--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไทยยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน !!?

แม้ว่าจะมีมิตรสหายหลายคนแล้วที่เขียนกรณีที่ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ฝ่ายนิติราษฎร์ ถูกคนร้ายดักชกเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ผมยังอยากจะเขียนถึงเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยของเราได้ถอยไปจากความเป็นอารยะ ย้อนกลับไปเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนมากขึ้นทุกที

ย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์คือ มีคนร้าย 2 คน ดักรออาจารย์วรเจตน์ที่บริเวณคณะนิติศาสตร์ ในเวลาราวเที่ยงอาจารย์วรเจตน์มาถึงที่จอดรถของคณะ คนร้ายคนหนึ่งก็ตรงเข้ามาชกทันที ส่วนอีกคนหนึ่งนำรถมอเตอร์ไซค์มาคอยรับและพากันหนีไป เล่ากันว่าคนร้ายไม่ได้วิตกต่อการกระทำการละเมิดกฎหมายเช่นนี้ เพราะยังประกาศท้าทายว่า “ถ้าอยากรู้กูเป็นใครให้ไปดูในวิดีโอ” ผลของการชกทำให้อาจารย์วรเจตน์บาดเจ็บเล็กน้อย แว่นตาแตก และหน้าบวม

หลังจากข่าวนี้แพร่ออกไป ปรากฏว่าพวกสลิ่มและฝ่ายพันธมิตรกลับแสดงความสะใจ บ้างก็ว่าน้อยไปด้วยซ้ำ แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือการกล่าวหาว่าฝ่ายอาจารย์วรเจตน์จัดฉากทำร้ายตนเอง เช่น รายหนึ่งใช้นามแฝงว่า “เกลียดแม้ว+เสื้อแดง” ให้ความเห็นว่า “ไอ้วรเจตน์เองแหละไปจ้างพวกมันมาชกตัวเอง เพื่อสร้างข่าว สร้างราคา ขึ้นค่าตัวจากไอ้เแม้ว ถ้าเป็นคนที่เกลียดมันจริงๆเค้าไม่ไปชกในที่แจ้งกลางวันแสกๆอย่าง มธ. หรอก เค้าดักชกมันหน้าบ้านหรือริมถนนตรงไหนก็ได้ หรือไม่ก็ยิงมันทิ้งไปแล้ว” ส่วนผู้ใช้นามว่า “วรกร จาติกวณิช” โพสต์ว่า “ข่าวแว่วๆมาแล้วว่าคนต่อยวรเจตน์คือเพื่อนสมัยมัธยมฯที่ไม่ชอบหน้ากันมา งานนี้อำมาตย์ไม่เกี่ยว สลิ่มก็ไม่เกี่ยว...” โดยคุณวรกรไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มาของข่าวหรือข้อมูลเลยว่าทราบมาได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นเธอนั่นเองที่เป็นผู้จ่ายเงินจ้างให้คนร้ายมาชก

วันรุ่งขึ้น 1 มีนาคม คนร้าย 2 คนก็เข้ามอบตัวกับตำรวจที่โรงพักชนะสงคราม คือนายสุพจน์และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ อายุ 30 ปี เป็นพี่น้องฝาแฝด โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว แต่เมื่อถูกถามก็ตอบในเชิงกวนประสาทว่า “อยากเตะนักข่าว” ทั้งที่อยู่ต่อหน้าตำรวจ แต่ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงว่า มูลเหตุที่จูงใจให้ก่อเหตุในครั้งนี้เกิดจากความไม่พอใจและเห็นต่างในความคิดเห็น ซึ่งมาจากเรื่องที่อาจารย์วรเจตน์และคณะนิติราษฎร์เสนอแนวคิดแก้มาตรา 112 นั่นเอง ทางตำรวจจึงแจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวมทั้งพิมพ์ลายนิ้วมือและลงบันทึกประวัติไว้เป็นหลักฐาน แต่เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวจึงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว แล้วนัดใหม่ในวันที่ 12 มีนาคม เพื่อจะดำเนินการต่อไป

