--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

บ้านใคร-บ้านมัน !!?

ขอบคุณพี่น้องทุกคนที่เป็นห่วง ตอนนี้ข่าวเล่นผมเละ... ผมขอบอกไว้ตอนนี้เลยว่าผมไม่เหลือง ผมไม่แดง ผมไม่เคยไปเผาหุ่น ปืนผมซื้อมายิงแต่เป้ากระดาษ อย่างน้อยในสักครั้งที่ผมได้ทำเพื่อชาติ เพื่อสถาบันที่ผมรัก...ผลที่ตามมา... ผมรับได้...วันที่ 12 มีนาฯ ตำรวจนัดที่ สน.ชนะสงคราม ผมต้องขอบอกว่าผมไม่รับเงินช่วยเหลือนะครับ เกรงว่าจะมีคนแอบอ้างหลอกเงินกัน.. อดเยี่ยงอย่างเสือ...สงวนศักดิ์ โซก็เซาะใส่ท้อง...หาเนื้อกินเอง...”

นี่คือข้อความของนายสุพจน์ ศิลารัตน์ หนึ่งในคู่แฝดที่ทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ที่ใช้ชื่อ “สุพจน์ รักในหลวง” และ “จากใจเลวๆของฝาแฝด” ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่าพี่น้องฝาแฝด “นายสุพจน์” และ “นายสุพัฒน์ ศิลารัตน์” ไม่เกรงกลัวกฎหมายหรือคิดว่าเป็นการกระทำป่าเถื่อนเลย เช่นเดียวกับบรรดาสลิ่มที่โพสต์ข้อความยกย่องว่าเป็นเยี่ยงวีรบุรุษ (อ่านบทความประกอบในคอลัมน์ถนนประชาธิปไตย หน้า 5)

งานเข้า “แฝดนรก-แก๊งปืนเถื่อน”!

แม้พี่น้องฝาแฝดคู่นี้จะถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย ซึ่งโทษไม่รุนแรง แต่ที่น่าสนใจกลับเป็นเรื่องปืน kimber custom target ii ที่นายสุพจน์โชว์ในเฟซบุ๊คว่าเป็น ปืนในครอบครองและเป็นแชมป์ยิงปืนหลายเวทีนั้นเป็นทะเบียนปลอม หรือทะเบียนสวม หรือทะเบียนจริง ซึ่งตามทะเบียนถือปืนต้องเป็นโควตาของทหาร โดยใช้สิทธิทหารพรานที่ซื้อปืนสวัสดิการเท่านั้น ซึ่งทั้งสองไม่ได้เป็นข้าราชการและไม่ได้เป็นทหาร

ที่สำคัญตามกฎหมายผู้จะครอบครองปืนชนิดนี้ได้ต้องเป็นข้าราชการและต้องมีเอกสารรับรองจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งต้องมีการสอบยิงปืนจึงจะไปขอยื่นต่อนายทะเบียนได้ ทำให้มีการตั้งข้อสันนิษ ฐานว่าปืนดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับ “แก๊งค้าปืนเถื่อน” และเกี่ยวกับ “ใคร” เป็นผู้ขอ ใครเซ็นรับรอง ใครออกทะเบียนให้ คดีทำร้ายร่างกายจึงอาจบานปลายถึงผู้ที่เซ็นรับรองจนถึงคนขายปืนที่ผิดกฎหมายทั้งหมด เพราะเป็นการทำเอกสารราชการปลอมโดยเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็น

บทเรียนการต่อสู้?

