--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

66/23 คาถาผ่าทางตัน หลวงพ่อจิ๋ว !!?



แม้ว่าที่ประชุมร่วมของรัฐสภา จะมีมติเห็นชอบ ด้วยคะแนน 346 ต่อ 17 งดออกเสียง 7 ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ตามที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกรรมาธิการ และคณะเสนอ
และคาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 4 เมษายนนี้
แต่ดูแล้ว ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับความพยายามในการสร้างความปรองดองให้เกิดขั้นกับประเทศไทย คงต้องพยายามก่อหวอดต้านกันสุดฤทธิ์ โดยที่ใช้ข้ออ้างในเรื่อง เป็นการทำเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นตัวกระตุ้นปฏิกริยา
ก้าวข้ามไม่พ้นคนชื่อทักษิณ เพราะยังเป็นสิ่งที่สามารถระดมเกมสหบาทาจากคนที่ไม่ชอบทักษิณได้เป็นอย่างดี

เห็นประโยชน์กันชัดๆแบบนิ้ แล้วเรื่องอะไรที่จะยอมก้าวข้ามพ้นคนชื่อทักษิณ สู้พายเรือในอ่าง แผ่นเสียงตกร่อง ตีกินฉกฉวยผลประโยชน์ไปเรื่อยๆไม่ดีกว่าหรือ
ดังนั้นจึงไม่ใช่เพียงแค่รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งศึกษาวิจัยโดย สถาบันพระปกเกล้า จะกลายเป็นเหยื่อเกมการเมืองไปเต็มๆ
แม้แต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกรรมาธิการปรองดอง ก็โดนไปเต็มๆด้วยเช่นกัน

งานนี้ปลุกกระแสต้านจากกลุ่มคนไม่เอาทักษิณกันสุดชีวิตเลยก็ว่าได้
หัวเรือใหญ่ที่เปิดหน้าชกเที่ยวนี้ก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รุ่นปัจจุบัน และหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ที่นำทีม ส.ส.ปชป. แอนนด์ แก๊ง ทั้งหมด ทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการให้ 9 กมธ.สายประชาธิปัตย์ลาออก

หรือแม้แต่กระทั่งก่อนที่จะมีการประชุมร่วมของรัฐสภา ก็มีการล็อบบี้วุฒิสมาชิกกันอย่างโจ่งครึ่ม
รวมทั้งก่อนลงมติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ก็ดาหน้าอภิปรายให้คณะกรรมาธิการ พิจารณาทบทวนรายงานฉบับนี้อย่างสุดกำลัง อ้างว่าจะเป็นชนวนความขัดแย้งและเห็นว่ารวบรัดแนวทางสร้างความปรองดอง ซึ่งไม่เกิดความยั่งยืน

พร้อมตั้งข้อสังเกตเล่นงานข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าว่า ไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะประเด็นการนิรโทษกรรม ซึ่งเกรงอาจก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม
พร่ำพูดวนเวียนซ้ำซากในประเด็นเดิมๆอยู่จนถึงเที่ยงคืน พอมีการเสนอให้ปิดอภิปรายเพราะเห็นว่าพูดกันมามากแล้ว ก็ทำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ไม่พอใจ ประกาศไม่ประสงค์เข้าร่วม แล้วก็ใช้มุกเดิมๆคือให้ ส.ส.ฝ่ายค้าน วอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุมก่อนที่จะมีการลงมติ
ถือเป็นการเล่นเกมต้านกันจนวินาทีสุดท้ายเลยก็ว่าได้

ดังนั้นถึงได้บอกว่า ไม่ง่ายเลยที่จะปรองดอง หากยังมีมุมมองที่คำนึงถึงผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ผลประโยชน์เฉพาะพรรคกันอยู่เช่นนี้

ก็ขนาด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มีฐานะเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นอดีต ผบ.ทบ.ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นขงเบ้งกองทัพบก ก็ยังไม่วายโดนกลุ่มคัดค้านเล่นงาน เมื่อออกมาทำจดหมายเปิดผนึก 11 หน้าเรียกร้องการสร้างความปรองดองให้กับประเทศนี้

บิ๊กจิ๋ว ได้ยกตัวอย่างความปรองดองด้วยการกล่าวถึงการปฏิบัตินโยบาย 66/23 สำเร็จในขั้นตอนที่ 1 คือยุติสงครามกลางเมืองลงได้ แต่ขั้นตอนที่2 คือการสร้างประชาธิปไตยระดับสูง คือการยกเลิกระบอบเผด็จการทุกชนิดคือระบอบเผด็จการรัฐสภา เผด็จการรัฐประหาร ยังไม่แล้วเสร็จ จึงทำให้เกิดสถานการณ์ต่างๆจนถึงปัจจุบัน

มีการรัฐประหาร 2 ครั้ง โดยรสช.และคมช. จนเกิดการจลาจลนองเลือดขนานใหญ่หลายครั้งเกิดม็อบต่อสู้ขัดแย้งรุนแรง ระหว่างเสื้อเหลือง เสื้อแดงเกิดการเข่นฆ่าจับกุมคุมขังประชาชนเกิดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนับ ร้อยๆคดี มากมายเป็นประวัติการณ์

และแทนที่จะแก้ไขด้วยมาตรการทางการเมือง อย่างถูกต้องตามนโยบาย 66/23 กลับเอาปัญหาที่เกิดจากการเมืองเหล่านี้ไปแก้ในศาลยิ่งทำให้ปัญหาวิกฤติหนัก
พล.อ.ชวลิตระบุว่าเราเคยใช้นโยบาย 66/23 คือแก้ด้วยมาตรการทางการเมือง ไม่ใช่ด้วยมาตรการกฎหมาย มาตรการทางศาลการใช้กำลังหรือการปราบปราม แต่ใช่มาตรการเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ เป็นการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีไม่มีการจับกุมดำเนินคดีในศาล หรือเช่นฆ่าทรมานใดๆทั้งสิ้น จึงยุติสงครามกลางเมืองช่วงนั้นได้

หากยังดำเนินการตามนโยบาย66/23 ก็แทบไม่ต้องมาถกเถียงกันเรื่องนิรโทษกรรม
ที่สำคัญสามารถหักล้างได้กับข้อโต้แย้งของนายอภิสิทธิ์ที่ว่าจะเป็นการล้มล้าง อำนาจตุลาการ ทำลายระบบยุติธรรม

เพราะการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมตามนโยบาย 66/23จะเป็นการช่วยให้อำนาจตุลาการเข้าหาระบบยุติธรรม หรือยิ่งทำให้ระบบยุติธรรมของไทยดียิ่งขึ้น คือ ไม่นำปัญหาการเมืองที่เกิดจาก ระบอบเผด็จการรัฐสภา เผด็จการรัฐประหารเข้ามาแก้ในระบบยุติธรรม “ศาล” นอกจากแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ยังทำให้บานปลาย

เนื่องจากฝ่ายที่แพ้จะหมดสิ้นความเชื่อถือศรัทธาในระบบยุติธรรมไทยนำเอาผลการพิพากษา ไปโจมตี ทำให้จำเลยไม่ยอมรับในการตัดสินของศาลไทยเดินทางออกนอกประเทศ จนกลายเป็นปัญหาใหม่อยู่ขณะนี้
บิ๊กจิ๋วจึงมองว่า การนำปัญหาการเมืองไปให้ศาลแก้ คือการทำลายศาล ไม่มีทางสำเร็จมีแต่จะเกิดปัญหามากขึ้น แต่การนิรโทษกรรมปัญหาการเมืองคือการ ช่วยศาล เป็นการสร้างประชาธิปไตยทำให้คนไทยทุกคนทั้งผู้เสียหายและผู้ถูกกระทำได้รับ ประโยชน์ร่วมกันสูงสุด คือเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อำนาจรัฐชนิดสูงสุด

บุคคลที่เข้าข่ายเป็นผู้ได้รับการนิรโทษกรรมคือทุกคนทุกฝ่าย ไม่ต้องระบุชื่อ นามสกุล เป็นการเลิกต่อกัน จบต่อกันเป็นการนิรโทษกรรมแบบบูรณาการอย่างปราศจากเงื่อนไข ยุติความแตกแยกสร้างความปรองดองแห่งชาติได้อย่างแท้จริง

และยังเป็นเป็นการเปลี่ยนสถานการณ์เก่าเป็นสถานการณ์ใหม่จะไม่มีปัญหาแบบ เดิมอีกต่อไป ซึ่งรายงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าล้วนมีเจตนาดีต่อประเทศ

นอกจากนี้ หนังสือเปิดผนึกของ พล.อ.ชวลิต ยังได้สนับสนุนให้ยกเลิกคดีที่มาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส. ) เนื่องจากส่วนตัวเห็นว่า คตส.เกิดจากปัญหาการเมือง คือระบอบเผด็จการรัฐสภา และระบอบเผด็จการรัฐประหาร ซึ่งไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
คตส.จึงเป็นสิ่งย่อมไม่ชอบธรรมและไม่ถูกตั้งแต่ต้น หลักการทั้งหลายย่อมต้องเป็นโมฆะ
ปัญหาการเมืองไม่สามารถนำระบบยุติธรรมมาแก้ไขไม่ได้ เพราะผิดที่ผิดทาง เนื่องจากการคอรัปชันนั้นมาจากระบอบเผด็จการรัฐสภา ระบอบเผด็จการรัฐประหาร ซึ่งปัญหาคอรัปชันนั้นเป็นปัญหาของระบอบ ตรงกันข้ามกับประเทศประชาธิปไตยอื่นที่การคอรัปชันเป็นปัญหาบุคคล

ดังนั้น คตส.จึงผิดที่ผิดทาง ผิดปัญหา ผิดหน้าที่ คตส.แก้ไขปัญหาผิดจุด เมื่อผิดก็ต้องหยุดและยกเลิกทุกสิ่งที่ คตส.ทำ

เขียนกันตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมเช่นนี้ แน่นอนว่าต่อให้เป็นบิ๊กจิ๋วอดีตผู้นำกองทัพ อดีตผู้นำรัฐบาล ก็ย่อมหนีไม่พ้นแรงเสียดทานแรงโจมตี

เพราะตอนที่บิ๊กจิ๋ว ดำเนินนโยบาย 66/2523 นั้น นายอภิสิทธิ์ เพิ่งจะมีอายุแค่ 16 ปีเท่านั้น ยังเรียนหนังสืออยู่ที่ประเทศอังกฤษอยู่เลย ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะลึกซึ้งกับนโยบาย 66/2523 และการเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงเรื่องนี้ของบิ๊กจิ๋ว