จะเห็นได้ว่าท่าทางของคนร้ายทั้งสองไม่ได้แสดงเลยว่าเกรงกลัวกฎหมายหรือวิตกในอาชญากรรมที่ตนก่อขึ้น เพราะคงเป็นที่ทราบกันว่าโทษในทางกฎหมายของการทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ใช่โทษรุนแรง เพราะไม่ใช่มาตรา 112 ในกรณีที่มอบตัวและรับสารภาพเช่นนี้ศาลคงจะให้ความเมตตาปรานี น่าจะลงโทษปรับ หรือถ้าจำคุกคงรอการลงอาญา เพราะทำไปภายใต้ข้ออ้างของความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์

เมื่อข่าวการมอบตัวแพร่ออกไป ในสื่อฝ่ายขวาและเฟซบุ๊คสลิ่มยังคงแสดงปฏิกิริยาโหมกระหน่ำโจมตีคณะนิติราษฎร์ และโยงเข้ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บ้างก็โจมตีว่าอาจารย์วรเจตน์ฉวยโอกาสสร้างราคาให้ตัวเอง ทั้งที่กระแสตกไปแล้ว ในทางตรงข้ามกลับแสดงท่าทีเชิงบวกต่อคนร้ายทั้งสอง บางส่วนยกย่องราวกับทั้งสองเป็นวีรบุรุษ บ้างก็แสดงเจตนาที่จะบริจาคเงินช่วยเหลือ จนกระทั่ง 1 ใน 2 คนร้ายได้ใช้นามว่า “สุพจน์รักในหลวง” โพสต์ข้อความขอบคุณต่อผู้แสดงน้ำใจดีเหล่านั้น และยืนยันว่า “ทำเพื่อชาติ เพื่อสถาบันที่ผมรัก” และขอไม่รับเงินช่วยเหลือ เพราะ “อดเยี่ยงอย่างเสือ...สงวนศักดิ์ โซก็เซาะใส่ท้อง...หาเนื้อกินเอง”

ด้วยเหตุนี้กระมังที่ “สื่อผู้จัดการ” ได้อธิบายว่า “ปรกติแล้วสองฝาแฝดที่ตกเป็นผู้ต้องหาทำร้ายอาจารย์วรเจตน์เป็นคนที่มีอุปนิสัยดี ไม่เคยเห็นทั้งสองไปเคลื่อนไหวทางการเมือง เมื่อก่อนทำงานส่งของทั่วๆไป หลังเกิดเหตุน้ำท่วมไม่ได้ทำงานอีก มาทราบข่าวอีกทีว่าไปก่อเหตุชกอาจารย์ธรรมศาสตร์ก็รู้สึกงง เนื่องจากธรรมดาแล้วคนที่ก่อเหตุอย่างนี้น่าจะเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง” และลงท้ายจากรายงานข่าวต่อมาถึงขณะที่เขียนอยู่นี้ ปรากฏว่าทนายความของผู้ต้องหาทั้งสองแจ้งว่า “ระหว่างนี้สุพจน์, สุพัฒน์ และครอบครัวจะไปพักผ่อนที่ฮาวาย และจะบินกลับมาวันที่ 11 มีนาคมนี้ ช่วงนี้จึงจะไม่เข้ามาโพสต์ในเว็บครับ”

สรุปแล้วการดำเนินการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะผู้ต้องหาทั้งสองมั่นใจว่าถ้ากระทำเพราะความรักในหลวงแล้วเป็นการถูกต้อง ผู้สนับสนุนด้วยความสะใจก็เพราะรักในหลวง ที่จะช่วยกันบริจาคให้คนร้ายก็เพราะรักในหลวง ที่โจมตีใส่ร้ายคณะนิติราษฎร์ก็เพราะรักในหลวง จึงเป็นไปตามที่ “ใบตองแห้ง” ตั้งคำถามในบทความชื่อ “รักในหลวงต้องคลั่ง” ด้วยข้อความว่า “นี่รักในหลวงแบบไหนกัน ทำไมความรักในหลวงต้องมาพร้อมกับความโกรธ เกลียดชัง คลั่งแค้นผู้ที่มีความเห็นต่าง มาพร้อมกับความคับแคบ ไร้สติ ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น” สะท้อนให้เห็นความคิดในแบบเดียวกับมวลชนฝ่ายขวาที่ถูกปลุกในข้ออ้างเรื่องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วลุกขึ้นมาเข่นฆ่านักศึกษาในกรณี 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และเป็นไปตามที่นักเขียนคือคำผกา สะท้อนให้เห็นความหน้าไหว้หลังหลอกของสังคมว่า “แฝดคู่นั้นและกองเชียร์ของเขาคือผลผลิตของสังคมอุดมปัญญา สังคมเชิดชูคุณธรรม สังคมจิตอาสา สังคมล้างถนน สังคมที่เต็มไปด้วยเพลงรักอ่อนหวาน สังคมที่ขอเป็นกลางแต่ไม่ยืนข้างความจริง”

