่ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง การกระทำไม่ได้เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง ให้ดำเนินการกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ส่วนผู้ที่คณะกรรมการชี้ว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากแรงจูงใจทางการเมือง ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง แต่ต้องไม่ขัดกับพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางที่นิติราษฎร์เสนอนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งเป็นอีกหมวดหนึ่ง เพื่อกำหนดหลัก เกณฑ์ต่างๆ ซึ่งสามารถทำได้ทันทีไม่ต้องรอกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
4.กรณีลบล้างผลพวงรัฐประหารเสนอให้มีบัญญัติอีกหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับที่จะจัดทำขึ้นใหม่ โดยต้องประกาศให้การนิรโทษกรรมการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นโมฆะ เพื่อเปิดทางให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำการ ผู้ใช้ ตลอดจนผู้สนับ สนุน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนคดีซึ่งเกิดขึ้นจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจ สอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐ ประหาร ก็ให้ลบล้างให้สิ้นผลไป ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนิรโทษกรรม แต่ให้เริ่มกระบวนการพิจารณาคดีใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรม
ในเดือน มิ.ย. นี้นิติราษฎร์จะจัดกิจกรรมทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับการลบล้างผลพวงรัฐประหาร การขจัดความขัดแย้งในสังคมไทย และวิเคราะห์วิจารณ์ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรองดองของบุคคลและสถาบันต่างๆ เพื่อให้การเคลื่อนไหวทางความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและนิติรัฐดำเนินไปในวงกว้างยิ่งขึ้น นิติราษฎร์จะจัดให้มีการเผยแพร่ แลกเปลี่ยนความรู้ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชน ให้แก่ประชาชนทั่วไป รายละเอียดในเรื่องเหล่านี้จะแถลงให้ทราบต่อไป
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
+++++++++++++
คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร โดย ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แสดงจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบันผ่านเว็บไซต์ http://www.enlightened-jurists.com 4 ข้อประกอบด้วย 1.ยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เมื่อส่งรายชื่อเสนอแก้ไขแล้วเป็นหน้าที่ของสภาที่ต้องพิจารณา
2.ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ทุกคนทุกฝ่าย โดยอ้างเรื่องความปรองดองสมานฉันท์ เพราะนอกจากจะทำให้ประชาชนพ้นผิดแล้วจะมีผลให้ผู้สั่งการและปฏิบัติการสลายการชุมนุมพ้นจากความผิดไปพร้อมกันด้วย ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุม
3.การตรากฎหมายเพื่อขจัดความขัดแย้งจะต้องพิจารณาแยกแยะลักษณะการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และจัดวางโครงสร้างของกฎหมายโดยมีสาระสำคัญหลักคือ ต้องไม่นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์การชุมนุม ตลอดจนการสลายการชุมนุมทุกเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติ หากการกระทำนั้นเป็นความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ให้นิรโทษกรรมทันทีกับประชาชนที่มีความผิดตามกฎหมายฉุกเฉินต่างๆ และกฎหมายความมั่นคงที่ประกาศใช้ในช่วงที่มีการชุมนุมในที่ต่างๆ หากความผิดนั้นเป็นความผิดลหุโทษ
สำหรับผู้ทำผิดตามกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น และไม่ใช่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ตลอดจนการกระทำความผิดของบุคคลที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง แต่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังวันที่ 19 ก.ย. 2549 ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ และให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาก่อน
กรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำใดไม่อยู่ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง การกระทำไม่ได้เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง ให้ดำเนินการกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ส่วนผู้ที่คณะกรรมการชี้ว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากแรงจูงใจทางการเมือง ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง แต่ต้องไม่ขัดกับพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางที่นิติราษฎร์เสนอนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งเป็นอีกหมวดหนึ่ง เพื่อกำหนดหลัก เกณฑ์ต่างๆ ซึ่งสามารถทำได้ทันทีไม่ต้องรอกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
4.กรณีลบล้างผลพวงรัฐประหารเสนอให้มีบัญญัติอีกหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับที่จะจัดทำขึ้นใหม่ โดยต้องประกาศให้การนิรโทษกรรมการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นโมฆะ เพื่อเปิดทางให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำการ ผู้ใช้ ตลอดจนผู้สนับ สนุน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนคดีซึ่งเกิดขึ้นจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจ สอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐ ประหาร ก็ให้ลบล้างให้สิ้นผลไป ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนิรโทษกรรม แต่ให้เริ่มกระบวนการพิจารณาคดีใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรม
ในเดือน มิ.ย. นี้นิติราษฎร์จะจัดกิจกรรมทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับการลบล้างผลพวงรัฐประหาร การขจัดความขัดแย้งในสังคมไทย และวิเคราะห์วิจารณ์ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรองดองของบุคคลและสถาบันต่างๆ เพื่อให้การเคลื่อนไหวทางความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและนิติรัฐดำเนินไปในวงกว้างยิ่งขึ้น นิติราษฎร์จะจัดให้มีการเผยแพร่ แลกเปลี่ยนความรู้ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชน ให้แก่ประชาชนทั่วไป รายละเอียดในเรื่องเหล่านี้จะแถลงให้ทราบต่อไป
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555
ปลดชนวน ปรองดอง ของ คนไกลบ้าน !!?
เมื่อถึงช่วงปิดเบรกกันยาวๆในช่วงเวลาแห่งความชุ่มฉ่ำ “มหาสงกรานต์ปีมังกรไฟ” การเมืองไทยก็ขยับไปสู่ “โหมดพักรบชั่วคราว!” แต่กระนั้นอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังออกมาปลุกปั่นกระแส..จับจองพื้นที่การเมืองไปเกือบทั้งหมด แถมมีการแย่งซีนสงกรานต์! ผ่านอีเวนต์ใหญ่ “ทักษิณ..ออนทัวร์” มีการทำพิธีสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ และบายศรีสู่ขวัญ ที่นครหลวงเวียงจันทน์-ลาว ก่อนที่ “คนแดนไกล” จะย้ายวิกไปเสียมราฐ-กัมพูชา เพื่อปรากฎตัวบนเวทีไฮด์ปาร์ค “เสื้อแดง” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
ทั้งสองอีเวนต์การเมือง ได้มีอดีตคนไทยรักไทย และ “ม้าใช้” จากค่ายเพื่อไทย ตลอดจนชาวคณะ “เสื้อแดง” อีกเรือนหมื่น ที่ข้ามฟากไปสาดน้ำ เล่นสงกรานต์ และแห่ไปรดน้ำดำหัว “คนไกลบ้าน”
ตลอดช่วงเวลาบนแผ่นดินเพื่อนบ้าน “ทักษิณ” ก็ทำให้ “กองเชียร์” เคลิบเคลิ้มไปกับการแสดง “วิชั่น!” ในการเดินหน้า “ขับเคลื่อนประเทศไทย” ให้ก้าวสู่แนวหน้าในกลุ่มอาเซียน หรือรับการก้าวไปสู่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ในอีก 2 ปีข้างหน้า
แถมยังมีรายการขยับลูกคอโดยอดีตนายกฯ ขวัญใจคนจน! ที่มาโชว์น้ำเสียงด้วยเพลง “Let it Be” ของวง “เดอะบีตเทิลส์” หรือ “สี่เต่าทอง” ซึ่งแน่นอนว่า..ทำนองขับขานดังกล่าว ถูกตีความ ได้ว่า..เป็นการประชด หรือแดกดันพวกคัดค้าน “ปรองดอง” ที่พลพรรค “คนรักแม้ว” กำลังขับเคลื่อนกันอยู่!
เหมือนเป็นการส่งสัญญาณข้ามไปยังฝั่งไทย ทำให้สังคมกำลังเฝ้าดูว่า...มีนัยสำคัญทางการเมืองหรือไม่ เพราะอีกความหมายหนึ่งของ Let it Be ก็คือ การเดินหน้าต่อไป โดย “ก้าวข้าม” หรือ “ทิ้ง” ปัญหาบางประการที่อยู่นอกเหนือการจัดการไว้เบื้องหลัง
ยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลาง “กองเชียร์เสื้อแดง” ก็คงไม่น่าแปลกที่ “ทักษิณ” จะรู้สึกฮึกเหิม! จนปล่อย “วาทกรรม” ที่ซ่อนความต้องการเบื้องลึกออกมาจนหมดเปลือก!
ไม่ว่าจะเป็น “สงกรานต์ปีนี้ก็มีนิมิตหมายอันดีที่เราจะมีความสุขด้วยกันสักที 3-4 เดือน ข้างหน้าผมกลับมาแน่!” หรือ..“ปีนี้เป็นปีที่ดีของคนไทย มีอะไรหลายอย่างที่บอกเหตุว่าผมจะได้กลับไปอยู่กับพี่น้อง” และปิดท้ายก่อนเดินทางออกจากกัมพูชา ได้มีการระบุว่า “อยากจะกลับเมืองไทยแล้ว...แต่ถ้าจะกลับต้องให้ทุกอย่าง ดีและลงตัวกว่านี้”
สิ่งที่ย้ำแล้วย้ำอีกจาก “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นคือโอกาสกลับสู่ “แผ่นดินเกิด” ชักนำ “กระแส” ให้ไปเล่นในทาง “สนับสนุน” หรือกระทั่ง “ต่อต้าน” ขณะที่ “เกมแก้รัฐธรรมนูญ” และการทำคลอด พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเป็นวาระหลักของรัฐสภา ทุกอย่างล้วนเข้าทางเกมการเมืองพะยี่ห้อ “ทักษิณ” ไปแล้ว
แนวโน้มของ “หมากตราดูไบ” ตอนนี้ยังแบ่งบทกันเล่น ให้ตัว “ทักษิณ” ผ่าน “กลุ่มคนใกล้ชิด” และ “เครือข่ายเสื้อแดง” ปูพรมด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการ “จัดวางฐานกำลัง” จากการวางตัวข้าราชการ-บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ที่ปรับเปลี่ยนกันล็อตใหญ่ ตลอดจนการจัดตั้ง “ฐานมวลชน” มาเป็นกำลังรบสำคัญให้รัฐนาวาน้องเลิฟ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โดยพลิกหมากไปสู่ “การตลาดนำการเมือง” เพื่อเข้ายึดกุมกระแส..
แม้จะดูเป็น “เกมการเมือง” ที่เหนือชั้น.. ทว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว “ทักษิณ” ยังอยู่ในสถานะของ “นักโทษหนีคดี” เพราะยังมีโทษจำคุก 2 ปี จากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่ดินถนนรัชดาภิเษก ดังนั้นการกลับบ้านของ “พ.ต.ท.ทักษิณ” คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องเสี่ยงกับ “โทษจำคุก” ซ้ำยังอาจทำให้เกิดกระแสต่อต้าน! อย่างรุนแรงจากพวกที่ไม่เอาด้วย
ฉะนั้นแล้ว! ก็จำเป็นจะต้องมีกระบวนการ “ปลดล็อก” เพื่อลบล้างความผิด “โทษจำคุก 2 ปี” ให้เรียบร้อยไปเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ “แกนนำเพื่อไทย” ก็ยืนยันว่า เงื่อนไขที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า “ทักษิณ” จะได้กลับประเทศไทยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าการสร้าง “บรรยากาศ” ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง-แตกแยก ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้มากแค่ไหน.. โดยใช้ “กลไกขับเคลื่อน” ผ่านกระบวนการสร้างความปรองดอง ที่กำลังดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน
ส่วนกระบวนการนำพา “พ.ต.ท.ทักษิณ” กลับสู่มาตุภูมิ! ก็มีแนวทางที่เป็นไปได้อยู่ 2 เส้นทาง คือ ผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 จากการดำเนินงานของ “ส.ส.ร.3” เพื่อส่งไปให้ “รัฐสภา” เป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้าย และผ่านกระบวนการนิรโทษกรรม ด้วยการออก “พ.ร.บ.ปรองดอง” ภายหลังจากที่ “รัฐสภา” มีมติรับทราบรายงานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (กมธ.ปรองดอง) สภาผู้แทนราษฎร แล้วจึงส่งมาให้รัฐสภาพิจารณาเช่นกัน ซึ่งแนวทาง นี้จะเป็นเส้นทางที่ “สั้น” และ “รวดเร็ว” มากกว่าแนวทางแรก
แน่นอนว่า การพาทักษิณกลับบ้านทั้ง 2 กรณีนั้น ย่อมมี “เสียงข้างมาก” เป็นตัวหนุนนำ ดังนั้นไม่ว่า “หวยล็อก” จะออกมาเช่นไร..ผลประโยชน์ย่อมจะตกอยู่กับ “ทักษิณ” ขึ้นอยู่กับ..ได้มาก-ได้น้อยเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ “นักปั้นมือทอง” อย่าง “ป๋าเหนาะ-เสนาะ เทียนทอง” ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้เคยเสนอแนวทาง.. แหวกกระแสสังคม ด้วยการให้ “ทักษิณ” กลับมารับโทษ.. แต่เป็นการรับโทษด้วยการ “กักบริเวณ” เช่นเดียวกับที่อดีตรัฐบาลทหารพม่ากระทำต่อ “ออง ซาน ซูจี” โดยไม่ต้องรับโทษจำคุก
มาถึงตอนนี้ “ป๋าเหนาะ” ยังคงเสนอให้ “ทักษิณ” ปฏิเสธไม่เอาเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูก “ยึดทรัพย์” ในคดีซุกหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งในครั้งนั้น ไม่มีเสียงตอบรับจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มา ล่าสุด “อาร์ไอเอ โนวอสติ” สื่อในรัสเซีย ได้ตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ ว่า “..เรื่องการกลับบ้านนั้น อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แต่ผมก็จะไม่ เรียกร้องขอเป็นผู้นำประเทศอีกแน่ ขอย้ำไว้เลยว่า ผมจะไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเด็ดขาด ส่วนทรัพย์สมบัติที่ถูกยึดไว้นั้น ผมคงไม่เรียกร้องเอากลับคืน”
แม้เรื่อง “กลับบ้าน” กับเรื่องไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จะพูดกันมาหลายครั้งหลายหน แต่กับมุกของ “ป๋าเหนาะ” ที่บอกไม่ให้เอาเงินคืน ถือเป็นเรื่องที่พูดกันเป็นครั้งแรก
จึงมีข้อสังเกตว่า..จะเป็นการลดดีกรีความขัดแย้ง หรือลด เงื่อนไขเพื่อให้การปรองดองดำเนินไปได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ตัวเองสามารถกลับคืนสู่บ้านเกิดได้อีกครั้งหรือไม่!!!
การปูพรมแดงกลับบ้านเกิดเที่ยวล่าสุดนี้ ทั้งรัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จำเป็นจะต้องระมัดระวังเป็นยิ่งยวด ในการผลักดัน “กระบวนการปรองดอง” ตลอดจนการ “เกี้ยเซี้ย!” กับคู่ขัดแย้ง เพื่อให้การเจรจาตกผลึก ก่อนนำไปสู่การผลักดันเป็นกฎหมาย
ทั้งหลายทั้งปวง คงปฏิเสธไม่ได้ว่า.. “วิกฤติความขัดแย้ง!” ยังคงเป็นปัญหาในหลากมิติ และเกี่ยวพันกับผู้คนหลายระดับชั้น โดยเฉพาะเมื่อ “การปรองดอง” ยังถูกต้องสงสัยว่า..ผูกโยงต่ออนาคตการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่แปลกที่ “ระดับแกนในค่ายเพื่อไทย” จะประเมินออกมาว่า..ไม่ง่ายนัก! ที่จะทำให้ทุกอย่างจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง หรือปิดเกมในเวลาอันรวดเร็ว ตามที่ “นายใหญ่” คาดหวังเอาไว้.. เพราะยังมีโอกาสพลาดพลั้ง จนทำให้ “วาระปรองดอง” ล่มปากอ่าว...ซึ่งไม่เพียงตัว “ทักษิณ” จะไม่ได้กลับประเทศแล้ว ยังส่งผลให้ “วิกฤติ ประเทศไทย” ขยายวงออกไป และทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก!!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทั้งสองอีเวนต์การเมือง ได้มีอดีตคนไทยรักไทย และ “ม้าใช้” จากค่ายเพื่อไทย ตลอดจนชาวคณะ “เสื้อแดง” อีกเรือนหมื่น ที่ข้ามฟากไปสาดน้ำ เล่นสงกรานต์ และแห่ไปรดน้ำดำหัว “คนไกลบ้าน”
ตลอดช่วงเวลาบนแผ่นดินเพื่อนบ้าน “ทักษิณ” ก็ทำให้ “กองเชียร์” เคลิบเคลิ้มไปกับการแสดง “วิชั่น!” ในการเดินหน้า “ขับเคลื่อนประเทศไทย” ให้ก้าวสู่แนวหน้าในกลุ่มอาเซียน หรือรับการก้าวไปสู่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ในอีก 2 ปีข้างหน้า
แถมยังมีรายการขยับลูกคอโดยอดีตนายกฯ ขวัญใจคนจน! ที่มาโชว์น้ำเสียงด้วยเพลง “Let it Be” ของวง “เดอะบีตเทิลส์” หรือ “สี่เต่าทอง” ซึ่งแน่นอนว่า..ทำนองขับขานดังกล่าว ถูกตีความ ได้ว่า..เป็นการประชด หรือแดกดันพวกคัดค้าน “ปรองดอง” ที่พลพรรค “คนรักแม้ว” กำลังขับเคลื่อนกันอยู่!
เหมือนเป็นการส่งสัญญาณข้ามไปยังฝั่งไทย ทำให้สังคมกำลังเฝ้าดูว่า...มีนัยสำคัญทางการเมืองหรือไม่ เพราะอีกความหมายหนึ่งของ Let it Be ก็คือ การเดินหน้าต่อไป โดย “ก้าวข้าม” หรือ “ทิ้ง” ปัญหาบางประการที่อยู่นอกเหนือการจัดการไว้เบื้องหลัง
ยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลาง “กองเชียร์เสื้อแดง” ก็คงไม่น่าแปลกที่ “ทักษิณ” จะรู้สึกฮึกเหิม! จนปล่อย “วาทกรรม” ที่ซ่อนความต้องการเบื้องลึกออกมาจนหมดเปลือก!
ไม่ว่าจะเป็น “สงกรานต์ปีนี้ก็มีนิมิตหมายอันดีที่เราจะมีความสุขด้วยกันสักที 3-4 เดือน ข้างหน้าผมกลับมาแน่!” หรือ..“ปีนี้เป็นปีที่ดีของคนไทย มีอะไรหลายอย่างที่บอกเหตุว่าผมจะได้กลับไปอยู่กับพี่น้อง” และปิดท้ายก่อนเดินทางออกจากกัมพูชา ได้มีการระบุว่า “อยากจะกลับเมืองไทยแล้ว...แต่ถ้าจะกลับต้องให้ทุกอย่าง ดีและลงตัวกว่านี้”
สิ่งที่ย้ำแล้วย้ำอีกจาก “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นคือโอกาสกลับสู่ “แผ่นดินเกิด” ชักนำ “กระแส” ให้ไปเล่นในทาง “สนับสนุน” หรือกระทั่ง “ต่อต้าน” ขณะที่ “เกมแก้รัฐธรรมนูญ” และการทำคลอด พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเป็นวาระหลักของรัฐสภา ทุกอย่างล้วนเข้าทางเกมการเมืองพะยี่ห้อ “ทักษิณ” ไปแล้ว
แนวโน้มของ “หมากตราดูไบ” ตอนนี้ยังแบ่งบทกันเล่น ให้ตัว “ทักษิณ” ผ่าน “กลุ่มคนใกล้ชิด” และ “เครือข่ายเสื้อแดง” ปูพรมด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการ “จัดวางฐานกำลัง” จากการวางตัวข้าราชการ-บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ที่ปรับเปลี่ยนกันล็อตใหญ่ ตลอดจนการจัดตั้ง “ฐานมวลชน” มาเป็นกำลังรบสำคัญให้รัฐนาวาน้องเลิฟ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โดยพลิกหมากไปสู่ “การตลาดนำการเมือง” เพื่อเข้ายึดกุมกระแส..
แม้จะดูเป็น “เกมการเมือง” ที่เหนือชั้น.. ทว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว “ทักษิณ” ยังอยู่ในสถานะของ “นักโทษหนีคดี” เพราะยังมีโทษจำคุก 2 ปี จากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่ดินถนนรัชดาภิเษก ดังนั้นการกลับบ้านของ “พ.ต.ท.ทักษิณ” คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องเสี่ยงกับ “โทษจำคุก” ซ้ำยังอาจทำให้เกิดกระแสต่อต้าน! อย่างรุนแรงจากพวกที่ไม่เอาด้วย
ฉะนั้นแล้ว! ก็จำเป็นจะต้องมีกระบวนการ “ปลดล็อก” เพื่อลบล้างความผิด “โทษจำคุก 2 ปี” ให้เรียบร้อยไปเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ “แกนนำเพื่อไทย” ก็ยืนยันว่า เงื่อนไขที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า “ทักษิณ” จะได้กลับประเทศไทยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าการสร้าง “บรรยากาศ” ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง-แตกแยก ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้มากแค่ไหน.. โดยใช้ “กลไกขับเคลื่อน” ผ่านกระบวนการสร้างความปรองดอง ที่กำลังดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน
ส่วนกระบวนการนำพา “พ.ต.ท.ทักษิณ” กลับสู่มาตุภูมิ! ก็มีแนวทางที่เป็นไปได้อยู่ 2 เส้นทาง คือ ผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 จากการดำเนินงานของ “ส.ส.ร.3” เพื่อส่งไปให้ “รัฐสภา” เป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้าย และผ่านกระบวนการนิรโทษกรรม ด้วยการออก “พ.ร.บ.ปรองดอง” ภายหลังจากที่ “รัฐสภา” มีมติรับทราบรายงานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (กมธ.ปรองดอง) สภาผู้แทนราษฎร แล้วจึงส่งมาให้รัฐสภาพิจารณาเช่นกัน ซึ่งแนวทาง นี้จะเป็นเส้นทางที่ “สั้น” และ “รวดเร็ว” มากกว่าแนวทางแรก
แน่นอนว่า การพาทักษิณกลับบ้านทั้ง 2 กรณีนั้น ย่อมมี “เสียงข้างมาก” เป็นตัวหนุนนำ ดังนั้นไม่ว่า “หวยล็อก” จะออกมาเช่นไร..ผลประโยชน์ย่อมจะตกอยู่กับ “ทักษิณ” ขึ้นอยู่กับ..ได้มาก-ได้น้อยเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ “นักปั้นมือทอง” อย่าง “ป๋าเหนาะ-เสนาะ เทียนทอง” ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้เคยเสนอแนวทาง.. แหวกกระแสสังคม ด้วยการให้ “ทักษิณ” กลับมารับโทษ.. แต่เป็นการรับโทษด้วยการ “กักบริเวณ” เช่นเดียวกับที่อดีตรัฐบาลทหารพม่ากระทำต่อ “ออง ซาน ซูจี” โดยไม่ต้องรับโทษจำคุก
มาถึงตอนนี้ “ป๋าเหนาะ” ยังคงเสนอให้ “ทักษิณ” ปฏิเสธไม่เอาเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูก “ยึดทรัพย์” ในคดีซุกหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งในครั้งนั้น ไม่มีเสียงตอบรับจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มา ล่าสุด “อาร์ไอเอ โนวอสติ” สื่อในรัสเซีย ได้ตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ ว่า “..เรื่องการกลับบ้านนั้น อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แต่ผมก็จะไม่ เรียกร้องขอเป็นผู้นำประเทศอีกแน่ ขอย้ำไว้เลยว่า ผมจะไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเด็ดขาด ส่วนทรัพย์สมบัติที่ถูกยึดไว้นั้น ผมคงไม่เรียกร้องเอากลับคืน”
แม้เรื่อง “กลับบ้าน” กับเรื่องไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จะพูดกันมาหลายครั้งหลายหน แต่กับมุกของ “ป๋าเหนาะ” ที่บอกไม่ให้เอาเงินคืน ถือเป็นเรื่องที่พูดกันเป็นครั้งแรก
จึงมีข้อสังเกตว่า..จะเป็นการลดดีกรีความขัดแย้ง หรือลด เงื่อนไขเพื่อให้การปรองดองดำเนินไปได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ตัวเองสามารถกลับคืนสู่บ้านเกิดได้อีกครั้งหรือไม่!!!
การปูพรมแดงกลับบ้านเกิดเที่ยวล่าสุดนี้ ทั้งรัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จำเป็นจะต้องระมัดระวังเป็นยิ่งยวด ในการผลักดัน “กระบวนการปรองดอง” ตลอดจนการ “เกี้ยเซี้ย!” กับคู่ขัดแย้ง เพื่อให้การเจรจาตกผลึก ก่อนนำไปสู่การผลักดันเป็นกฎหมาย
ทั้งหลายทั้งปวง คงปฏิเสธไม่ได้ว่า.. “วิกฤติความขัดแย้ง!” ยังคงเป็นปัญหาในหลากมิติ และเกี่ยวพันกับผู้คนหลายระดับชั้น โดยเฉพาะเมื่อ “การปรองดอง” ยังถูกต้องสงสัยว่า..ผูกโยงต่ออนาคตการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่แปลกที่ “ระดับแกนในค่ายเพื่อไทย” จะประเมินออกมาว่า..ไม่ง่ายนัก! ที่จะทำให้ทุกอย่างจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง หรือปิดเกมในเวลาอันรวดเร็ว ตามที่ “นายใหญ่” คาดหวังเอาไว้.. เพราะยังมีโอกาสพลาดพลั้ง จนทำให้ “วาระปรองดอง” ล่มปากอ่าว...ซึ่งไม่เพียงตัว “ทักษิณ” จะไม่ได้กลับประเทศแล้ว ยังส่งผลให้ “วิกฤติ ประเทศไทย” ขยายวงออกไป และทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก!!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดกรุ.ม็อบ 21 เมษาฯ เดินเกมคว่ำนิรโทษกรรม !!?
การนัดรวมพลครั้งใหม่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. ได้กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ที่สังคมกำลังเฝ้าจับตา..! หลังจากมีข่าว “เครือข่ายเสื้อเหลือง” นัดชุมนุมใหญ่ ที่สโมสรกองทัพบก เพื่อคัดค้าน “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” โดยซีกตรงข้าม รัฐนาวาอ้างว่า..เป็นการ “มัดมือชก” และมีคิวที่ “ค่ายเพื่อไทย” เตรียมดันเป็น “วาระร้อน” ในสภาผู้แทนราษฎร
ทว่า.. คล้อยหลังเพียงข้ามคืน “แกนนำขาใหญ่แห่งม็อบพันธมิตรฯ” ที่นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และพิภพ ธงไชย ก็ออกมา..ดักคอ! ยืนกรานว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้เรียกร้องให้มีการชุมนุมต้านนิรโทษกรรม แต่การชุมนุมสามารถทำได้เพื่อปกป้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
เป็นการออกตัวว่า..งานนี้พันธมิตรฯ ไม่มีเอี่ยว!
ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหว ดังกล่าวเป็นใคร.. และเหตุใด “แกนนำพันธมิตร” ต้องลุกลี้ลุกลนออกมาแถลงข่าวปฏิเสธการชุมนุมครั้งนี้ว่า..ไม่ใช่การจัดกิจกรรมของ “พันธมิตร”
เป็นการชี้ชัดว่า.. ห้ามกลุ่มอื่นใด เอาชื่อ “พันธมิตร” ไปทำกิจกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต และถ้าอยากจะเคลื่อนไหวก็ต้อง “สร้างมวลชน” ขึ้นมาเอง โดยห้ามชุบมือเปิบ หรือดึงมวลชนในซีก “พันธมิตร” ไปเป็นเครื่องมือในการทำกิจกรรมทางการเมือง แม้ว่าหนึ่งในแกนนำการชุมนุมหนนี้ คือ “บวร ยสินทร” แกนนำกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็น “แนวร่วมพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” ก็ตามที
สำหรับการเดินเกมคว่ำนิรโทษกรรมหนนี้ ได้ปรากฏ “แนวรุก..ตัวใหม่!” อย่างกลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน ที่มีหัวขบวนคือ “บวร ยสินทร” แห่งกลุ่มราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน โดยมี “กัปตัน..นักร้อง” น.ต.ถนิต พรหมสถิต อดีตนักบินการบินไทย เป็นประธานจัดการชุมนุมถ่ายโอนอำนาจจากนักการเมือง พร้อมด้วยแนวร่วมฯ อาทิ พายัพ ยังปักษี, พ.ท.รัฐเขต แจ้งจำรัส, พล.ร.ต.พัฒนะ จิรนันท์ และ สุขุม วงประสิทธิ โดยทั้งหมดได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้มีการชุมนุมใหญ่ทางการเมือง เมื่อวันเสาร์ที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา
แม้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก จะออกมาแตะเบรก! สั่งห้าม “ม็อบ” เข้าไปใช้สถานที่ภายในสโมสรกองทัพบกก็ตาม แต่ทาง “กลุ่มเรียกคืนอำนาจฯ” ก็ยืนยันจะใช้พื้นที่ด้านนอกทำกิจกรรมตั้งแต่ช่วงเช้าจรดค่ำ
โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา แห่งกลุ่มสยามสามัคคี ได้เป็นผู้นำแกนนำกลุ่มนี้ ไปแถลงข่าวที่รัฐสภา นอกจากนี้ทางเครือข่ายพันธมิตรฯ จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ นำโดย “ชุมพล ลีลานนท์” ผู้ประสานงาน พธม.จังหวัดพะเยา ระบุ..ได้เตรียมระดมกลุ่มพันธมิตร ทั่วประเทศไปร่วมทำกิจกรรมที่สโมสรทหารบก ซึ่งการรวมตัวกันครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดำเนินการกันอยู่ในสภา โดยอ้างว่าเป็นการใช้ “เสียงข้างมาก!” ดำเนินการตามความต้องการของซีกรัฐนาวา โดยไม่เปิดรับฟังประชาชน
การันตีเบื้องต้น น่าจะมีผู้ชุมนุม มากันเรือนหมื่น!!
แต่เอาเข้าจริงๆ ได้มีผู้ชุมนุมมากันแค่ 200-300 คนเท่านั้น.. ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการที่ “ขาใหญ่ พธม.” ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย! เพราะเคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน ระหว่างช่วงการชุมนุมม็อบ พันธมิตรฯ เมื่อปี 2548-2549 เพื่อโค่นล้มรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
สำหรับกลุ่มที่มาร่วมชุมนุมคัดค้านกฎหมายแก้กรรม! กอปรไปด้วย สหธรรมิก 4 องค์กร คือ สมาพันธ์พลเมืองฐานราก (สพฐ.), องค์การโอนอำนาจทรัพยากรใต้ดิน เพื่อสร้างสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อทพช.), องค์การทรัพยากรทางทะเล เพื่อสร้างสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อททช.) และสภาการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.) ที่มี “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาใหญ่
ด้าน น.ต.ถนิต พรหมสถิต ประธาน จัดการชุมนุมฯ ย้ำหัวตะปูว่า.. การชุมนุมครั้งนี้เป็นภาคประชาชน ไม่มีสีเสื้อใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการสร้างสภาปรองดองโดยเอาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้ง ที่มาชุมนุมก็มาจากตัวแทนจากภาคประชาชนที่มีความเดือดร้อนด้านต่างๆ
“กลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมือง เนรคุณแผ่นดิน” มีแนวคิดในเรื่องปฏิรูปการเมืองให้เกิดระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านอำนาจจากนักการเมืองในปัจจุบัน..
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทว่า.. คล้อยหลังเพียงข้ามคืน “แกนนำขาใหญ่แห่งม็อบพันธมิตรฯ” ที่นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และพิภพ ธงไชย ก็ออกมา..ดักคอ! ยืนกรานว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้เรียกร้องให้มีการชุมนุมต้านนิรโทษกรรม แต่การชุมนุมสามารถทำได้เพื่อปกป้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
เป็นการออกตัวว่า..งานนี้พันธมิตรฯ ไม่มีเอี่ยว!
ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหว ดังกล่าวเป็นใคร.. และเหตุใด “แกนนำพันธมิตร” ต้องลุกลี้ลุกลนออกมาแถลงข่าวปฏิเสธการชุมนุมครั้งนี้ว่า..ไม่ใช่การจัดกิจกรรมของ “พันธมิตร”
เป็นการชี้ชัดว่า.. ห้ามกลุ่มอื่นใด เอาชื่อ “พันธมิตร” ไปทำกิจกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต และถ้าอยากจะเคลื่อนไหวก็ต้อง “สร้างมวลชน” ขึ้นมาเอง โดยห้ามชุบมือเปิบ หรือดึงมวลชนในซีก “พันธมิตร” ไปเป็นเครื่องมือในการทำกิจกรรมทางการเมือง แม้ว่าหนึ่งในแกนนำการชุมนุมหนนี้ คือ “บวร ยสินทร” แกนนำกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็น “แนวร่วมพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” ก็ตามที
สำหรับการเดินเกมคว่ำนิรโทษกรรมหนนี้ ได้ปรากฏ “แนวรุก..ตัวใหม่!” อย่างกลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน ที่มีหัวขบวนคือ “บวร ยสินทร” แห่งกลุ่มราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน โดยมี “กัปตัน..นักร้อง” น.ต.ถนิต พรหมสถิต อดีตนักบินการบินไทย เป็นประธานจัดการชุมนุมถ่ายโอนอำนาจจากนักการเมือง พร้อมด้วยแนวร่วมฯ อาทิ พายัพ ยังปักษี, พ.ท.รัฐเขต แจ้งจำรัส, พล.ร.ต.พัฒนะ จิรนันท์ และ สุขุม วงประสิทธิ โดยทั้งหมดได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้มีการชุมนุมใหญ่ทางการเมือง เมื่อวันเสาร์ที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา
แม้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก จะออกมาแตะเบรก! สั่งห้าม “ม็อบ” เข้าไปใช้สถานที่ภายในสโมสรกองทัพบกก็ตาม แต่ทาง “กลุ่มเรียกคืนอำนาจฯ” ก็ยืนยันจะใช้พื้นที่ด้านนอกทำกิจกรรมตั้งแต่ช่วงเช้าจรดค่ำ
โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา แห่งกลุ่มสยามสามัคคี ได้เป็นผู้นำแกนนำกลุ่มนี้ ไปแถลงข่าวที่รัฐสภา นอกจากนี้ทางเครือข่ายพันธมิตรฯ จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ นำโดย “ชุมพล ลีลานนท์” ผู้ประสานงาน พธม.จังหวัดพะเยา ระบุ..ได้เตรียมระดมกลุ่มพันธมิตร ทั่วประเทศไปร่วมทำกิจกรรมที่สโมสรทหารบก ซึ่งการรวมตัวกันครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดำเนินการกันอยู่ในสภา โดยอ้างว่าเป็นการใช้ “เสียงข้างมาก!” ดำเนินการตามความต้องการของซีกรัฐนาวา โดยไม่เปิดรับฟังประชาชน
การันตีเบื้องต้น น่าจะมีผู้ชุมนุม มากันเรือนหมื่น!!
แต่เอาเข้าจริงๆ ได้มีผู้ชุมนุมมากันแค่ 200-300 คนเท่านั้น.. ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการที่ “ขาใหญ่ พธม.” ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย! เพราะเคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน ระหว่างช่วงการชุมนุมม็อบ พันธมิตรฯ เมื่อปี 2548-2549 เพื่อโค่นล้มรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
สำหรับกลุ่มที่มาร่วมชุมนุมคัดค้านกฎหมายแก้กรรม! กอปรไปด้วย สหธรรมิก 4 องค์กร คือ สมาพันธ์พลเมืองฐานราก (สพฐ.), องค์การโอนอำนาจทรัพยากรใต้ดิน เพื่อสร้างสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อทพช.), องค์การทรัพยากรทางทะเล เพื่อสร้างสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อททช.) และสภาการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.) ที่มี “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาใหญ่
ด้าน น.ต.ถนิต พรหมสถิต ประธาน จัดการชุมนุมฯ ย้ำหัวตะปูว่า.. การชุมนุมครั้งนี้เป็นภาคประชาชน ไม่มีสีเสื้อใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการสร้างสภาปรองดองโดยเอาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้ง ที่มาชุมนุมก็มาจากตัวแทนจากภาคประชาชนที่มีความเดือดร้อนด้านต่างๆ
“กลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมือง เนรคุณแผ่นดิน” มีแนวคิดในเรื่องปฏิรูปการเมืองให้เกิดระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านอำนาจจากนักการเมืองในปัจจุบัน..
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตรวจพบแก๊สพิษเกินค่ามาตรฐานหลุมไฟอ.นครไทย !!?
รายงานจากพิษณุโลก ที่หลุมไฟ ม.9 ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก กรมควบคุมโรค สำนักงานป้องกัน ควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก นำเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือตรวจวัดแกสพิษในบรรยากาศ ที่สามารถตรวจหาก๊าซพิษได้มากกว่า 100 ชนิด โดยตรวจสารพิษบริเวณรอบ ๆ หลุมไฟเนื้อที่ประมาณ 1 งาน
นายกิตติ พุฒิกานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า หลังจากมีการพบปรากฏการณ์หลุมไฟ ไฟลุกจากใต้ดินในอ.นครไทย ในวันนี้ กรมควบคุมโรคได้นำเครื่องมือตรวจวัดแก๊สพิษในบรรยากาศได้มากกว่า 100 ชนิด หรือ miran มาทำการตรวจหาแก๊สพิษรอบ ๆ หลุมไฟ ซึ่งตรวจพบหลายชนิด ผลปรากฏว่า พบแก๊สหลายชนิด ทั้ง มีเทน แอมโมเนียที่มีปริมาณน้อย แต่ตัวที่มีปัญหามากมีสองชนิด คือ คาร์บอนไดซัลไฟล์ หรือ CS 2 ตรวจพบรอบหลุมไฟอยู่ที่ 23 ppm เกินค่ามาตรฐานทั่วไปที่ 20 ppm และ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือ SO 2 ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.12 ppm แต่ตรวจพบมากกว่าค่ามาตรฐาน 55 เท่า
ที่มีปัญหาและน่าห่วงคือมากที่สุด แก๊สคาร์บอนไดซัลไฟล์ หรือ CS 2 ที่ตรวจพบเกินค่ามาตรฐานมา 3 ppm นั้น เป็นแก๊สที่อันตรายสำหรับผู้สูดดมอย่างมาก คาร์บอนไดซัลไฟล์ เป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศ เวลารอยจะรอยเรี่ยพื้น จึงอยู่ในระดับที่จมูกคนยืนพอดี สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทั้งทางผิวหนังและทางเดินหายใจ ในระยะสั้นจะมีการระคายเคืองที่ดวงตาและผิวหนัง และถ้าได้รับเวลาหลายวัน จะมีอาการทางจิต มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง ประสาทตาอักเสบ ถ้าระยะยาว จะ เจ็บหน้าอก ปวดกล้าวเนื้อ ความจำเสื่อม คล้ายคนป่วยโรคพารากิลสันที่สั่นตลอด รวมท้งอาจผิดปกติทางสมอง เส้นประสาทอักเสบ หลอดเลือดแดงแข็งตัว ถือเป็นอันตรายมากสำหรับคนที่อยู่ใกล้ เราแนะนำว่าควรจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 500 เมตร เพราะอาจมีลมพัดสารพิษตัวนี้ไป สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเป็นพิเศษคือคนท้อง ไม่ควรมารับสารพิษชนิดเลย เวลานี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลอง สารชนิดอาจจะมีผลต่อการก่อมะเร็ง แต่เรายังไม่ยืนยัน คนตั้งครรภ์ควรอยู่ห่างไกล
นายกิตติ กล่าวว่า แก๊สมีเทนมีปริมาณที่น้อยมาก ส่วนที่ติดไฟลุกไหม้นั้น แก๊สคาร์บอนไดซัลไฟล์ก็มีคุณสมหลังจากที่กรมควบคุมโรคได้มาตรวจพบสารพิษที่เป็นอันตรายบริเวณนี้แล้ว ได้ประสานกับอบต.หนองกะท้าว ให้นำป้าย นำเชือกกั้น มากั้นผู้คน ไม่ให้เข้ามาใกล้หลุมไฟแห่งนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ควบจะห่างกว่า 500 เมตร
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นวันที่ 25 เมษายนนี้ปรากฏว่า มีชาวอ.นครไทยแห่มาชมปรากฏการณ์ไฟลุกใต้ดินอย่างมาก โดยพยายามเข้ามาให้ใกล้หลุม เพื่อชมไฟลุกจากพื้นดิน แต่ก็ยังอยู่ในแนวกั้นที่อบต.หนองกะท้าวทำไว้
ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายกิตติ พุฒิกานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า หลังจากมีการพบปรากฏการณ์หลุมไฟ ไฟลุกจากใต้ดินในอ.นครไทย ในวันนี้ กรมควบคุมโรคได้นำเครื่องมือตรวจวัดแก๊สพิษในบรรยากาศได้มากกว่า 100 ชนิด หรือ miran มาทำการตรวจหาแก๊สพิษรอบ ๆ หลุมไฟ ซึ่งตรวจพบหลายชนิด ผลปรากฏว่า พบแก๊สหลายชนิด ทั้ง มีเทน แอมโมเนียที่มีปริมาณน้อย แต่ตัวที่มีปัญหามากมีสองชนิด คือ คาร์บอนไดซัลไฟล์ หรือ CS 2 ตรวจพบรอบหลุมไฟอยู่ที่ 23 ppm เกินค่ามาตรฐานทั่วไปที่ 20 ppm และ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือ SO 2 ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.12 ppm แต่ตรวจพบมากกว่าค่ามาตรฐาน 55 เท่า
ที่มีปัญหาและน่าห่วงคือมากที่สุด แก๊สคาร์บอนไดซัลไฟล์ หรือ CS 2 ที่ตรวจพบเกินค่ามาตรฐานมา 3 ppm นั้น เป็นแก๊สที่อันตรายสำหรับผู้สูดดมอย่างมาก คาร์บอนไดซัลไฟล์ เป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศ เวลารอยจะรอยเรี่ยพื้น จึงอยู่ในระดับที่จมูกคนยืนพอดี สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทั้งทางผิวหนังและทางเดินหายใจ ในระยะสั้นจะมีการระคายเคืองที่ดวงตาและผิวหนัง และถ้าได้รับเวลาหลายวัน จะมีอาการทางจิต มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง ประสาทตาอักเสบ ถ้าระยะยาว จะ เจ็บหน้าอก ปวดกล้าวเนื้อ ความจำเสื่อม คล้ายคนป่วยโรคพารากิลสันที่สั่นตลอด รวมท้งอาจผิดปกติทางสมอง เส้นประสาทอักเสบ หลอดเลือดแดงแข็งตัว ถือเป็นอันตรายมากสำหรับคนที่อยู่ใกล้ เราแนะนำว่าควรจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 500 เมตร เพราะอาจมีลมพัดสารพิษตัวนี้ไป สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเป็นพิเศษคือคนท้อง ไม่ควรมารับสารพิษชนิดเลย เวลานี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลอง สารชนิดอาจจะมีผลต่อการก่อมะเร็ง แต่เรายังไม่ยืนยัน คนตั้งครรภ์ควรอยู่ห่างไกล
นายกิตติ กล่าวว่า แก๊สมีเทนมีปริมาณที่น้อยมาก ส่วนที่ติดไฟลุกไหม้นั้น แก๊สคาร์บอนไดซัลไฟล์ก็มีคุณสมหลังจากที่กรมควบคุมโรคได้มาตรวจพบสารพิษที่เป็นอันตรายบริเวณนี้แล้ว ได้ประสานกับอบต.หนองกะท้าว ให้นำป้าย นำเชือกกั้น มากั้นผู้คน ไม่ให้เข้ามาใกล้หลุมไฟแห่งนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ควบจะห่างกว่า 500 เมตร
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นวันที่ 25 เมษายนนี้ปรากฏว่า มีชาวอ.นครไทยแห่มาชมปรากฏการณ์ไฟลุกใต้ดินอย่างมาก โดยพยายามเข้ามาให้ใกล้หลุม เพื่อชมไฟลุกจากพื้นดิน แต่ก็ยังอยู่ในแนวกั้นที่อบต.หนองกะท้าวทำไว้
ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เตือนภัยอากาศร้อนระวังเป็นลมแดดถึงตาย
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เตือนประชาชนระวังภัยอากาศร้อนจัดให้หลีกเลี่ยงการทำงานตากแดดในระยะนี้เพราะจะเสี่ยงทำให้เสียชีวิต ขณะที่ปัญหาสภาพอากาศที่ร้อนส่งผลให้มีผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินอาหารเพิ่มขึ้นสาเหตุจากน้ำดื่มกับอาหารที่ไม่สะอาด
นพ.สมอาจ ตั้งเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในระยะนี้จังหวัดกาฬสินธุ์มีสภาพอากาศที่ร้อนจัดประชาชนควรที่จะหลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน เนื่องจากจะเสี่ยงให้เจ็บป่วยด้วยโรคลมแดด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปและมีสุขภาพอ่อนแอ อุณหภูมิที่สูงถึง 40 องศา จะทำให้มีเหงื่อไหลออกเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ บางรายมีโรคแทรกซ้อน ก็จะทำให้เสียชีวิตลงได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งในการป้องกันหากพบว่าพบผู้ป่วยเป็นลมแดด เบื้องต้นควรปฐมพยาบาลให้ผู้ป่วยนอนราบลงพื้นด้วยอากาศปลอดโปร่งจากนั้นให้นำชุบน้ำเช็ดตามร่างกาย ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ได้ดูแลต่อไป
นอกจากนี้โรคระบบทางเดินอาหารหรือโรคอุจจาระร่วงเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงปัจจุบันพบผู้ป่วยท้องร่วงมากกว่า 1 พันรายหรือกว่า 300 คนต่อวัน ซึ่งเกิดจากความเสี่ยงในรับประทานน้ำดื่มที่ไม่สะอาดโดยเฉพาะอาหารประจำถิ่นการเปิดพิสดาร อาหารสุกๆดิบๆ ควรที่จะงดเว้นในระยะนี้
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นพ.สมอาจ ตั้งเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในระยะนี้จังหวัดกาฬสินธุ์มีสภาพอากาศที่ร้อนจัดประชาชนควรที่จะหลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน เนื่องจากจะเสี่ยงให้เจ็บป่วยด้วยโรคลมแดด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปและมีสุขภาพอ่อนแอ อุณหภูมิที่สูงถึง 40 องศา จะทำให้มีเหงื่อไหลออกเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ บางรายมีโรคแทรกซ้อน ก็จะทำให้เสียชีวิตลงได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งในการป้องกันหากพบว่าพบผู้ป่วยเป็นลมแดด เบื้องต้นควรปฐมพยาบาลให้ผู้ป่วยนอนราบลงพื้นด้วยอากาศปลอดโปร่งจากนั้นให้นำชุบน้ำเช็ดตามร่างกาย ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ได้ดูแลต่อไป
นอกจากนี้โรคระบบทางเดินอาหารหรือโรคอุจจาระร่วงเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงปัจจุบันพบผู้ป่วยท้องร่วงมากกว่า 1 พันรายหรือกว่า 300 คนต่อวัน ซึ่งเกิดจากความเสี่ยงในรับประทานน้ำดื่มที่ไม่สะอาดโดยเฉพาะอาหารประจำถิ่นการเปิดพิสดาร อาหารสุกๆดิบๆ ควรที่จะงดเว้นในระยะนี้
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555
เสื้อแดงเชียงใหม่ลั่นต้อง"ไพรมารี่โหวต"ซ่อมส.ส.เขต3 ไม่เว้นเด็กเจ๊แดง ขู่ฝืนเจอสั่งสอน ทาบ"4ดร."ชิง
ด.ต.พิชิต ตามูล แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ พร้อมแกนนำประชาชนพื้นที่เขต 3 อ.สันกำแพง อ.แม่ออน อ.ดอยสะเก็ด กว่า 30 คน แถลงการณ์ที่ข่วงสันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 เมษายน กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 วันที่ 11-17 พฤษภาคม และเลือกตั้งวันที่ 2 มิถุนายนนี้ แทน น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ บุตรสาวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และหลานสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า พรรคไม่ควรส่งผู้สมัครที่ประชาชนในพื้นที่ไม่รู้จัก ไม่เคยลงพื้นที่ ไม่มีความรัก ความศรัทธา ไม่พบปะดูแลประชาชน
ทั้งนี้ นปช.เชียงใหม่ และแกนนำประชาชนพื้นที่ เขต 3 มีมติขอให้พรรคเพื่อไทย นำระบบไพรมารี่โหวตมาใช้ โดยให้ประชาชนในพื้นที่สรรหาตัวแทนผู้สมัคร ส.ส. ให้พรรคพิจารณาส่งลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เพื่อได้ ส.ส.เป็นคนในพื้นที่พบปะดูแลประชาชนตลอดเวลา ซึ่งตรงกับเจตนารมย์ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยพูดไว้เมื่อปี
2542 ว่าจะนำระบบดังกล่าวมาใช้ครั้งแรกในประเทศ และนำร่องพื้นที่บ้านเกิดที่ อ.สันกำแพง เป็นแห่งแรก เพื่อเป็นต้นแบบคัดเลือก ส.ส.ทั่วประเทศ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยหน้าด้วย
ด.ต.พิชิต เผยกรณีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำกลุ่มวังบัวบาน มารดาน.ส.ชินณิชาสนับสนุนนายเกษม นิมมลรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)เชียงใหม่ ลงสมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 ว่า ไม่มีปัญหา แต่ต้องร่วมโหวตเป็นตัวแทนพรรค ถ้าประชาชนเขต 3 สนับสนุนและเห็นด้วย มีคุณสมบัติครบถ้วน ทุกคนก็ต้องยอมรับและเคารพกติกา หากนายเกษม มีคุณสมบัติไม่พอ ก็ต้องเลือกบุคคลอื่นแทน
"เสื้อแดงทาบทามผู้มีความรู้ความสามารถระดับดอกเตอร์ 4 ราย มาเป็นผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่แล้ว ซึ่งทุกคนตอบรับ แต่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติก่อน ถ้าผ่านก็ต้องทำการโหวตเพราะพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคมหาชน ไม่ใช่บริษัทห้างร้านหุ้นส่วนจำกัด จะส่งใครลงสมัครก็ได้แต่เป็นมหาชนที่ทุกคนมีสิทธิลงสมัครได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยบอกว่า กระบวนการสรรหาผู้สมัคร มวลชนส่งคนให้พรรคเลือก และพรรคส่งคนกลับมาให้มวลชนเลือก หรือไพรมารี่โหวต" ด.ต.พิชิต กล่าว
หากพรรคส่งคนที่ประชาชนไม่เห็นชอบ หรือเป็นเผด็จการในพรรค อาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับเลือกตั้ง ส.ส. หรือนายก อบจ.ปทุมธานี ที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ยับเยิน ซึ่งพรรคอาจเหลือ ส.ส.ในสภา 263 คน แต่ไม่กระทบรัฐบาลและพรรคร่วม เพียงเสียที่นั่ง ส.ส.ให้ประชาธิปัตย์ 2 ที่นั่งเท่านั้นเอง ซึ่งผู้เป็นตัวแทนพรรคควรผ่านความเห็นชอบจากประชาชนก่อน ไม่เช่นนั้นอาจถูกลงโทษ หรือสั่งสอนจากมวลชนเสื้อแดงอีกครั้ง
"เสื้อแดงเคารพมติพรรคจะส่งใครลงสมัคร ส.ส.ก็ได้ แต่ควรฟังคนเสื้อแดงบ้าง เพราะร่วมต่อสู้กันมาจนได้จัดตั้งรัฐบาลต้องฟังเสียงเราบ้าง ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เสื้อแดงเสนอพิจารณาก็ต้องดูว่าเป็นบุคคลที่พึงพอใจหรือไม่ สมควรเป็นตัวแทนพรรคและประชาชนหรือไม่ ถ้ามีคุณสมบัติครบ มีมวลชนสนับสนุนก็ต้องยอมรับมติเสียงส่วนใหญ่ ตามระบอบประชาธิไตยคนเสื้อแดงไม่ได้ดื้อรั้น หรือไม่มีเหตุผล ไม่กดดันหรือสร้างความแตกแยกในพรรค แต่อยากบอกผู้ใหญ่ในพรรคฟังเสียงพวกเราสักนิด เพราะคัดสรรสิ่งที่ดีแก่พรรคเพราะเคารพรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สุดในโลก" ด.ต.พิชิต กล่าว
นายเกษมนิมมลรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ และอดีตผู้ช่วย น.ส.ชินณิชา ซึ่งเป็นคนสนิท นางเยาวภาที่สนับสนุนลงสมัคร ส.ส.เขต 3 เผยกรณีเสื้อแดงเรียกร้องใช้ระบบไพรมารี่โหวต คัดเลือกบุคคลลงสมัครแทนเครือญาติหรือคนสนิทนักการเมือง ว่า เสื้อแดงมีหลายกลุ่มต่างความคิด มีทั้งคนสนับสนุนและไม่สนับสนุน แต่เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องของพรรคพิจารณาคัดเลือกบุคคลลงสมัครเอง ซึ่งตนก็ต้องเคารพและทำตามมติพรรค ไม่ว่าจะส่งใครลงสมัคร ส.ส.ก็ตาม ก็พร้อมสนับสนุนและทำงานช่วยเหลือเต็มที่
นายเกษมกล่าวว่ากรณีเลือกตั้ง ส.ส.ปทุมธานี เป็นคนละเรื่องกับเลือกตั้ง จ.เชียงใหม่ เพราะ ส.ส.ลาออกไปลงสมัครนายก อบจ.เอง แต่กรณี น.ส.ชินณิชา ถูกศาลตัดสินให้พ้นสภาพเป็น ส.ส. จึงมีเลือกตั้งซ่อม เชื่อว่าประชาชนมีวิจารณญาณและแยกแยะเหตุผลได้ ซึ่งมั่นใจว่ามวลชน เขต 3 ส่วนใหญ่ยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพื่อให้โอกาสรัฐบาลทำงานจนครบวาระ ที่สำคัญเป็นบ้านเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่วนตัวรับฟังความคิดเห็นและเคารพการตัดสินใจเสื้อแดงทุกกลุ่ม และพร้อมทำงานกับทุกมวลชน
ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทั้งนี้ นปช.เชียงใหม่ และแกนนำประชาชนพื้นที่ เขต 3 มีมติขอให้พรรคเพื่อไทย นำระบบไพรมารี่โหวตมาใช้ โดยให้ประชาชนในพื้นที่สรรหาตัวแทนผู้สมัคร ส.ส. ให้พรรคพิจารณาส่งลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เพื่อได้ ส.ส.เป็นคนในพื้นที่พบปะดูแลประชาชนตลอดเวลา ซึ่งตรงกับเจตนารมย์ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยพูดไว้เมื่อปี
2542 ว่าจะนำระบบดังกล่าวมาใช้ครั้งแรกในประเทศ และนำร่องพื้นที่บ้านเกิดที่ อ.สันกำแพง เป็นแห่งแรก เพื่อเป็นต้นแบบคัดเลือก ส.ส.ทั่วประเทศ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยหน้าด้วย
ด.ต.พิชิต เผยกรณีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำกลุ่มวังบัวบาน มารดาน.ส.ชินณิชาสนับสนุนนายเกษม นิมมลรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)เชียงใหม่ ลงสมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 ว่า ไม่มีปัญหา แต่ต้องร่วมโหวตเป็นตัวแทนพรรค ถ้าประชาชนเขต 3 สนับสนุนและเห็นด้วย มีคุณสมบัติครบถ้วน ทุกคนก็ต้องยอมรับและเคารพกติกา หากนายเกษม มีคุณสมบัติไม่พอ ก็ต้องเลือกบุคคลอื่นแทน
"เสื้อแดงทาบทามผู้มีความรู้ความสามารถระดับดอกเตอร์ 4 ราย มาเป็นผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่แล้ว ซึ่งทุกคนตอบรับ แต่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติก่อน ถ้าผ่านก็ต้องทำการโหวตเพราะพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคมหาชน ไม่ใช่บริษัทห้างร้านหุ้นส่วนจำกัด จะส่งใครลงสมัครก็ได้แต่เป็นมหาชนที่ทุกคนมีสิทธิลงสมัครได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยบอกว่า กระบวนการสรรหาผู้สมัคร มวลชนส่งคนให้พรรคเลือก และพรรคส่งคนกลับมาให้มวลชนเลือก หรือไพรมารี่โหวต" ด.ต.พิชิต กล่าว
หากพรรคส่งคนที่ประชาชนไม่เห็นชอบ หรือเป็นเผด็จการในพรรค อาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับเลือกตั้ง ส.ส. หรือนายก อบจ.ปทุมธานี ที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ยับเยิน ซึ่งพรรคอาจเหลือ ส.ส.ในสภา 263 คน แต่ไม่กระทบรัฐบาลและพรรคร่วม เพียงเสียที่นั่ง ส.ส.ให้ประชาธิปัตย์ 2 ที่นั่งเท่านั้นเอง ซึ่งผู้เป็นตัวแทนพรรคควรผ่านความเห็นชอบจากประชาชนก่อน ไม่เช่นนั้นอาจถูกลงโทษ หรือสั่งสอนจากมวลชนเสื้อแดงอีกครั้ง
"เสื้อแดงเคารพมติพรรคจะส่งใครลงสมัคร ส.ส.ก็ได้ แต่ควรฟังคนเสื้อแดงบ้าง เพราะร่วมต่อสู้กันมาจนได้จัดตั้งรัฐบาลต้องฟังเสียงเราบ้าง ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เสื้อแดงเสนอพิจารณาก็ต้องดูว่าเป็นบุคคลที่พึงพอใจหรือไม่ สมควรเป็นตัวแทนพรรคและประชาชนหรือไม่ ถ้ามีคุณสมบัติครบ มีมวลชนสนับสนุนก็ต้องยอมรับมติเสียงส่วนใหญ่ ตามระบอบประชาธิไตยคนเสื้อแดงไม่ได้ดื้อรั้น หรือไม่มีเหตุผล ไม่กดดันหรือสร้างความแตกแยกในพรรค แต่อยากบอกผู้ใหญ่ในพรรคฟังเสียงพวกเราสักนิด เพราะคัดสรรสิ่งที่ดีแก่พรรคเพราะเคารพรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สุดในโลก" ด.ต.พิชิต กล่าว
นายเกษมนิมมลรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ และอดีตผู้ช่วย น.ส.ชินณิชา ซึ่งเป็นคนสนิท นางเยาวภาที่สนับสนุนลงสมัคร ส.ส.เขต 3 เผยกรณีเสื้อแดงเรียกร้องใช้ระบบไพรมารี่โหวต คัดเลือกบุคคลลงสมัครแทนเครือญาติหรือคนสนิทนักการเมือง ว่า เสื้อแดงมีหลายกลุ่มต่างความคิด มีทั้งคนสนับสนุนและไม่สนับสนุน แต่เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องของพรรคพิจารณาคัดเลือกบุคคลลงสมัครเอง ซึ่งตนก็ต้องเคารพและทำตามมติพรรค ไม่ว่าจะส่งใครลงสมัคร ส.ส.ก็ตาม ก็พร้อมสนับสนุนและทำงานช่วยเหลือเต็มที่
นายเกษมกล่าวว่ากรณีเลือกตั้ง ส.ส.ปทุมธานี เป็นคนละเรื่องกับเลือกตั้ง จ.เชียงใหม่ เพราะ ส.ส.ลาออกไปลงสมัครนายก อบจ.เอง แต่กรณี น.ส.ชินณิชา ถูกศาลตัดสินให้พ้นสภาพเป็น ส.ส. จึงมีเลือกตั้งซ่อม เชื่อว่าประชาชนมีวิจารณญาณและแยกแยะเหตุผลได้ ซึ่งมั่นใจว่ามวลชน เขต 3 ส่วนใหญ่ยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพื่อให้โอกาสรัฐบาลทำงานจนครบวาระ ที่สำคัญเป็นบ้านเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่วนตัวรับฟังความคิดเห็นและเคารพการตัดสินใจเสื้อแดงทุกกลุ่ม และพร้อมทำงานกับทุกมวลชน
ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดพิมพ์เขียว : โครงการพักหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาท !!?