แต่จะไปตำหนิหรือว่านายอภิสิทธิ์ที่ไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง ก็คงไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ยืนยันว่าตนเองเป็นลูกป๋า และอยู่ในห้วงเวลาที่มีการดำเนินนโยบาย 66/23 ด้วยซ้ำ ก็ยังออกมาวิจารณ์จดหมายเปิดผนึกของบิ๊กจิ๋วในครั้งนี้กับเขาด้วย

ฉะนั้นหาก น.ต.ประสงค์ จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มขาประจำที่เป็นขั้วตรงข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ หากมองถึงการออกโรงในแต่ละครั้ง

รวมทั้งการอยู่เบื้องหลังในการผลักดันรัฐธรรมนูญปี 2550 จนถูกเรียกเป็น รัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากการกระทำของ น.ต.ประสงค์ นั่นเอง

หรือแม้แต่กระทั่ง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งเป็นนายทหารรุ่นหลังแท้ๆ ก็ยังมองเรื่องที่รุ่นพี่ คือ พล.อ.ชวลิต เสนอการสร้างความปรองดองว่าควรใช้มาตรการทางการเมืองตามนโยบาย 66/23 เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ว่า คงจะต้องเอามาประกอบกันหลายอย่าง เพราะนโยบาย 66/23 ออกมานานแล้ว แต่ปัจจุบัน สถานการณ์มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก รวมถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ อะไรที่ดีก็ควรนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ทั้งหมดต้องนำมาปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์

ฉะนั้นแม้ว่าที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะไม่คล้อยไปตามการล็อบบี้ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เชื่อขนมกินล่วงหน้าได้เลยว่าฉายาเด็กดื้อของนายอภิสิทธิ์ แอนด์ เดอะแก๊ง ไม่ใช่จะได้มาโดยไม่มีพื้นฐานข้อเท็จจริง จึงรับรองได้ว่า ประชาธิปัตย์จะต้องค้านหัวชนฝาทุกรูปแบบอย่างแน่นอน

แต่คนรู้ทันประชาธิปัตย์อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็พูดชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์เล่นการเมืองเก่ง แต่ไม่กังวลว่าจะเป็นอุปสรรคอะไร เพราะสิ่งที่ฝ่ายค้านกังวลว่ารายงานของคณะกรรมาธิการปรองดองฯ จะนำไปสู่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น เป็นคนละเรื่องกัน
“รายงานกับกฎหมายเป็นคนละเรื่อง รายงานเป็นแค่นามธรรม จึงต้องสรุปให้เป็นรูปธรรมโดยการออก พ.ร.บ.ปรองดอง โดยเสียงส่วนใหญ่ในสภา ที่ทุกภาคส่วนต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่คนหนึ่งคนใด หรือไปรังเกียจคนหนึ่งคนใด อย่างนั้นเรียกว่าอคติ คิดแบบไม่ใช่สุภาพบุรุษ และอย่าไปรื้ออดีตขึ้นมาอีก หากใครแพ้โหวตในสภาแล้วยังไม่เคารพก็ไม่ใช่นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย”

ส่วนเรื่องการทำความเข้าใจกับฝ่ายค้านเรื่องความปรองดองนั้น อีกร้อยชาติฝ่ายค้านก็ไม่ยอมเข้าใจ
แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ยังคงมองว่าบรรยากาศอย่างนี้ปกติ เพราะการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเห็นตรงกันไม่ได้ ต้องแย้งกันเสมอ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าขณะนี้ไม่มีเงื่อนไขใดที่จะก่อให้เกิดการปฏิวัติ
ที่สำคัญหากรัฐบาลไม่ทำการทุจริต ก็มั่นใจว่ารัฐบาลอยู่ครบวาระแน่นอน

นั่นอาจจะเป็นความมั่นคงของรัฐบาล แต่สิ่งที่จำเป็นในเวลานี้ก็คือเรื่องการสร้างความปรองดอง เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องถอยหลัง หรือย่ำอยู่กับที่อย่างที่เป็นมา 4-5 ปีแล้วเช่นนี้

ทำอย่างไรที่จะให้แก๊งเด็กดื้อทางการเมืองละทิฐิและผลประโยชน์ของกลุ่มของพวก มาฟังคนอื่นโดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ และมีความห่วงใยสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้บ้าง
อย่าลืมว่า จดหมายเปิดผนึกของ พล.อ.ชวลิต ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ทหารประชาธิปไตย” นั้นเขียนอยู่บนหลักการที่เป็นกลาง ใช้เหตุและผลเป็นตัวนำ โดยที่มีมีเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์มาเป็นหลักฐานช่วยสนับสนุน

ขอแค่มองอย่างเป็นกลาง ว่าคนอย่างบิ๊กจิ๋ว ที่มีความเป็นประชาธิปไตย และจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างสูงที่สุดคนหนึ่งในประเทศนี้ ออกมาพูดอย่างเป็นกลางและจริงใจ รวมทั้งอยากเห็นความปรองดองเกิดขึ้นจริงๆ
ทำไมจึงดาหน้าตั้งป้อมชนเช่นนี้ แล้วเมื่อไหร่ปรองดองจะเกิด???
หรือจะต้องดองเอาไว้เป็นร้อยชาติ อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิมเปรยเอาไว้จริงๆ....??

ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วางหมากหลายช็อต !!?

รักษาเอกลักษณ์ ต้นตำหรับ แห่งการเป็น “จอมบอยคอต”
ไหน โก่งคอยันเสียงกร้าว ขากรรไกรแข็งเสมอมา ว่า “เชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย”
แล้วในยุค ที่มี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตีกรรเชียงหนี ทิ้งตำแหน่งลาออก ไม่ทำหน้าที่ในรัฐสภา ขอรับเจ้านาย
การที่ ๙ อรหันต์กรรมาธิการปรองดอง ของ “พรรคประชาธิปัตย์” ถอดหัวหนี ทิ้งตำแหน่งกรรมาธิการ ฟ้องและระบุชัด ท่านไม่ได้เชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย เหมือนที่คุยเอาไว้ฉอด ๆ
ที่สุดธาตุแท้แสดงออกมาเอง..ว่าชอบพูดน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง?..ที่เคยส่งเสียงล้งเล้ง ล้วนสร้างภาพมาตลอด

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บันได ๓ ขั้น
๙ กรรมาธิการปรองดอง พรรคประชาธิปไตย ที่สละเรือหนี ไม่สร้างความปรองดอง ความสามัคคีให้กับคนในชาติ..ยังจะมีเรื่องป่วนมากกว่านี้อีก ขอรับท่าน
ไขก๊อกลาออก จากกรรมาธิการ เป็นเรื่องชิมลางแบบชิล..ชิล แผนต่อไปคือป่วน “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าเป็นเผด็จการทางรัฐสภาฯยิ่งนัก
สร้างบรรยากาศ เสียงข้างมาก ไม่ฟังเสียงข้างน้อย..จึงจะยกโขยงลาออกจาก สส.ทั้งพรรค
จากนั้น, จะขุดประเด็น การคอรัปชั่นขึ้นมาชำแหละ แฉ “รัฐบาลปู” ให้จั๋งหนับ
เค้าจะทำทุกอย่าง..เพื่อปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่ง.....ให้ “รัฐบาลปู” พังในที่สุดสิครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา
เหมือนที่ “ขงเบ้งจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ชี้ชนวนนำร่อง ว่าหากนำกระบวนการยุติธรรมมาใช้ มีแต่สร้างปัญหาให้มากกว่า
ดีดลูกคิดรางแก้วแล้ว ที่ “บิ๊กจิ๋ว” ยกกัณฑ์เทศน์ขึ้นมาอบรบ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ถูกต้องแล้วทุกประการ
ฝ่ายการเมืองหลายยุค หลายรัฐบาล ใช้เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงธรรม จัดการเล่นงาน “ทักษิณ ชินวัตร” ฝ่ายเดียว ถูกที่ไหนกัน??
แค่คดีการเมืองอีกฝ่าย อีกค้าน ดองเค็ม แช่ห้องฟรีส คดีแช่เย็น ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ไม่ว่าคดีทุจริตรถดับเพลิง คดีทุจริตก่อสร้างสร้างกีฬาคลอง ๖ และคดีซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาล เงียบสะดุดไปเฉย ๆ
คดี “ทักษิณ”เล่นงานทั้งเย็นและเช้า...เล่นแรงแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่า?..แต่นักการเมืองที่โกงกินเอา คดีไม่คืบหน้าเลย

++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทำงานดี แต่ไม่มีคนหนุน
สร้างผลงานดี ฝากไว้ในแผ่นดินมากมาย สำหรับ “คุณพี่พรธรรมธนัต แย้มพลอย” ผอ.สำนักทางหลวงที่ ๖ แห่งจังหวัดเพชรบูรณ์
ฝากฝังให้ “คุณพี่วันชัย ภาคลักษณ์” อธิบดีกรมทางหลวง และ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ดูแลคนดี ๆ อย่าให้มีใครมารังแก
ต้องบอกว่า “คุณพี่พรธรรมธนัต” เป็นผู้เสียสละ เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ นำไปช่วยเหลือนักเรียนผู้ยากไร้ ถือเป็นผู้เสียสละ โดยแท้
และท่านเป็นมือแก้ปัญหา ที่เก่งครอบวงจร สมัยที่เป็นโปรเจ็คอยู่ที่เชียงใหม่ ร่วมกับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” แก้ปัญหาสะพานที่หน้าห้างเซ็นทรัล จนชาวล้านนาพากันสรรเสริญ
“คุณพี่พรธรรมนัต”ทำงานหนัก...เป็นคนคมในฝัก....เป็นคนที่ประชาชนรัก เพราะทำแต่ความเจริญ

++++++++++++++++++++++++++++++++++

มองเจตนาผิด
การออกมาเคาะข่าว เรื่องปฏิวัติ ของ “นายแพลแม็คอาเธ่อร์” พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แล้วก็ช่วยกันคิด
๓ แนวทางแห่งการรัฐประหาร เรื่องสถาบัน คอรัปชั่น และความแตกแยกของคนไทย
เป็นเรื่องที่ “บิ๊กพัลลภ” ท่านปุจจามานาน มีคนจ้องที่จะล้ม “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ให้ได้
ถึง “พรรคเพื่อไทย” จะคุมอำนาจเอาไว้ในมือ...แต่อำนาจที่เหนืออำนาจ ที่แฝงมากับ “องค์กรอิสระ” ที่มีอำนาจค้ำฟ้าค้ำแผ่นดิน ที่ก่อเกิดมาจาก “คมช.” อสูรร้ายเผด็จการ ยังคงอยู่
“บิ๊กพัลลภ”ที่ออกมาเฉ่ง..ไม่ใช่พวกทุบหม้อข้าวตัวเอง..แต่เล็งเห็นองค์กรอิสระอันตรายน่าดู

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
***************************************************

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

คดีหุ้นชินคอร์ปจบไม่เก็บภาษี-ไม่ผิดปกปิดโครงสร้าง !!?

