เปิดใจ"วรเจตน์ ภาคีรัตน์ "แกนนำกลุ่มนิติราษฏร์ครั้่งแรก หลังถูกทำร้าย เผยกลุ่มไม่เห็นด้วยไม่ใช้เหตุและผลต่อสู้กัน ยันเปิดพื้นที่ถกเถียงกัน
นายวรเจตน์ กล่าวว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ทำร้ายตนเกิดขึ้น ได้ติดตามการแสดงความคิดเห็นของกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งเห็นว่ายังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยังคงปิดหูปิดตา และมีหลายที่ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายมาด่าท้อด้วยความไม่มีเหตุผลประกอบใดๆ ทั้งสิ้น โดยบางคนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงสังคมได้แสดความสะใจออกมา เรื่องนี้ได้สะท้อนพื้นฐานระดับจิตใจบางคนอย่างไรก็ตามเรื่องนี้ขอให้เป็นเรื่องของการกาลเวลาที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ เรื่องนี้เป็นเรื่องของความคิดเห็นที่เราจะเปลี่ยนแปลงความคิดเของเขาไม่ได้
"ผมเองก็ได้แต่สังเวชใจ เรื่องนี้ผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจในกลุ่มคนพวกนี้มากนัก เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาตอบโต้ในเรื่องของความรู้สึก มากกว่าการใช้เหตุและผลมาต่อสู้กัน "
เมื่อถามว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว มันไม่ได้ทำให้เกิดความอ่อนล้าในเรื่องของความรู้สึกบ้างหรือไม่ นายวรเจตน์ กล่าวว่า สำหรับตนเองแล้ว ได้ผ่านความรู้สึกในเรื่องดังกล่าวมาหมดแล้ว เพราะได้ถูกโจมตี และได้ถูกกล่าวหามาหลายเรื่อง ทั้งที่ไม่ตรงกับความจริงเลย และทุกวันนี้ก็ยังถูกกกล่าวหาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกล่าวหาว่าได้รับเงินพ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อจะโค่นล้มเจ้า และโค่นล้มสถาบันอะไรต่าง ซึ่งเรื่องนี้มีการกล่าวหาตนมาโดยตลอด ซึ่งมันไม่ได้เป็นความจริง ส่วนตัวแล้วไม่เคยหวั่นไหวในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง
"เชื่อว่ากาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงทั้งหมด การกระทำของตนเองทั้งหมด ถือว่าทำทุกอย่างด้วยเจตนาดี และด้วยความหวังดี ไม่มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงใดๆ ทั้งสิ้น และตนเองก็ไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไรเลย
เมื่อถามว่า ไม่คิดว่าตัวเองโดนโจมตีจากทุกทิศทุกทางหรือไม่ นายวรเจตน์ กล่าวว่า ยอมรับว่ามีความรู้สึกอย่างนั้น แต่ในบางครั้งเราก็จำเป็นที่จะต้องอดทน แต่ก็ใช้ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งมันไม่มีวิธีอื่นที่จะมาพิสูจน์ ส่วนการตอบโต้ด้วยวิธีการรุนแรงนั้นไม่มีประโยชน์เลย
เมื่อถามว่า ความตั้งหวังของตนเองที่ตั้งเอาไว้ไม่ ถือว่าเป็นการตั้งต้นทุนที่มากจนเกินไปหรือเปล่า นายวรเจตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ทราบ และเรื่องเหล่านี้ไม่เคยประเมิน เพราะทุกครั้งที่ตัดสินใจทำเรื่องอะไรออกไปจะคำนึงเรื่องพื้นฐานของหลักการที่ตนเองคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
เมื่อถามว่า การออกพูดในเรื่องมาตรา 112 ของตนเองในเวทีต่างๆ ถือว่าเป็นการออกมาสอนหนังสือ หรือว่าเป็นการออกมาเคลื่อนไหว นายวรเจตน์ กล่าวว่า ตนมีอาจารย์เป็นครูบาอาจารย์ ที่จะต้องสอนหนังสือ ดังนั้นการที่ตนไปพูดในเวทีต่างๆ ถือว่าเป็นการให้ความรู้ ไม่ใช่เป็นการเคลื่อนไหว เมื่อมีการพูดออกไปแล้ว ก็พยายามรับฟังข้อมูล การเสนอ หรือข้อท้วงติงต่างๆ ก็นำกลับมาคิดและรับฟังสิ่งต่างๆที่มีการเสนอแนะออกมา การพูดของตนเองก็พูดอย่างเปิดเผยที่จะบอกกับสังคม และการที่ตนออกมาพูดนั้นไม่ได้สนองความต้องการของคนใดคนหนึ่งอย่างแน่นอน