คลังเปิดพิมพ์เขียวโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อย-ประชาชนผู้มีรายได้น้อย เป็นหนี้แบงก์รัฐคงค้างต่ำกว่า 5 แสนบาท ขอเข้าโครงการ 2 พ.ค.-20 ส.ค.55
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกันเปิดเผยว่า
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ "การปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท" ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
โครงการพักหนี้ฯ ได้เริ่มดำเนินการระยะแรก เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการพักหนี้ให้กับประชาชนที่มีความเดือดร้อนเร่งด่วนและมีปัญหาการชำระหนี้ โดยเน้นช่วยเหลือประชาชนที่มีหนี้คงค้าง ไม่เกิน 500,000 บาท ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จำนวน 6 แห่ง รวมประชาชนผู้มีสิทธิทั้งหมด 775,090 ราย ตั้งแต่เริ่มเปิดตัวโครงการ 15 พฤศจิกายน 2554 จนถึง 15 เมษายน 2555 มีประชาชนมายื่นความจำนงแล้ว 661,508 ราย คิดเป็นร้อยละ 85.35 ของจำนวนประชาชนที่มีสิทธิทั้งหมด ในจำนวนนี้ได้รับการอนุมัติแล้ว 428,384 ราย คิดเป็นร้อยละ 55.27 ของประชาชนที่มีสิทธิทั้งหมด หรือร้อยละ 64.76 ของประชาชนที่มายื่นความจำนง มูลหนี้ที่ได้รับการดูแลแล้ว 52,301,87 ล้านบาท
โครงการระยะแรกนี้จะสิ้นสุดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2555 นี้ เพื่อเป็นการดูแลปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนอย่างต่อเนื่อง และบรรเทาความเดือดร้อนด้านการเงินให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม รัฐบาลจึงได้มีมติปรับปรุงโครงการพักหนี้ฯ ไปพร้อม ๆ กับขยายกลุ่มเป้าหมายไปสู่ประชาชนกลุ่มที่มีหนี้ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจไม่เกิน
500,000 บาท ที่มีสถานะหนี้ปกติ โดยคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ ดังนี้
1. ปรับปรุงโครงการพักหนี้เดิมที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนที่เข้าใช้สิทธิโครงการนี้มีความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพในการชำระหนี้ โดยกำหนดให้
1.1 สถาบันการเงินเฉพาะกิจต้องเข้าดูแลประชาชนที่เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ให้ได้รับการฟื้นฟูศักยภาพจนสามารถเริ่มชำระหนี้คืนตามแผนชำระหนี้ใหม่ได้หลังจาก 12 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดการฟื้นฟูลูกหนี้แต่ละราย ลูกหนี้ที่ยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดจะยังได้รับสิทธิจากโครงการเช่นเดิม
1.2 ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ได้รับการชดเชยต้นทุนเงินจากรัฐบาล นำเงินชดเชยไปขยายวงเงินสินเชื่อใหม่สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
2. ให้รางวัลประชาชนที่เป็นลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกติ ที่มีหนี้ไม่เกิน 500,000 บาท ก่อนวันที่ 24 เมษายน 2555 ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยต้องไม่เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ/ลิสซิ่ง สินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ และไม่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับการลดอัตราดอกเบี้ยหรือได้รับอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษตามข้อตกลงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งการขยายกลุ่มเป้าหมายสู่ลูกหนี้สถานะหนี้ปกตินี้คาดว่าจะมีประชาชนที่เป็นเกษตรกรรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์จากโครงการพักหนี้ฯ เพิ่มอีก 3,758,226 ราย/บัญชี คิดเป็นมูลหนี้คงค้าง 459,113.05 ล้านบาท
ประชาชนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ ดังกล่าว สามารถสมัครใจเข้าใช้สิทธิตามโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท ดังนี้
(1) เลือกพักเงินต้นและ ลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรือ ลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยไม่พักเงินต้น เป็นระยะเวลา 3 ปี (ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2555
ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2558)
(2) มีสิทธิขอกู้เพิ่มใหม่ได้ตามความสามารถในการชำระหนี้ ในอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ณ วันที่ได้รับอนุมัติการกู้เพิ่ม
(3) ลูกหนี้ต้องไม่ผิดนัดชำระหนี้หลังเข้าโครงการฯ
นอกจากนี้ สำหรับประชาชนที่เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ตามโครงการระยะแรก (ช่วยเหลือประชาชนที่มีปัญหาการชำระหนี้) สามารถขอเปลี่ยนเข้าร่วมโครงการพักหนี้ใหม่สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกตินี้ได้ โดยแสดงความจำนงกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อแสดงเจตนาเปลี่ยนสถานะหนี้ให้เป็นสถานะหนี้ปกติก่อนเข้าร่วมโครงการฯ
ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าผลจากโครงการพักหนี้ฯ ที่เสนอในครั้งนี้ จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 0.4 - 0.7 ต่อปี หรือ 44,000 – 77,000 ล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม จะมีการดูแลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการพักหนี้ฯ อย่างรอบคอบไม่ว่าจะเป็น
1) การขาดวินัยทางการเงินของลูกหนี้ โดยกำหนดให้ภายหลังจากลูกหนี้เข้าโครงการแล้ว หากมีการผิดนัดชำระหนี้ตามเงื่อนไขใหม่ ลูกหนี้จะต้องออกจากโครงการทันที
2) กระทรวงการคลังจะแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่แนะนำและติดตามดูแลการใช้เงินของลูกหนี้ที่ประหยัดได้จากการเข้าโครงการครั้งนี้
3) การบรรเทาและช่วยเหลือผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ กระทรวงการคลังจะชดเชยรายได้ดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี และจัดหาแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำและแหล่งเงินเพิ่มทุน เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดจากการดำเนินการ รวมถึงแยกบันทึกบัญชีการดำเนินงานตามโครงการนี้ออกจากการดำเนินงานปกติ (Public Service Account : PSA) เพื่อประเมินผลกระทบอย่างโปร่งใสต่อไปประชาชนที่มีสิทธิและสนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถแสดงความจำนงขอเข้าร่วมโครงการระหว่างวันที่ 2 พฤษภาคม 2555
จน ถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2555 ณ สถาบันการเงินเฉพาะกิจสาขาที่ท่านเป็นลูกค้า
โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการ หรือติดต่อตามหมายเลขโทรศัพท์ ดังนี้สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร.
02 273 9020 ต่อ 3697 / 3212
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555
ธนาคารออมสิน โทร. 1115
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 1357
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 1302
ที่มา.กรุงเทพธรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555
สึนามิ การเมือง !!?
สึนามิการเมือง
รู้เรื่องนี้เข้า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสเคือง
เพราะจุดประเด็น เรื่องอาฟเตอร์ช็อค ว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ และ สร้างความปรองดองเพื่อคนเพียงคนเดียว จะเกิดปัญหาบานใหญ่
แต่ สึนามิที่เกิด เมื่อ “มังกรพันปี” บรรหาร ศิลปอาชา สร้างความเซอร์ไพร์ซ
ให้ สส. พรรคชาติไทยพัฒนา อพยพโยกย้าย เข้าไปเป็นสมาชิก “พรรคเพื่อไทย” สร้างภูมิคุ้มกันให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เต็มที่
เจอแผนนี้เข้าไปบอกตรง ๆ ...ไอ้พวกฉลาดแกมโกง?..ที่ใช้อำนาจนอกระบบเพื่อแหกโค้ง เป็นนายกฯ ก็เป็นหมันไปนะซี่
++++++++++++++++++++++
เดินทางหลังผู้ใหญ่ไม่กัด
ใครที่ตามเห่าตามหอน ชักเล่นงาน “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ถนัด
นอกจากเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่งกายชุดประจำชาติ เกาหลี จีน ได้เนี๊ยบนิ้ง จนใครสรรเสริญ
หันมาแต่งชุด “พระราชทาน” ตามต้นฉบับ “ซูเปอร์ป๋า” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ รัฐบุรุษ ก็งามสง่าไม่ขัดเขิน
ต้องถือว่า “นายกฯปู” เป็นศิษย์ครูรักพักจำ ที่ถอดไอดอลมาจาก “ซุปเปอร์ป๋า” ที่พูดน้อย แต่ทำงาน มีประสิทธิภาพเต็มร้อย
“ป๋าเปรม” อยู่เป็นนายกฯ ๘ปีสบาย... “นายกฯปู”เดินตามสไตล์?..คงอยู่ได้ ๘ปี เป็นอย่างน้อย
++++++++++++++++++++++
เข้าขากันเป็นอย่างยิ่ง
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา จ่าฝูงทัพบก กับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกฯรัฐมนตรีหญิง
ผิดกับ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แต่งตั้งมาจากค่ายทหาร
ดูเหมือนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่จริงแล้วขัดกัน
แต่กับ “นายกฯปู” กับ “บิ๊กตู่” แล้ว ร่วมทำงานผสมประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนพยัคฆ์ติดปีกบิน
ทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดี.... “นายกฯปู”คนนี้...บทบาททำท่าว่าจะเหนือ “ทักษิณ”
++++++++++++++++++++++
เสพภาพโป๊
ตอนแรกใส่กันเต็มเกย์ ออกอาการเดือดขั้นโมโห
“กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” ต้นตำหรับไทยเข้มแข็ง แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เกรี้ยวกราดด่าแบบจิกกบาล ว่า “สุดเซ็งกับตัวแทนประชาชน”
ขั้นภาพที่โพสต์จับได้จะจะ ว่าเป็น “สส.ณัฎฐ์ บรรทัดฐาน” คนพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นลูกหัวแก้วหัวแหวน “พ่อบัญญัติ บรรทัดฐาน” ก็รูดซิปปาก กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง ช่วยพวกตนไปอีกหน
อย่างไรก็ดี, อย่าเอาโทษทางสภาประหารอนาคต “สส.ณัฐ” ผู้แทนสมัยแรกป้ายแดงให้ดับ
บางคนสร้างวีรกรรมปี้ป่น...ออกคำสั่งฆ่าประชาชน?...ยังหน้าด้านหน้าทน อยู่ได้เหมือนเดิมขอรับ
+++++++++++++++++++++
คนทั้งโลกมองอนาคต
“ประชาธิปัตย์” ย่ำอยู่กับที่ ถูกคนก้าวข้าม ไปเสียทั้งหมด
ขณะที่ประเทศอังกฤษ จัดระบบ “การเดินรถทางอากาศ” เหมือนเครื่องบิน ที่มีเพดานบิน เพื่อจะไม่ได้ชน กันวินาศ
ประเทศฮอลแลนด์ ผลิตรถที่เดินกลางอากาศได้แล้วเป็นคันแรก..ทุกชาติต่างทึ่งในความสามารถ
แต่ “ประชาธิปัตย์” ของ “เดอะมาร์ก” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเครียดแค้น เจ็บช้ำใจฝังหุ่น อยู่กับ “ทักษิณ ชินวัตร” หยิบมาเป็นประเด็น ทำให้ชาติร้าวลึก
ใจเปิดกว้างชาติก็ไปลิ่ว...หากแม้ใจปลาซิว...เล่นแต่เรื่องขี้ประติ๋ว คนเขาก็เสียความรู้สึก
ที่มา:คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
รู้เรื่องนี้เข้า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสเคือง
เพราะจุดประเด็น เรื่องอาฟเตอร์ช็อค ว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ และ สร้างความปรองดองเพื่อคนเพียงคนเดียว จะเกิดปัญหาบานใหญ่
แต่ สึนามิที่เกิด เมื่อ “มังกรพันปี” บรรหาร ศิลปอาชา สร้างความเซอร์ไพร์ซ
ให้ สส. พรรคชาติไทยพัฒนา อพยพโยกย้าย เข้าไปเป็นสมาชิก “พรรคเพื่อไทย” สร้างภูมิคุ้มกันให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เต็มที่
เจอแผนนี้เข้าไปบอกตรง ๆ ...ไอ้พวกฉลาดแกมโกง?..ที่ใช้อำนาจนอกระบบเพื่อแหกโค้ง เป็นนายกฯ ก็เป็นหมันไปนะซี่
++++++++++++++++++++++
เดินทางหลังผู้ใหญ่ไม่กัด
ใครที่ตามเห่าตามหอน ชักเล่นงาน “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ถนัด
นอกจากเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่งกายชุดประจำชาติ เกาหลี จีน ได้เนี๊ยบนิ้ง จนใครสรรเสริญ
หันมาแต่งชุด “พระราชทาน” ตามต้นฉบับ “ซูเปอร์ป๋า” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ รัฐบุรุษ ก็งามสง่าไม่ขัดเขิน
ต้องถือว่า “นายกฯปู” เป็นศิษย์ครูรักพักจำ ที่ถอดไอดอลมาจาก “ซุปเปอร์ป๋า” ที่พูดน้อย แต่ทำงาน มีประสิทธิภาพเต็มร้อย
“ป๋าเปรม” อยู่เป็นนายกฯ ๘ปีสบาย... “นายกฯปู”เดินตามสไตล์?..คงอยู่ได้ ๘ปี เป็นอย่างน้อย
++++++++++++++++++++++
เข้าขากันเป็นอย่างยิ่ง
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา จ่าฝูงทัพบก กับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกฯรัฐมนตรีหญิง
ผิดกับ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แต่งตั้งมาจากค่ายทหาร
ดูเหมือนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่จริงแล้วขัดกัน
แต่กับ “นายกฯปู” กับ “บิ๊กตู่” แล้ว ร่วมทำงานผสมประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนพยัคฆ์ติดปีกบิน
ทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดี.... “นายกฯปู”คนนี้...บทบาททำท่าว่าจะเหนือ “ทักษิณ”
++++++++++++++++++++++
เสพภาพโป๊
ตอนแรกใส่กันเต็มเกย์ ออกอาการเดือดขั้นโมโห
“กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” ต้นตำหรับไทยเข้มแข็ง แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เกรี้ยวกราดด่าแบบจิกกบาล ว่า “สุดเซ็งกับตัวแทนประชาชน”
ขั้นภาพที่โพสต์จับได้จะจะ ว่าเป็น “สส.ณัฎฐ์ บรรทัดฐาน” คนพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นลูกหัวแก้วหัวแหวน “พ่อบัญญัติ บรรทัดฐาน” ก็รูดซิปปาก กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง ช่วยพวกตนไปอีกหน
อย่างไรก็ดี, อย่าเอาโทษทางสภาประหารอนาคต “สส.ณัฐ” ผู้แทนสมัยแรกป้ายแดงให้ดับ
บางคนสร้างวีรกรรมปี้ป่น...ออกคำสั่งฆ่าประชาชน?...ยังหน้าด้านหน้าทน อยู่ได้เหมือนเดิมขอรับ
+++++++++++++++++++++
คนทั้งโลกมองอนาคต
“ประชาธิปัตย์” ย่ำอยู่กับที่ ถูกคนก้าวข้าม ไปเสียทั้งหมด
ขณะที่ประเทศอังกฤษ จัดระบบ “การเดินรถทางอากาศ” เหมือนเครื่องบิน ที่มีเพดานบิน เพื่อจะไม่ได้ชน กันวินาศ
ประเทศฮอลแลนด์ ผลิตรถที่เดินกลางอากาศได้แล้วเป็นคันแรก..ทุกชาติต่างทึ่งในความสามารถ
แต่ “ประชาธิปัตย์” ของ “เดอะมาร์ก” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเครียดแค้น เจ็บช้ำใจฝังหุ่น อยู่กับ “ทักษิณ ชินวัตร” หยิบมาเป็นประเด็น ทำให้ชาติร้าวลึก
ใจเปิดกว้างชาติก็ไปลิ่ว...หากแม้ใจปลาซิว...เล่นแต่เรื่องขี้ประติ๋ว คนเขาก็เสียความรู้สึก
ที่มา:คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ทักษิณ.ตะเพิด สุเมธ พ้นพรรค ขู่ ใครอย่าทำอีก !!?
"พ.ต.ท.ทักษิณ"ตะเพิด"สุเมธ" ชี้ ทำให้พรรคเสียหาย ดูถูกประชาชน ยัน ไม่ต้องอ้างว่ารัฐบาลขาลง
รายงานว่าในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินเข้ามายังโทรศัพท์ของนายสาโรช หงษ์ชูเวช คนใกล้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณ โดยช่วงหนึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ไม่ต้องตกใจผลเลือกตั้งปทุมธานี อย่าเป็นส.ส.ที่ขี้ตกใจ ประชาชนเลือกแบบนี้เพราะเขาลงโทษ ไม่พอใจส.ส. เป็นรายบุคคล ที่ไปดูถูกเขา เลือกไปเป็นส.ส.ไม่นานก็ลาออกไปสมัครนายกฯอบจ. ทั้งที่พรรคไม่เห็นด้วยแต่แรกและได้ทัดทานไว้แล้วก็ยังไม่เชื่อ แต่ในพื้นที่อื่นอย่าให้เกิดแบบนี้
“ไอ้คนนี้คราวหน้าไปหาที่อื่นอยู่ พรรคไม่รับแล้ว ทำให้พรรคเสียหาย จะทำอะไร ขอให้ทุกคนคิดถึงพรรค เบื้องต้นคิดถึงชาติก่อน แล้วมาพรรค แล้วค่อยคิดถึงตัวเอง อย่าเอาตัวเองนำหน้า ถ้าคิดจะเป็นนักการเมืองที่ดี คนนี้พรรคไม่ส่งต่อแล้ว ไปหาที่อื่นอยู่ ผลเลือกตั้งอบจ.ปทุมธานี เพราะเขาดูถูกประชาชน ทำให้ประชาชนผิดหวัง ไม่ต้องมาอ้างว่ารัฐบาลขาลง” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
"ส่วนปัญหาเลือกตั้งท้องถิ่นที่อื่น อย่างเชียงราย ใครก็ตามที่พรรคเตือนแล้ว ไม่สนับสนุนให้ลง แล้วไปแข่งกัน ไปตัดคะแนนกันเอง พรรคก็อย่าไปสนับสนุน" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ให้ ส.ส. ชี้เป้าใครมีปัญหาเรื่องจำนำข้าว
จากนั้นได้มีส.ส.ลุกขึ้นถามปัญหาการจำนำราคาข้าวตกต่ำว่าจะทำอย่างไรเพราะธกส. และ เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ไม่ใช่คนของเรา พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบกลับว่า อย่าบ่นไปเรื่อยเปื่อย ให้ชี้จุดปัญหามาเลยว่าอยู่ที่ไหน ผู้บริหารธกส.คนไหน หรือปัญหาที่กำนันคนไหนที่มีปัญหา ให้แจ้งมาเลย จากนั้นพรรคจะตั้ง นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ให้เข้าไปรวบรวมปัญหาทุกพื้นที่ เราอย่าไปฟังคนเสียประโยชน์มาบ่น แล้วมาบั่นทอนนโยบาย ทำให้โดยรวมเสียหาย ส่วนเรื่องปัญหามันสำปะหลัง มันมีปัญหาแต่แรกอยู่แล้ว เราเข้ามา โรงงานประท้วงไม่ให้ความร่วมมือ แต่ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ไปเจรจากับจีน จะขอให้เขาแปรรูปมาทำเป็นเอทานอล อีกไม่กี่วันราคาจะขึ้นแล้ว
กำชับ ส.ส.เข้าร่วมประชุม ชี้ ใครไม่มารู้
ทั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้กล่าวขอบคุณส.ส. ในพรรคที่ร่วมต่อสู้แก้รัฐธรรมนูญ และทำเรื่องปรองดอง การปรองดองเป็นเรื่องสำคัญเป็นการเปลี่ยนประเทศ ให้น่าเชื่อถือ ให้ประเทศเดินไปข้างหน้า มีประชาธิปไตย เราจะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้ไม่ได้ เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม สร้างประเทศให้มีประชาธิปไตย ปรองดอง เป็นเกมวัดใจ ใครดำน้ำอึดกว่าก็จะชนะขอให้เข้าประชุมกันอดทนหน่อย “ผมเช็คชื่อตลอด ใครไม่มาประชุมผมรู้นะ”พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รายงานว่าในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินเข้ามายังโทรศัพท์ของนายสาโรช หงษ์ชูเวช คนใกล้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณ โดยช่วงหนึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ไม่ต้องตกใจผลเลือกตั้งปทุมธานี อย่าเป็นส.ส.ที่ขี้ตกใจ ประชาชนเลือกแบบนี้เพราะเขาลงโทษ ไม่พอใจส.ส. เป็นรายบุคคล ที่ไปดูถูกเขา เลือกไปเป็นส.ส.ไม่นานก็ลาออกไปสมัครนายกฯอบจ. ทั้งที่พรรคไม่เห็นด้วยแต่แรกและได้ทัดทานไว้แล้วก็ยังไม่เชื่อ แต่ในพื้นที่อื่นอย่าให้เกิดแบบนี้
“ไอ้คนนี้คราวหน้าไปหาที่อื่นอยู่ พรรคไม่รับแล้ว ทำให้พรรคเสียหาย จะทำอะไร ขอให้ทุกคนคิดถึงพรรค เบื้องต้นคิดถึงชาติก่อน แล้วมาพรรค แล้วค่อยคิดถึงตัวเอง อย่าเอาตัวเองนำหน้า ถ้าคิดจะเป็นนักการเมืองที่ดี คนนี้พรรคไม่ส่งต่อแล้ว ไปหาที่อื่นอยู่ ผลเลือกตั้งอบจ.ปทุมธานี เพราะเขาดูถูกประชาชน ทำให้ประชาชนผิดหวัง ไม่ต้องมาอ้างว่ารัฐบาลขาลง” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
"ส่วนปัญหาเลือกตั้งท้องถิ่นที่อื่น อย่างเชียงราย ใครก็ตามที่พรรคเตือนแล้ว ไม่สนับสนุนให้ลง แล้วไปแข่งกัน ไปตัดคะแนนกันเอง พรรคก็อย่าไปสนับสนุน" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ให้ ส.ส. ชี้เป้าใครมีปัญหาเรื่องจำนำข้าว
จากนั้นได้มีส.ส.ลุกขึ้นถามปัญหาการจำนำราคาข้าวตกต่ำว่าจะทำอย่างไรเพราะธกส. และ เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ไม่ใช่คนของเรา พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบกลับว่า อย่าบ่นไปเรื่อยเปื่อย ให้ชี้จุดปัญหามาเลยว่าอยู่ที่ไหน ผู้บริหารธกส.คนไหน หรือปัญหาที่กำนันคนไหนที่มีปัญหา ให้แจ้งมาเลย จากนั้นพรรคจะตั้ง นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ให้เข้าไปรวบรวมปัญหาทุกพื้นที่ เราอย่าไปฟังคนเสียประโยชน์มาบ่น แล้วมาบั่นทอนนโยบาย ทำให้โดยรวมเสียหาย ส่วนเรื่องปัญหามันสำปะหลัง มันมีปัญหาแต่แรกอยู่แล้ว เราเข้ามา โรงงานประท้วงไม่ให้ความร่วมมือ แต่ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ไปเจรจากับจีน จะขอให้เขาแปรรูปมาทำเป็นเอทานอล อีกไม่กี่วันราคาจะขึ้นแล้ว
กำชับ ส.ส.เข้าร่วมประชุม ชี้ ใครไม่มารู้
ทั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้กล่าวขอบคุณส.ส. ในพรรคที่ร่วมต่อสู้แก้รัฐธรรมนูญ และทำเรื่องปรองดอง การปรองดองเป็นเรื่องสำคัญเป็นการเปลี่ยนประเทศ ให้น่าเชื่อถือ ให้ประเทศเดินไปข้างหน้า มีประชาธิปไตย เราจะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้ไม่ได้ เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม สร้างประเทศให้มีประชาธิปไตย ปรองดอง เป็นเกมวัดใจ ใครดำน้ำอึดกว่าก็จะชนะขอให้เข้าประชุมกันอดทนหน่อย “ผมเช็คชื่อตลอด ใครไม่มาประชุมผมรู้นะ”พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555
Let it Beช่างแมลงสาบเถอะ !!?