อธิบดีกรมสรรพากรยืนยันต้องยึดตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ระบุว่าหุ้นชินคอร์ปไม่ใช่ของ “พานทองแท้-พินทองทา” แต่เป็นของ “ทักษิณ-พจมาน” ทำให้ไม่สามารถเรียกเก็บภาษี 12,000 ล้านบาทได้ เพราะโอนกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้านดีเอสไอยุติสอบ “ยิ่งลักษณ์-บรรณพจน์-โอ๊ค-เอม” ร่วมกันปกปิดโครงสร้างถือหุ้นชินคอร์ป ยืนยันเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ไม่พบความผิด ไม่ใช่ใบสั่งทางการเมือง

++++++++++++++++

นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้เก็บภาษีการโอนหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จำนวน 12,000 ล้านบาทว่า ไม่มีขั้นตอนที่อยู่ในอำนาจของกรมสรรพากรแล้ว

“เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินคดีว่าหุ้นจำนวนดังกล่าวที่มีภาระภาษีไม่ใช่ของนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร แต่เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เมื่อศาลตัดสินออกมาอย่างนี้ส่งผลให้ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นดังกล่าวที่ทำกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่ต้องเสียภาษี ขั้นตอนของกรมสรรพากรจึงยุติลง”

ทั้งนี้ ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าต้องเรียกเก็บภาษีก่อนหมดอายุความสิ้นเดือน มี.ค. นี้ หากไม่เรียกเก็บภาษีจาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบเอาผิดผู้เกี่ยวข้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 8 เม.ย. นี้

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงถึงการที่นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทำหนังสือเร่งรัดดำเนินคดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา กรณีปกปิดโครงสร้างการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งใช้เป็นพยานหลักฐาน

นายธาริตกล่าวว่า เรื่องนี้เกิดเมื่อปี 2545-2547 ตอนนั้นกฎหมายยังไม่ได้กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกฎหมายเพิ่งบังคับใช้เมื่อปี 2551 จึงเห็นว่าเป็นการกระทำไม่ครบองค์ประกอบความผิด

ส่วนประเด็นการรายงานโครงสร้างของหุ้นชินคอร์ปที่บริษัทเป็นผู้จัดทำ และข้อมูลที่ใช้รายงานก็รับมาจากบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากการตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่และจำนวนหุ้นที่ปรากฏในรายงานดังกล่าวตรงกันกับของตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ได้เป็นการรายงานเท็จ และไม่พบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ น.ส.พินทองทา และนายพานทองแท้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำรายงานดังกล่าว ส่วนนายบรรพจน์ได้ร่วมรับรองรายงานกับกรรมการคนอื่นในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ การกระทำของทั้ง 4 คน ไม่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์แต่อย่างใด จึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่องเพราะไม่พบการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา

“เป็นการยุติตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ดีเอสไอทำตามหน้าที่ ไม่รับคำสั่งใคร”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

เผด็จการคึกคะนอง !!?

เห็นเชียร์ผลงาน “กลุ่มปฏิวัติ” ยิ่งนัก สิพ่อแม่พี่น้อง
เมื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ปลาบปลื้ม ยกก้น “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ “คตส.” ที่เป็น “สมบัติบาปอย่างหนา” ที่เกิดจากการปฏิวัติ
ไปชูธง หลงเชียร์พวกทำลาย “ประชาธิปไตย” ถือว่าขัดกับความเป็น พรรคประชาธิปัตย์
ที่ส่งเสียงดังกระตู้วู้ นิยมชมชอบ อันเนื่องมาจาก การใช้อำนาจเถื่อน เล่นงาน “ทักษิณ ชินวัตร” ให้ตายคาเขียง
ทำหยั่งงี้นะ “บิ๊กมาร์ค”...ขอตักน้ำรดหัวสาก?..เชียร์เผด็จการมาก ๆ ประชาธิปัตย์ขาดทุน บานตะเกียง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฝีมือคนระดับ
เก่งงาน บริหารเป็นเลิศ ต้องยกนิ้วให้กับ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เค้าไปขอรับ
ราคาน้ำมันที่ว่าแพงอย่างก้าวกระโดดนั้น..ราคาแค่บาเรลละ ๑๐๘ ดอลล่าร์เอง
ยุค “รัฐบาลมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แพงระยับ บาเรลละ ๑๑๖ ต่อดอลล่าร์.. เศรษฐกิจจึงร่วงผล็อย หงายเก๋ง
“นายกฯยิ่งลักษณ์” ใช้เวลาปั้มผลงาน เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ตก..ผิดกับ “อดีตนายกฯมาร์ค” ที่ดีแต่พ่น น้ำลายเยิ้ม
“มาร์ค”ดีแต่พูดอย่างเดียว...ปากหวานแต่ก้นเปรี้ยว?..เคยมีสักเที่ยวมั้ย ที่มีความคิดริ เริ่ม

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ด่าเขา อิเหนาเป็นเอง?
นี่,ก็คนประเภทพันธุ์ปากเก่ง
เสี่ยเจ้าสัวนายทุนใหญ่... แกว่างปากหาเสี้ยน ไม่หยุด
“วันนี้คนชั่วในประเทศนิยมเข้ามาหาอำนาจด้วยการเลือกตั้ง” ดูสิ,ช่างกล่าวหา ปั้นเรื่องมาพูด
อย่างไรก็ตาม, นักการเมืองทุกคนไม่ได้ชั่วกันไปหมด? .. ดีกว่านายทุน-ขุนศึก ศักดินา ที่นิยมอำนาจนอกระบบ ที่ทำให้ประเทศไทย เสียหายทุกวัน
ใช้วาจามากล่าวด่าว่าแดก..แท้แล้วตัวเองก็ผู้ดีแปดสาแหรก?..มาแหกปากด่าคนอื่นทำไมกัน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กอดซากศพ
เมื่อ สภาผู้แทนราษฎร มีมติเป็นที่เอกฉันท์ ให้แก้รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำได้ ทุกอย่างก็น่าจะจบ
ไฉน, “กิตติศักดิ์ ปรกติ” อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฐานะโฆษกที่ปรึกษาด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ ของสำนักงานผู้ตรวจแผ่นดิน จึงต่อความยาวสาวความยืด อย่างไม่รู้หน้าที่
เป็นเหมือนจระเข้ออกมาขวางคลอง ไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ ซะงั้นแหละคุณพี่
อ้างไปน้ำขุ่น ๆ ต้องทำประชามติเสียก่อน ถึงจะแก้รัฐธรรมนูญได้...เมื่อแก้แล้ว ก็ต้องมาทำประชามติอีกหน จึงจะสมบูรณ์เสร็จสรรพ
โถ,ทำเรื่องง่ายให้มันลำบาก..จงเลิกละเลงขนมเบื้องด้วยปาก?..หัดกระดากใจบ้างเถอะครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องดี ๆ มีเข้ามาเป็นกุรุส
เมื่อ “รัฐสภาไทย” เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม aipa caucus ครั้งที่ ๔ เป็นวาระอันยอดเยี่ยมสุด...สุด
โดยจัดงาน ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน ถึง ๓ พฤษภาคม ณ. โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพ ..มีสมาชิก ๑๐ ประเทศ เข้าร่วมประชุมพร้อมหน้า
เป็นการระดมมันสมอง ของสมัชชารัฐสภาอาเซียน ให้เป็นไปในทางทิศเดียวกัน สิคุณเจ้าขา
เมื่อรัฐสภาไทย ได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าภาพจัดงานนี้ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
นี่สะท้อนให้เห็น....รัฐสภาไทยมั่นคงไม่ใช่ล้อเล่น...เราจึงเป็นที่ยอมรับ ของต่างชาติจริง ๆ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พรรคประชาธิปัตย์ ต้องก้าวให้ข้าม คตส.

ประเด็นทางการเมืองกลับมาเป็นที่ร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากเกิดวิวาทะระหว่าง “พรรคประชาธิปัตย์” และ ส.ว.อีกบางส่วน กับ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อดีตประธาน คมช. และ ส.ส.พรรคมาตุภูมิ ในฐานะประธาน กมธ.ปรองดอง ในการประชุมร่วมรัฐสภา
ประเด็นที่เป็นปัญหาคงหนีไม่พ้น “ข้อเสนอการปรองดองของสถาบันพระปกเกล้า” ภายใต้การดูแลของ กมธ. ปรองดอง ชุดของ พล.อ.สนธิ ที่ระบุให้ยุบกระบวนการคดีอาญาของ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ คมช. แต่งตั้งขึ้นมาหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
“รัฐสภาต้องคิดว่า เรากำลังทำงานให้แผ่นดิน ไม่ใช่ทำงานให้คนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ แถลงการณ์คณะปฏิวัตินั้นบ่งบอกว่า ท่านคิดว่าสมัยนั้นมีการทุจริต แทรกแซงองค์กรอิสระ แล้ว กมธ.ปรองดองได้ศึกษาสิ่งเหล่านี้ด้วยหรือไม่ แล้วเรื่องยุบ คตส. นี่สร้างมากับมือ ปฏิวัติมากับมือ ในที่สุดจะยกเลิกเหรอ พล.อ.สนธิตอบคำถามหน่อยว่า แถลงการณ์ในเวลา 23.50 น. ของวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นเรื่องเท็จหรือเรื่องจริง”
อภิปรายโดย นายวิเชียร คันฉ่อง ส.ว.ตรัง
ส่วนการอภิปรายของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ มีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ปชป. กล่าวว่า ปชป.สนับสนุนการปรองดอง แต่ไม่สนับสนุนการนำกฎหมายไปล้างผิดให้คนโกง ขณะที่นายธนา ชีรวินิจ ส.ส.กทม. ปชป. กล่าวว่า วันก่อน พล.อ.สนธิแอบทำปฏิวัติ แล้ววันนี้แอบเสนอรายงาน กมธ.ปรองดองจนบรรยากาศแตกแยกกันไปหมด ไม่รู้จะทำร้ายประเทศไปถึงไหน ถามว่า พล.อ.สนธิประธาน คมช.กับวันนี้ที่เป็น ส.ส. เป็นคนเดียวกันหรือไม่
(ข้อมูลจาก มติชน)
จากนั้นความขัดแย้งในสภาก็เกิดขึ้นเมื่อ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม ส.ว.บางส่วน กรูเข้าไปหา พล.อ.สนธิ ในช่วงพักการประชุม จนเป็นประเด็นข่าวใหญ่ประจำวัน แต่สุดท้ายเรื่องก็จบด้วยรัฐสภามีมติเห็นชอบให้พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 4 เมษายนนี้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ภาพจาก Flickr ของ Thaigov)

เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าประเด็นสำคัญของความขัดแย้งในรัฐสภา อยู่ที่ “คดีอาญาของ คตส.” ที่สุดท้ายลงเอยด้วยการพิพากษายึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งทางการเมืองไทยในรอบ 3-4 ปีให้หลัง

ถ้าย้อนดูเหตุการณ์ทางการเมืองไทย นับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา 2549 เป็นต้นมา จะพบว่า “ผลพวง” หรือ “มรดก” ของการรัฐประหารครั้งนั้น มีด้วยกัน 2 อย่างที่สำคัญ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และ คดีอาญาของ คตส.