อย่างไรก็ตาม การทำร้ายนายวรเจตน์ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่าไม่ว่าจะเป็นการกระทำของพี่น้องฝาแฝดเองหรือมีใบสั่งก็เป็นสัญญาณชี้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งพยายามจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเกิดความรุนแรง โดยเฉพาะประเด็นมาตรา 112 หรือที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง

นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ประเทศไทยกำลังป่วยหนัก และเสนอให้คณะนิติราษฎร์ทบทวนกระบวนการเคลื่อนไหวหรือยุติการล่ารายชื่อเพื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 แต่ไม่ได้ยุติการเสนอ ความคิดทางวิชาการ เพราะคนจำนวนมากที่ประณามการกระทำของพี่น้องฝาแฝด รวมทั้งนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งยืนคนละซีกกับคณะนิติราษฎร์ก็ออกมาประณาม การกระทำของผู้ใช้กำลังและความรุนแรง

ขณะที่ “ใบตองแห้ง” คอลัมนิสต์ซีกฝ่ายประชาธิปไตย ก็ตั้งคำถามในบทความชื่อ “รักในหลวงต้องคลั่ง” ว่า “ทำไมความรักในหลวงต้องมาพร้อม กับความโกรธ เกลียดชัง คลั่งแค้นผู้ที่มีความเห็นต่าง มาพร้อมกับความคับแคบ ไร้สติ ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น”

นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ก่อนที่หมัดเถื่อนจะชกออกมาก็คือคำโกหกเถื่อนๆเรื่อง “ล้มเจ้า” ของผู้เรียกตัวเองว่าสื่อและนักวิชาการที่ปูพื้นเตรียมการทางความคิดให้คนบ้าเลือด สิ้นคิด หูเบาที่ไหนก็ได้ หลงเชื่อคำใส่ร้ายป้ายสี โกหกบิดเบือนให้มีการทำร้ายนายวรเจตน์ ซึ่งหว่านเพาะเชื้ออวิชชา มุสาวาทา และความเกลียดชังให้เพิ่มพูนขึ้นแก่สังคมไทย

ล้มเจ้า-ลดพระราชอำนาจ?

“สิ่งที่ผมทำผมทำในกรอบของวิชาการ และเป็นการแสดงความเห็นต่อสาธารณะ เราคงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิตเราไม่ได้ ผมจะทำต่อไป เพราะผมทำในกรอบของกฎหมายทุกอย่าง อยู่ในกรอบของหลักการที่ถูกต้อง และผมก็ทำเท่าที่เวลาอำนวย ผมมีงานที่ต้องตรวจข้อสอบ สอนหนังสือ แต่เมื่อมีความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะก็ทำ”

นายวรเจตน์แถลงกับผู้สื่อข่าวหลังจากถูกทำร้ายเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งนายวรเจตน์และอาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ยอมรับว่าที่ผ่านมาถูกข่มขู่มาตลอดหลังจากเคลื่อนไหวให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ที่เครือข่ายกลุ่มสลิ่มบิดเบือนและกล่าวหาว่ากลุ่มนิติราษฎร์เป็นพวก “ล้มเจ้า” แทนที่ จะโต้แย้งด้วยเหตุผลว่าทำไมจึงไม่จำเป็นต้องแก้ไข แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เองก็ยังมองต่างจากคณะนิติราษฎร์ว่าตัวมาตรา 112 ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาที่วิธีการนำไปใช้และการนำไปปฏิบัติ

บ้านเลขที่ 112

แต่ไม่ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะตัดเกมหรือปิดจุดอ่อน ประกาศชัดเจน ว่าจะไม่แก้ไขทั้งมาตรา 112 หรือการแก้ไขรัฐธรรม นูญก็จะไม่มีการแก้ไขหมวดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ โดยเด็ดขาดก็ตาม แต่พรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ และกลุ่มสลิ่มก็พยายามปลุกระดมให้เชื่อว่าการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับก็เพื่อยึดอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการไว้ในมือทั้งหมด รวมทั้งล้มล้างองค์กร อิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรม นูญและศาลปกครอง เพื่อฟอก พ.ต.ท.ทักษิณให้พ้นผิด ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับ “พระราชอำนาจ”