ช่วงสงกรานต์หยุดยาว การเมืองไทยไม่อาจปฏิเสธได้ว่าศูนย์
กลางไปรวมอยู่ที่การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ลาวและกัมพูชา
ทั้งยังถือเป็น “ปรากฏการณ์” ที่สะท้อนถึงบารมีและอิทธิพลของ
พ.ต.ท.ทักษิณในทางการเมืองอย่างชัดเจน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มอำมาตย์
และบรรดาสลิ่มต้องคิดหนักหากจะกำจัด พ.ต.ท. ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง
ซึ่งก่อนสงกรานต์ก็มีกระแสข่าวการวางแผนลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นข่าวจริง ข่าวปล่อย หรือข่าวลวงก็ตาม
ล้วนแสดงให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยังเกรงกลัวบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างชัดเจน
แม้แต่การปรากฏตัวผ่านสไกป์ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ
โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาคัดค้านทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการพยายามสร้างความปรองดอง เพราะกลัวแค่คนคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับบ้าน อย่างตัวเป็นๆ ไม่ใช่ “ผี” หรือ “ปิศาจ” อย่างที่พยายาม ปลุกระดมให้คนเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณกว่า 5 ปีที่ผ่านมา
จนมีการตั้งคำถามว่า “ศูนย์กลางของวิกฤตการเมือง” คือ พ.ต.ท.ทักษิณ กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ตั้งโจทย์จับเข่าคุยกัน?
ความรักและศรัทธา
นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ @oak_ptt เมื่อวันที่ 16 เมษายนหลังกลับจากเสียมเรียบ โดยกล่าวขอบคุณคนเสื้อแดงที่เดินทางไปร่วมงานรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณที่กัมพูชา ซึ่งนอกจากมีความสุขตามประสาลูกที่ได้เจอพ่อแล้ว ยังประทับใจอย่างยิ่งกับพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่หลั่ง ไหลเข้าไปในกัมพูชาเพื่อร่วมรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณ
“ทราบจากทาง ตม.กัมพูชาว่าเฉพาะผู้ที่ข้ามพรมแดนและแจ้งว่าไปร่วมงานรดน้ำดำหัวที่เสียมเรียบนั้นมีมากถึง 38,000 กว่าคน นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีการเปิดด่านเลยครับ ถ้างานนี้จัดที่เมืองไทยในขณะที่คุณพ่อผมมีตำแหน่งทางการเมือง คนมาร่วมงานเยอะขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่เกือบ 6 ปีแล้วที่คุณพ่อถูกปฏิวัติและต้องพ้นจากตำแหน่ง พ่อแม่พี่น้องก็ยังให้ความรักและศรัทธาในตัวคุณพ่อผมอยู่ ยังให้ความเมตตาอย่างไม่เสื่อมคลาย ผมต้องขอกราบขอบพระคุณจากใจจริงครับ”
นายพานทองแท้เขียนอีกว่า “ภาพที่ผมเห็น เสียม เรียบเต็มไปด้วยพี่น้องคนไทยกว่าครึ่งแสน เป็นการยืนยันความเชื่ออันนี้ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมและครอบครัวมีแรงและกำลังใจในการยืนต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและเพื่อปากท้องของพี่น้องประชาชนไปได้อีกนาน ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองนะครับ แต่ในรูปแบบใดๆก็ตามที่สามารถช่วยพี่น้องเป็นการตอบแทนได้ มีพี่น้องหลายท่านก่อนกลับได้ยืนยันกับผมว่าไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็จะขอมาร่วมงานอีกทุกๆปี ก็อยากจะบอกว่าครอบครัวผมยินดีและซึ้งใจในไมตรีจิตของทุกๆท่าน แต่อยากจะขอภาวนาให้สงกรานต์หน้าจัดที่ประเทศไทยได้ไหม เพราะผมคิดถึงคุณพ่อ
สงครามจิตวิทยา
“เราถือว่าเป็นปีมหามงคลที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา ซึ่งถือว่าเป็นรอบที่สำคัญ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา จึงรู้สึกว่าเป็นปีที่ดี ก็น่าจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้น ไม่ได้มีความหมายเชื่อมโยง เราเป็นคนพุทธก็พยายามคิดในสิ่งที่เป็นมงคล”
คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่พูดกับคนเสื้อแดงและสื่อนับร้อยที่ไปทำข่าว โดยอ้างเป็นปีมหามงคลว่ามีความหวังจะได้กลับบ้านในปีนี้ จึงเหมือนเป็นการทำสงครามจิตวิทยาให้พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอำมาตย์ยิ่งเก็บกดและจินตนาการไปต่างๆนานา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณออกตัวว่าถ้ากลับปีนี้ไม่ได้ก็อาจกลับหลังปี 2556 อย่างที่โหราจารย์หลายสำนักทำนาย
ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ปล่อยโอกาสที่จะดึงสถา บันเบื้องสูงที่เป็น “จุดอ่อน” ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาโจม ตีทันทีว่าเป็นการกระทำที่มิบังควร เพราะเหมือนเป็น การกดดันสถาบัน และยังพาดพิงถึงสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ถ้ามีกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีกระบวนการที่เป็นสากลยุติธรรม ใครก็รับได้และไม่กลัวอยู่แล้วถ้าไม่ได้ทำผิด นี่บังเอิญว่าเราเป็นภาคียูเอ็น (สหประชาชาติ) ที่ว่าไม่รับศาลเดียว แต่เราก็ตั้งศาลเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศอยู่แล้ว”
เกมของ “ทักษิณ”
การพูดถึงสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรม ก็ไม่ต่างกับเรื่องสถาบัน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีว่าจะเกิดปฏิกิริยาอย่างไรตามมา แต่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการเล่นเกมนี้เองมากกว่า เหมือนการเดินทางไปพบผู้นำประ เทศและนักธุรกิจระดับสูงในประเทศต่างๆ การให้สัมภาษณ์อะไร หรือแม้แต่ทำธุรกิจ ฝ่ายตรงข้ามจึงได้แต่จินตนาการด้วยความหวาดระแวงและวิตกจริต แล้วนำมายึดโยงกับการเมืองเกือบทุกเรื่อง ทั้งที่บางครั้งแทบไม่มีข้อมูลเลยก็ตาม
พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ใช่ “ศูนย์กลางของปัญหา” แต่ เป็น “ศูนย์กลางของการเมือง” ตั้งแต่ปรากฏการณ์สนธิ (ลิ้มทองกุล) ที่รับหน้าเสื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อปลาย ปี 2548 และลงทุนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพียง เพื่อกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณและระบอบทักษิณให้สิ้นซาก
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำให้ยังต้องเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนเร่ร่อนไปมาเหมือนเจ้าไม่มีศาล ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องปลดล็อกโทษจำคุก 2 ปีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ได้ว่าไม่ชอบธรรมและไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมตามหลักสากล แม้จะไม่ได้ทรัพย์สินจำนวน 46,000 ล้านบาทคืนก็ตาม
ส่วนอีก 4 คดีที่รอการพิจารณาในศาลนั้น ฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อว่าแทบเอาผิด พ.ต.ท. ทักษิณไม่ได้เลย
นิรโทษกรรม-ปรองดอง
พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ยอมรับว่าเป็นนักโทษหลบหนีคุกและหมายจับ แต่พร้อมจะกลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการออกกฎหมายเพื่อล้มล้างผลพวงรัฐประหารทั้งหมดที่จะมีผลให้ทุกคดีของคณะกรรมการตรวจสอบการกระ ทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโมฆะ แต่ไม่ใช่การนิรโทษกรรมหรือ พ.ร.บ.ปรองดองที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามสร้างกระแสให้เป็นเรื่องเดียวกัน เหมือนพยายามบิดเบือน กรณี “ไอ้โม่งชุดดำ” ให้เป็น “แพะ” เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถาน การณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ให้การฆ่าประชาชนเกือบร้อยและบาดเจ็บพิการเป็นความชอบธรรม ที่
วันนี้ “คนสั่งยังลอยหน้า และคนฆ่าก็ยังลอยนวล”
ปัญหาการปรองดองจึงไม่ได้อยู่ที่การนิรโทษกรรม ให้ “ฆาตกร” หรือคนผิด แต่ต้องค้นหา “ความจริง” ให้ได้ก่อนนิรโทษกรรม เพื่อสร้างความปรองดองและให้สังคมนำไปเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดหายนะกับบ้านเมืองอีก แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ค้านหัวชนฝา แม้กระทั่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่หลายประเด็นขัดกับหลักนิติรัฐและทำลายการเมืองตามระบอบประชา ธิปไตยเยี่ยงอารยประเทศ
ประชาธิปัตย์ด่าไปเสี้ยมไป
อย่างล่าสุดที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีพรรคเพื่อไทยเดินหน้าสร้างความปรองดองว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใครทั้งพรรคเพื่อไทยหรือ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมท้าให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินหน้าต่อไปหากมั่นใจว่าสิ่งที่ทำถูกต้องและไม่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งสถานะของประเทศไทยวันนี้มีหลายวิบัติคือ
1.มนุษย์วิบัติ ไม่เคารพต่อคำพิพากษา ถ้าประชาธิปัตย์ไม่ดำเนินการใดๆเพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบนิติรัฐ นิติธรรมแล้ว คำว่า “ช่างแม่มัน” อาจจะเกิดขึ้นจริง
2.ตรรกะวิบัติ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณร้องเพลง Let it Be สะท้อนให้เห็นถึงความอำมหิตในใจ เพราะให้สัมภาษณ์ที่ลาวว่ามารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด ต้องยอมรับการนิรโทษกรรมและเสียสละในฐานะเป็นคนส่วนน้อยเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเล่นสงกรานต์ในประเทศไทยปีหน้า
3.นิติรัฐวิบัติ การจ้องล้มล้างกระบวนการต่างๆที่ตัดสินความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ
4.ประชาธิปไตยวิบัติ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยอ้าง 15 ล้านเสียง เหมือนกับว่าประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยเพื่อให้นำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน
ไม่ต่างกับนายอภิสิทธิ์ที่อภิปรายถึงการสร้างความปรองดองก่อนหน้านี้ว่าติดขัดเรื่องการนิรโทษกรรมและคดีของ คตส. จึงจำเป็นต้องตอบโจทย์ พ.ต.ท. ทักษิณให้ได้ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะปั่นป่วนต่อไป ประ เด็นสำคัญอยู่ที่หลักของบ้านเมืองจะเสียหรือไม่ ส่วนที่มีการสร้างวาทกรรมว่าถ้าไม่ปรองดองกับผู้ก่อการร้ายก็จะไม่ปรองดองกับฆาตกรนั้น อยากให้ระวัง เพราะทั้งผู้ก่อการร้ายและฆาตกรเป็นคนเดียวกัน ทั้งท้าให้นิรโทษกรรมทุกคน ยกเว้นคน 3 คนคือ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยพร้อมจะรับผิดชอบต่อประชาชนและประเทศ
“ผมต่อให้ 2 ต่อ 1 ผมกับคุณสุเทพ 2 คน ไม่รับการนิรโทษกรรม แลกกับคุณทักษิณไม่นิรโทษกรรมคนเดียว ที่เหลือนิรโทษให้หมด อย่างนี้ประชาชนไม่ต้องเดือดร้อน และคุณทักษิณกลับมาสู้คดีเลย วันนี้อย่าลากสภาไปรองรับการตอบโจทย์ของใคร ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาของบ้านเมืองอย่างแท้จริง อย่าทำให้คำว่าปรองดองถูกปล้น และอย่าให้นายปรองดองถูกลักพาตัวแล้วไปเอาเสื้อนิรโทษกรรมมาคลุมใส่ พวกผมไม่ได้เรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนหากกระบวนการนั้นจะทำให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริง” นายอภิสิทธิ์กล่าว
แต่อาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการกลับบ้านแบบเท่ๆของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นการอาศัยการเจรจาใน พ.ร.บ.ปรองดองที่ดำเนินการกันอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางกลับมาได้โดยที่ไม่ต้องถูกจับหรือชดใช้โทษที่ถูกตัดสินไป ส่วนกรณีนายอภิสิทธิ์ท้าให้นิรโทษกรรมทุกคน ยกเว้นตัวเองกับนายสุเทพและ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.กรณี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคดีที่สิ้นสุดแล้ว จะให้นิรโทษกรรมไม่ได้ ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย และ 2.กรณีของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นปัญหาที่มาจากการสลายการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ต้องมีการฟ้องร้องต่อไป จะเอามาแลกกันไม่ได้ เพราะเป็นวาระที่ต่างกัน แต่นายอภิสิทธิ์พูดจนเกิดความสับสนไปหมด ซึ่งทั้ง 2 กรณีมีความเสียหายที่ต่างกัน ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณคนที่เสียหายคือรัฐ ส่วนฝ่ายนายอภิสิทธิ์คนที่เสียหายคือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสียญาติหรือครอบครัว ซึ่งต้องถามประชาชนส่วนใหญ่ว่าจะยอมแลกด้วยมั้ย
เพื่อไทยเดินหน้าการปรองดอง
ด้านพรรคเพื่อไทย นายเสนาะ เทียนทอง ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมว่า คงทำในนามพรรค ไม่ใช่ในนามรัฐบาล และจะทำแน่นอน เพราะ บรรยากาศปรองดองทั่วไปดีหมดแล้ว กองทัพกับรัฐบาล ก็ดี แนวทางคงยึดรูปแบบของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาการสร้างความปรองดองฯของสภาผู้แทนราษฎร หากมีการนิรโทษกรรมคงไม่มีปัญหาแรงต่อต้านอะไร ไม่เห็นใครมีปัญหาอะไร เหลือแค่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ปรองดองก็ “ช่างศีรษะมัน” ไม่ต้องไปสนใจ
นายเสนาะเสนอให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เรียกร้องที่จะเอาเงิน 46,000 ล้านบาทคืนด้วย โดยให้คิดว่าเป็นการบริจาคเพื่อการกุศล พ.ต.ท.ทักษิณจึงจะกลับมาหลังออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ส่วนนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าจะกลับประเทศในปีนี้ว่า เข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดในบริบทของคนที่คิดถึงบ้านมากจึงอยากกลับประเทศให้เร็วที่สุด เรื่องการปรองดองเป็นเรื่องของนักการเมือง เป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะทำหน้าที่ออกกฎหมายปรองดอง ซึ่งเหลือเวลาอีก 8 เดือนจะสิ้นปี จึงไม่ถือว่าเร่งรัดอะไร
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้จะนำเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งอาจผ่านทางนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่จัดทำร่วมกับความคิดเห็นต่างๆออกมาเป็นข้อเสนอแนะ แล้ว ครม. จะนำมาพิจารณาว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง เชื่อว่าภายใน 3-4 เดือนน่าจะออกมาเป็นกฎหมายได้ เพราะเห็นว่าไม่มีอะไรติดขัด
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ไม่ได้รอ พ.ร.บ. หรือกฎหมายฉบับไหนเป็นพิเศษ หวังแต่เพียงการหาทาง ออกจากวิกฤตนี้ให้ได้ และไม่ควรมีใครหากำไรกับความขัดแย้งนี้ โดยเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องการความปรองดองเพื่อให้ทุกคนในประเทศได้ประโยชน์ ส่วนใครจะได้รับผลพลอยได้และได้รับความยุติธรรมเป็นเรื่องรอง
ให้อภัยไม่ใช่ให้ลืม
แต่นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ศาสตราจารย์ประ จำภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้ศึกษาและคลอดตำราแนวทางสันติวิธีและความสมานฉันท์ มองเส้นทางสู่ความปรองดองท่ามกลางกองไฟความขัดแย้งว่า คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) เคยให้หลักการไว้ว่า 1.ต้องหาความจริงให้ชัด แต่เปิดเผยหรือไม่นั้นมีคำถามได้ 2.พอมีความจริงแล้วต้องนำไปสู่ความยุติธรรม และ 3.มีสิ่งที่เรียกว่าความพร้อมรับผิด แปลว่าถ้าคุณเป็นคนทำร้ายผู้อื่น ทำผิดอะไรต้องรับความผิดนั้น แต่ความพร้อมรับผิดไม่แน่ว่าจะนำไปสู่การลงโทษ โมเดลการสมานฉันท์จึงไม่ใช่เรื่องการลงโทษ แต่ต้องให้อภัยที่ต้องมาพร้อมความรับผิด
ดังนั้น การให้อภัยไม่ได้อยู่ที่การลืม แต่เงื่อนไขการให้อภัยจะต้องจำ แต่จำแล้วให้อภัย การทำเรื่องความสมานฉันท์ เรื่องปรองดองจึงมีความเสี่ยง เช่น พอพูดความจริงแล้วทนรับได้หรือไม่ เพราะสังคมไทยน่าเกลียดน่ากลัว จะทนได้หรือไม่หากพวกที่ยิงกันในความขัดแย้งครั้งก่อนๆเป็นพวกเดียวกันเอง
ช่างแม่มัน...แมลงสาบ
ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่เวทีลานศูนย์ วัฒนธรรมเสียมเรียบ ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่มาให้กำลัง ใจหลายหมื่นคนเมื่อคืนวันที่ 14 เมษายน ซึ่งไฮไลท์ของ งาน พ.ต.ท.ทักษิณได้ร้องเพลง “Let it Be” โดยมีการแปลง เนื้อร้องบางท่อนเป็นภาษาไทยว่า “ช่างแม่มัน” ใครขวางปรองดอง ช่างแม่มัน พรรคไหนขวางแก้รัฐ ธรรมนูญ ช่างแม่มัน และจะเป็นจะตายก็ช่างแม่มัน
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังกล่าวอีกว่า ตั้งแต่ถูกปฏิวัติก็ไม่เคยหยุดคิดทำงานให้บ้านเมืองและประชา ชน กระทั่งประชาชนเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย และน้องสาวคนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นึกไม่ถึงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะทำงานได้ดีขนาดนี้ และที่ดีกว่าตนเองมากคือมุ่งมั่นทำงาน ไม่ตอบโต้ฝ่ายค้าน แตกต่างจากตนที่ซัดมาก็ซัดไป ทั้งยังให้กำลังใจน้องสาวผ่านผู้สื่อข่าวว่า so far so good อย่าตกใจทางการเมืองที่ชอบเอาเรื่องไม่จริงมาพูด ขอให้อดทนและนิ่งเข้าไว้ แต่ที่สอนนี่ตัวเองก็ทำไม่ได้ นายกฯยิ่งลักษณ์นิ่ง แต่ตนไม่นิ่ง เป็นคนสมองไวอย่างเดียวไม่พอ ปากไวด้วย
“วันนี้ต้องก้าวข้ามผมให้ได้ การเมืองก็ไปไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนสักที ก้าวข้ามผมสิ เขย่งนิดเดียวก็พ้นแล้ว มันยุติธรรมหรือไม่ ถ้ายุติธรรมแล้วจะเข้ามา ตอนนี้มันเหมือนต้นไม้ที่เป็นพิษ ต้นเหตุเกิดจากการปฏิวัติ แล้วตั้ง คตส. และกระบวนการยุติธรรม เมื่อต้นไม้เน่าทั้งต้นก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ไม่กลัว เอาเลย ยินดี”
ดังนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาว นานมากว่า 5 ปี จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการปลดล็อกวิกฤตของบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่ “ศูนย์กลางของปัญหา” แต่อยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ การปรองดองจึงต้องอยู่กับฝ่ายกระทำเป็นสำคัญ โดยเฉพาะ “อีแอบ” ที่อยู่เหนือกลุ่มอำมาตย์ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดและรอดพ้นจากการถูกยุบพรรคได้อย่างปาฏิหาริย์จนถูกตั้งฉายาให้เป็น “พรรคแมลงสาบ”
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์รดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเขย่าเพื่อให้ได้กลับบ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นเกมเหนือชั้นของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำให้สื่อและประชาคมโลกไม่ลืมวิกฤตการเมืองไทยที่ยังจมปลักอยู่กับการรัฐประหารและอำนาจนอกระบบ ขณะที่ประเทศต่างๆพยายามก้าวออกสู่วังวนอุบาทว์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศอาหรับ หรือแม้แต่พม่าที่ปิดประเทศมากว่าศตวรรษ
คนไทยหลายหมื่นคนทั้งที่ลาวและกัมพูชาที่ไปรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณท่ามกลางการอารักขาและให้ความ สะดวกอย่างเต็มที่ของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ขณะที่กัมพูชาขัดแย้งกับไทยในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อย่างรุนแรงถึงขั้นใช้อาวุธยิงถล่มกันเมื่อปีที่ผ่านมานั้น วันนี้กลับมีแต่รอยยิ้มและมิตรภาพ นักวิชาการจึงมองอีกแง่ว่า “ปรากฏการณ์ทักษิณ” เหมือนเป็นการเปิดประตูอาเซียนที่ประกาศให้ปี 2558 เป็นเขตการค้าเสรีอาเซียนสู่ความเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันอย่างแท้จริง
น่าแปลกใจที่ “ทักษิณ” สามารถทำตัว “เท่” เดินทางไปได้ทั่วโลก และเข้าเยี่ยมเยือนประมุขของประเทศต่างๆในประเทศอาเซียน และได้รับการต้อนรับราวกับว่าเป็นบุคคล ที่มีตำแหน่งสำคัญจากประเทศไท
จะมีก็เพียงแต่ “ราชอาณาจักรไทย” เท่านั้น...ที่ยังกลับเข้ามาอย่าง “เท่” ไม่ได้!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาคัดค้านทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการพยายามสร้างความปรองดอง เพราะกลัวแค่คนคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับบ้าน อย่างตัวเป็นๆ ไม่ใช่ “ผี” หรือ “ปิศาจ” อย่างที่พยายาม ปลุกระดมให้คนเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณกว่า 5 ปีที่ผ่านมา
จนมีการตั้งคำถามว่า “ศูนย์กลางของวิกฤตการเมือง” คือ พ.ต.ท.ทักษิณ กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ตั้งโจทย์จับเข่าคุยกัน?