มาถึงวันนี้ เราต้องยอมรับว่าผลพวงของรัฐประหารทั้ง 2 ประการ สร้างปัญหาให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก และในช่วงรอบปีหลังก็มีความพยายามจะแก้ปัญหาเหล่านี้เพื่อปลดล็อคทางการเมือง

ประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญ ค่อนข้างชัดเจนว่า หลายฝ่ายในสังคมไทยเห็นตรงกันว่าต้องแก้ไข เพียงแต่ต้องพิจารณาในรายละเอียดว่าจะมีกระบวนการแก้ไขอย่างไร มีเนื้อหาอย่างไร ซึ่งพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้นำเสียงข้างมากของรัฐสภาปัจจุบัน (และอีกนัยหนึ่งก็คือฝ่ายที่โดนกระทำจากรัฐประหารและรัฐธรรมนูญฉบับนี้) กำลังพยายามผลักดันกระบวนการตั้ง ส.ส.ร.3 อย่างเต็มที่ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เอง (ในฐานะฝ่ายที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้) ก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญอย่างจริงจังมากนัก และจริงๆ แล้วพรรคประชาธิปัตย์เองด้วยซ้ำที่เคยแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ไปครั้งหนึ่งแล้วในช่วงปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์

แต่ ประเด็นเรื่องคดีของ คตส. ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาก เพราะเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ (ในฐานะชนวนขัดแย้งตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร) โดยตรง ในทางกฎหมาย คดีตัดสินไปแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดในเรื่องที่ดินรัชดาฯ แต่ในทางปฏิบัติ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมรับผลของคดีนี้และเดินทางหลบหนีไปอาศัยในต่างประเทศ

จุดที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับ คดี คตส. นำมาคัดค้านก็คือ “กระบวนการ” ของ คตส. นั้นไม่ชอบธรรม นับตั้งแต่การแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร, สมาชิกของ คตส. ที่เต็มไปด้วยศัตรูของ พ.ต.ท.ทักษิณ, ข้อหาความผิดเรื่องที่ดิน ไปจนการพิจารณาคดีของตุลาการ ซึ่งเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนัก เพราะตามหลักการด้านยุติธรรมสากล “กระบวนการ” จำเป็นต้องชอบธรรมก่อน จึงจะสามารถพิจารณาตัดสินความถูกผิดได้
“ความไม่ชอบธรรม” เหล่านี้ยังถือเป็นชนวนเหตุสำคัญประการหนึ่งที่กลุ่มคนเสื้อแดงนัดมาชุมนุม จนเกิดความไม่สงบกลางกรุงเทพมหานครทั้งในปี 2552 และ 2553 ความขัดแย้งทางการเมืองเหล่านี้ก็กลายเป็น

ปัญหาเรื้อรังที่ยังกัดกร่อนการพัฒนาสังคมไทยมาในรอบ 5 ปีหลัง
การสร้างกระบวนการปรองดองขึ้นมาในสังคมไทยที่แตกร้าว จำเป็นต้อง “ปลดล็อค” ชนวนเหล่านี้ เพื่อให้สภาพสังคมกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ ไม่มีเงื่อนไขทางการเมืองที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียเปรียบเสียก่อน จากนั้นการเจรจาจึงจะเกิดขึ้นได้

คดีอาญาของ คตส. ก็ถือเป็นหนึ่งในชนวนความขัดแย้งที่ว่า เหตุเพราะที่มาของกระบวนการนั้นไม่ชอบธรรมตั้งแต่แรก ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีหรือไม่มีความผิด แต่กระบวนการพิจารณาคดีนั้นยังไม่ถูกต้อง ควรจะกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องกันก่อน

น้ำหนักของ คตส. ลดน้อยลงมากในรอบปีหลังๆ และเมื่อ พล.อ.สนธิ ในฐานะอดีตประธาน คมช. สนับสนุนข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าที่ให้ยกเลิกกระบวนการและคดีความของ คตส. เสียเอง ยิ่งทำให้น้ำหนักของคดี คตส. น้อยเข้าไปอีก

การปกป้องคดีอาญาของ คตส. โดย ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่มีประโยชน์อะไรในทางการเมือง ทั้งต่อประเทศไทย และต่อพรรคประชาธิปัตย์เองด้วย

สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ควรทำ ก็คือ หยุดสนับสนุนคดีอาญาของ คตส. และเสนอให้สร้างกระบวนการพิจารณาความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เสียใหม่ ที่ถูกต้องตามหลักการยุติธรรมสากล โดยมีคนไทยทั้งประเทศ ฝ่ายค้านและรัฐบาลเห็นชอบร่วมกัน

ไม่ว่าข้อเสนอนี้จะเกิดขึ้นได้สำเร็จหรือไม่ ก็จะไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ว่ารับใช้เผด็จการ เกาะกุมผลประโยชน์จากคณะรัฐประหาร เพราะที่มาของกระบวนการยุติธรรมใหม่ ไม่มีจุดอ่อนให้โจมตีแบบเดียวกับ คตส. อีก

เสียงสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เดิมก็ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะยังยืนอยู่บนจุดยืนดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนเดิม มิหนำซ้ำยังจะได้เสียงสนับสนุนเพิ่มเติมจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับคดีของ คตส. ด้วยซ้ำ
เพื่อฟื้นฟูศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อพัฒนาตัวเองเป็นฝ่ายค้านที่ประชาชนคนไทยพึ่งพิงได้ และเพื่อความปรองดองของคนในชาติ พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือกเดินแล้ว ขอเพียงแค่ต้องรู้ตัวว่าต้องทำอะไรเท่านั้น!!!

ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ชนบทเผชิญหน้าชนชั้นสูง การบ้านปรองดองใน (โลกาภิวัตน์) !!?

ปรากฏการณ์ความขัดแย้งเรื้อรังที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ณ ขณะนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไขโดยรีบด่วนเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาในการพัฒนาประเทศต่อไป

สำหรับในเรื่องดังกล่าวคณะกรรมการอิสระเพื่อค้นหาความจริงและการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้จัดเสนอผลวิจัย โครงการปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง ศึกษาเฉพาะกรณีด้านโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน

มีการเปิดเวทีสาธารณะ โครงการปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง ศึกษาเฉพาะกรณีด้านโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน โดย รศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, รศ.ดร.พอพันธุ์ อุยยานนท์, รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และ ผศ.พฤกษ์ เถาถวิล ห้องประชุมบุญชู ตึกอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

>>ปัญหาความเหลื่อมล้ำนำมาสู่ความขัดแย้ง

รศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อาจารย์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จะนำงานวิจัยชิ้นนี้ แบ่งเป็น 7 บท ไม่ต่ำกว่า 300 หน้า เป็นแนวทางหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งต่อไป

ความขัดแย้งที่เกิดในช่วงเดือนเมษา-พฤษภา 2553 เป็นเพราะมวลชน ไม่ยอมรับสภาพการดำรงอยู่ของโครงสร้าง อำนาจทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันอีกต่อไป โจทย์ใหญ่ในการศึกษานี้ คือปัจจัยอะไรในโครงสร้างของอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม ที่นำไปสู่การเกิดความขัดแย้ง ระหว่างกลุ่มฝ่ายและพลังทางสังคมต่างๆ และค้นคว้าว่ามีปัจจัยอะไรที่จะช่วยในการปฏิรูปการจัดสรรอำนาจ เพื่อลดทอนความขัดแย้งที่รุนแรงและนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ในสังคมต่อไป พบว่าเครือข่ายหลักๆ ที่นำไปสู่โครงสร้างอำนาจ ม 4 เครือข่าย คือ 1.อุดมการณ์ 2.การ เมือง 3.ทหาร 4.เศรษฐกิจ

“โครงสร้างทางสังคมนั้นจริงๆ แล้วในทางปฏิบัติไม่มีความเท่าเทียมกันมาตลอด แต่มันจะแสดงออกในหลายลักษณะในแง่ของการดูถูก หรือการขัดแย้งระหว่างเมืองกับชนบท ระหว่างหญิงชาย คือวิถีความเหลื่อมล้ำมีมาก จนหาความเหลื่อมล้ำได้ง่ายกว่าความเสมอภาคเท่าเทียมกัน สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่าในหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทำไมคนไม่ประท้วงทุกวัน ทำไมคนไม่ขัดแย้งกัน นี่คือโจทย์ว่าทำไมช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำไมความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันซึ่งมีมาตลอด จึงกลายเป็นจุดที่คนไม่ยอมรับแล้ว คนมีปฏิกิริยาไม่ยอมรับมากกว่าที่เคยมีมาเหตุการณ์ไม่ปกติจากแต่ก่อนทนได้ หรือมีคำตอบอย่างอื่น แต่ตอนนี้คำตอบเหล่านั้นสิ่งที่เคยทนได้ ไม่ทนแล้ว”