ปัญหามาตรา 112 จึงเหมือน “ภูเขาน้ำแข็ง” ที่มีปัญหาอยู่จริง แต่ไม่มีใครมองเห็น รอเพียงกาลเวลาที่สุกงอมเท่านั้น แม้กลุ่มนิติราษฎร์และนักสิทธิมนุษยชนจะหยุดการรณรงค์การรวบรวมรายชื่อเพื่อแก้ไขมาตรา 112 หรือไม่ก็ตาม แต่ไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวที่จะให้ความรู้กับประชาชน โดยเฉพาะเรื่องของสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและสิทธิความเป็นมนุษย์

รวมกลุ่มเกลียดทักษิณ

สถานการณ์ทางการเมืองจึงไม่ใช่แค่ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ยังวนเวียนอยู่กับวาทกรรม “ล้มเจ้า” และ “ทุนนิยมสามานย์” ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์และ พ.ต.ท.ทักษิณต้องทำให้ฝ่ายที่ต่อต้านไม่สามารถปลุกกระแสได้อย่างในอดีต

แม้วันนี้พันธมิตรฯจะอยู่ในสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาดและต้องประคองกลุ่มที่เหลือให้ยังมีปากมีเสียงบ้างเป็นครั้งคราวก็ตาม ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำได้แค่เป็นฝ่ายค้านที่ “ค้านทุกเรื่องโจมตีทุกรูปแบบ” โดยล่าสุดได้กระโจนเข้าสู่งานกฐินสหบาทาทักษิณ ประกาศ “ปฏิญญาหาดใหญ่” ที่เป็นมติของที่ประชุมสัมมนาสาขาพรรค 14 จังหวัดภาคใต้ และมีมติพร้อมจะปลุกระดมมวลชนให้ออกมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยระบุว่าเป็นการแก้เพื่อทักษิณ

ขณะที่พันธมิตรฯนอกจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ที่เรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหาร แล้ว ยังเตรียมนัดประชุมใหญ่วันที่ 10 มีนาคมนี้ เพื่อกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหวต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ อ้างผลสำรวจของโพลสำนักต่างๆว่าประชาชนกว่า 58% ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรม นูญขณะนี้ แต่จะยังไม่ออกมาเคลื่อนไหวจนกว่าจะเห็นเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญก่อน แต่ก็แบะท่าว่าพร้อมจะร่วมต่อต้านรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มสยามสามัคคี และกลุ่ม ส.ว.สรรหา ที่มองข้ามไม่ได้ แม้การ เคลื่อนไหวล่าสุดจะไม่ได้รับความสนใจมากนักก็ตาม แต่ถือเป็นกลุ่มที่พร้อมจะออกมาต่อต้านรัฐบาลและระบอบทักษิณที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง

สร้างความปรองดอง

วันนี้แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยจะสามารถคุมเสียงในสภาได้ และยังได้รับการสนับสนุนจากคนเสื้อแดง แต่หากประมาทหรือลุแก่อำนาจก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดวงจรอุบาทว์ เพราะต้องยอมรับความจริงว่าคนไทยส่วนหนึ่งไม่ได้รังเกียจรัฐประหารและพร้อมจะสนับสนุนอีกด้วยหากถูกทำให้เชื่อว่านักการเมืองเลวและคอร์รัปชัน โดยเฉพาะประเด็นสถาบันเบื้องสูงที่ยังถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมากสำหรับสังคมไทย แม้ประชาชนจะรู้ดีว่ามีการแอบอ้างและดึงสถาบันไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองก็ตาม

พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต้องปิดตายไม่ให้ถูกบิดเบือนและถูกป้ายสีเหมือนในอดีต จึงไม่แปลกที่ พ.ต.ท.ทักษิณวันนี้ยังถูกป้ายสีเรื่องของสถาบัน ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะพยายามพูดหรือแสดงออกอย่างไรก็ตาม

บทบาทและผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงมีความสำคัญอย่างมากกับการยุติการบิดเบือนและใส่ร้ายป้ายสีจากฝ่ายตรงข้าม อย่างที่สถาบันพระปกเกล้าได้สรุปผลวิจัยเรื่องการสร้างความปรองดองแห่งชาติต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติว่าต้องให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดำเนินการค้นหาความจริงความรุนแรงทางการเมืองให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และเปิดเผยข้อเท็จจริงโดยไม่ระบุตัวบุคคล เพื่อให้สังคมเรียนรู้เป็นบทเรียนและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกในอนาคต

นอกจากนี้ให้มีกระบวนการนิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองกับผู้ชุมนุมทุกฝ่าย เจ้าหน้าที่รัฐและผู้บังคับบัญชา ตลอดจนถึงผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมถึงการกำหนดกติกาทางการเมืองที่ต้องให้มีการยอมรับทั้งเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย โดยแก้ไขกฎหมายหลักและรัฐธรรมนูญที่ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรมและความเป็นประชาธิปไตย

บ้านเลขที่ 111

เรื่องการปรองดองจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องการมากที่สุด เพราะหมายถึงการทำให้ พ.ต.ท. ทักษิณกลับมาโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ นอกจากนี้เท่ากับ กลุ่มอำนาจนอกระบบยอมยุติความขัดแย้งที่ร้าวลึกมากว่า 5 ปี แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องมีเสถียรภาพด้วย ไม่ใช่ยังไม่มีผลงานที่เข้าตาประชาชน แม้แต่คนเสื้อแดงเองก็ยังไม่พอใจผลงานของรัฐบาลนัก แม้จะได้รับความชื่นชมเรื่องการปราบปรามยาเสพติดก็ตาม

พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต้องเร่งสร้างผลงานให้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีความรู้ความ สามารถเข้ามาช่วย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็พูดชัดเจนว่าสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่จะพ้นโทษในเดือนพฤษภาคมนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนการเมืองที่สำคัญ โดยเฉพาะการสร้างผลงานให้กับรัฐบาล แม้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะไม่ได้กลับมาอยู่กับพรรคเพื่อไทยทั้งหมดก็ตาม

แต่สมาชิกที่เหลืออยู่ก็ถือเป็นระดับแกนนำสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์, นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นายวราเทพ รัตนากร, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายภูมิธรรม เวชยชัย, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ, พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์, นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล, นายประจวบ ไชยสาส์น, นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา, นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล, น.ต.ศิธา ทิวารี, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา, นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, นายชูชีพ หาญสวัสดิ์, นายสุธรรม แสงประทุม, นายไชยยศ สะสมทรัพย์, พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา, นายชูชัย มุ่งเจริญพร, นพ.วัลลภ ยังตรง, นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์, นางปวีณา หงสกุล และนางสิริกร มณีรินทร์ หรือแม้แต่นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ เป็นต้น

รวมถึงกลุ่มที่พร้อมจะเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย และอยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณคือ กลุ่มนายสุวัจน์ ลิปต พัลลภ กลุ่มนายสนธยา คุณปลื้ม หรือแม้แต่กลุ่มนาย สมศักดิ์ เทพสุทิน ก็แบะท่าพร้อมจะกลับมาหากพรรคเพื่อไทยยังมีเสียงสนับสนุนหนาแน่น หรือไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองให้ถูกยุบพรรคไปเสียก่อน

ซ่อมจุดอ่อน เสริมจุดแข็ง

แม้นายจาตุรนต์จะให้ความเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะให้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่พ้นโทษเข้ามาในการ เมืองทันที แต่หาก พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาและเล่นการเมืองได้อีกครั้งการเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แต่หมายความว่าประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตย มีหลักนิติรัฐ นิติธรรมจริงๆเสียก่อน ถ้ายังมีสภาพอย่างทุกวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังกลับมาไม่ได้