ความรักและศรัทธา
นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ @oak_ptt เมื่อวันที่ 16 เมษายนหลังกลับจากเสียมเรียบ โดยกล่าวขอบคุณคนเสื้อแดงที่เดินทางไปร่วมงานรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณที่กัมพูชา ซึ่งนอกจากมีความสุขตามประสาลูกที่ได้เจอพ่อแล้ว ยังประทับใจอย่างยิ่งกับพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่หลั่ง ไหลเข้าไปในกัมพูชาเพื่อร่วมรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณ
“ทราบจากทาง ตม.กัมพูชาว่าเฉพาะผู้ที่ข้ามพรมแดนและแจ้งว่าไปร่วมงานรดน้ำดำหัวที่เสียมเรียบนั้นมีมากถึง 38,000 กว่าคน นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีการเปิดด่านเลยครับ ถ้างานนี้จัดที่เมืองไทยในขณะที่คุณพ่อผมมีตำแหน่งทางการเมือง คนมาร่วมงานเยอะขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่เกือบ 6 ปีแล้วที่คุณพ่อถูกปฏิวัติและต้องพ้นจากตำแหน่ง พ่อแม่พี่น้องก็ยังให้ความรักและศรัทธาในตัวคุณพ่อผมอยู่ ยังให้ความเมตตาอย่างไม่เสื่อมคลาย ผมต้องขอกราบขอบพระคุณจากใจจริงครับ”
นายพานทองแท้เขียนอีกว่า “ภาพที่ผมเห็น เสียม เรียบเต็มไปด้วยพี่น้องคนไทยกว่าครึ่งแสน เป็นการยืนยันความเชื่ออันนี้ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมและครอบครัวมีแรงและกำลังใจในการยืนต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและเพื่อปากท้องของพี่น้องประชาชนไปได้อีกนาน ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองนะครับ แต่ในรูปแบบใดๆก็ตามที่สามารถช่วยพี่น้องเป็นการตอบแทนได้ มีพี่น้องหลายท่านก่อนกลับได้ยืนยันกับผมว่าไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็จะขอมาร่วมงานอีกทุกๆปี ก็อยากจะบอกว่าครอบครัวผมยินดีและซึ้งใจในไมตรีจิตของทุกๆท่าน แต่อยากจะขอภาวนาให้สงกรานต์หน้าจัดที่ประเทศไทยได้ไหม เพราะผมคิดถึงคุณพ่อ
สงครามจิตวิทยา
“เราถือว่าเป็นปีมหามงคลที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา ซึ่งถือว่าเป็นรอบที่สำคัญ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา จึงรู้สึกว่าเป็นปีที่ดี ก็น่าจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้น ไม่ได้มีความหมายเชื่อมโยง เราเป็นคนพุทธก็พยายามคิดในสิ่งที่เป็นมงคล”
คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่พูดกับคนเสื้อแดงและสื่อนับร้อยที่ไปทำข่าว โดยอ้างเป็นปีมหามงคลว่ามีความหวังจะได้กลับบ้านในปีนี้ จึงเหมือนเป็นการทำสงครามจิตวิทยาให้พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอำมาตย์ยิ่งเก็บกดและจินตนาการไปต่างๆนานา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณออกตัวว่าถ้ากลับปีนี้ไม่ได้ก็อาจกลับหลังปี 2556 อย่างที่โหราจารย์หลายสำนักทำนาย
ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ปล่อยโอกาสที่จะดึงสถา บันเบื้องสูงที่เป็น “จุดอ่อน” ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาโจม ตีทันทีว่าเป็นการกระทำที่มิบังควร เพราะเหมือนเป็น การกดดันสถาบัน และยังพาดพิงถึงสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ถ้ามีกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีกระบวนการที่เป็นสากลยุติธรรม ใครก็รับได้และไม่กลัวอยู่แล้วถ้าไม่ได้ทำผิด นี่บังเอิญว่าเราเป็นภาคียูเอ็น (สหประชาชาติ) ที่ว่าไม่รับศาลเดียว แต่เราก็ตั้งศาลเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศอยู่แล้ว”
เกมของ “ทักษิณ”
การพูดถึงสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรม ก็ไม่ต่างกับเรื่องสถาบัน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีว่าจะเกิดปฏิกิริยาอย่างไรตามมา แต่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการเล่นเกมนี้เองมากกว่า เหมือนการเดินทางไปพบผู้นำประ เทศและนักธุรกิจระดับสูงในประเทศต่างๆ การให้สัมภาษณ์อะไร หรือแม้แต่ทำธุรกิจ ฝ่ายตรงข้ามจึงได้แต่จินตนาการด้วยความหวาดระแวงและวิตกจริต แล้วนำมายึดโยงกับการเมืองเกือบทุกเรื่อง ทั้งที่บางครั้งแทบไม่มีข้อมูลเลยก็ตาม
พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ใช่ “ศูนย์กลางของปัญหา” แต่ เป็น “ศูนย์กลางของการเมือง” ตั้งแต่ปรากฏการณ์สนธิ (ลิ้มทองกุล) ที่รับหน้าเสื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อปลาย ปี 2548 และลงทุนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพียง เพื่อกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณและระบอบทักษิณให้สิ้นซาก
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำให้ยังต้องเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนเร่ร่อนไปมาเหมือนเจ้าไม่มีศาล ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องปลดล็อกโทษจำคุก 2 ปีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ได้ว่าไม่ชอบธรรมและไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมตามหลักสากล แม้จะไม่ได้ทรัพย์สินจำนวน 46,000 ล้านบาทคืนก็ตาม
ส่วนอีก 4 คดีที่รอการพิจารณาในศาลนั้น ฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อว่าแทบเอาผิด พ.ต.ท. ทักษิณไม่ได้เลย
นิรโทษกรรม-ปรองดอง
พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ยอมรับว่าเป็นนักโทษหลบหนีคุกและหมายจับ แต่พร้อมจะกลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการออกกฎหมายเพื่อล้มล้างผลพวงรัฐประหารทั้งหมดที่จะมีผลให้ทุกคดีของคณะกรรมการตรวจสอบการกระ ทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโมฆะ แต่ไม่ใช่การนิรโทษกรรมหรือ พ.ร.บ.ปรองดองที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามสร้างกระแสให้เป็นเรื่องเดียวกัน เหมือนพยายามบิดเบือน กรณี “ไอ้โม่งชุดดำ” ให้เป็น “แพะ” เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถาน การณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ให้การฆ่าประชาชนเกือบร้อยและบาดเจ็บพิการเป็นความชอบธรรม ที่
วันนี้ “คนสั่งยังลอยหน้า และคนฆ่าก็ยังลอยนวล”
ปัญหาการปรองดองจึงไม่ได้อยู่ที่การนิรโทษกรรม ให้ “ฆาตกร” หรือคนผิด แต่ต้องค้นหา “ความจริง” ให้ได้ก่อนนิรโทษกรรม เพื่อสร้างความปรองดองและให้สังคมนำไปเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดหายนะกับบ้านเมืองอีก แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ค้านหัวชนฝา แม้กระทั่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่หลายประเด็นขัดกับหลักนิติรัฐและทำลายการเมืองตามระบอบประชา ธิปไตยเยี่ยงอารยประเทศ
ประชาธิปัตย์ด่าไปเสี้ยมไป
อย่างล่าสุดที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีพรรคเพื่อไทยเดินหน้าสร้างความปรองดองว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใครทั้งพรรคเพื่อไทยหรือ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมท้าให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินหน้าต่อไปหากมั่นใจว่าสิ่งที่ทำถูกต้องและไม่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งสถานะของประเทศไทยวันนี้มีหลายวิบัติคือ
1.มนุษย์วิบัติ ไม่เคารพต่อคำพิพากษา ถ้าประชาธิปัตย์ไม่ดำเนินการใดๆเพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบนิติรัฐ นิติธรรมแล้ว คำว่า “ช่างแม่มัน” อาจจะเกิดขึ้นจริง
2.ตรรกะวิบัติ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณร้องเพลง Let it Be สะท้อนให้เห็นถึงความอำมหิตในใจ เพราะให้สัมภาษณ์ที่ลาวว่ามารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด ต้องยอมรับการนิรโทษกรรมและเสียสละในฐานะเป็นคนส่วนน้อยเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเล่นสงกรานต์ในประเทศไทยปีหน้า
3.นิติรัฐวิบัติ การจ้องล้มล้างกระบวนการต่างๆที่ตัดสินความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ
4.ประชาธิปไตยวิบัติ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยอ้าง 15 ล้านเสียง เหมือนกับว่าประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยเพื่อให้นำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน
ไม่ต่างกับนายอภิสิทธิ์ที่อภิปรายถึงการสร้างความปรองดองก่อนหน้านี้ว่าติดขัดเรื่องการนิรโทษกรรมและคดีของ คตส. จึงจำเป็นต้องตอบโจทย์ พ.ต.ท. ทักษิณให้ได้ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะปั่นป่วนต่อไป ประ เด็นสำคัญอยู่ที่หลักของบ้านเมืองจะเสียหรือไม่ ส่วนที่มีการสร้างวาทกรรมว่าถ้าไม่ปรองดองกับผู้ก่อการร้ายก็จะไม่ปรองดองกับฆาตกรนั้น อยากให้ระวัง เพราะทั้งผู้ก่อการร้ายและฆาตกรเป็นคนเดียวกัน ทั้งท้าให้นิรโทษกรรมทุกคน ยกเว้นคน 3 คนคือ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยพร้อมจะรับผิดชอบต่อประชาชนและประเทศ
“ผมต่อให้ 2 ต่อ 1 ผมกับคุณสุเทพ 2 คน ไม่รับการนิรโทษกรรม แลกกับคุณทักษิณไม่นิรโทษกรรมคนเดียว ที่เหลือนิรโทษให้หมด อย่างนี้ประชาชนไม่ต้องเดือดร้อน และคุณทักษิณกลับมาสู้คดีเลย วันนี้อย่าลากสภาไปรองรับการตอบโจทย์ของใคร ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาของบ้านเมืองอย่างแท้จริง อย่าทำให้คำว่าปรองดองถูกปล้น และอย่าให้นายปรองดองถูกลักพาตัวแล้วไปเอาเสื้อนิรโทษกรรมมาคลุมใส่ พวกผมไม่ได้เรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนหากกระบวนการนั้นจะทำให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริง” นายอภิสิทธิ์กล่าว
แต่อาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการกลับบ้านแบบเท่ๆของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นการอาศัยการเจรจาใน พ.ร.บ.ปรองดองที่ดำเนินการกันอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางกลับมาได้โดยที่ไม่ต้องถูกจับหรือชดใช้โทษที่ถูกตัดสินไป ส่วนกรณีนายอภิสิทธิ์ท้าให้นิรโทษกรรมทุกคน ยกเว้นตัวเองกับนายสุเทพและ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.กรณี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคดีที่สิ้นสุดแล้ว จะให้นิรโทษกรรมไม่ได้ ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย และ 2.กรณีของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นปัญหาที่มาจากการสลายการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ต้องมีการฟ้องร้องต่อไป จะเอามาแลกกันไม่ได้ เพราะเป็นวาระที่ต่างกัน แต่นายอภิสิทธิ์พูดจนเกิดความสับสนไปหมด ซึ่งทั้ง 2 กรณีมีความเสียหายที่ต่างกัน ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณคนที่เสียหายคือรัฐ ส่วนฝ่ายนายอภิสิทธิ์คนที่เสียหายคือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสียญาติหรือครอบครัว ซึ่งต้องถามประชาชนส่วนใหญ่ว่าจะยอมแลกด้วยมั้ย
เพื่อไทยเดินหน้าการปรองดอง
ด้านพรรคเพื่อไทย นายเสนาะ เทียนทอง ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมว่า คงทำในนามพรรค ไม่ใช่ในนามรัฐบาล และจะทำแน่นอน เพราะ บรรยากาศปรองดองทั่วไปดีหมดแล้ว กองทัพกับรัฐบาล ก็ดี แนวทางคงยึดรูปแบบของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาการสร้างความปรองดองฯของสภาผู้แทนราษฎร หากมีการนิรโทษกรรมคงไม่มีปัญหาแรงต่อต้านอะไร ไม่เห็นใครมีปัญหาอะไร เหลือแค่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ปรองดองก็ “ช่างศีรษะมัน” ไม่ต้องไปสนใจ
นายเสนาะเสนอให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เรียกร้องที่จะเอาเงิน 46,000 ล้านบาทคืนด้วย โดยให้คิดว่าเป็นการบริจาคเพื่อการกุศล พ.ต.ท.ทักษิณจึงจะกลับมาหลังออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ส่วนนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าจะกลับประเทศในปีนี้ว่า เข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดในบริบทของคนที่คิดถึงบ้านมากจึงอยากกลับประเทศให้เร็วที่สุด เรื่องการปรองดองเป็นเรื่องของนักการเมือง เป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะทำหน้าที่ออกกฎหมายปรองดอง ซึ่งเหลือเวลาอีก 8 เดือนจะสิ้นปี จึงไม่ถือว่าเร่งรัดอะไร
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้จะนำเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งอาจผ่านทางนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่จัดทำร่วมกับความคิดเห็นต่างๆออกมาเป็นข้อเสนอแนะ แล้ว ครม. จะนำมาพิจารณาว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง เชื่อว่าภายใน 3-4 เดือนน่าจะออกมาเป็นกฎหมายได้ เพราะเห็นว่าไม่มีอะไรติดขัด
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ไม่ได้รอ พ.ร.บ. หรือกฎหมายฉบับไหนเป็นพิเศษ หวังแต่เพียงการหาทาง ออกจากวิกฤตนี้ให้ได้ และไม่ควรมีใครหากำไรกับความขัดแย้งนี้ โดยเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องการความปรองดองเพื่อให้ทุกคนในประเทศได้ประโยชน์ ส่วนใครจะได้รับผลพลอยได้และได้รับความยุติธรรมเป็นเรื่องรอง
ให้อภัยไม่ใช่ให้ลืม
แต่นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ศาสตราจารย์ประ จำภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้ศึกษาและคลอดตำราแนวทางสันติวิธีและความสมานฉันท์ มองเส้นทางสู่ความปรองดองท่ามกลางกองไฟความขัดแย้งว่า คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) เคยให้หลักการไว้ว่า 1.ต้องหาความจริงให้ชัด แต่เปิดเผยหรือไม่นั้นมีคำถามได้ 2.พอมีความจริงแล้วต้องนำไปสู่ความยุติธรรม และ 3.มีสิ่งที่เรียกว่าความพร้อมรับผิด แปลว่าถ้าคุณเป็นคนทำร้ายผู้อื่น ทำผิดอะไรต้องรับความผิดนั้น แต่ความพร้อมรับผิดไม่แน่ว่าจะนำไปสู่การลงโทษ โมเดลการสมานฉันท์จึงไม่ใช่เรื่องการลงโทษ แต่ต้องให้อภัยที่ต้องมาพร้อมความรับผิด
ดังนั้น การให้อภัยไม่ได้อยู่ที่การลืม แต่เงื่อนไขการให้อภัยจะต้องจำ แต่จำแล้วให้อภัย การทำเรื่องความสมานฉันท์ เรื่องปรองดองจึงมีความเสี่ยง เช่น พอพูดความจริงแล้วทนรับได้หรือไม่ เพราะสังคมไทยน่าเกลียดน่ากลัว จะทนได้หรือไม่หากพวกที่ยิงกันในความขัดแย้งครั้งก่อนๆเป็นพวกเดียวกันเอง
ช่างแม่มัน...แมลงสาบ
ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่เวทีลานศูนย์ วัฒนธรรมเสียมเรียบ ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่มาให้กำลัง ใจหลายหมื่นคนเมื่อคืนวันที่ 14 เมษายน ซึ่งไฮไลท์ของ งาน พ.ต.ท.ทักษิณได้ร้องเพลง “Let it Be” โดยมีการแปลง เนื้อร้องบางท่อนเป็นภาษาไทยว่า “ช่างแม่มัน” ใครขวางปรองดอง ช่างแม่มัน พรรคไหนขวางแก้รัฐ ธรรมนูญ ช่างแม่มัน และจะเป็นจะตายก็ช่างแม่มัน
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังกล่าวอีกว่า ตั้งแต่ถูกปฏิวัติก็ไม่เคยหยุดคิดทำงานให้บ้านเมืองและประชา ชน กระทั่งประชาชนเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย และน้องสาวคนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นึกไม่ถึงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะทำงานได้ดีขนาดนี้ และที่ดีกว่าตนเองมากคือมุ่งมั่นทำงาน ไม่ตอบโต้ฝ่ายค้าน แตกต่างจากตนที่ซัดมาก็ซัดไป ทั้งยังให้กำลังใจน้องสาวผ่านผู้สื่อข่าวว่า so far so good อย่าตกใจทางการเมืองที่ชอบเอาเรื่องไม่จริงมาพูด ขอให้อดทนและนิ่งเข้าไว้ แต่ที่สอนนี่ตัวเองก็ทำไม่ได้ นายกฯยิ่งลักษณ์นิ่ง แต่ตนไม่นิ่ง เป็นคนสมองไวอย่างเดียวไม่พอ ปากไวด้วย
“วันนี้ต้องก้าวข้ามผมให้ได้ การเมืองก็ไปไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนสักที ก้าวข้ามผมสิ เขย่งนิดเดียวก็พ้นแล้ว มันยุติธรรมหรือไม่ ถ้ายุติธรรมแล้วจะเข้ามา ตอนนี้มันเหมือนต้นไม้ที่เป็นพิษ ต้นเหตุเกิดจากการปฏิวัติ แล้วตั้ง คตส. และกระบวนการยุติธรรม เมื่อต้นไม้เน่าทั้งต้นก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ไม่กลัว เอาเลย ยินดี”
ดังนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาว นานมากว่า 5 ปี จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการปลดล็อกวิกฤตของบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่ “ศูนย์กลางของปัญหา” แต่อยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ การปรองดองจึงต้องอยู่กับฝ่ายกระทำเป็นสำคัญ โดยเฉพาะ “อีแอบ” ที่อยู่เหนือกลุ่มอำมาตย์ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดและรอดพ้นจากการถูกยุบพรรคได้อย่างปาฏิหาริย์จนถูกตั้งฉายาให้เป็น “พรรคแมลงสาบ”
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์รดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเขย่าเพื่อให้ได้กลับบ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นเกมเหนือชั้นของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำให้สื่อและประชาคมโลกไม่ลืมวิกฤตการเมืองไทยที่ยังจมปลักอยู่กับการรัฐประหารและอำนาจนอกระบบ ขณะที่ประเทศต่างๆพยายามก้าวออกสู่วังวนอุบาทว์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศอาหรับ หรือแม้แต่พม่าที่ปิดประเทศมากว่าศตวรรษ
คนไทยหลายหมื่นคนทั้งที่ลาวและกัมพูชาที่ไปรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณท่ามกลางการอารักขาและให้ความ สะดวกอย่างเต็มที่ของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ขณะที่กัมพูชาขัดแย้งกับไทยในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อย่างรุนแรงถึงขั้นใช้อาวุธยิงถล่มกันเมื่อปีที่ผ่านมานั้น วันนี้กลับมีแต่รอยยิ้มและมิตรภาพ นักวิชาการจึงมองอีกแง่ว่า “ปรากฏการณ์ทักษิณ” เหมือนเป็นการเปิดประตูอาเซียนที่ประกาศให้ปี 2558 เป็นเขตการค้าเสรีอาเซียนสู่ความเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันอย่างแท้จริง
น่าแปลกใจที่ “ทักษิณ” สามารถทำตัว “เท่” เดินทางไปได้ทั่วโลก และเข้าเยี่ยมเยือนประมุขของประเทศต่างๆในประเทศอาเซียน และได้รับการต้อนรับราวกับว่าเป็นบุคคล ที่มีตำแหน่งสำคัญจากประเทศไท
จะมีก็เพียงแต่ “ราชอาณาจักรไทย” เท่านั้น...ที่ยังกลับเข้ามาอย่าง “เท่” ไม่ได้!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพื่อไทย แพ้ย่อยยับเสียเก้าอี้ส.ส.-ชวด นายก อบจ.ปทุมฯ .
พรรคเพื่อไทยเสียหายย่อยยับเมื่อแพ้เลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 ปทุมธานี
ให้กับคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ แถม ส.ส. ที่ลาออกไปชิงเก้าอี้นายก อบจ.
ยังแพ้เลือกตั้งให้กับอดีตนายก อบจ. คนเก่าอย่างไม่เห็นฝุ่น “พร้อมพงศ์”
อ้างประชาชนยังมีอารมณ์ค้างจากปัญหาน้ำท่วม “สุริยะใส-เทพไท” ประสานเสียงรัฐบาลขาลง
เสื้อแดงเสื่อม “กรณ์” ดีใจปักธงพื้นที่เสื้อแดงสำเร็จ
++++++++++++
พรรคเพื่อไทยเสียท่าให้พรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 จังหวัดปทุมธานี
แทนว่าที่ร้อยตรีสุเมธ ฤทธาคนี ส.ส. เก่าของพรรคที่ลาออกไปลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อผลนับคะแนนออกมาปรากฏว่า นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย ได้ 24,119 คะแนน ขณะที่นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัครหมายเลข 2 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 27,981 คะแนน
คนใช้สิทธิน้อยแค่ 37%
นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง ระบุว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีประชาชนออกมาใช้สิทธิน้อยมากเพียง 37% เท่านั้น ส่วนภาพรวมการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หากไม่มีการร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งจะประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการโดยเร็ว ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีเรื่องร้องเรียนเข้ามา
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงแสดงความยินดีกับผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนความนิยมตกต่ำของรัฐบาล เพราะมีคนมาใช้สิทธิน้อย
“ปัจจัยหนึ่งที่นำมาสู่ความพ่ายแพ้คือปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา เพราะจากการลงพื้นที่หาเสียงพบว่าประชาชนยังมีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีอยู่ เพราะไม่พอใจในการช่วยเหลือ ซึ่งพรรคจะนำผลการเลือกตั้งที่ออกไปปรับปรุงการทำงานต่อไป”
“ธิดา” โบ้ยไม่เกี่ยวเสื้อแดง
นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าววว่า การพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยไม่เกี่ยวกับกระแสคนเสื้อแดงลดลง เพราะการทำงานของพรรคและรัฐบาลไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดง ในจังหวัดปทุมธานีมีคนเสื้อแดงอยู่หลายกลุ่ม การจะเลือกใครถือเป็นสิทธิ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณประชาชน เพราะพรรคไม่มี ส.ส. ในจังหวัดนี้มานานมากแล้ว ชัยชนะครั้งนี้เป็นเครื่องบ่งบอกว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยต้องปรับปรุงการทำงาน อย่างไรก็ตาม การที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิน้อยถือเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะแสดงให้เห็นว่าประชาชนเบื่อการเมือง
ปชป. ไม่หวังชนะที่เชียงใหม่
ส่วนการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 3 จังหวัดเชียงใหม่ แทน น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงทางการเมืองตัดสิทธิทางการเมือง กรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พรรคกำลังคัดเลือกตัวบุคคล แต่ต้องยอมรับว่าพื้นที่นี้พรรคมีโอกาสน้อย เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมาผู้สมัครของพรรคมีคะแนนตามหลังคู่แข่งอยู่มาก ต่างจากที่ปทุมธานีที่ห่างกันไม่มาก
“กรณ์” ดีใจปักธงถิ่นเสื้อแดง
นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัว ระบุว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาไม่มีผลต่อคะแนนในสภามากนัก แต่มีผลต่อการประเมินคะแนนนิยมของพรรคการเมืองได้อย่างน่าสนใจ มีบทเรียนให้กับทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ โดยเพื่อไทยได้รับบทเรียนสำคัญคือ อย่าดูถูกประชาชนด้วยการที่ให้ ส.ส. คนเดิมลาออกไปสมัครนายก อบจ. ทั้งที่เพิ่งได้รับเลือกมาได้แค่ 8 เดือน ทำเหมือนเป็นของเล่น และคะแนนเสียงเป็นของตาย และยังเป็นสัญญาณเตือนเพื่อไทยว่าอย่ามัวแต่หมกมุ่นแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนละเลยการดูแลประชาชนที่เดือดร้อน และชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นการปักธงในพื้นที่คนเสื้อแดงพื้นที่หนึ่ง และยอมรับว่าสภาพแวดล้อมเป็นใจต่อพรรคมากกว่าปรกติ จนทำให้พรรคเพื่อไทยต้องหน้าแตกในที่สุด
ชี้ 3 ปัจจัยทำเพื่อไทยแพ้
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้พรรคเพื่อไทยแพ้พรรคประชาธิปัตย์มีอยู่ 3 ข้อคือ 1.ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยเป็นคนนอกพื้นที่ ต่างกับผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง 2.การบริหารงานของนโยบายของรัฐบาลนี้ผิดพลาด ทั้งที่เป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย แต่การช่วยเหลือประชาชนช่วงน้ำท่วมกลับล่าช้าและไม่ทั่วถึง แก้ไขปัญหาปากท้องก็ล้มเหลว ทำให้คนตกงานและสินค้าราคาแพง 3.ชาวบ้านเบื่อหน่ายการเลือกตั้ง ที่จู่ๆว่าที่ร้อยตรีสุเมธก็ลาออกจาก ส.ส. ไปลงเลือกตั้งนายก อบจ. เพราะหวังจะได้บริหารงบประมาณของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวบ้านรับไม่ได้
ชี้ชัดเพื่อไทยขาลง
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวเช่นกันว่า ความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยมาจากปัจจัย 3 เรื่องคือ 1.การบริหารจัดการอุทกภัยล้มเหลว ทำให้พื้นที่เสียหายมากและเยียวยาล่าช้า 2.นโยบายล้มเหลวหลายเรื่องไม่เป็นจริงตามที่หาเสียงไว้ 3.การชิงบทบาทกันเองระหว่างแกนนำเสื้อแดงกับแกนนำพรรคเพื่อไทย ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาจึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเป็นขาลงของพรรคเพื่อไทย
เพื่อไทยแพ้อดีตนายก อบจ.
สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ซึ่งมีผู้สมัคร 5 คน ประกอบด้วย นายชาญ พวงเพ็ชร์ หมายเลข 1 (อดีตนายก อบจ.) ว่าที่ร้อยตรีสุเมธ หมายเลข 2 นายสุพจน์ ศรีสุวรรณ หมายเลข 3 นายชานุ หอมหวน หมายเลข 4 และนายสมนึก สอนเนย หมายเลข 5
ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการเมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. นายชาญมีคะแนน 100,000 กว่าคะแนน นำว่าที่ร้อยตรีสุเมธที่ลาออกจาก ส.ส. มาลงสมัครชิงตำแหน่งกว่าครึ่ง เนื่องจากอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้มาเพียง 50,000 กว่าคะแนนเท่านั้น
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++
พรรคเพื่อไทยเสียท่าให้พรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 จังหวัดปทุมธานี
แทนว่าที่ร้อยตรีสุเมธ ฤทธาคนี ส.ส. เก่าของพรรคที่ลาออกไปลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อผลนับคะแนนออกมาปรากฏว่า นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย ได้ 24,119 คะแนน ขณะที่นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัครหมายเลข 2 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 27,981 คะแนน
คนใช้สิทธิน้อยแค่ 37%
นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง ระบุว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีประชาชนออกมาใช้สิทธิน้อยมากเพียง 37% เท่านั้น ส่วนภาพรวมการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หากไม่มีการร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งจะประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการโดยเร็ว ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีเรื่องร้องเรียนเข้ามา
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงแสดงความยินดีกับผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนความนิยมตกต่ำของรัฐบาล เพราะมีคนมาใช้สิทธิน้อย
“ปัจจัยหนึ่งที่นำมาสู่ความพ่ายแพ้คือปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา เพราะจากการลงพื้นที่หาเสียงพบว่าประชาชนยังมีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีอยู่ เพราะไม่พอใจในการช่วยเหลือ ซึ่งพรรคจะนำผลการเลือกตั้งที่ออกไปปรับปรุงการทำงานต่อไป”
“ธิดา” โบ้ยไม่เกี่ยวเสื้อแดง
นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าววว่า การพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยไม่เกี่ยวกับกระแสคนเสื้อแดงลดลง เพราะการทำงานของพรรคและรัฐบาลไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดง ในจังหวัดปทุมธานีมีคนเสื้อแดงอยู่หลายกลุ่ม การจะเลือกใครถือเป็นสิทธิ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณประชาชน เพราะพรรคไม่มี ส.ส. ในจังหวัดนี้มานานมากแล้ว ชัยชนะครั้งนี้เป็นเครื่องบ่งบอกว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยต้องปรับปรุงการทำงาน อย่างไรก็ตาม การที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิน้อยถือเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะแสดงให้เห็นว่าประชาชนเบื่อการเมือง
ปชป. ไม่หวังชนะที่เชียงใหม่
ส่วนการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 3 จังหวัดเชียงใหม่ แทน น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงทางการเมืองตัดสิทธิทางการเมือง กรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พรรคกำลังคัดเลือกตัวบุคคล แต่ต้องยอมรับว่าพื้นที่นี้พรรคมีโอกาสน้อย เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมาผู้สมัครของพรรคมีคะแนนตามหลังคู่แข่งอยู่มาก ต่างจากที่ปทุมธานีที่ห่างกันไม่มาก
“กรณ์” ดีใจปักธงถิ่นเสื้อแดง
นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัว ระบุว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาไม่มีผลต่อคะแนนในสภามากนัก แต่มีผลต่อการประเมินคะแนนนิยมของพรรคการเมืองได้อย่างน่าสนใจ มีบทเรียนให้กับทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ โดยเพื่อไทยได้รับบทเรียนสำคัญคือ อย่าดูถูกประชาชนด้วยการที่ให้ ส.ส. คนเดิมลาออกไปสมัครนายก อบจ. ทั้งที่เพิ่งได้รับเลือกมาได้แค่ 8 เดือน ทำเหมือนเป็นของเล่น และคะแนนเสียงเป็นของตาย และยังเป็นสัญญาณเตือนเพื่อไทยว่าอย่ามัวแต่หมกมุ่นแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนละเลยการดูแลประชาชนที่เดือดร้อน และชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นการปักธงในพื้นที่คนเสื้อแดงพื้นที่หนึ่ง และยอมรับว่าสภาพแวดล้อมเป็นใจต่อพรรคมากกว่าปรกติ จนทำให้พรรคเพื่อไทยต้องหน้าแตกในที่สุด
ชี้ 3 ปัจจัยทำเพื่อไทยแพ้
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้พรรคเพื่อไทยแพ้พรรคประชาธิปัตย์มีอยู่ 3 ข้อคือ 1.ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยเป็นคนนอกพื้นที่ ต่างกับผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง 2.การบริหารงานของนโยบายของรัฐบาลนี้ผิดพลาด ทั้งที่เป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย แต่การช่วยเหลือประชาชนช่วงน้ำท่วมกลับล่าช้าและไม่ทั่วถึง แก้ไขปัญหาปากท้องก็ล้มเหลว ทำให้คนตกงานและสินค้าราคาแพง 3.ชาวบ้านเบื่อหน่ายการเลือกตั้ง ที่จู่ๆว่าที่ร้อยตรีสุเมธก็ลาออกจาก ส.ส. ไปลงเลือกตั้งนายก อบจ. เพราะหวังจะได้บริหารงบประมาณของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวบ้านรับไม่ได้
ชี้ชัดเพื่อไทยขาลง
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวเช่นกันว่า ความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยมาจากปัจจัย 3 เรื่องคือ 1.การบริหารจัดการอุทกภัยล้มเหลว ทำให้พื้นที่เสียหายมากและเยียวยาล่าช้า 2.นโยบายล้มเหลวหลายเรื่องไม่เป็นจริงตามที่หาเสียงไว้ 3.การชิงบทบาทกันเองระหว่างแกนนำเสื้อแดงกับแกนนำพรรคเพื่อไทย ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาจึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเป็นขาลงของพรรคเพื่อไทย
เพื่อไทยแพ้อดีตนายก อบจ.
สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ซึ่งมีผู้สมัคร 5 คน ประกอบด้วย นายชาญ พวงเพ็ชร์ หมายเลข 1 (อดีตนายก อบจ.) ว่าที่ร้อยตรีสุเมธ หมายเลข 2 นายสุพจน์ ศรีสุวรรณ หมายเลข 3 นายชานุ หอมหวน หมายเลข 4 และนายสมนึก สอนเนย หมายเลข 5
ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการเมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. นายชาญมีคะแนน 100,000 กว่าคะแนน นำว่าที่ร้อยตรีสุเมธที่ลาออกจาก ส.ส. มาลงสมัครชิงตำแหน่งกว่าครึ่ง เนื่องจากอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้มาเพียง 50,000 กว่าคะแนนเท่านั้น
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปชป.ชี้เหตุเพื่อไทยแพ้เลือกตั้งซ่อมปทุมธานี
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเลือกตั้งที่ จ.ปทุมธานี วานนี้ ว่า ต้องขอขอบคุณประชาชนที่ให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะการทุ่มเททำงานหนักของผู้สมัคร แต่ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็น ว่าความล้มเหลวของรัฐบาลในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลคะแนนหายไปที่ จ.ปทุมธานี เขต 5 เพียงเขตเดียว ถึงกว่าสองหมื่นคะแนน
ไม่ว่าจะเป็นการตระบัดสัตย์เรื่องค่าครองชีพ การทำให้ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ การทำให้เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ การทุจริตคอรรัปชั่นเงินเยียวยา ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่สนใจ และไม่ใช่มาต่อล้อต่อเถียงกับฝ่ายค้าน เรื่องการปฏิบัติงาน จึงขอเรียกร้อง รัฐบาลหันกลับไปให้ความสนใจ กับการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ลดค่าครองชีพ และทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้
ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ว่าจะเป็นการตระบัดสัตย์เรื่องค่าครองชีพ การทำให้ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ การทำให้เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ การทุจริตคอรรัปชั่นเงินเยียวยา ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่สนใจ และไม่ใช่มาต่อล้อต่อเถียงกับฝ่ายค้าน เรื่องการปฏิบัติงาน จึงขอเรียกร้อง รัฐบาลหันกลับไปให้ความสนใจ กับการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ลดค่าครองชีพ และทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้
ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555
ลิ่วล้อสอพลอเกินหน้า !!?
ลิ่วล้อสอพลอเกินหน้า
อยู่เป็น “รัฐบาล” จนเหนียงยาน แต่ทว่า “ยางพารา” กลับไร้ราคา
เพราะ “กลุ่มขบวนการแมลงสาป” เป็นโป๊กเกอร์ยี่ปั๊วใหญ่ ค้ายางให้กับ “สิงคโปร์”
พอ “ทักษิณ” ก้าวสู่บัลลังก์ “นายกรัฐมนตรี” ตัดวงจรอุบาทว์ ปรับยางขึ้นไป ๑๒๐ บาท..มันก็ฟิวส์ขาด โมโห
นี่, “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.เกษตรฯ จะทำให้ “ยางพารา” ไต่เพดาดบิน ราคาดีกว่ายุค “ทักษิณ” แมลงสาปหัวเก่า จึงจับมือกับนายทุนสิงคโปร์ เพื่อล้ม “รัฐบาลปู” ให้จั๋งหนับ
บางพรรคดูว่ามีค่า..แท้จริงพวกขี้รดบนหลังคา?...หาความจริงใจ ไม่ได้จริงๆ ขอรับ
--------------------------------
กรรมออนไลน์ติดจรวด ฮุบที่หลวง แผ่นดินแห่งประเทศ ไปเป็นของตนเอง เวรกรรมจึงไล่กวด ติดตามดู “ท่านบุญเชิด คิดเห็น” อธิบดีกรมที่ดินป้ายแดงใหม่เอี่ยม เข้ามาสางคดี “เขาแพง” เมืองสุราษฏร์ธานี บุคคลใดที่โมเมเอาแผ่นดินคนไทยทั้งประเทศ ไปครอบครอง งานนี้เจอดี พระสยามเทวาธิราช ท่านแลเห็น ใครเอาสมบัติของหลวงชีวิตบั้นปลาย ต้องชอกช้ำ ถือว่าเป็นอุทาหรณ์...คนที่ไม่รู้ข้าวแดงแกงร้อน...ตอนแก่ต้องติดคุกชดใช้กรรม
---------------------------------
วาทะกรรม “หลอกลวง” ใครหนอ ยืมมือประชาชน เพื่อ “ฆ่าคนดี” ป่าวประกาศกลางโรงหนัง “ปรีดีฆ่าในหลวง” พา “มหาห้าขัน” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นจุดรวม ของเหล่าประชาธิปไตย ก้อ,กุเรื่อง สร้างเหตุการณ์เมือง โพนทะนา ว่า “จำลองพาคนไปตาย” เดี๋ยวนี้สร้างวาทศิลป์ ขึ้นมาหากินกันอีกแล้วว่า “ชายชุดดำฆ่าประชาชน”, “ใช้พวกมากลากไปเป็นเผด็จการรัฐสภาฯ”, “แก้รัฐธรรมนูญเพื่อคนเพียงคนเดียว”, หนำซ้ำย้อนอดีตนำหนังม้วนเก่าออกมาโหมโรงฉาย ไปดึง “สถาบัน” เข้ามาเกี่ยว ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เค้าผูก..จากพวกคดในข้องอในกระดูก..ที่สร้างทุกข์แก่ชาติสถานเดียว
----------------------------------
ทองแท้ต้องไม่กลัวไฟ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกล้าสู้ครหา อย่างไม่เกรงกลัวใคร โครงการ “ไทยเข้มแข็ง” ว่ากันว่า “อีแร้ง” ลงกินเป็นห่าฝน “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สะอาดหมดจด ต้องตั้งกรรมการ สอบสวน ดูสักหน เมื่อทาง “ประชาธิปัตย์” ยืนกระต่ายขาเดียว งบแสน..แสนล้านบาท ใช้ถูกต้องตามกติกา หลายคนว่ามีเปิบกันสด ๆ...เหมือนน้ำตาลใกล้มด?..มีหรือจะอด ใครซดมั่ง ต้องลากตัวออกมา
----------------------------------
แพงจนหูฉี่ แพงเป็นบ้าเป็นหลัง ล้วนออกจากปาก ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี แล้วที่ถูกเป็น “ทุกข์แผ่นดิน” มั่ง “อภิสิทธิ์” มัวทำอะไร ชาวสวนสับประรด ประจวบคีรีขันธ์ ร้องกันลั่น ..ผลผลิตสับประรด ถูกบรรลัย ทั้งที่โรงงานสับประรดกระป๋องเจ้าใหญ่ เป็นของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์..ปล่อยผลผลิตราคาถูก น่ารับซื้อราคาแพงได้ เพื่อช่วยประชาชน ให้อิ่มปากอิ่มท้อง ประชาธิปัตย์ออกมาเต้น...แต่ปล่อยให้ประชาชนตายทั้งเป็น?..นี่จะเล่นตีสองหน้าไปถึงไหน ล่ะพ่อแม่พี่น้อง ที่มา:
คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
--------------------------------
กรรมออนไลน์ติดจรวด ฮุบที่หลวง แผ่นดินแห่งประเทศ ไปเป็นของตนเอง เวรกรรมจึงไล่กวด ติดตามดู “ท่านบุญเชิด คิดเห็น” อธิบดีกรมที่ดินป้ายแดงใหม่เอี่ยม เข้ามาสางคดี “เขาแพง” เมืองสุราษฏร์ธานี บุคคลใดที่โมเมเอาแผ่นดินคนไทยทั้งประเทศ ไปครอบครอง งานนี้เจอดี พระสยามเทวาธิราช ท่านแลเห็น ใครเอาสมบัติของหลวงชีวิตบั้นปลาย ต้องชอกช้ำ ถือว่าเป็นอุทาหรณ์...คนที่ไม่รู้ข้าวแดงแกงร้อน...ตอนแก่ต้องติดคุกชดใช้กรรม
---------------------------------
วาทะกรรม “หลอกลวง” ใครหนอ ยืมมือประชาชน เพื่อ “ฆ่าคนดี” ป่าวประกาศกลางโรงหนัง “ปรีดีฆ่าในหลวง” พา “มหาห้าขัน” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นจุดรวม ของเหล่าประชาธิปไตย ก้อ,กุเรื่อง สร้างเหตุการณ์เมือง โพนทะนา ว่า “จำลองพาคนไปตาย” เดี๋ยวนี้สร้างวาทศิลป์ ขึ้นมาหากินกันอีกแล้วว่า “ชายชุดดำฆ่าประชาชน”, “ใช้พวกมากลากไปเป็นเผด็จการรัฐสภาฯ”, “แก้รัฐธรรมนูญเพื่อคนเพียงคนเดียว”, หนำซ้ำย้อนอดีตนำหนังม้วนเก่าออกมาโหมโรงฉาย ไปดึง “สถาบัน” เข้ามาเกี่ยว ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เค้าผูก..จากพวกคดในข้องอในกระดูก..ที่สร้างทุกข์แก่ชาติสถานเดียว
----------------------------------
ทองแท้ต้องไม่กลัวไฟ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกล้าสู้ครหา อย่างไม่เกรงกลัวใคร โครงการ “ไทยเข้มแข็ง” ว่ากันว่า “อีแร้ง” ลงกินเป็นห่าฝน “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สะอาดหมดจด ต้องตั้งกรรมการ สอบสวน ดูสักหน เมื่อทาง “ประชาธิปัตย์” ยืนกระต่ายขาเดียว งบแสน..แสนล้านบาท ใช้ถูกต้องตามกติกา หลายคนว่ามีเปิบกันสด ๆ...เหมือนน้ำตาลใกล้มด?..มีหรือจะอด ใครซดมั่ง ต้องลากตัวออกมา
----------------------------------
แพงจนหูฉี่ แพงเป็นบ้าเป็นหลัง ล้วนออกจากปาก ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี แล้วที่ถูกเป็น “ทุกข์แผ่นดิน” มั่ง “อภิสิทธิ์” มัวทำอะไร ชาวสวนสับประรด ประจวบคีรีขันธ์ ร้องกันลั่น ..ผลผลิตสับประรด ถูกบรรลัย ทั้งที่โรงงานสับประรดกระป๋องเจ้าใหญ่ เป็นของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์..ปล่อยผลผลิตราคาถูก น่ารับซื้อราคาแพงได้ เพื่อช่วยประชาชน ให้อิ่มปากอิ่มท้อง ประชาธิปัตย์ออกมาเต้น...แต่ปล่อยให้ประชาชนตายทั้งเป็น?..นี่จะเล่นตีสองหน้าไปถึงไหน ล่ะพ่อแม่พี่น้อง ที่มา:
คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ณัฏฐ์ !!? ไม่ลาออกนั่งดูรูปโป๊ในสภา อ้างเปิดเพื่อลบทิ้ง
ณัฏฐ์ บรรทัดฐาน” ส.ส.ประชาธิปัตย์ ออกมายอมรับภาพ ส.ส.
นั่งดูรูปโป๊ในที่ประชุมสภาระหว่างพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกแชร์ว่อนเน็ตคือตัวเอง
อ้างเปิดไฟล์ดูเพื่อเช็กงาน เมื่อเจอภาพไม่เหมาะสมก็จะลบออกไม่ได้ตั้งใจนั่งดู
จึงไม่ขอลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบใดๆ
และไม่กลัวหากใครจะเอาไปเป็นประเด็นโจมตีทางการเมือง เพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจ
ส่วนกรณีภาพโป๊ปรากฏบนจอภาพในห้องประชุมสภายังต้องรอผลสอบสวนว่าถูกคนนอกแฮคเพื่อดิสเครดิตสภา
หรือว่าฝีมือคนภายใน
หลังปรากฏภาพอื้อฉาวตามสังคมออนไลน์และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากกรณีที่มีภาพของ ส.ส. คนหนึ่งนั่งดูภาพโป๊จากโทรศัพท์มือถือในห้องประชุมสภาขณะมีการประชุมพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา
การประชุมสภาในวันที่ 19 เม.ย. นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นยอมรับต่อที่ประชุมว่า ส.ส. ในภาพดังกล่าวคือตนเอง จากนั้นได้ลงมาที่ห้องแถลงข่าวเพื่อชี้แจงผ่านสื่อมวลชน
นายณัฏฐ์ระบุว่า ไม่มีเจตนาที่จะเปิดดูภาพไม่เหมาะสมในห้องประชุม แต่ที่เปิดก็เพื่อลบภาพออกจากโทรศัพท์ เนื่องจากในการประชุมสภาตามปรกติจะมีกลุ่มเพื่อนและคณะทำงานส่งข้อความและรูปภาพผ่านทางเฟซบุ๊ค วอทส์แอพฯ มาให้เป็นระยะ จึงต้องเปิดดู แต่บังเอิญภาพที่เปิดดูในช่วงนั้นเป็นภาพที่ปรากฏเป็นข่าว ซึ่งเปิดดูในระยะสั้นๆเท่านั้น และคิดว่าช่างภาพที่ถ่ายภาพนี้ก็ทราบดีว่าไม่ได้ใช้เวลาดูภาพนาน เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจเพราะที่ผ่านมาตนทำงานเต็มที่และจริงจัง
“เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ให้บทเรียนหรือว่าสอนอะไรผม เพราะไม่ได้มีเจตนาที่จะเปิดดู ใครจะนำไปโจมตีทางการเมืองก็ไม่เป็นอะไรเพราะเชื่อว่าทุกคนเข้าใจดี”
นายธนิตพล ไชยนันท์ ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภา แต่ยืนยันว่านายณัฎฐ์ไม่ได้ทำตัวไม่เหมาะสม แต่เป็นการใช้เครื่องมือสื่อสารเพื่อทำงานในสภา จึงถือว่าเป็นปัญหาทางเทคนิค ซึ่งที่ผ่านมาก็มี ส.ส. จากพรรคอื่น เช่น พรรคเพื่อไทย ก็เปิดดูเช่นกัน เพียงแต่ช่างภาพไม่ได้ถ่ายภาพเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา มีข่าวฉาวออกไปทั่วโลกกรณีรัฐมนตรีแห่งรัฐกรณาฏกะของอินเดีย 2 คนคือ นายลักษ์มาน ซาวาดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือ และนายซีซี ปาทิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสตรีและเด็ก นั่งดูคลิปโป๊ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมีข่าวออกมาทั้ง 2 คนได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งทันที เพื่อปกป้องไม่ให้พรรคและรัฐสภาเสื่อมเสีย นอกจากนี้นายคริชนา ปาเลมา รัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือ ก็ลาออกจากตำแหน่งเช่นกัน
ทั้งนี้ นายซาวาดีและนายปาทิลยืนยันหลังการลาออกว่าไม่ได้ดูคลิปโป๊ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่ที่ต้องลาออกจากตำแหน่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคภารติยชนตะ ต้นสังกัด และเป็นพรรครัฐบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง
ด้านความคืบหน้าในการสอบหาที่มาของภาพโป๊ที่ปรากฏบนจอภาพกลางห้องประชุมสภานั้น นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และจะพยายามหาข้อสรุปให้ได้เร็วที่สุด หากเป็นการกระทำของคนภายในต้องมีบทลงโทษแต่ หากเป็นการแฮคมาจากข้างนอกก็ต้องหาวิธีป้องกันต่อไป
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
หลังปรากฏภาพอื้อฉาวตามสังคมออนไลน์และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากกรณีที่มีภาพของ ส.ส. คนหนึ่งนั่งดูภาพโป๊จากโทรศัพท์มือถือในห้องประชุมสภาขณะมีการประชุมพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา
การประชุมสภาในวันที่ 19 เม.ย. นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นยอมรับต่อที่ประชุมว่า ส.ส. ในภาพดังกล่าวคือตนเอง จากนั้นได้ลงมาที่ห้องแถลงข่าวเพื่อชี้แจงผ่านสื่อมวลชน
นายณัฏฐ์ระบุว่า ไม่มีเจตนาที่จะเปิดดูภาพไม่เหมาะสมในห้องประชุม แต่ที่เปิดก็เพื่อลบภาพออกจากโทรศัพท์ เนื่องจากในการประชุมสภาตามปรกติจะมีกลุ่มเพื่อนและคณะทำงานส่งข้อความและรูปภาพผ่านทางเฟซบุ๊ค วอทส์แอพฯ มาให้เป็นระยะ จึงต้องเปิดดู แต่บังเอิญภาพที่เปิดดูในช่วงนั้นเป็นภาพที่ปรากฏเป็นข่าว ซึ่งเปิดดูในระยะสั้นๆเท่านั้น และคิดว่าช่างภาพที่ถ่ายภาพนี้ก็ทราบดีว่าไม่ได้ใช้เวลาดูภาพนาน เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจเพราะที่ผ่านมาตนทำงานเต็มที่และจริงจัง
“เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ให้บทเรียนหรือว่าสอนอะไรผม เพราะไม่ได้มีเจตนาที่จะเปิดดู ใครจะนำไปโจมตีทางการเมืองก็ไม่เป็นอะไรเพราะเชื่อว่าทุกคนเข้าใจดี”
นายธนิตพล ไชยนันท์ ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภา แต่ยืนยันว่านายณัฎฐ์ไม่ได้ทำตัวไม่เหมาะสม แต่เป็นการใช้เครื่องมือสื่อสารเพื่อทำงานในสภา จึงถือว่าเป็นปัญหาทางเทคนิค ซึ่งที่ผ่านมาก็มี ส.ส. จากพรรคอื่น เช่น พรรคเพื่อไทย ก็เปิดดูเช่นกัน เพียงแต่ช่างภาพไม่ได้ถ่ายภาพเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา มีข่าวฉาวออกไปทั่วโลกกรณีรัฐมนตรีแห่งรัฐกรณาฏกะของอินเดีย 2 คนคือ นายลักษ์มาน ซาวาดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือ และนายซีซี ปาทิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสตรีและเด็ก นั่งดูคลิปโป๊ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมีข่าวออกมาทั้ง 2 คนได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งทันที เพื่อปกป้องไม่ให้พรรคและรัฐสภาเสื่อมเสีย นอกจากนี้นายคริชนา ปาเลมา รัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือ ก็ลาออกจากตำแหน่งเช่นกัน
ทั้งนี้ นายซาวาดีและนายปาทิลยืนยันหลังการลาออกว่าไม่ได้ดูคลิปโป๊ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่ที่ต้องลาออกจากตำแหน่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคภารติยชนตะ ต้นสังกัด และเป็นพรรครัฐบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง
ด้านความคืบหน้าในการสอบหาที่มาของภาพโป๊ที่ปรากฏบนจอภาพกลางห้องประชุมสภานั้น นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และจะพยายามหาข้อสรุปให้ได้เร็วที่สุด หากเป็นการกระทำของคนภายในต้องมีบทลงโทษแต่ หากเป็นการแฮคมาจากข้างนอกก็ต้องหาวิธีป้องกันต่อไป
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
เอ็ฟเฟกต์ : การเมืองหลังสงกรานต์ ....
มหาสงกรานต์การเมืองปีนี้ เหมือนมีเหตุอัศจรรย์ใจอย่างคาดไม่ถึง
เมื่องานสงกรานต์ 3 แผ่นดิน มีคนไทยข้ามฟากไปทั้งงานตุ้มโฮมประชาธิปไตยทางฝั่งลาว
และกัมพูชา กว่าครึ่งแสน..ประมาณโดยคร่าวๆ ข้ามฝั่งลาวเฉลี่ยวันละ 20,000
ส่วนตม.กัมพูชาเปิดเผยว่า
เฉพาะผู้ที่ข้ามพรมแดนและแจ้งว่าเพื่อไปร่วมงานรดน้ำดำหัวที่เสียมเรียบ
นั้นมีมากถึง 38,000 กว่าคน นับว่าสูงสุด
เป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีการเปิดด่าน
ปรากฏการณ์เช่นนี้..สะท้อนถึงความนิยมชมชอบในตัวของคุณทักษิณ ชินวัตรอย่างยากที่จะปฏิเสธ ทำให้เกิดข้อกังขาว่าหลังจากนี้จะเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองไปในทิศทางเช่นไร???...
รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระ ด้านรัฐศาสตร์ มีความเห็นว่า จากสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่าจะทำให้เกิดเอ็ฟเฟกต์ทางการเมืองอะไร และไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่เชื่อว่า คุณทักษิณน่าจะแสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างคุณทักษิณ กับคนเสื้อแดงที่ยังแนบแน่นอยู่ตลอดเวลา และยังมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอยู่
หากจะมองในมิติของการเมืองก็มองได้ว่า เป็นทั้งการหันเหความสนใจในเรื่องของกระแสความนิยม รวมถึงปรามฝ่ายตรงข้ามไปในตัวในเรื่องของการเล่นการเมือง
หากสังเกตดูจะเห็นว่าส่วนหนึ่งที่รัฐบาลไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ส่วนหนึ่งมาจากวิธีการเล่นการเมืองของฝ่ายค้าน ฉะนั้นการขับเคลื่อนของคุณทักษิณส่วนมากจึงเหมือนเป็นการปกป้องน้องสาวจากการโจมตีในด้านต่างๆ และต้องยอมรับว่าเป็นการเล่นการเมืองที่ชาญฉลาดทีเดียว เพราะในระยะหลังเราจะเห็นข่าวการโจมตีรัฐบาลน้อยลง แต่เป้าหลักกลับพุ่งไปที่คุณทักษิณ ทำให้รัฐบาลมีโอกาสทำงานได้อย่างเต็มที่
ส่วนที่มีคนมองว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีความห่างเหินกับคนเสื้อแดงในระยะหลังนั้น ต้องแยกกันให้ออก!..
เรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินกับความสัมพันธ์ทางการเมืองมันเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องดังกล่าวนี้เชื่อว่าทางคนเสื้อแดงเองก็เข้าใจ ในการจัดงานครั้งนี้จึงไม่น่าจะมองไปในประเด็น ที่ว่าจะเอาใจคนเสื้อแดง เพราะภาพที่สะท้อนออกมาทำให้เห็นถึงความศรัทธาในตัวบุคลของคนเสื้อแดงนั่นคือคุณทักษิณ
ในด้านการบริหารการเมืองรัฐบาลต้องทำอย่างเต็มความสามารถจะไปเห็นแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้มันต้องมองให้ชัดเจน
นอกจากนี้ ในการทัวร์สงกรานต์ครั้งนี้ มีการส่งสัญญาณจากคุณทักษิณ หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของการปรองดอง..
อย่างเมื่อมีการตั้งคำถามถึงการเจรจาเรื่องปรองดองว่าติดขัดเรื่องอะไร??..