“และนี่ก็คือสิ่งที่เราสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนก็ไปโยงถึงความชอบธรรมของสถาบันเครือข่ายต่างๆ ทำให้สิ่งที่เป็นอาญาสิทธิ เริ่มมีคำถามว่าเป็นอาญาสิทธิที่ถูกต้องไหม แล้วมีคนออกมาแสดงออกด้วยทั้งหมด เป็นโจทย์คำถามถึงความขัดแย้งต่างๆ จากนั้นเราจะดูว่าปัจจัยอะไรที่จะช่วยการปฏิรูป การจัดการอำนาจและโครงสร้างอำนาจหรือ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เพื่อนำไปสู่การลดทอนความขัดแย้งที่รุนแรงและนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ปรองดองในสังคมต่อไป นี่เป็นภาพรวมของงานวิจัยชิ้นนี้” ศ.ดร.ธเนศ กล่าว

>> ผลจากต้มยำกุ้งทำให้กลุ่มทุนพลิกขั้ว

รศ.ดร.พอพันธุ์ อุยยานนท์ อาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึง อดีตการชี้วัดสังคมเศรษฐกิจไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว กรุงเทพฯ มีสัดส่วน GDP 1 ใน 3 หรือ 33% แต่ปัจจุบันนี้เหลือ 1 ใน 4 ขณะที่การขยายตัวเกิดขึ้นมากในภาคกลางคือ นอกกรุงเทพฯ โดยเฉพาะภาคกลางและตะวันออก แสดงว่าอำนาจเศรษฐกิจเริ่มกระจายไปชนบทสำหรับเหนือ, อีสาน, ใต้ ก็มีการก่อสร้างโรงงาน มีผลผลิตทางการเกษตร มีกิจการขนาดใหญ่

สังคมเศรษฐกิจไทย วิกฤตการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2540 มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางอำนาจ โดย หลังปี 2540 กลุ่มทุนเก่า พวกแบงก์ที่เคยมีอิทธิพลในอดีต กลุ่มทุนเหล่านี้ ควบคุมเงินทุน ควบคุมสินทรัพย์ 70-80% กลุ่มทุนเหล่านี้ ก็มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เจ้าของทุนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ๆ ก็ถูกลดทอน จนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าแบงก์จะเติบโต แต่สัดส่วนจริงๆ ของผู้เป็นเจ้าของดั้งเดิม เช่น ตระกูลโสภณพนิช ตระกูลล่ำซำ ก็เหลือน้อยมาก พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลง แต่กลุ่มทุนใหม่ก็เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว

“กลุ่มทุนที่เติบโต ซึ่งสะท้อนภาพการเติบโตของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ก็คือ กลุ่มทุนคมนาคม กลุ่มทุนบริการ กลุ่มทุนสื่อสาร ถ้าเราไปดูลำดับเศรษฐีของประเทศไทยในปัจจุบัน ก็จะมีตระกูลใหม่ๆ ซึ่ง 20-30 ปี เราไม่เคยรู้จักตระกูลเหล่านี้ เช่น ตระกูล ชินวัตร, ดามาพงศ์, มาลีนนท์, จึงรุ่งเรืองกิจ, ดำรงชัยธรรม, โพธารามิก แล้วพวกนี้ แม้กระทั่งปัจจุบัน ถือว่าเป็นผู้มีสัดส่วนติดอันดับรายใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นี่คือ พลวัตของกลุ่มทุนใหม่ ซึ่งมีไดเวิร์สเป็นภาคธุรกิจบริการ ธุรกิจคมนาคม ขณะที่ในอดีตมี 4 กลุ่มหลัก โดยเฉพาะทุนการเงิน ซึ่งมีเครือข่ายแบงก์กรุงเทพฯ แบงก์กสิกร ขณะเดียวกับกติกาของรัฐธรรมนูญ 2540 ก็สนับสนุนพรรคการเมืองขนาดใหญ่และต้องมีทุนขนาดใหญ่ แม้ว่าตัว รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุว่าต้องมีเงิน แต่ลองดู นะครับ ระบบปาร์ตี้ลิสต์ ทำให้พรรคเล็กอยู่ไม่ได้ ออกแบบมาอย่างมีอคติกับพรรคเล็ก เมื่อพรรคใหญ่ทุนมาก ประกอบกับสังคมโลกาภิวัตน์ที่มีระบบเสรีมากขึ้น กลุ่มทุนก็เข้ามาในพรรคไทยรักไทยมากขึ้น แล้วเป็นกลุ่มทุนที่หลายกรณีก็ไม่ได้ถูกภาวะเศรษฐกิจถล่มในปี 2540 ซึ่งทำไมต้องเข้ามา คือเราต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโลกาภิวัตน์ กติกาการค้าโลกมันบังคับให้หลายประเทศเปิดการค้าเสรีจริงอยู่ โดยหลักการเป็นเสรี แต่กลุ่มทุนเหล่านี้ ผมคิดว่า ความหมายก็คือปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองแล้วกลุ่มเหล่านี้ ก็เข้ามากำหนดนโยบายทางการเมือง นโยบายทางอำนาจ ในด้านหนึ่งก็ปกป้องกลุ่มทุนของตัวเอง” รศ.ดร.พอพันธุ์ กล่าว

นอกจากนั้น หลังปี 2540 ในอดีตย้อนไป 20 กว่าปี ยุคสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แบงก์ไทยพาณิชย์ แบงก์พาณิชย์ ถือว่า เป็นผู้ทรงอิทธิพลมาก พอทักษิณขึ้นมา เป็นนายกฯ เขาเคยไปกระแหนะกระแหน แบงก์กสิกร แบงก์อะไรว่าสนใจแต่เรื่องปรับฮวงจุ้ย บทบาทของเอกชนในฐานะกลุ่มทุนเก่ามันเริ่มหมดไป หลังปี 2540 นายทุน ใหญ่ๆ เจ้าของทุนเข้ามาการเมืองเต็มตัว อันนี้เป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่เหมือนในอดีต

สำหรับการเมืองไทยหลังปี 2540 เปลี่ยนแปลงไปมากและไม่สามารถถอยหลัง คือสิทธิเสรีภาพของท้องถิ่นไม่สามารถย้อนกลับไปรัฐธรรมนูญแบบครึ่งใบ บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2540 มีคุณูปการ คือเปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มคนที่ไม่เคยมีส่วนร่วมทางการเมือง ประกอบกับในช่วงที่ทักษิณเป็นผู้นำรัฐบาลปี 2544 ทำให้บุคคลจำนวนมากได้ประโยชน์

เมื่อการเมืองเปิดกว้าง 5-6 ปี ก็จะเกิดผู้ประกอบการทางการเมืองเข้ามาในระบบการเมือง ยกตัวอย่างในระดับรากหญ้า นักการเมืองระดับเล็กระดับใหญ่ คนที่จะเป็นตัวกลางทางการเมือง คอยจัดการทางการเมือง โดยเฉพาะให้กับพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย เกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน นี่คือการเปิดพื้นที่อย่างมหึมา แม้ทักษิณจะถูกรัฐประหาร 19 กันยา 2549 แต่ปรากฏว่า แนวร่วมก็ยังคงอยู่ ผมคิดว่าเป็นเพราะรัฐธรรมนูญ 2540 บวกนโยบายประชานิยม ทำให้กลุ่มพลังทางการเมือง มันค่อนข้างจะมีความหลากหลาย มีพลังไปสู่ต่างจังหวัด

การเมืองหลังรัฐประหารคล้ายการเผชิญหน้าระหว่างภูมิภาคเหนือกับอีสาน และกลางกับใต้ มีสัดส่วนการเลือกตั้งไปในแนวทางเดียวกัน เลือกตั้งครั้งใด ผลก็ออกมาแบบนั้น

>> “ทหาร” อีกปัจจัยหลักทางการเมือง

รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า กองทัพเป็นส่วนหนึ่งของปมปัญหาความขัดแย้ง เพราะการสร้างระบอบประชาธิปไตย สถาปนารัฐธรรมนูญ วัฒนธรรมของชนชั้นสูง คือข้อตกลงในระหว่างคนชั้นสูงว่าเราจะอยู่ร่วมกันในความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบนี้ แล้วทุกคนก็จะรับรู้ร่วมกัน แต่ย้ำว่าเป็นของคนชั้นสูง ซึ่งถูกสถาปนาขึ้นมาในสมัย พล.อ.เปรม แล้ว กลายเป็นฐานความขัดแย้งกับคนกลุ่มใหม่ โดยความเปลี่ยนแปลงหลังปี 2516 อำนาจ ของผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของกองทัพ หายไปอย่างฉับพลัน ขณะที่ก่อนนั้นมีการต่อรองกัน เมื่อส่วนหัวหลุดไป จึงมีการแบ่งแยกกลุ่มย่อย ต่อสู้ช่วงชิงว่าใครจะมีอำนาจเหนือการเข้าใกล้ หรืออ้างอิงติดอยู่กับสถาบันฯ เป็นหนทางที่จะทำให้บางกลุ่มในกองทัพมีอำนาจ เหนือกว่าคนอื่น ก่อนที่การอ้างอิงลักษณะนี้ จะกระจายตัวจากทหารไปสู่ข้าราชการและ กลุ่มทุน

ขณะเดียวกันเงื่อนไขต่อมา ก็ทำให้ต้องเปิดให้มีการเลือกตั้ง คือการลงทุนของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมหาศาล พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นจากกลุ่มทุนการเงินขยายตัวออกไปอย่างมากมาย จึงต้องการเสถียรภาพ ซึ่งต้องมีระบอบประชาธิปไตยกำกับอยู่ เงื่อนไขอย่างน้อย 2 อย่างจึงทำให้มีประชาธิปไตย

ท่ามกลางการเมืองแบบนี้ ทำให้กลุ่มทุนทหารสัมพันธ์กันแนบแน่นมากขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่ธนาคารกรุงเทพ กับ พล.อ. เปรม ก็สัมพันธ์กันแนบแน่น ช่วงที่ธนาคาร กรุงเทพมีปัญหา พล.อ.เปรม ก็มีบทบาทคลี่คลายสถานการณ์ของแบงก์ ซึ่งเสถียรภาพที่กองทัพสร้างขึ้นมา มีคนได้ประโยชน์ กลุ่มทุนต่างๆ ข้าราชการขยายตัว ขยายชนชั้นกลางให้มีมากขึ้น ทั้งหมดอยู่ภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน แต่เสถียรภาพนี้ไม่ได้ยังผลดีแก่ชาวนาสักเท่าไหร่ ชาวนาผลิตด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ทางออกคือสร้างความหลากหลายในผลผลิต และออกมาทำงานนอกภาคการเกษตร

