เจตนาดีเช่นนี้คงจะยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะพรรคการเมืองกลายเป็นของตระกูลการเมือง...
เกาะติดความเคลื่อนไหวทั้งเรื่องการบริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมือง เจตนารมณ์ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ และป.ป.ช.กระตุ้น อปท.ทั่วประเทศร่วมสร้างเครือข่ายองค์กรดีเด่น ด้านการป้องกันการทุจริต
อยู่ในช่วงของการเสียภาษี มีประเด็นที่ชวนพูดชวนคุย ว่า การบริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมืองนั้น ตั้งแต่ปีภาษี 2551 เป็นต้นมา บุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง สามารถ บริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมืองได้ ตามมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 โดยแสดงเจตนาบริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมืองพร้อมการยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี โดยมีหลักเกณฑ์ และวิธีการตามประกาศอธิบดีฯ ภาษีเงินได้ โดยผู้มีเงินได้เมื่อคำนวณภาษีตามแบบ ภ.ง.ด.90/91 แล้วมีเงินภาษีที่ต้องชำระตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่า ประสงค์จะบริจาคหรือไม่บริจาค และระบุ รหัสพรรคการเมือง ที่ต้องการบริจาค หากไม่ระบุความประสงค์ หรือไม่ระบุรหัสพรรคการเมือง ถือว่าไม่ได้แสดงเจตนาบริจาค ตามหลักเกณฑ์
แต่ถ้าจะบริจาคให้ระบุรหัสพรรคการเมืองที่ต้องการบริจาคได้เพียง 1 พรรคการเมือง หากแสดงเจตนาเกินกว่า 1 พรรคการเมือง ถือว่า ไม่ประสงค์จะบริจาคให้พรรคการเมืองใด และเมื่อแสดงเจตนาบริจาคให้แก่พรรคการเมืองใดแล้ว ห้ามเปลี่ยนแปลง
เจตนารมณ์ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของพรรคการเมืองที่ประชาชนมีความชื่นชอบในอุดมการณ์ วิธีการเช่นนี้หากประชาชนเป็นเจ้าของพรรคการเมืองมากขึ้นเท่าไหร่ พรรคการเมืองก็จะเป็นสถาบันมากขึ้น มีความแข็งแกร่งในด้านฐานมวลชน ประชาชนเป็นผู้กำหนดนโยบายให้พรรคการเมือง นั่นหมายความว่าพรรคการเมือง จะต้องไม่ทรยศอุดมการณ์ในภายหลังด้วย สำหรับผมแล้ว เจตนาดีเช่นนี้คงจะยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะพรรคการเมืองกลายเป็นของตระกูลการเมือง เป็นของนักธุรกิจการเมืองเพียงไม่มีคนที่กำหนดทิศทางของพรรคการเมือง ดังนั้น มีน้อยพรรคที่ต้องการให้ประชาชนมาเป็นตัวกำหนดแนวทางของพรรค
ขณะที่ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี วิสุทธิ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 เป็นประธาน ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี ส.ส.ปทุมธานี เขต 5 พรรคเพื่อไทย ได้ขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ทำให้ขณะนี้มีจำนวนสมาชิกสภา เหลือเพียง 498 คน
ส่วนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กระตุ้น อปท.ทั่วประเทศร่วมสร้างเครือข่ายองค์กรดีเด่น ด้านการป้องกันการทุจริต โดย ประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการป้องกันการทุจริตด้านการเมืองการปกครอง ระบุว่า ป.ป.ช. จะจัดสัมมนา "ส่งเสริมท้องถิ่นปลอดทุจริต" ประจำปี 2555 เพื่อ กระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีความตื่นตัว มีความรู้ความเข้าใจในการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมท้องถิ่นปลอดทุจริต และเป็นแนวทางปฏิบัติในการป้องกันการทุจริต รวมถึงสร้างความเข้าใจ เรื่อง "การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนร่วม" เริ่มครั้งแรก เขตพื้นที่ 1 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 16 มีนาคม 2555 ณ โรงแรมกรุงศรีริเวอร์
เว็บไซต์ ป.ป.ช.ได้แก้ข้อมูล คดี สมิทธ ธรรมสโรช กับพวกร่วมกันตรวจรับ Super Computer ไม่ตรงตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ในสัญญา เป็นว่า "ไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช." ก่อนหน้านี้ลงผิดว่าชี้มูลว่า "สมิทธและพวกทำผิด"
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น