คำตอบที่ได้รับคือ.. “ต้องถามหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค ผมตอบแทนไม่ได้”
จากท่าทีดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า คุณทักษิณ พุ่งเป้าเข้าหาพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่ รวมถึงปฏิเสธการเป็นศัตรูกับฝ่ายอำมาตย์ หรือที่เข้าใจกันว่าคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
เท่ากับว่างานนี้คุณทักษิณ เซฟคอสต์ลดขนาดของคู่ต่อสู้ให้เล็กนั่นคือการพุ่งเป้าหมายไปที่คู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างพรรค ประชาธิปัตย์เท่านั้น
สำหรับกรณีดังกล่าว อาจารย์อัษฎางค์ มองว่าในสภาฝ่ายค้าน กับฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นศัตรูกันโดยหน้าที่อยู่แล้ว การปรับเปลี่ยนเป้าหมายมาที่พรรคประชาธิปัตย์โดยตรง ก็มองได้ว่า หลังจากนี้การเคลื่อนไหวทางการเมืองน่าจะเข้าสู่ระบบรัฐสภาเห็นหลัก อย่างที่กล่าวมาแล้วคุณทักษิณเป็นคนที่เล่นการเมืองเป็นมองจังหวะและโอกาสออกว่าเวลาไหนควรเล่นแบบไหน เล่นกับใคร ทำอย่างไรเพื่อพลิกโอกาสมาเป็นของตัวเอง ยิ่งประชาธิปัตย์เล่นการเมืองแบบนี้ก็ยิ่งลำบากกับตัวเองเพราะไม่มีคนชอบทำให้ตัวเองเสียโอกาสไปเปล่าๆ
เมื่อถามว่าประชาธิปัตย์ควรจะปรับเปลี่ยนท่าทีอย่างไรเพื่อ ไม่ให้ถูกโดดเดี่ยวทางการเมือง อาจารย์อัษฎางค์ กล่าวว่า เขาไม่เคยเปลี่ยน..เขาเปลี่ยนไม่ได้ ผมเคยบอกกับผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์มาหลายครั้งแล้วว่าสังคมมันเปลี่ยนไป การเมืองมันไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่เขาประมาทและเชื่อมั่นว่าตัวเองมีคนหนุนหลัง เชื่อมั่นในประวัติศาสตร์อันยาวนานทำให้พรรคประชาธิปัตย์ติดหล่มอยู่ในวังวนเก่าๆ เล่นเกมการเมืองแบบเดิมๆ
เล่นการเมืองแบบเน่าๆ ไม่สร้างสรรค์ ทำให้คนเบื่อการเมืองแบบประชาธิปัตย์ การที่ประชาธิปัตย์มุ่งแต่เล่นประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ในการมุ่งหวังโจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ได้มองถึงผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ได้มองในเรื่องของประชาชนว่าจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง
ดูกันง่ายๆ ในข่าวที่เราเห็นกันแต่ละวัน..เราจะเห็นแต่หน้า เดิมๆ ของพรรคประชาธิปัตย์คือ คุณเทพไทย เสนพงศ์ กับคุณชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต แล้วดูว่าวันๆ เขาพูดเรื่องอะไรบ้าง..
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ปรับตัวเองให้เข้ามาเล่นการเมืองในเกมแบบสร้างสรรค์เขาก็อยู่ได้ แต่ถ้ายังเล่นแบบเดิมๆ เล่นแบบ น้ำเน่าต่อไปเขาก็จะลำบากเอง
การเมืองมันไม่ใช่ของยั่งยืน..มาแล้วก็ไป มันเปลี่ยนแปลงไปตามวัฏจักรของมัน อย่าไปหลงอย่าไปยึดติด
นั่นเป็นทัศนคติที่ รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร มองปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากเทศการสงกรานต์ว่าจะมีทิศทางเป็นเช่นไร
สำหรับทิศทางการเมืองไทยโดยรวมแล้วก็ต้องยอมรับว่ายังหาความชัดเจนไม่ได้ทั้งประเด็นการสร้างความปรองดองที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่ายังมีประเด็นข้อขัดแย้งอยู่มาก ตั้งแต่ขั้นตอนและกระบวนการสร้างความปรองดอง รวมถึงประเด็นที่นำไปสู่การสร้างความปรองดอง หากประเด็น จากกระแสการสร้างความปรองดองที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่ายังไม่เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการตามข้อเสนอของสภาผู้แทนราษฎรนั้นจะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น เพราะความพยายามทางการเมืองที่จะสร้างความปรองดองนั้นกำลังถูกมองว่ามาจากการใช้อำนาจทางการเมืองมากกว่าเกิดกระบวนการปรองดองอย่างแท้จริง
แม้แต่ในเรื่องของประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างมากกับการเมืองไทย และยังไม่มีความชัดเจน ว่า จะมีการแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่เท่าที่ติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมือง ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนว่า การแก้ไขในครั้งนี้เป็นการแก้ไขตามความประสงค์ของนักการเมืองเป็นหลัก ขณะที่ในส่วนของภาคประชาชนแทบไม่มีใครพูดถึง ดังนั้น ประเด็นจึงพุ่งเป้าไปที่กระบวนการเอาผิดและตรวจสอบ อำนาจทางการเมืองมากกว่าสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม กลเกมทางการเมืองก็ยังต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าฝ่ายไหนจะเลือกที่จะสวมบทบาทเช่นไร และจะเลือกที่จะหยิบกลยุทธ์เช่นไรออกมาเล่นกันก็คงต้องจับตามองกันต่อไป..
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปรากฏการณ์เช่นนี้..สะท้อนถึงความนิยมชมชอบในตัวของคุณทักษิณ ชินวัตรอย่างยากที่จะปฏิเสธ ทำให้เกิดข้อกังขาว่าหลังจากนี้จะเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองไปในทิศทางเช่นไร???...
รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระ ด้านรัฐศาสตร์ มีความเห็นว่า จากสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่าจะทำให้เกิดเอ็ฟเฟกต์ทางการเมืองอะไร และไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่เชื่อว่า คุณทักษิณน่าจะแสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างคุณทักษิณ กับคนเสื้อแดงที่ยังแนบแน่นอยู่ตลอดเวลา และยังมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอยู่
หากจะมองในมิติของการเมืองก็มองได้ว่า เป็นทั้งการหันเหความสนใจในเรื่องของกระแสความนิยม รวมถึงปรามฝ่ายตรงข้ามไปในตัวในเรื่องของการเล่นการเมือง
หากสังเกตดูจะเห็นว่าส่วนหนึ่งที่รัฐบาลไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ส่วนหนึ่งมาจากวิธีการเล่นการเมืองของฝ่ายค้าน ฉะนั้นการขับเคลื่อนของคุณทักษิณส่วนมากจึงเหมือนเป็นการปกป้องน้องสาวจากการโจมตีในด้านต่างๆ และต้องยอมรับว่าเป็นการเล่นการเมืองที่ชาญฉลาดทีเดียว เพราะในระยะหลังเราจะเห็นข่าวการโจมตีรัฐบาลน้อยลง แต่เป้าหลักกลับพุ่งไปที่คุณทักษิณ ทำให้รัฐบาลมีโอกาสทำงานได้อย่างเต็มที่
ส่วนที่มีคนมองว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีความห่างเหินกับคนเสื้อแดงในระยะหลังนั้น ต้องแยกกันให้ออก!..
เรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินกับความสัมพันธ์ทางการเมืองมันเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องดังกล่าวนี้เชื่อว่าทางคนเสื้อแดงเองก็เข้าใจ ในการจัดงานครั้งนี้จึงไม่น่าจะมองไปในประเด็น ที่ว่าจะเอาใจคนเสื้อแดง เพราะภาพที่สะท้อนออกมาทำให้เห็นถึงความศรัทธาในตัวบุคลของคนเสื้อแดงนั่นคือคุณทักษิณ
ในด้านการบริหารการเมืองรัฐบาลต้องทำอย่างเต็มความสามารถจะไปเห็นแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้มันต้องมองให้ชัดเจน
นอกจากนี้ ในการทัวร์สงกรานต์ครั้งนี้ มีการส่งสัญญาณจากคุณทักษิณ หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของการปรองดอง..
อย่างเมื่อมีการตั้งคำถามถึงการเจรจาเรื่องปรองดองว่าติดขัดเรื่องอะไร??..
คำตอบที่ได้รับคือ.. “ต้องถามหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค ผมตอบแทนไม่ได้”
จากท่าทีดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า คุณทักษิณ พุ่งเป้าเข้าหาพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่ รวมถึงปฏิเสธการเป็นศัตรูกับฝ่ายอำมาตย์ หรือที่เข้าใจกันว่าคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
เท่ากับว่างานนี้คุณทักษิณ เซฟคอสต์ลดขนาดของคู่ต่อสู้ให้เล็กนั่นคือการพุ่งเป้าหมายไปที่คู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างพรรค ประชาธิปัตย์เท่านั้น
สำหรับกรณีดังกล่าว อาจารย์อัษฎางค์ มองว่าในสภาฝ่ายค้าน กับฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นศัตรูกันโดยหน้าที่อยู่แล้ว การปรับเปลี่ยนเป้าหมายมาที่พรรคประชาธิปัตย์โดยตรง ก็มองได้ว่า หลังจากนี้การเคลื่อนไหวทางการเมืองน่าจะเข้าสู่ระบบรัฐสภาเห็นหลัก อย่างที่กล่าวมาแล้วคุณทักษิณเป็นคนที่เล่นการเมืองเป็นมองจังหวะและโอกาสออกว่าเวลาไหนควรเล่นแบบไหน เล่นกับใคร ทำอย่างไรเพื่อพลิกโอกาสมาเป็นของตัวเอง ยิ่งประชาธิปัตย์เล่นการเมืองแบบนี้ก็ยิ่งลำบากกับตัวเองเพราะไม่มีคนชอบทำให้ตัวเองเสียโอกาสไปเปล่าๆ
เมื่อถามว่าประชาธิปัตย์ควรจะปรับเปลี่ยนท่าทีอย่างไรเพื่อ ไม่ให้ถูกโดดเดี่ยวทางการเมือง อาจารย์อัษฎางค์ กล่าวว่า เขาไม่เคยเปลี่ยน..เขาเปลี่ยนไม่ได้ ผมเคยบอกกับผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์มาหลายครั้งแล้วว่าสังคมมันเปลี่ยนไป การเมืองมันไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่เขาประมาทและเชื่อมั่นว่าตัวเองมีคนหนุนหลัง เชื่อมั่นในประวัติศาสตร์อันยาวนานทำให้พรรคประชาธิปัตย์ติดหล่มอยู่ในวังวนเก่าๆ เล่นเกมการเมืองแบบเดิมๆ
เล่นการเมืองแบบเน่าๆ ไม่สร้างสรรค์ ทำให้คนเบื่อการเมืองแบบประชาธิปัตย์ การที่ประชาธิปัตย์มุ่งแต่เล่นประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ในการมุ่งหวังโจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ได้มองถึงผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ได้มองในเรื่องของประชาชนว่าจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง
ดูกันง่ายๆ ในข่าวที่เราเห็นกันแต่ละวัน..เราจะเห็นแต่หน้า เดิมๆ ของพรรคประชาธิปัตย์คือ คุณเทพไทย เสนพงศ์ กับคุณชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต แล้วดูว่าวันๆ เขาพูดเรื่องอะไรบ้าง..
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ปรับตัวเองให้เข้ามาเล่นการเมืองในเกมแบบสร้างสรรค์เขาก็อยู่ได้ แต่ถ้ายังเล่นแบบเดิมๆ เล่นแบบ น้ำเน่าต่อไปเขาก็จะลำบากเอง
การเมืองมันไม่ใช่ของยั่งยืน..มาแล้วก็ไป มันเปลี่ยนแปลงไปตามวัฏจักรของมัน อย่าไปหลงอย่าไปยึดติด
นั่นเป็นทัศนคติที่ รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร มองปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากเทศการสงกรานต์ว่าจะมีทิศทางเป็นเช่นไร
สำหรับทิศทางการเมืองไทยโดยรวมแล้วก็ต้องยอมรับว่ายังหาความชัดเจนไม่ได้ทั้งประเด็นการสร้างความปรองดองที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่ายังมีประเด็นข้อขัดแย้งอยู่มาก ตั้งแต่ขั้นตอนและกระบวนการสร้างความปรองดอง รวมถึงประเด็นที่นำไปสู่การสร้างความปรองดอง หากประเด็น จากกระแสการสร้างความปรองดองที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่ายังไม่เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการตามข้อเสนอของสภาผู้แทนราษฎรนั้นจะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น เพราะความพยายามทางการเมืองที่จะสร้างความปรองดองนั้นกำลังถูกมองว่ามาจากการใช้อำนาจทางการเมืองมากกว่าเกิดกระบวนการปรองดองอย่างแท้จริง
แม้แต่ในเรื่องของประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างมากกับการเมืองไทย และยังไม่มีความชัดเจน ว่า จะมีการแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่เท่าที่ติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมือง ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนว่า การแก้ไขในครั้งนี้เป็นการแก้ไขตามความประสงค์ของนักการเมืองเป็นหลัก ขณะที่ในส่วนของภาคประชาชนแทบไม่มีใครพูดถึง ดังนั้น ประเด็นจึงพุ่งเป้าไปที่กระบวนการเอาผิดและตรวจสอบ อำนาจทางการเมืองมากกว่าสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม กลเกมทางการเมืองก็ยังต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าฝ่ายไหนจะเลือกที่จะสวมบทบาทเช่นไร และจะเลือกที่จะหยิบกลยุทธ์เช่นไรออกมาเล่นกันก็คงต้องจับตามองกันต่อไป..
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ASEAN Connectivity : ภาพรวมของแผนการเชื่อมร้อยอาเซียน !!?
บทความชุดนี้จะกล่าวถึงการเชื่อมโยงภาคส่วนต่างๆ ของอาเซียนเข้าด้วยกัน ทั้งในเชิงกายภาพ และมิติอื่นๆ เช่น กฎหมาย กฎระเบียบ หรือสังคม-วัฒนธรรม โดยจะเน้นการดำเนินงานตามแผน ASEAN Connectivity Master Plan เป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม การรวมกลุ่มของอาเซียนเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเชื่อมโยงกันไม่เยอะนัก ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น สภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม (ดูบทความ เทปบันทึกงานเสวนา “บนย่างก้าวสู่ประชาคมอาเซียน 2015″ ประกอบ)
ยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้การรวมประชาคมอาเซียนเกิดขึ้นได้จริง ก็คือวางรากฐานให้ประเทศในอาเซียนมี “ความเชื่อมโยง” (connectivity) ระหว่างกันมากขึ้น การเชื่อมโยงนี้ไม่ได้หมายถึงโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงโทรคมนาคม กฎระเบียบ การท่องเที่ยว การศึกษาด้วย
ตัวองค์กรอาเซียนเองมีแผนแม่บทในเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยออกเอกสาร Master Plan on ASEAN Connectivity (ดาวน์โหลดฉบับ PDF) เป็นแผนแม่บทด้านการเชื่อมร้อยอาเซียนเข้าด้วยกันในด้านต่างๆ ในช่วงเดือนธันวาคม 2010 และผู้นำอาเซียนในการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ 17 ที่ประเทศเวียดนามได้ลงนามใน “ปฏิญญาฮานอย” (Ha Noi Declaration) ว่าจะปฏิบัติตามแผนการนี้ด้วย
ตามแผนแม่บทเรื่องการเชื่อมต่ออาเซียนเข้าด้วยกัน ได้แบ่งมิติของการเชื่อมต่อออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
ข้อมูลเบื้องต้นของแผนการเชื่อมโยงอาเซียนในแต่ละมิติ มีดังนี้
ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงในหมวดนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อย ได้แก่
การที่ภูมิรัฐศาสตร์ของอาเซียนแบ่งเป็นอาเซียนทางบก (mainland ASEAN บนคาบสมุทรแหลมทอง) และอาเซียนทางทะเล (ประเทศอื่นๆ ในทะเลจีนใต้) ทำให้การประเมินความเชื่อมโยงของอาเซียนอาจจะต้องมองให้ละเอียดในระดับ “อนุภูมิภาค” (sub-region) มากกว่าการมองที่ระดับอาเซียนในภาพรวม ซึ่งเป็นองค์กรเชิงสถาบันที่มีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์น้อยกว่า
ในบทความตอนถัดไปจะกล่าวถึง “อนุภูมิภาค” ที่สำคัญของอาเซียน 3 ส่วนหลักๆ ว่ามีจุดอ่อนและจุดแข็งอย่างไรบ้าง
ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Master Plan on ASEAN Connectivity
มาถึงวันนี้ปี 2555 ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า “ประชาคมอาเซียน” เป็นทิศทางที่ทุกประเทศในกลุ่มอาเซียนต้องมุ่งไป เพราะมีแต่การรวมกลุ่มจะช่วยให้อาเซียนมีอำนาจต่อรองในเวทีโลกมากขึ้นอย่างไรก็ตาม การรวมกลุ่มของอาเซียนเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเชื่อมโยงกันไม่เยอะนัก ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น สภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม (ดูบทความ เทปบันทึกงานเสวนา “บนย่างก้าวสู่ประชาคมอาเซียน 2015″ ประกอบ)
ยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้การรวมประชาคมอาเซียนเกิดขึ้นได้จริง ก็คือวางรากฐานให้ประเทศในอาเซียนมี “ความเชื่อมโยง” (connectivity) ระหว่างกันมากขึ้น การเชื่อมโยงนี้ไม่ได้หมายถึงโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงโทรคมนาคม กฎระเบียบ การท่องเที่ยว การศึกษาด้วย
ตัวองค์กรอาเซียนเองมีแผนแม่บทในเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยออกเอกสาร Master Plan on ASEAN Connectivity (ดาวน์โหลดฉบับ PDF) เป็นแผนแม่บทด้านการเชื่อมร้อยอาเซียนเข้าด้วยกันในด้านต่างๆ ในช่วงเดือนธันวาคม 2010 และผู้นำอาเซียนในการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ 17 ที่ประเทศเวียดนามได้ลงนามใน “ปฏิญญาฮานอย” (Ha Noi Declaration) ว่าจะปฏิบัติตามแผนการนี้ด้วย
ตามแผนแม่บทเรื่องการเชื่อมต่ออาเซียนเข้าด้วยกัน ได้แบ่งมิติของการเชื่อมต่อออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- การเชื่อมโยงทางกายภาพ (physical connectivity) ซึ่งหมายถึงการเชื่อมโครงข่ายคมนาคม สารสนเทศ และพลังงานเข้าด้วยกัน
- การเชื่อมโยงทางกฎเกณฑ์เชิงสถาบัน (institutional connectivity) เรื่องกฎหมาย กำแพงภาษี กฎระเบียบ เป็นต้น
- การเชื่อมโยงระหว่างประชากรอาเซียน (people-to-people connectivity) เน้นเรื่องการศึกษา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว
ข้อมูลเบื้องต้นของแผนการเชื่อมโยงอาเซียนในแต่ละมิติ มีดังนี้
1. การสร้างโครงข่ายเชื่อมอาเซียนทางกายภาพ (Physical Connectivity)
แบ่งออกเป็น 3 เรื่องใหญ่ๆ ได้แก่- โครงข่ายด้านคมนาคม (transportation) ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดของแผนแม่บทฉบับนี้ แบ่งแยกย่อยได้เป็นการคมนาคมทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ (จะกล่าวถึงอย่างละเอียดในบทความตอนต่อๆ ไป)
- โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT infrastructure) เน้นการเชื่อมโครงข่ายการสื่อสารเข้าด้วยกัน และยังมีเรื่องกฎระเบียบด้านการสื่อสารในแต่ละประเทศด้วย
- โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน (energy infrastructure) แบ่งออกเป็นเรื่องของเชื้อเพลิงปิโตรเลียม (ท่อส่งน้ำมัน) และพลังงานไฟฟ้า (power grid)
2. การเชื่อมโยงทางกฎเกณฑ์เชิงสถาบัน (Institutional Connectivity)
การเชื่อมโยงลักษณะนี้จะครอบคลุมข้อตกลง พิธีการ ในระดับนานาชาติหรือระดับภูมิภาค แบ่งออกเป็นหัวข้อย่อยๆ ดังนี้- นโยบายด้านการขนส่งและคมนาคม (transport facilitation) เน้นกฎเกณฑ์ด้านคมนาคมข้ามพรมแดนระหว่างประเทศภายในอาเซียนด้วยกัน
- นโยบายด้านการขนส่งสินค้าอย่างเสรี (free flow of goods) เพื่อส่งเสริมการค้าภายในภูมิภาค
- นโยบายเปิดเสรีภาคบริการ (free flow of services)
- นโยบายเปิดเสรีการลงทุน (free flow of investment)
- นโยบายเปิดเสรีภาคแรงงาน (free flow of skilled labour and human development)
- นโยบายด้านการผ่านแดน (cross-border procedures) ให้การเดินทางข้ามประเทศสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
3. การเชื่อมโยงระหว่างประชากรอาเซียน (People-to-people Connectivity)
ถึงแม้โครงสร้างพื้นฐานทางการเดินทางและกฎระเบียบจะดีเพียงใด ถ้าหากตัว “คน” หรือประชากรในกลุ่มประเทศอาเซียนยังมีความเชื่อมโยงกันน้อย การรวมกลุ่มอาเซียนก็ไม่มีทางสำเร็จได้ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงในหมวดนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อย ได้แก่
- การเชื่อมโยงทางการศึกษาและวัฒนธรรม
- การเชื่อมโยงทางการท่องเที่ยวภายในอาเซียน
ปัญหาและอุปสรรคของการเชื่อมโยงอาเซียน
ปัญหาของการเชื่อมโยงระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน แบ่งได้เป็นทั้งปัจจัยทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และช่องว่างทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกันของประชากรแต่ละประเทศการที่ภูมิรัฐศาสตร์ของอาเซียนแบ่งเป็นอาเซียนทางบก (mainland ASEAN บนคาบสมุทรแหลมทอง) และอาเซียนทางทะเล (ประเทศอื่นๆ ในทะเลจีนใต้) ทำให้การประเมินความเชื่อมโยงของอาเซียนอาจจะต้องมองให้ละเอียดในระดับ “อนุภูมิภาค” (sub-region) มากกว่าการมองที่ระดับอาเซียนในภาพรวม ซึ่งเป็นองค์กรเชิงสถาบันที่มีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์น้อยกว่า
ในบทความตอนถัดไปจะกล่าวถึง “อนุภูมิภาค” ที่สำคัญของอาเซียน 3 ส่วนหลักๆ ว่ามีจุดอ่อนและจุดแข็งอย่างไรบ้าง
ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555
ศาลฎีกาฯ เชือด ชินณิชา. พ้น ส.ส.ซุกหนี้ 100 ล้าน เว้นวรรค 5 ปี !!?
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนายฐานันท์ วรรณโกวิท รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำที่ อม.3 /2554 และองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน อ่านคำพิพากษา คดีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งและห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากกรณีที่ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 และขอให้ลงโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช. เห็นว่า การที่ น.ส.ชินณิชา ได้ยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 100 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ต.ค.51 ภายหลังจากที่ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งส.ส.เชียงใหม่แล้ว เป็นเวลากว่า 8 เดือน โดยอ้างเหตุที่ไม่ได้แสดงรายการหนี้สินดังกล่าว เพราะความหลงผิดและเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยสุจริตว่า ระหว่างทำรายการบัญชีฯนั้นกระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ยังไม่เสร็จสิ้น หนี้สินที่มีคำสั่งอายัดไว้ผู้ยื่นไม่สามารถดำเนินการอื่นใดได้จนกว่า คตส. จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัด
ขณะที่ น.ส.ชินณิชา ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยได้แสดงรายการเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรัชดาภิเษก 3 (ทรูทาวเวอร์) ของตนเอง จำนวนเงิน 6,823,058.97 บาท ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากที่ คตส. มีคำสั่งอายัดไว้และ น.ส.ชินณิชาได้ร้องขอให้ คตส. เพิกถอนการอายัด และได้แสดงรายการเงินให้กู้ยืม ระบุว่า บริษัท วาย ชินวัตร จำกัด ได้กู้ยืม รวม 7 ครั้ง รวมเป็นเงิน 42,700,000 บาท และครั้งที่ 2 ได้ให้กู้ยืมเป็นเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวน 10 ล้านบาทนี้เป็นส่วนหนึ่งของเงินจำนวน 100 ล้านบาทที่กู้ยืมมาจากนายบรรณพจน์ โดยการขอยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์เพิ่มเติม ก็เป็นเวลาภายหลังจากที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับการที่ น.ส.ชินณิชา ได้ร้องขอเพิกถอนการอายัดเงินจำนวน 100 ล้านบาท ต่อ คตส. และภายหลังจากที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบการแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของ น.ส.ชินณิชาแล้ว
ศาลฎีกา ฯ พิเคราะห์พยานหลักฐานและเอกสารในสำนวน แล้วเห็นว่า น.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ฯ ตามรัฐธรรมนูญ ฯ ปี 2550 มาตรา 259 และ 263 ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119
ศาลฎีกาฯ พิพากษาให้น.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และให้จำคุกน.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน เป็นเวลา 2 เดือนพร้อมทั้งปรับเป็นเงิน 4,000 บาท แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรรอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช. เห็นว่า การที่ น.ส.ชินณิชา ได้ยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 100 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ต.ค.51 ภายหลังจากที่ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งส.ส.เชียงใหม่แล้ว เป็นเวลากว่า 8 เดือน โดยอ้างเหตุที่ไม่ได้แสดงรายการหนี้สินดังกล่าว เพราะความหลงผิดและเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยสุจริตว่า ระหว่างทำรายการบัญชีฯนั้นกระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ยังไม่เสร็จสิ้น หนี้สินที่มีคำสั่งอายัดไว้ผู้ยื่นไม่สามารถดำเนินการอื่นใดได้จนกว่า คตส. จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัด
ขณะที่ น.ส.ชินณิชา ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยได้แสดงรายการเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรัชดาภิเษก 3 (ทรูทาวเวอร์) ของตนเอง จำนวนเงิน 6,823,058.97 บาท ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากที่ คตส. มีคำสั่งอายัดไว้และ น.ส.ชินณิชาได้ร้องขอให้ คตส. เพิกถอนการอายัด และได้แสดงรายการเงินให้กู้ยืม ระบุว่า บริษัท วาย ชินวัตร จำกัด ได้กู้ยืม รวม 7 ครั้ง รวมเป็นเงิน 42,700,000 บาท และครั้งที่ 2 ได้ให้กู้ยืมเป็นเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวน 10 ล้านบาทนี้เป็นส่วนหนึ่งของเงินจำนวน 100 ล้านบาทที่กู้ยืมมาจากนายบรรณพจน์ โดยการขอยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์เพิ่มเติม ก็เป็นเวลาภายหลังจากที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับการที่ น.ส.ชินณิชา ได้ร้องขอเพิกถอนการอายัดเงินจำนวน 100 ล้านบาท ต่อ คตส. และภายหลังจากที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบการแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของ น.ส.ชินณิชาแล้ว
ศาลฎีกา ฯ พิเคราะห์พยานหลักฐานและเอกสารในสำนวน แล้วเห็นว่า น.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ฯ ตามรัฐธรรมนูญ ฯ ปี 2550 มาตรา 259 และ 263 ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119
ศาลฎีกาฯ พิพากษาให้น.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และให้จำคุกน.ส.ชินณิชา ผู้คัดค้าน เป็นเวลา 2 เดือนพร้อมทั้งปรับเป็นเงิน 4,000 บาท แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรรอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สารพัด อื้อฉาว สภาไทย ชก-ถีบ-เมา ถึง หวิว !!?