นายจาตุรนต์ประกาศว่าสิ่งที่ต้องทำแน่ๆหลังพ้นโทษคือเมื่อมีเลือกตั้งจะไปคูหาที่ใกล้บ้านแล้วลงคะแนน และตั้งใจจะรณรงค์คืนสิทธิเลือกตั้งให้กับนักการเมืองชุดบ้านเลขที่ 109 ด้วย

ด้านนายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภาที่เคยร่วมทำงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับว่า ทั้งนายจาตุรนต์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ล้วนเป็นคนมีความสามารถที่จะเป็นนายก รัฐมนตรีได้ ส่วนสมาชิกบ้านเลขที่ 111 คนอื่นๆเหมือนอะไหล่สำรองที่อาจมีการปรับคณะรัฐมนตรีให้บางคนเข้ามาช่วยงานเพื่อเสริมภาพลักษณ์รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ เพราะรัฐบาลเพื่อไทยขณะนี้เป็นรุ่นที่ 3 ที่ยังอ่อนประสบการณ์ แต่คงไม่ปรับแบบรื้อยกแผง เพราะอาจเกิดปัญหาแรงกระเพื่อมภายในพรรคได้

ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเองก็ให้สัมภาษณ์ล่าสุดกรณีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะพ้นโทษ โดยยอมรับ ว่าอาจจะให้บางคนเข้าไปช่วยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คือซ่อม จุดอ่อนก่อน แม้ความจริงต้องเสริมทุกอย่างก็ตาม เพราะ 5 ปี ประเทศไทยอ่อนลงไปเยอะ จึงต้องเสริมความเข้มแข็งให้กลับมา ไม่ว่าฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการประจำต้องไปด้วยกันได้จึงจะแก้ปัญหาได้

หนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์

แต่การเมืองไทยไม่ได้มีแค่พรรคการเมือง ยังมีกลุ่มอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการต่อสู้แย่งชิงทางการเมือง แม้ 5 ปีที่ผ่านมาจะเห็นชัดเจนแล้วว่ารัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีแต่สร้างความหายนะอย่างใหญ่หลวงให้กับบ้านเมืองและประชาชน

ที่น่ากลัวกว่านั้นคือยังมีคนบางกลุ่มพยายามทำให้ “วงจรอุบาทว์” กลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเพื่อปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งก็ตาม วิธีที่ใช้ได้ผลมาตลอดก็คือดึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และสร้างภาพ “ปิศาจทักษิณ” ให้อยู่ต่อไปให้นานที่สุด

จึงไม่แปลกที่พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มสลิ่มยังพยายามปลุกระดมให้ประชาชนเชื่อว่าวิกฤตบ้านเมืองเกิดขึ้นเพราะคนคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยยอมรับเลยว่าหายนะของบ้านเมืองตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมาเกิดจากวงจรอุบาทว์และอำนาจนอกระบบที่ไม่ยอมรับหลักนิติรัฐและนิติธรรมในระบอบประชาธิปไตย

การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงถูกบิดเบือนว่าเป็นวิกฤตของบ้านเมือง แทนที่ จะประณามการเมืองนอกระบบและรัฐประหารที่ทำให้บ้านเมืองฉิบหายและหายนะมาจนถึงทุกวันนี้

รัฐบาลเพื่อไทยวันนี้จึงเตรียมอ้าแขนรับพลพรรคจากบ้านเลขที่ 111 ให้กลับมาเสริมทัพปรับกลยุทธ์เพื่อเรียกคะแนนในการบริหารประเทศ ในขณะเดียวกันก็ต้องโดดหนีบ้านเลขที่ 112 ไปก่อน เพื่อปิดจุดอ่อนที่จะถูกโจมตี โดยเฉพาะเรื่องล้มสถาบัน

บ้านเลขที่ 112 จึงกลายเป็นบ้านร้างที่เงียบเหงา...

เพราะเขากำลังเตรียมงานขึ้นบ้านใหม่บ้านเลขที่ 111 กันเร็วๆนี้

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
***********************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น