"สิ่งที่ผมออกมาพูดในเรื่องนี้ ไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนความคิดของคนทุกคนในระยะเวลาวันสองวันได้ เรื่องอย่างนี้จะต้องใช้เวลา เป็นเพียงแต่สิ่งที่ผมออกมาพูดนั้น เป็นเพียงมาตราฐานขั้นต่ำของสังคมประชาธิปไตย ที่จะให้ได้มีการพูดคุยกันอย่างเป็นเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล ไม่เอาเรื่องของความรู้สึก เรื่องความชัง หรือเรื่องของอคติมาสู้กัน และสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมที่มีการเอาข้อมูลมาแย้ง สิ่งที่ผมออกมาพูด ผมถือว่าสิ่งที่ ผมพูดนั้นประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าเหตุผลที่ออกมาจะข้อบกพร่องก็ตาม ต่อไปเรื่อยๆก็จะมีการพัฒนาไป และก็จะไปสู่จุดที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ " นายวรเจตน์ กล่าวว่า
เมื่อถามว่า แค่ไหนที่ตัวเองจะถือว่าควรจะหยุด นายวรเจตน์ กล่าวว่า เราจะไม่ถอยจากความเป็นคน ความเป็นมนุษย์ ที่จะมาตัดสินกันด้วยกำลัง เพราะการตัดสินกันด้วยกำลังนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ เรื่องนี้หากจะต้องใช้เวลาอีกนาน หรืออีกหลายปีที่จะต้องอธิบายความเพื่อให้ไปถึงจุดที่ให้มีการปรับเปลี่ยน ก็คงจะต้องพูดอธิบาย แม้ว่าจะเป็นกลุ่มที่จะรับฟังเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนน้อยนิด ตนก็คงจะต้องอธิบายต่อไป เนื่องจากในสังคมทุกสังคม จำเป็นที่จะต้องมีที่ยืนให้กับคนทุกคนทุกความเห็น และการพูดคุยถกเถียงกันนั้นไม่ได้ไปทำร้ายใคร เหมือนการไปใช้กำลัง เรื่องนี้แม้ว่าจะมีคนที่ไม่เห็นด้วยกันตนในเรื่องนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะมีในเรื่องของสิ่งที่เป็นขั้นต่ำของสังคม คือจะต้องมีการเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงกันอย่างเป็นอารยะ
เมื่อถามว่า เมื่อมาดูแล้วก็มำให้เชื่อว่าสิ่งที่อาจารย์เสนอออกมานั้น ก็ไม่ได้รับการแก้ไขใช่หรือไม่ นายวรเจตน์ กล่าวว่า เท่าที่ดูจากแนวโน้มของฝ่ายการเมืองทั้งหมด ก็คงจะไม่มีการแก้ไข เพราะอำนาจทั้งหมดในการแก้ไขไม่ใช่ตน และไม่ใช่ประชาชนที่เข้าชื่อ แต่คือส.ส. และส.ว. ที่อยู่ในสภา เมื่อพรรคการเมืองใหญ่ทั้งหมด เขาได้ออกมาบอกว่าจะไม่แตะต้องมาตรานี้ แนวโน้มของการแก้ไขก้คงจะไม่เกิดขึ้น แต่การไม่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ทำให้กลุ่มคนที่เห็นว่ามาตรานี้ควรจะต้องแก้ไข มาตรานี้กำลังมีปัญหา ก็ควรจะต้องให้เขาพวกนั้นได้มีโอกาสได้พูด
" สิ่งที่ผมมีความแปลกใจ และเสียใจ คือ หลังจากที่กลุ่มนิติราษฎร์ได้ออกมาเปิดประเด็นในเรื่องนี้แล้ว กลุ่มคนที่น่าจะมีความเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มนักวิชาการ หรือกลุ่มที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวกับฝ่ายการเมือง ควรจะออกมาแสดงความคิดเห็นจากข้อเสนอดังกล่าว แต่สิ่งที่ปรากฎ คือ กลับไม่มีกรเคลื่อนไหวในเรื่องนี้แต่อย่างใด ทุกคนที่เกี่ยวข้องกลับเงียบ ไม่แสดงท่าทีใด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าาแปลกใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามผมยอมรับว่าหลังจากที่ผมออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้แล้ว ผมได้สูญเสียบุคคลที่เคารพนับถือไปจำนวนไม่น้อย รวมทั้งเพื่อนนักวิชาการจำนวนมาก โดยเฉพาะอาจารย์ในคณะเดียวกันกับตน บางคนก็ไม่พูดคุยด้วย " นายวรเจตน์ กล่าว
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น