เสถียรภาพทางการเมืองแบบนี้ ด้านหนึ่งทำให้คนบางกลุ่มเติบโต แต่บางกลุ่มไม่โต เป็นบทบาทของทหาร แล้วทหารก็จะเล่นบทบาทของผู้ที่ค้ำประกัน ค้ำจุน หรือ ปกป้องรักษาอำนาจทางวัฒนธรรม แล้วควบคุมการเมือง รูปแบบนี้เริ่มตั้งแต่สมัย พล.อ.เปรม ท้ายที่สุดแล้วโครงสร้างอันนี้ รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมของคนชั้นสูงนี้ สุดท้ายจะกลายเป็นกลุ่มทุนใหม่ซึ่งเกิดขึ้นและจะมีความเปลี่ยนแปลงอีกชุดตามมา

>> วิถีชนบทเปลี่ยนแปลงจากผลของอำนาจ

ผศ.พฤกษ์ เถาถวิล อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวถึงการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของขบวนการประชาชนรากหญ้าในบริบทของการช่วงชิงอำนาจของชนชั้นนำ โดยสังเกตการณ์จากหมู่บ้านและตีความตามปรากฏการณ์ พบว่า คนชนบทเปลี่ยนแปลงไป ทั้งภาคเกษตรและนอกการเกษตร รวมทั้งวิถีการบริโภคความคาดหวังกับชีวิต ก็ใกล้เคียงชนขั้นกลางมากขึ้น เป็นชาวชนบทที่กลายเป็นคนเมือง ซึ่งความสัมพันธ์ทางอำนาจก็เปลี่ยน จากที่เคยยอมรับความเอารัดเอาเปรียบก็กลายเป็นไม่ยอมรับ ขณะเดียวกันก็เกิดขบวนการชาวบ้านที่ออกมาต่อสู้เรื่องต่างๆ ขณะที่คุณทักษิณ ก็ไม่ได้แตะปัญหาโครงสร้างของชนบท เช่น เรื่องที่ดิน แต่ไม่แก้ปัญหาการเกษตร

ขณะเดียวกัน มีการแย่งชิงอำนาจของชนชั้นนำกับการแย่งชิงมวลชนในชนบท ความวุ่นวายทางการเมือง 4-5 ปีที่ผ่านมาเกิดจากกลุ่มอำนาจ 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็น กลุ่มอำนาจเก่า หรือกลุ่มอนุรักษนิยม ขณะที่ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ มีทักษิณ ชินวัตร และแวดล้อมด้วยกลุ่มทุนใหม่ ซึ่งการแบ่งกลุ่มนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย เป็นกลุ่มที่ผนึกอำนาจในลักษณะพันธมิตรพันธุ์ข้ามชนชั้น โดยต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน แต่ไม่ได้ต้องการหักล้างกันถึงที่สุด แต่เป็นการแย่งชิงกันเพื่อสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นกลุ่มประวัติศาสตร์ แล้วมีช่วงเวลาประณีประนอมเกี้ยเซียะ ไม่ทะเลาะกันจนล้มตาย แต่แย่งกันขึ้นไปสู่การ ครองอำนาจ แล้วสิ่งสำคัญคือ ทั้ง 2 ฝ่าย อยู่ได้ด้วยการแย่งชิงมวลชนในชนบท ไม่สามารถต่อสู้กันได้โดยลำพัง แต่ว่าทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องดึงมวลชนเข้าหาเพื่อสนับสนุน

ปรากฏการณ์สร้างมวลชนสายอนุรักษนิยม มีปฏิบัติการที่ตอกย้ำอุดมการณ์กษัตริย์นิยม โดยเกิดการขยายตัวเข้าไปดูกลืนเข้าไปในการพัฒนาชนบทช่วงหนึ่งเรียกว่า ชุมชนชาตินิยม คือ เชื่อในความเข้มแข็งของชุมชน ประกอบกับช่วงปี 2540 มีการเผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกิดหมู่บ้านพลเมืองผู้จงรักภักดี มีกระบวนการสร้างมวลชนฝ่ายอนุรักษนิยม

อีกขบวนการคือ มวลชนคนเสื้อแดง มีจุดร่วมกันคือ ชื่นชมทักษิณ ชื่นชมนโยบาย ไทยรักไทย เลือก ส.ส.เพื่อไทย มีตัวละครใหม่ทางการเมือง เป็นผู้ประกอบการทาง การเมือง ซึ่งมีฐานะจากชาวบ้านธรรมดา ที่อาจจะเป็นผู้รับเหมา คนทำสวนยาง ที่ค้นพบว่า เมื่อเขากระโดดเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดกิจกรรมในท้องถิ่น จัดเวทีเชิญ นปช. เชิญเพื่อไทย มาเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอะไรต่างๆ ปรากฏว่า มันเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจการเมืองได้เป็นหัวคะแนน ได้เป็นโน่นเป็นนี่ คือมีทุนทางวัฒนธรรมการเมืองมีพื้นที่ เช่น นักร้องตลกบางคนกลายเป็น ส.ส. จ่าตำรวจ บางคนยกมือไหว้คนทั้งจังหวัด ตอนนี้เป็น ส.ส. ชื่อดังใส่ชุดแดง ตอนนี้ไปไหนใครก็ยกมือไหว้ เป็นโอกาสในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เปิดโอกาสให้คนที่เป็นชาวบ้านธรรมดาเข้าถึงแวดวงทางการเมือง ยกระดับมีพื้นที่มีตัวตน

ขณะนี้ขบวนการเสื้อแดงในอีสาน และเหนือ ถูกผลักดันด้วยคนเหล่านี้ไม่ต้อง มีใครจะจ้าง แต่เขาอยากจะทำ เพราะเมื่อทำแล้วเขาก็ได้กลับ นี่คือ พลังผลักดันของเสื้อแดงเป็นมิติใหม่ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตย หรือไม่

สถานการณ์ตอนนี้คนชนบทเปลี่ยนจากตัวประกอบในการต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำไปเป็นผู้เล่นคนหนึ่งโดยชาวบ้านไม่ยอมที่จะเป็นตัวประกอบอีกต่อไป เขาเขียนบทของเขาเอง มีธงมีผลประโยชน์อุดมการณ์ของตัวเอง มาถึงยุคที่ชนชั้นนำ ต้องเข้าใจเมื่อชาวบ้านตื่นมาเป็นพลังต่อรอง นี่คือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ถ้าชนชั้นนำปฏิเสธที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงก็จะเป็นปัญหา

แต่ถ้าชนชั้นนำหาทางออกเปิดพื้นที่ จริงจัง สังคมไทยก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทางสันติ ไปในทางที่ดี

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รัฐสภามีมติพิจารณารายงาน กมธ.ปรองดอง ในสมัยประชุมสามัญฯ..


รัฐสภาเห็นชอบให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานของกรรมาธิการปรองดองฯ ในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ หลังโต้เถียงเกือบ 5 ชั่วโมง ขณะที่ฝ่ายค้านวอล์กเอาท์ ไม่เข้าร่วม

ที่ประชุมร่วมของรัฐสภามีมติเห็นชอบ ด้วยคะแนน 346 ต่อ 17 งดออกเสียง 7 ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ตามที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกรรมาธิการฯ และคณะเสนอ ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 4 เมษายนนี้

ก่อนลงมติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน อภิปรายให้คณะกรรมาธิการฯ พิจารณาทบทวนรายงานดังกล่าว เพราะเชื่อว่าจะเป็นชนวนความขัดแย้ง และเห็นว่ารวบรัดแนวทางสร้างความปรองดอง ซึ่งไม่เกิดความยั่งยืน พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าว่าไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะประเด็นการนิรโทษกรรม ซึ่งเกรงอาจก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม

นายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร ได้เสนอญัตติปิดอภิปรายและลงมติ ทำให้นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เสนอญัตติให้สมาชิกอภิปรายต่อ ขณะนายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล ประนีประนอมด้วยการปล่อยให้มีการอภิปรายไปจนถึงเวลา 24.00 น. ก่อนจะเปิดให้สมาชิกอภิปรายต่อและลงมติในวันนี้ แต่ที่สุดแล้วนายอุดมเดชกลับเสนอปิดอภิปราย ส่งผลให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ไม่พอใจกับท่าทีดังกล่าว ประกาศไม่ประสงค์เข้าร่วม พร้อมกับนำ ส.ส.ฝ่ายค้าน วอล์กเอาท์ออกจากห้องประชุมก่อนที่จะมีการลงมติ.-

ที่มา.สำนักข่าวไทย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

บิ๊กบัง.ผู้โดดเดี่ยวเดียวดาย ทั้งกลืนน้ำลายและกลืนเลือด !!?



โดย นิภาวรรณ แก้วรากมุกข์ twitter@niphawan_kt
 สังคมไทยยังคงวนเวียนหาทางออกกับเรื่องปรองดองแห่งชาติไม่เจอ มิหนำซ้ำแนวทางในการแก้ปัญหาที่ไม่คืบหน้า ยังส่อเค้าจะถอยหลังลงข้างทาง

 ทั้งกรณีที่ทีมวิจัยสถาบันพระปกเกล้า ไม่ไว้วางใจฝ่ายการเมือง ถึงกับขู่ว่าจะถอนรายงานผลวิจัย ที่ส่งให้คณะกรรมาธิการปรองดอง สภาฯ เพราะหวั่นว่าจะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือการเมือง และเพิ่มความขัดแย้งให้ปะทุขึ้นมาอีก

 ทั้งกรณี ฝ่ายการเมืองซัดกันเอง โดยเฉพาะ "เสธ.หนั่น" ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา อดีตประธานคณะกรรมการปรองดอง ที่เคยล้มเหลวมาแล้ว ตั้งคำถามให้ "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกมธ.ปรองดอง อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร คายความจริงเรื่องผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่ได้คำตอบ

เวลานี้ อารมณ์ของสังคม ดูเหมือนยากจะยอมรับบทบาท กมธ.ปรองดอง ที่ "บิ๊กบัง" กำลังนำไปในแนวทาง "ลืมอดีต" โละผลพวงจากการรัฐประหาร สาเหตุหนึ่งก็เพราะความคลางแคลงใจที่อดีต ประธาน คมช. ผู้นำรัฐประหารเสนอตัวมาเป็นประธาน กมธ.ปรองดอง

เรื่องอย่างนี้ บางทีความรู้สึกร่วมเมื่อครั้ง "รัฐประหารดอกกุหลาบ" ที่ "บิ๊กบัง" ยังภูมิใจนักหนา ก็เอากระแสไม่อยู่...งานนี้ "บิ๊กบัง" ผู้โดดเดี่ยวเดียวดาย ทั้งกลืนน้ำลายและกลืนเลือด!