เหตุการณ์ที่มีภาพหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย สันนิษฐานว่า มาจากแดนอาทิตย์อุทัย สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นแถมบางเบาวาบหวิว โผล่กลางจอโปรเจ็กเตอร์ 3 รอบ รอบ ละ 5 วินาที ในห้องประชุมรัฐสภา ระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ในวาระที่ 2 เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่อง "ฉาวๆ" ขึ้นในห้องประชุม "ผู้ทรงเกียรติ" แห่งนี้
เอาเฉพาะระยะใกล้ ไม่เกิน 10 ปี ก็มีอย่างน้อย 4-5 เหตุการณ์ ที่ทำให้ชาวบ้านต่างส่ายหัวกับพฤติกรรมบุคคลในข่าว หรือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เริ่มจากช่วงบ่ายของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ส.ว.กทม. ปลุกวิญญาณ นักมวยสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาวหมัดที่ไม่ได้หุ้มนวมเข้าใส่ อดุลย์ วันไชยธนวงศ์
ส.ว.เชียงราย ที่เดินปรี่เข้าหาถึง 3 หมัด หลังมีความเห็นไม่ตรงกัน กรณีการเผยแพร่สมุดปกเหลือง เรื่อง "ความจริงที่ตากใบ"
แม้ "บิ๊กทิน" จะชี้แจงว่า ทำไปเพราะป้องกันตัว แต่ท้ายสุดแสดงสปิริตตัดสินใจยื่นใบลาออกจาก ส.ว.
เหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของ "สภาสูง" เวลานั้น มัวหมองไปพอสมควร
ต่อมา หลังเกิดการยึดอำนาจ "รัฐบาลไทยรักไทย" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุม (พธม.) ขับไล่แรมปี ในปี 2549
ความขัดแย้งบนท้องถนนก็ลากเข้าไปสู่ห้องประชุมสภา โดยเฉพาะพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งในปี 2550
ที่สุด ก็เกิดเรื่อง "สุดโฉ่" ขึ้นบริเวณอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2551 ส.ส.กทม. หน้าใหม่ ใต้สังกัดพรรคพลังประชาชน (พปช.) อย่าง การุณ โหสกุล หรือ "เก่ง" ก็ตวัดเท้ากระโดดถีบเข้าท้องน้อย สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำ พธม. ที่เป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อย่างรุนแรง
แม้ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า พปช. จะออกมาปกป้องลูกพรรคว่า "อีกคนตัวเล็ก อีกคนตัวใหญ่ ลองคิดดูก็แล้วกัน"
แต่วีรกรรมของ "เก่ง การุณ" ซึ่งได้ฉายา ต่อมา เก่ง สกายคิก ไม่เพียงทำให้ "ศาลอาญา" พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี โดยรอลงอาญากำหนด 2 ปี และปรับเงิน 4 หมื่นบาท ยังพ่วงภาพลักษณ์ "แบดบอย" ติดตัวสลัดไม่หลุดมาถึงวันนี้
และเหตุการณ์ "สกายคิก" ครั้งนั้น ยังเป็น "ชนวน" สำคัญทำให้ห้องประชุมสภา แทบจะกลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อมๆ เพราะเกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสมตามมาอีกหลายกรณี
ยิ่งเมื่อมีการ "พลิกขั้วการเมือง" ยุบพรรค พปช. ดัน ปชป. เป็นรัฐบาล ยิ่งทำให้อุณหภูมิใน "สภา" จากที่เคย "ร้อน" กลายเป็น "เดือด" ได้ทันควัน
ทั้งกรณี สมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) เดินยั่วฝ่ายรัฐบาลด้วยการเดินตรวจการเสียบบัตรลงคะแนน จนเกือบวางมวยกับ อภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี ปชป.ที่ปรี่เข้ามาจะชกและยกเท้าเตรียมถีบ จนเพื่อน ส.ส. ต้องเข้าห้ามปรามกันชุลมุน
หรือกรณี สุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พท.ตะโกนคำหยาบพร้อมชูนิ้วกลางให้ รณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
กระทั่งสื่อมวลชนประจำรัฐสภาทนไม่ไหว ให้ฉายาฝ่ายนิติบัญญัติในปี 2552 ว่า "ถ่อย-เถื่อน-ถีบ" !
โดยให้คำอธิบายว่า "พฤติกรรม ส.ส.ที่ก้าวร้าวมากขึ้น นอกจากไม่เป็นแบบอย่างที่ดีของสภาผู้ทรงเกียรติแล้ว ยังมีส่วนกระตุ้นให้สังคมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง โดยไม่ใช้หลักเหตุผล"
อีกครั้งที่มีเรื่องอื้อฉาว ไม่นานมานี้เอง กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นประท้วง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภา ขณะกำลังอภิปรายญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยสีหน้า แดงก่ำ
เป็นเหตุให้ รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ปชป.ต้องกดไมค์พูดทันควันว่า "ประธานให้คนเมาประท้วงได้อย่างไร ต้องจับไปตรวจแอลกอฮอล์" ร้อนถึง "บิ๊กเหลิม" ที่ต้องแก้ตัวว่า "ไม่ได้เมาเหล้า แต่เมารัก"
ยิ่งรวมกรณีล่าสุด ทั้งภาพอล่างฉ่างโผล่จอมอนิเตอร์ หรือ ณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม. ปชป.ยอมรับว่าดูคลิปหวิวในห้องประชุมจริง
สารพัดเรื่อง "อื้อฉาว" เหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาไทยมีภาพลักษณ์ตกต่ำ กระทั่งชาวบ้านต่างเอือมระอา แม้บางครั้งจะเกิดความไม่ตั้งใจก็ตาม !!!
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่อง "ฉาวๆ" ขึ้นในห้องประชุม "ผู้ทรงเกียรติ" แห่งนี้
เอาเฉพาะระยะใกล้ ไม่เกิน 10 ปี ก็มีอย่างน้อย 4-5 เหตุการณ์ ที่ทำให้ชาวบ้านต่างส่ายหัวกับพฤติกรรมบุคคลในข่าว หรือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เริ่มจากช่วงบ่ายของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ส.ว.กทม. ปลุกวิญญาณ นักมวยสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาวหมัดที่ไม่ได้หุ้มนวมเข้าใส่ อดุลย์ วันไชยธนวงศ์
ส.ว.เชียงราย ที่เดินปรี่เข้าหาถึง 3 หมัด หลังมีความเห็นไม่ตรงกัน กรณีการเผยแพร่สมุดปกเหลือง เรื่อง "ความจริงที่ตากใบ"
แม้ "บิ๊กทิน" จะชี้แจงว่า ทำไปเพราะป้องกันตัว แต่ท้ายสุดแสดงสปิริตตัดสินใจยื่นใบลาออกจาก ส.ว.
เหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของ "สภาสูง" เวลานั้น มัวหมองไปพอสมควร
ต่อมา หลังเกิดการยึดอำนาจ "รัฐบาลไทยรักไทย" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุม (พธม.) ขับไล่แรมปี ในปี 2549
ความขัดแย้งบนท้องถนนก็ลากเข้าไปสู่ห้องประชุมสภา โดยเฉพาะพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งในปี 2550
ที่สุด ก็เกิดเรื่อง "สุดโฉ่" ขึ้นบริเวณอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2551 ส.ส.กทม. หน้าใหม่ ใต้สังกัดพรรคพลังประชาชน (พปช.) อย่าง การุณ โหสกุล หรือ "เก่ง" ก็ตวัดเท้ากระโดดถีบเข้าท้องน้อย สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำ พธม. ที่เป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อย่างรุนแรง
แม้ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า พปช. จะออกมาปกป้องลูกพรรคว่า "อีกคนตัวเล็ก อีกคนตัวใหญ่ ลองคิดดูก็แล้วกัน"
แต่วีรกรรมของ "เก่ง การุณ" ซึ่งได้ฉายา ต่อมา เก่ง สกายคิก ไม่เพียงทำให้ "ศาลอาญา" พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี โดยรอลงอาญากำหนด 2 ปี และปรับเงิน 4 หมื่นบาท ยังพ่วงภาพลักษณ์ "แบดบอย" ติดตัวสลัดไม่หลุดมาถึงวันนี้
และเหตุการณ์ "สกายคิก" ครั้งนั้น ยังเป็น "ชนวน" สำคัญทำให้ห้องประชุมสภา แทบจะกลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อมๆ เพราะเกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสมตามมาอีกหลายกรณี
ยิ่งเมื่อมีการ "พลิกขั้วการเมือง" ยุบพรรค พปช. ดัน ปชป. เป็นรัฐบาล ยิ่งทำให้อุณหภูมิใน "สภา" จากที่เคย "ร้อน" กลายเป็น "เดือด" ได้ทันควัน
ทั้งกรณี สมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) เดินยั่วฝ่ายรัฐบาลด้วยการเดินตรวจการเสียบบัตรลงคะแนน จนเกือบวางมวยกับ อภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี ปชป.ที่ปรี่เข้ามาจะชกและยกเท้าเตรียมถีบ จนเพื่อน ส.ส. ต้องเข้าห้ามปรามกันชุลมุน
หรือกรณี สุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พท.ตะโกนคำหยาบพร้อมชูนิ้วกลางให้ รณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
กระทั่งสื่อมวลชนประจำรัฐสภาทนไม่ไหว ให้ฉายาฝ่ายนิติบัญญัติในปี 2552 ว่า "ถ่อย-เถื่อน-ถีบ" !
โดยให้คำอธิบายว่า "พฤติกรรม ส.ส.ที่ก้าวร้าวมากขึ้น นอกจากไม่เป็นแบบอย่างที่ดีของสภาผู้ทรงเกียรติแล้ว ยังมีส่วนกระตุ้นให้สังคมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง โดยไม่ใช้หลักเหตุผล"
อีกครั้งที่มีเรื่องอื้อฉาว ไม่นานมานี้เอง กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นประท้วง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภา ขณะกำลังอภิปรายญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยสีหน้า แดงก่ำ
เป็นเหตุให้ รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ปชป.ต้องกดไมค์พูดทันควันว่า "ประธานให้คนเมาประท้วงได้อย่างไร ต้องจับไปตรวจแอลกอฮอล์" ร้อนถึง "บิ๊กเหลิม" ที่ต้องแก้ตัวว่า "ไม่ได้เมาเหล้า แต่เมารัก"
ยิ่งรวมกรณีล่าสุด ทั้งภาพอล่างฉ่างโผล่จอมอนิเตอร์ หรือ ณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม. ปชป.ยอมรับว่าดูคลิปหวิวในห้องประชุมจริง
สารพัดเรื่อง "อื้อฉาว" เหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาไทยมีภาพลักษณ์ตกต่ำ กระทั่งชาวบ้านต่างเอือมระอา แม้บางครั้งจะเกิดความไม่ตั้งใจก็ตาม !!!
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สภาฯเรียกไอซีที ส่งทีมสอบรูปโป๊โผล่กลางสภา !!?
สภาฯเรียก"ไอซีที" ส่งทีมสอบรูปโป๊โผล่กลางสภา เชื่อเชื่อมสัญญาณจากไวไฟ เหตุเจ้าหน้าที่ตัดภาพไม่ได้ ขู่หากพบ ส.ส. เป็นคนทำ ถือผิดวินัยร้ายแรง
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฏร ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อขอความอนุเคราะห์ส่งเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารสนเทศ หลังจากที่เกิดภาพผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อย ปรากฎอยู่ในจอทีวี ภายในห้องประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 และเมื่อเวลา14.55 น. ทางกระทรวงไอซีที ได้ส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 4 คนมาให้ข้อมูล และตรวจสอบเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตั้งสมมติฐานก่อนตรวจสอบว่า จากที่เห็นภาพในข่าว คาดว่า เป็นภาพสกรีนเซฟเวอร์ (ภาพพักหน้าจอ) จากจอคอมพิวเตอร์ภายในห้องควบคุม เพราะภาพพื้นหลังนอกกรอบของรูปภาพเป็นสีดำ
จากนั้นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงไอซีที ได้เข้าไปตรวจสอบภายในห้องโสตทัศนูปกรณ์ และมีเจ้าหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร ให้ข้อมูล โดยเจ้าหน้าที่ควบคุม ระบุยืนยันว่า ภาพไม่เหมาะสมดังกล่าวไม่ได้มาจากห้องควบคุม เพราะช่วงที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ภายในห้องประชุมรัฐสภาโทรศัพท์มาแจ้งเจ้าหน้าที่ห้องควบคุมว่า มีภาพโป๊ปรากฏบนจอพลาสมา ที่ติดตั้งอยู่ท้ายห้องประชุมรัฐสภา แต่เจ้าหน้าที่ห้องควบคุมไม่สามารถตัดภาพได้เอง เพราะไม่ได้มาจากห้องควบคุม เจ้าหน้าที่จึงใช้วิธีตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังจอทีวีในห้องประชุมแทน
เจ้าหน้าที่ห้องควบคุมคนเดิม กล่าวชี้แจงต่อว่า ทีวีทั้ง 4 ตัวที่ติดตั้งภายในห้องประชุมนั้น เป็นยี่ห้อแอลจี ซึ่งมีตัวส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ต (ดองเกิ้ล) ติดตั้งอยู่บริเวณด้านข้าง เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินที่ไม่สามารถส่งสัญญาณทางสาย (เอวี) ได้ อย่างไรก็ตามช่วงที่มีการตรวจรับของ เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2554 ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายไอที ที่ตรวจรับอุปกรณ์ชุดดังกล่าว ได้ทดสอบระบบรวมถึงอุปกรณ์ที่เรียกว่าดองเกิ้ล (อุปกรณ์อีเล็คโทรนิคส์ มีหน้าที่เป็นตัวถอดรหัสสัญญาณ ใส่เพิ่มเติมไว้เพื่อรับชมช่องรายการที่เข้ารหัส) ด้วย แต่ไม่ได้ใส่รหัสเพื่อป้องกันการใช้งานไว้ ดังนั้นเมื่อมีอุปกรณ์ที่มีโปรแกรม หรือ แอพลิเคชั่น ในโทรศัพท์มือถือ แบบสมาร์ทโมบาย ที่สามารถค้นหา (จูน) สัญญาณดองเกิล ของทีวีเครื่องใดๆ แล้วก็สามารถเชื่อมต่อได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้ารหัสก่อน และเมื่อเชื่อมต่อได้แล้วจอทีวีจะเสมือนเป็นหน้าจอของโทรศัพท์เครื่องที่เชื่อมต่อได้ ทั้งนี้ตัวรับสัญญาณดังกล่าวมีระยะรับสัญญาณได้ 10-30 เมตร โดยระบบปฏิบัติการที่รองรับกับดองเกิลได้ คือ โอเอสแอนดรอย หรือแอพลิเคชั่น บนไอโฟน ที่มีชื่อว่า ออล์แชร์
เจ้าหน้าที่ชี้แจงด้วยว่า ระบบควบคุมภาพในห้องโสตนั้น ส่วนใหญ่ จะใช้ช่องสัญญาณแบบเอวี คือ มีสายเชื่อมต่อ และใช้วิธีสับสวิทซ์ แบบแมนนัล ดังนั้นก่อนที่ภาพที่ถูกถ่ายมาจากกล้องจะปรากฎออกมาเป็นภาพอย่างที่ประชาชนเห็นตามการถ่ายทอดผ่านช่องเอ็นบีที หรือภาพที่ปรากฎในโทรทัศน์วงจนปิดภายในอาคารรัฐสภา จำเป็นต้องใช้คนควบคุม และสับสวิทซ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลอยู่ประมาณ 3-4 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่จากกระทรวงไอซีทีได้ใช้เวลาตรวจสอบรวมกว่า 1 ชั่วโมง และเปิดเผยว่า จากการให้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ที่ระบุว่าพบเครื่องหมายโหลดดิ้ง บนหน้าจอทีวี ก่อนที่ภาพจะตัดจากการประชุมร่วมรัฐสภา เป็นภาพโป๊ นั้นสันนิษฐานได้ว่า อาจเชื่อมต่อมาจากสัญญาณไวไฟ เพราะหากเป็นภาพที่เชื่อมมาจากสายเอวี นั้นภาพจะตัดสลับโดยทันที แต่ตนยังสงสัยเหตุการณ์ดังกล่าว ทำไมถึงเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ได้ทันที โดยไม่มีการใช้รีโมทคอนโทรล ซึ่งถือว่าเป็นระบบใหม่ที่ตนยังไม่เคยเห็น
ผู้สื่อข่าวรายว่าวานนี้ภายหลังจากปิดประชุม นายไพจิต พร้อมเจ้าหน้าทีเทคนิคของ สภาได้เข้าไปทดสอบระบบ และได้ใช้ดทรศัพท์ มือถือเข้าไปเชื่อมต่อสัญญาณผ่านระบบมือถือ พบว่าสามารถเชื่อมต่อได้ และภาพที่ปรากฏบนจอมือถือก็ขึ้นไปโผล่ในจอทีวี ซึ่งเบื้องต้นคณะของนายไพจิตก็สรุปได้ว่าน่าจะเป็นภาพจากมือถือ
ด้านนายไพจิต กล่าวว่าทางกรรมาธิการกิจการสภาฯ อยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดว่าระบบส่งภาพที่ส่งมาจากโทรศัพท์มือถือของสมาชิกรัฐสภานั้นมาได้อย่างไร เพราะเชื่อว่าอยู่ดีๆ ภาพจะมาปรากฎบนจอทีวีเองไม่ได้ ต้องมีการจูนรหัส ให้ตรงกับช่องสัญญาณของทีวี เบื้องต้นนั้นถือว่าผิดธรรมชาติ ทั้งนี้หากตรวจสอบพบว่าเป็นการจงใจให้สภานิติบัญญัติเสื่อมเสียชื่อเสีย ก็จะดำเนินการส่งผลการตรวจสอบให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ฐานะประธานคณะกรรมการจริยธรรมสภาฯ ให้เอาผิดทันที
ส่วนประเด็นที่นายณัฎฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวในประเด็นที่เกี่ยวข้องว่า ช่วงการประชุมนั้นได้ดูรูปโป๊บนมือถือนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ออกมายอมรับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องตรวจสอบว่ามีเจตนาใดหรือไม่ หากพบว่าเป็นเจตนาจะถือว่าได้ทำผิดจริยธรรมของส.ส.อย่างร้ายแรง และถือว่าเป็นการทำหน้าที่ไม่เหมาะสม
“ประเด็นการใช้เครื่องมืออิเล็คทรอนิกส์ในห้องประชุมสภาฯ ถือเป็นข้อห้ามหนึ่งในข้อบังคับจริยธรรม แต่ผมยอมรับว่าช่วงที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ประเด็นนี้ก็ห้ามยาก อีกทั้งการติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ตภายในห้องประชุมนั้นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกเพื่อค้นหาข้อมูล แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้คงต้องมาดูข้อบังคับกันอีกครั้งว่าจะปรับปรุงหรือไม่” นายไพจิต กล่าว
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฏร ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อขอความอนุเคราะห์ส่งเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารสนเทศ หลังจากที่เกิดภาพผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อย ปรากฎอยู่ในจอทีวี ภายในห้องประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 และเมื่อเวลา14.55 น. ทางกระทรวงไอซีที ได้ส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 4 คนมาให้ข้อมูล และตรวจสอบเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตั้งสมมติฐานก่อนตรวจสอบว่า จากที่เห็นภาพในข่าว คาดว่า เป็นภาพสกรีนเซฟเวอร์ (ภาพพักหน้าจอ) จากจอคอมพิวเตอร์ภายในห้องควบคุม เพราะภาพพื้นหลังนอกกรอบของรูปภาพเป็นสีดำ
จากนั้นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงไอซีที ได้เข้าไปตรวจสอบภายในห้องโสตทัศนูปกรณ์ และมีเจ้าหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร ให้ข้อมูล โดยเจ้าหน้าที่ควบคุม ระบุยืนยันว่า ภาพไม่เหมาะสมดังกล่าวไม่ได้มาจากห้องควบคุม เพราะช่วงที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ภายในห้องประชุมรัฐสภาโทรศัพท์มาแจ้งเจ้าหน้าที่ห้องควบคุมว่า มีภาพโป๊ปรากฏบนจอพลาสมา ที่ติดตั้งอยู่ท้ายห้องประชุมรัฐสภา แต่เจ้าหน้าที่ห้องควบคุมไม่สามารถตัดภาพได้เอง เพราะไม่ได้มาจากห้องควบคุม เจ้าหน้าที่จึงใช้วิธีตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังจอทีวีในห้องประชุมแทน
เจ้าหน้าที่ห้องควบคุมคนเดิม กล่าวชี้แจงต่อว่า ทีวีทั้ง 4 ตัวที่ติดตั้งภายในห้องประชุมนั้น เป็นยี่ห้อแอลจี ซึ่งมีตัวส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ต (ดองเกิ้ล) ติดตั้งอยู่บริเวณด้านข้าง เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินที่ไม่สามารถส่งสัญญาณทางสาย (เอวี) ได้ อย่างไรก็ตามช่วงที่มีการตรวจรับของ เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2554 ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายไอที ที่ตรวจรับอุปกรณ์ชุดดังกล่าว ได้ทดสอบระบบรวมถึงอุปกรณ์ที่เรียกว่าดองเกิ้ล (อุปกรณ์อีเล็คโทรนิคส์ มีหน้าที่เป็นตัวถอดรหัสสัญญาณ ใส่เพิ่มเติมไว้เพื่อรับชมช่องรายการที่เข้ารหัส) ด้วย แต่ไม่ได้ใส่รหัสเพื่อป้องกันการใช้งานไว้ ดังนั้นเมื่อมีอุปกรณ์ที่มีโปรแกรม หรือ แอพลิเคชั่น ในโทรศัพท์มือถือ แบบสมาร์ทโมบาย ที่สามารถค้นหา (จูน) สัญญาณดองเกิล ของทีวีเครื่องใดๆ แล้วก็สามารถเชื่อมต่อได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้ารหัสก่อน และเมื่อเชื่อมต่อได้แล้วจอทีวีจะเสมือนเป็นหน้าจอของโทรศัพท์เครื่องที่เชื่อมต่อได้ ทั้งนี้ตัวรับสัญญาณดังกล่าวมีระยะรับสัญญาณได้ 10-30 เมตร โดยระบบปฏิบัติการที่รองรับกับดองเกิลได้ คือ โอเอสแอนดรอย หรือแอพลิเคชั่น บนไอโฟน ที่มีชื่อว่า ออล์แชร์
เจ้าหน้าที่ชี้แจงด้วยว่า ระบบควบคุมภาพในห้องโสตนั้น ส่วนใหญ่ จะใช้ช่องสัญญาณแบบเอวี คือ มีสายเชื่อมต่อ และใช้วิธีสับสวิทซ์ แบบแมนนัล ดังนั้นก่อนที่ภาพที่ถูกถ่ายมาจากกล้องจะปรากฎออกมาเป็นภาพอย่างที่ประชาชนเห็นตามการถ่ายทอดผ่านช่องเอ็นบีที หรือภาพที่ปรากฎในโทรทัศน์วงจนปิดภายในอาคารรัฐสภา จำเป็นต้องใช้คนควบคุม และสับสวิทซ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลอยู่ประมาณ 3-4 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่จากกระทรวงไอซีทีได้ใช้เวลาตรวจสอบรวมกว่า 1 ชั่วโมง และเปิดเผยว่า จากการให้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ที่ระบุว่าพบเครื่องหมายโหลดดิ้ง บนหน้าจอทีวี ก่อนที่ภาพจะตัดจากการประชุมร่วมรัฐสภา เป็นภาพโป๊ นั้นสันนิษฐานได้ว่า อาจเชื่อมต่อมาจากสัญญาณไวไฟ เพราะหากเป็นภาพที่เชื่อมมาจากสายเอวี นั้นภาพจะตัดสลับโดยทันที แต่ตนยังสงสัยเหตุการณ์ดังกล่าว ทำไมถึงเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ได้ทันที โดยไม่มีการใช้รีโมทคอนโทรล ซึ่งถือว่าเป็นระบบใหม่ที่ตนยังไม่เคยเห็น
ผู้สื่อข่าวรายว่าวานนี้ภายหลังจากปิดประชุม นายไพจิต พร้อมเจ้าหน้าทีเทคนิคของ สภาได้เข้าไปทดสอบระบบ และได้ใช้ดทรศัพท์ มือถือเข้าไปเชื่อมต่อสัญญาณผ่านระบบมือถือ พบว่าสามารถเชื่อมต่อได้ และภาพที่ปรากฏบนจอมือถือก็ขึ้นไปโผล่ในจอทีวี ซึ่งเบื้องต้นคณะของนายไพจิตก็สรุปได้ว่าน่าจะเป็นภาพจากมือถือ
ด้านนายไพจิต กล่าวว่าทางกรรมาธิการกิจการสภาฯ อยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดว่าระบบส่งภาพที่ส่งมาจากโทรศัพท์มือถือของสมาชิกรัฐสภานั้นมาได้อย่างไร เพราะเชื่อว่าอยู่ดีๆ ภาพจะมาปรากฎบนจอทีวีเองไม่ได้ ต้องมีการจูนรหัส ให้ตรงกับช่องสัญญาณของทีวี เบื้องต้นนั้นถือว่าผิดธรรมชาติ ทั้งนี้หากตรวจสอบพบว่าเป็นการจงใจให้สภานิติบัญญัติเสื่อมเสียชื่อเสีย ก็จะดำเนินการส่งผลการตรวจสอบให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ฐานะประธานคณะกรรมการจริยธรรมสภาฯ ให้เอาผิดทันที
ส่วนประเด็นที่นายณัฎฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวในประเด็นที่เกี่ยวข้องว่า ช่วงการประชุมนั้นได้ดูรูปโป๊บนมือถือนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ออกมายอมรับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องตรวจสอบว่ามีเจตนาใดหรือไม่ หากพบว่าเป็นเจตนาจะถือว่าได้ทำผิดจริยธรรมของส.ส.อย่างร้ายแรง และถือว่าเป็นการทำหน้าที่ไม่เหมาะสม
“ประเด็นการใช้เครื่องมืออิเล็คทรอนิกส์ในห้องประชุมสภาฯ ถือเป็นข้อห้ามหนึ่งในข้อบังคับจริยธรรม แต่ผมยอมรับว่าช่วงที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ประเด็นนี้ก็ห้ามยาก อีกทั้งการติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ตภายในห้องประชุมนั้นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกเพื่อค้นหาข้อมูล แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้คงต้องมาดูข้อบังคับกันอีกครั้งว่าจะปรับปรุงหรือไม่” นายไพจิต กล่าว
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)