กล่าวให้ชัดเจนขึ้นคือ การทำร้ายอาจารย์วรเจตน์เกิดขึ้นหลังจากที่สื่อมวลชนฝ่ายขวา พวกสลิ่มสารพัดสี พลพรรคแมลงสาบ สื่อกระแสหลัก แม้กระทั่งบางปีกในพรรคเพื่อไทย ได้พยายามสร้างกระแสใส่ร้ายป้ายสีว่าคณะนิติราษฎร์เป็นพวกล้มเจ้า คนที่เสนอให้แก้ไขมาตรา 112 เป็นพวกไม่จงรักภักดี และมีการข่มขู่คุกคาม ปลุกระดมให้ทำร้ายมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยไม่เคยเสนอให้ชัดเจนเลยว่าคณะนิติราษฎร์เสนออะไร และที่ไม่เห็นด้วยนั้นมีเหตุผลอย่างไร มีแต่การปลุกเร้าความรู้สึกให้ชิงชัยต่อต้านพวกล้มสถาบัน เป็นในลักษณะที่ “เกษียร เตชะพีระ” ใช้คำว่า “หว่านเพาะเชื้ออวิชชา มุสาวาทาและความเกลียดชังเพิ่มพูนขึ้นแก่สังคมไทย” ถ้าพิจารณาในลักษณะนี้คนร้ายทั้งสองคนนี้คือเหยื่อของการปลุกระดมในลักษณะนี้ด้วยซ้ำ มีความเป็นไปได้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่เคยอ่านและไม่รู้อย่างจริงจังในข้อเสนอและเหตุผลของฝ่ายนิติราษฎร์ มีแต่ความเกลียดชังว่าอาจารย์วรเจตน์จะมาล้มสิ่งที่เขารักและหวงแหน เขาจึงต้องตอบโต้และกระทำด้วยความภาคภูมิใจ

กระแสทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเดียวกับเหตุผลที่ยอมรับในความชอบธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ใช้กำลังทหารเข่นฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ. 2553 โดยอ้างกันว่า “เพราะคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง” หรือแกล้งเชื่อในข้อมูลแบบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ว่าทหารไม่ได้สังหารประชาชน แต่เป็นคนชุดดำเป็นผู้เข่นฆ่า จึงทำให้เกิดการเสียชีวิตถึง 93 ศพ คำอธิบายในลักษณะนี้ได้ข้ามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจำนวนมากโดยไม่ต้องตั้งคำถาม เช่น การที่เกิดเพลิงไหม้อาคารทั้งหลาย เกิดขึ้นก่อนหรือหลังการเข่นฆ่าคนเสื้อแดง หรือถ้ามีคนชุดดำมาฆ่าคนกลางเมือง เหตุใดทหารจึงเสียชีวิตน้อยมาก และกระสุนของกองทัพที่ใช้ไปนับแสนนัดใช้ไปทำอะไร

เหตุผลอันกลับหัวกลับหางเหล่านี้ทำให้เหยื่อต้องกลายเป็นผู้กระทำผิด ขณะที่ฆาตกรลอยนวล และที่สำคัญเป็นการชี้ว่าสังคมไทยย้อนกลับไปสู่ยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน การใช้กำลังเข่นฆ่าสังหารหรือทำร้ายคนที่คิดต่างจึงกลายเป็นความชอบธรรมของสังคม นี่เป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่ยิ่งนัก

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
///////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น