สัปดาห์นี้ประเด็นเรื่อง "ปรองดอง" ยังส่อเค้าจะร้อนแรงต่อเนื่อง ฝ่ายค้าน ประชาธิปัตย์ จะถกในที่ประชุมพรรค จันทร์ที่ 26 มี.ค. 2555 นี้ เพื่อกำหนดท่าที เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับร่างรายงานของ กมธ.ปรองดอง ที่รวบรัดตัดตอนส่งให้สภาฯ พิจารณา

ล่าสุด  "บิ๊กบัง" แจ้งงดการประชุม กมธ.ในวันที่ 27 มี.ค. 2555 ให้เหตุผลว่า "เนื่องจากการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว” ทำเอา กมธ.ค่ายสะตอ มึนตึ้บว่า พิจารณาเสร็จสิ้นแล้วได้ยังไง ในเมื่อ ชวลิต วิชยสุทธิ์ เลขานุการ กมธ.ปรองดอง ซีกเพื่อไทย ยังระบุว่าจะมีการตัดรายละเอียดเรื่องการลงมติเสียงข้างมากออก งานนี้ กมธ.ซีกประชาธิปัตย์ เลยบี้ให้ "บิ๊กบัง" ขอขยายเวลาการประชุมของ กมธ. ออกไปอีก 30 วัน เพื่อทบทวนร่าง ก่อนจะเข้าสู่สภาฯ เพราะไม่อย่างนั้น เกรงว่าจะมีการตัดต่อกันเอง

ปูเรื่องเตรียมเข้าสู่ ศึกชิงผู้ว่าฯ กทม. ค่ายเพื่อไทยส่งทีมโฆษกพรรคออกมา "จับผิด" โครงการ กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง

อาทิตย์ที่ผ่านมา จิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. รองโฆษกเพื่อไทย แถลงเตรียมยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบการจัดซื้อสายเคเบิลใยแก้วนำแสง ในโครงการติดตั้ง "ซีซีทีวี" ของ กทม.ว่ามีราคาสูงเกินจริงหรือไม่ ไล่บี้ไปที่ ผู้ว่าฯ สุขุมพันธ์ บริพัตร และรองผู้ว่าฯ ธีระชน มโนมัยพิบูลย์

อีกหนึ่งประเด็น ที่จะยื่น ป.ป.ช.คราวเดียวกัน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 157 กรณีที่ยังไม่ยอมดำเนินการเอาผิดต่อสภามหาวิทยาลัย และผู้บริหารโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ทางการแพทย์ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ตามที่ ดีเอสไอ และ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชี้มูลความไม่โปร่งใส

ไล่บี้ทีมผู้ว่าฯ ปัจจุบันไม่เท่าไร แต่ประเด็นที่ค่ายเพื่อไทยกำลังหาข่าว คือ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ของค่ายสะตอ จะเป็นใคร ยามนี้มีคนคาดหมายว่า ถ้าหวยออกที่ "คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช" เมื่อไหร่ โอกาสสอยเก้าอี้จากประชาธิปัตย์ เป็นไปได้สูง...เอ้า...ยามนี้ก็ "สับขาหลอก" กันไป

 ด้านคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มี คณิต ณ นคร เป็นประธาน มีความคืบหน้าเรื่อง รายงานฉบับที่ 3 ซึ่งจะเป็นฉบับสุดท้ายในชุดของ คอป. ที่จะครบกำหนดเวลาทำงาน 2 ปี ในเดือนก.ค. 2555 นี้

มีรายงานว่า บัดนี้รายงานฉบับที่ 3 เสร็จเรียบร้อยแล้ว แค่อยู่ระหว่างเวียนร่างให้กรรมการทุกคนได้พิจารณา และ อาจารย์คณิต ได้เสนอต่อที่ประชุม คอป. ให้เร่งออกรายงานฉบับนี้ให้ทันวันที่ 31 มี.ค. 2555

สำหรับเนื้อหาในรายงานฉบับที่ 3 จะเป็นการตอกย้ำถึงข้อเสนอแนะของ คอป. ที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งฉบับที่ 1 และที่ 2 และไม่ปรากฏว่ารัฐบาลขานรับหรือปฏิเสธ โดยเฉพาะข้อเสนอที่เกี่ยวกับการยกเลิกการตีตรวนนักโทษ การให้ประกันตัวจำเลยและผู้ต้องหาระหว่างการพิจารณาคดี 

เสร็จจากไตรภาคแล้ว คอป. จะทำรายงานอีกหนึ่งฉบับส่งท้าย เป็นการประมวลข้อเสนอแนะจากรายงานทั้ง 3 ฉบับ ให้เห็นภาพรวมทั้งหมด

 ได้ยินเสียงพ้อปนห่วงใยสถานการณ์จากบรรดาคณะกรรมการ เพราะไม่รู้ว่าผลการทำงานครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์หรือไม่ อย่างไร ถ้ารัฐบาลไม่ขานรับ บางท่านบอกว่าจะไม่ (กล้า) รับงานเพื่อชาติอีกต่อไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

พล.อ.สนธิ-ขวัญชัย. คู่ตรงข้ามสร้าง สังคมปรองดอง อาสาพา ทักษิณ. กลับบ้าน !!?

มีเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่พูดแล้ว “ขวัญชัย ไพรพนา” ประธานชมรมคนรักอุดร ต้องฟัง เชื่อ และพร้อมทำตามอย่างง่ายๆ นอกเหนือจากนี้ไม่มีใครสั่งเขาได้

ขวัญชัย เคยประกาศมานานแล้วกับการไม่ร่วมทำงานกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แต่ที่ยังส่งกำลังจากกลุ่มคนรักอุดรมาสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่กรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่องนั้น มาจาก พ.ต.ท. ทักษิณ ร้องขอ

หลังจากถูกล้อมเมื่อพฤษภาคม 2553 ขวัญชัยกับแกนนำ นปช.ถูกจับติดคุกด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” เขาอยู่ในคุกนาน 9 เดือน เมื่อได้ประกันตัวชั่วคราว เขาไม่เคยมาร่วมกลุ่มกับ นปช.อีกเลย

เขาทำตัวเงียบๆ เก็บการเคลื่อนไหว ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง เขานำ ส.ส.อุดร ประกันแนวร่วม เสื้อแดงที่ถูกจับติดคุกจังหวัดอุดรออกมาได้หมด การทำงานของเขากลายเป็นโมเดลให้กลุ่ม นปช.นำไปปฏิบัติตามพื้นที่ต่างๆ แต่ไม่ได้ผลเหมือนที่เขาทำในอุดร

อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ 7 ตุลาคม 2554 ขวัญชัย ประกาศแยกตัวออกจากกลุ่ม นปช.ชัดเจน เขารวบรวมแกนนำเสื้อแดงทั้ง 20 จังหวัดอีสานสร้าง “กลุ่มแดงอีสานรักเจ้า” ขึ้นมาเพื่อเชิดชูจุดยืนปกป้องสถาบันกษัตริย์ และไม่ต้องการให้นำมาเป็นประโยชน์ทางการเมือง

แน่ล่ะ ขวัญชัยคงทำตามใบสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณตามเคย เพื่อแยกเสื้อแดงอีสานออกจากกลุ่ม นปช. นั่นสะท้อนให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คิดอะไรกับกลุ่ม นปช. ที่เติบโตจนเกินกว่าการควบคุม

ท่ามกลางสถานการณ์ “ปรองดอง” ร้อนแรงในปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศ กลับไทยปลายปี 2555 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธาน เร่งรีบเสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง ให้สภาอนุมัติ

ขวัญชัย ฉวยโอกาสเข้ามาผสมโรงสร้างความปรองดองเช่นเคย เขาประกาศ ว่า จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไทยในช่วงสงกรานต์เดือนเมษายนนี้ แต่พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ล้วนออกมาโจมตีขวัญชัย เป็นเสียงเดียวว่า เพ้อเจ้อ ขาดความน่าเชื่อถือ และหมกมุ่นอยู่กับจินตนาการเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณแบบไร้สาระอะไรประมาณนั้น

เป็นธรรมดา ขวัญชัยมีทั้งคนรัก ชื่นชม และคนชิงชังเขา กลุ่มคนเสื้อแดงที่รังเกียจขวัญชัยกล่าวหาว่า เขาเป็นคนของ “เนวิน ชิดชอบ” เป็นนักฉวยโอกาสสร้างพลังมวลชนมาหากิน ชอบคุยโม้โอ้อวดถึงความมั่งมี อยากดัง ต้องการให้คนชื่นชม และเป็นคนชอบประจบสอพลอ กับคนใหญ่คนโตในจังหวัดเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

แต่เนื้อแท้แล้ว ขวัญชัยเป็นชาวบ้าน คนพื้นๆ รูปร่างหน้าดูละม้ายนายประจวบ ไชยสาส์น เขายึดอาชีพเป็น ดี.เจ.คนดังแห่งคลื่นมวลชนสัมพันธ์ หนึ่งในสถานีวิทยุ ชุมชนจังหวัดอุดรธานี และเริ่มเป็นคนดัง เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วประเทศเมื่อคราวเป็นแกนนำม็อบปิดล้อม นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อปลายเดือนเมษายน 2549

ขวัญชัย มีพื้นเพเป็นคนอำเภอเดิม- บางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เรียนจบ ป.4 แล้วออกมาเผชิญโชคเคยเป็นตลกอยู่ วงลูกทุ่ง เขาเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ “คลื่นมวลชนสัมพันธ์” ปัจจุบันเขาร่ำรวย มีฐานะเศรษฐกิจดี จนสามารถใช้เงินนับ 10 ล้านบาทสร้างศูนย์อำนวยการที่หมู่บ้านหนองรีหู อ.เมือง จ.อุดรธานี บนที่ดินสิบกว่าไร่ เพื่อไว้ใช้สอยกับภารกิจการต่อสู้ของคนเสื้อแดง

ในช่วงกระแสไล่ พ.ต.ท.ทักษิณเกิดขึ้นทั่วประเทศ ขวัญชัยตั้งชมรมคนรักอุดร ขึ้นมาสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณและต่อต้าน กลุ่มพันธมิตร เขาตั้งเวทีใหญ่กลางทุ่งศรีเมืองโดยการสนับสนุนของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด, ส.ส.ไทยรักไทย (เดิม) รวมทั้งอดีตนายก อบจ.อุดรธานี คือ เฉลิมพล สนิทวงศ์ชัย

ชมรมคนรักอุดร ของเขาได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มการเมือง ข้าราชการทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและ พล.ต.ต.เขมณัฐ สุขเจริญ (อดีต) ผบก.ภ.จว.อุดรธานี เป็น ผู้อยู่เบื้องหลัง

ขวัญชัย ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญในการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เขา จัดรายการวิทยุทุกวันตั้งแต่เช้ายันเที่ยง เพื่อปลุกระดม ข่มขู่ คุกคาม พวกนักธุรกิจ ข้าราชการที่ออกมาสร้างกระแสขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณในจังหวัดอุดรธานี

สถานีวิทยุคลื่นมวลชนสัมพันธ์ของขวัญชัยตั้งอยู่ที่ตลาดเริ่มอุดม ซึ่งเป็นของ “เสี่ยตี๋” นายปรีชา ชัยรัตน์ เจ้าของโรงงานน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอุดรธานี 2 แห่ง

รางวัลที่เป็นกองหน้าสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และต้านกลุ่มพันธมิตรอย่าง ออกหน้านั้น ในปี 2551 สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้รับแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และยังเป็นที่ปรึกษาของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว. กระทรวงมหาดไทยสมัยนั้นด้วย

นี่จึงชัดเจนว่า ขวัญชัยกับ ร.ต.อ. เฉลิม สนิทสนมกันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ในแนวคิดทางการเมือง หนำซ้ำยังพูดคุยด้วยภาษาพื้นบ้านได้ออกรสชาตินักเลงลูกทุ่งถูกคอกันเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม จุดพลุพา พ.ต.ท. ทักษิณ กลับไทยในปลายปี 2555 ขวัญชัย รับลูกทันที พร้อมๆ กับยื่นเวลามาเป็นเมษายนนี้

แต่หนทางพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านยังไร้รูปแบบและขาดรายละเอียดแห่ง “ศักดิ์ศรี” ผู้มากบารมีทางการเมืองสิ่งสำคัญ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านต้องเกิดความปรองดองขึ้นในสังคม ซึ่งรหัสศักดิ์ศรีที่พรรคเพื่อไทยต้องการอย่างมาก

ดังนั้น หนทางแห่งศักดิ์ศรีจึงอยู่ที่ความปรองดอง แต่วิถีความปรองดองที่ พล.อ.สนธิ เร่งสร้างขึ้นตามโมเดลงานวิจัย ของสถาบันพระปกเกล้า กลับถูกต่อต้านอย่างหนักจากพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ ร่วมทั้งนายธีรยุทธ บุญมี ผู้มีบทบาท สำคัญในการชี้นำความคิดสังคม

พล.อ.สนธิ รับลูกงานวิจัยปรองดอง มาขยายผลและจัดระดมความคิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ราวกับส่งสัญญาณว่า หนทางของสถาบันพระปกเกล้าสามารถสร้างสังคมปรองดองให้ทุกกลุ่มความขัดแย้งได้รับประโยชน์แบบ “WIN-WIN” ทุกเฉดสีของคนในสังคม

อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยข้อเสนอ 2 ข้อจาก 6 ข้อ ยังเป็นที่ถกเถียงและต่อต้านจากฝ่ายตรงข้ามของ พ.ต.ท.ทักษิณ

คือ ข้อเสนอออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการยกเลิกผลทางคดีที่คณะกรรมการ การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ดำเนินการไว้

ในข้อเสนอดังกล่าวนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประโยชน์เพียงการยกเลิก คตส. เพราะ เป็นการเปิดโอกาสให้ใช้กระบวนยุติธรรมได้ต่อสู้คดีตามปกติ

กระบวนการ คตส. ถูกฝ่าย พ.ต.ท. ทักษิณ เชื่อว่า ไม่เป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเป็นการใช้อำนาจคณะทหารที่ทำรัฐประหารเมื่อกันยายน 2549 มากลั่นแกล้ง ใส่ร้าย และยัดเยียดความผิดฝ่ายเดียว

พล.อ.สนธิ เป็นแกนนำทหารคนสำคัญที่ทำรัฐประหารยึดอำนาจ พ.ต.ท. ทักษิณเมื่อปี 2549 และใช้อำนาจตั้ง คตส. ขึ้นมาเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ

แต่วันนี้ พล.อ.สนธิ มาเล่นการเมือง เป็น ส.ส.ผ่านการเลือกตั้งของประชาชน ที่น่าสนใจคือ เขากลับเป็นตัวตั้งตัวตีหาหนทางสร้างความปรองดองให้สังคม

หนทางหนึ่งคือ พล.อ.สนธิ รับลูกให้ยกเลิกคดีที่ คตส.ดำเนินการไว้แล้วกับ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พิสูจน์ความผิดตามกระบวนการศาลปกติ

แล้วในอดีตทำไมต้องทำรัฐประหาร ยึดอำนาจด้วย นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ

สนใจเพราะความปรองดองในสังคมยังพัวพันกับเรื่องราว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังวนเวียนกับตัวละครกลุ่มอำนาจเดิมๆ มาก กว่าความใส่ใจกับประชาชนที่ได้รับกรรมและผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง ในสังคมเมื่อปี 2548-2553

ปัจจุบัน ประชาชนคนธรรมดาสามัญยังอยู่ในคุก ไร้การใส่ใจจากกลุ่มอำนาจทุกเฉดสีที่กำลังช่วงชิงและเล่นเกมทำลายล้างกันอย่างบ้าคลั่ง

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

ระเบิดพลีชีพ !!?

แล้ว “หนูติ่ง” มัลลิกา บุญมีตระกูล สาวปากไว ก็พาพลพรรคประชาธิปัตย์ หัวคลุมปี๊บ
เล่น ว.๕ ชั้น ๖ กระทรวงแรงงาน ของ “ท่านเผดิมชัย สะสมทรัพย์” รมว.แรงงาน เรียกผลประโยชน์ คนนักรบแรงงานไปอิสราเอล กินหัวคิวกันอื้อซ่า
แต่กับปาก “อิตซ์ฮัก โชฮัม” เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ..ยุคพรรคเพื่อไทย รวมเบ็ดเสร็จ ทั้งตั๋วเครื่องบิน และค่าธรรมเนียมต่างๆ จ่ายเพียง ๖๙,๐๐๐ บาท เท่านั้นคุณขา
ฉะนั้น,ที่ “หนูติ่ง” มัลลิกา ว่ายุคประชาธิปัตย์ จ่ายค่าไปค้าแรงงานที่อิสราเอล ๘๐,๐๐๐ บาท จึงสูงกว่า “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นกอง
หมายเล่นงาน “นายกฯปู”ให้ดิ้น...กลายเป็นสาวไส้ให้กากิน?..หมดสิ้นเชียวแหละพี่น้อง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

น้ำมันเถื่อน
ที่ภาคใต้ มีนักการเมืองหนุนหลัง กันเกลื่อน
“นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “บิ๊กเหลิม ดาวเทียม” ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ช่วยดูให้ที
มีการลำเลียงน้ำมันเถื่อน ขึ้นที่ชายฝั่งจังหวัดสตูล ขายไปทั่วภาคใต้ในขณะนี้
ทำที่ว่าเป็นการลำเลียง ยางดิบจากชาวสวนยางพาราไปส่งโรงงาน แต่ที่แท้แล้ว เป็นการจัดส่งน้ำมันเถื่อนไปสู่ลูกค้า ทำให้ชาติเสียประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เสร็จสรรพ
ส่วนนักการเมืองที่ดีแต่โม้..ล้วนหน้ามะพลับหลังตะโก..ค้าน้ำมันตัวโต กันจั๋งหนับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เท็จไม่แจ้ง..จริงไม่ยืนยัน
ว่ากันถึง คนผมหยิก หน้าก้อ คอสั้น ที่ตั้งตัวเป็นอริกับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร”..เพราะเขาไม่ช่วยเหลือ คดีหนีความผิดเลี่ยงภาษี จึงประกาศเป็นศัตรูกับท่าน
น่าสงสาร “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ช่วยมันโกง มันจึงอหังการ บอกขอเป็นศัตรู
“นายผมหยิก หน้าก้อ คอสั้น” ทำธุรกิจจัดสรรบ้านและที่ดิน แต่เลี่ยงภาษีไม่จ่ายเงินแผ่นดิน...มาขอให้ “ทักษิณ”ช่วย แต่เขาเมิน ..เพราะใครเป็นตัวขี้โกง “ทักษิณ” ไม่ช่วยดอกหนู
“ทักษิณ” ไม่คบค้าสมาคม กับคนโกงชาติคนโกงแผ่นดิน..ในที่สุด ก็โดนคนเลวตามเล่นงาน อย่างไม่ลดละ
ตอนนี้คนเล่นงานทักษิณมันเจ็บ...ถูกถอนเขี้ยวถอนเล็บ...เก็บฉากไปนั่งรอติดคุก แล้วหละ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มองเส้นทางอนาคต
การันตีได้ว่า “บิ๊กอ็อฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. นับวันฟอร์มยิ่งสด
เกียรติคุณเพียบพร้อมไปหมด, หากจะเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” ในฐานะ “มท.๑” ไม่น่าจะบกพร่อง
ท่านทำงานเก่ง แบบคนมีกึ๋นมีสมอง
เมื่อ “บิ๊กอ๊อฟ” ต้องลุกจากเก้าอี้ไป ..ให้มอง “บิ๊กจูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ นายตำรวจใหญ่ ที่ทำงานเข้าขากับ “รัฐบาลปู” เป็นอย่างดี จะมาเป็น “ผบ.ตร.”ที่ยิ่งใหญ่
ท่านพงศพัศเป็นทองเนื้อแท้..จะทำบ้านเมืองมีขื่อมีแป..ไม่แพ้แก็งค์ข้างถนนต่อไป

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไวปานกามนิตหนุ่ม
คดีที่ดินรัชดา ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ตกเป็นจำเลย ลงโทษรวดเร็ว เห็นแล้วก็กลุ้ม
แต่คดีฆ่าประชาชนตาย ๙๑ ศพ...ผ่านไปช้าๆ อย่างเต่าคลาน.. หลายคนบอกว่าผิดหวัง
อยากเห็นทุกอย่าง ตัดสินด้วยความรวดเร็วมั่ง
ได้แต่ปลอบใจ ผู้รักประชาธิปไตย..จะกินอาหารให้อร่อย ต้องคอยใจเย็น ๆ ..ขณะนี้คดีฆ่าประชาชน เริ่มเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ที่ให้ความเที่ยงธรรม เป็นของแท้
ใครที่สั่งฆ่าประชาชนไปเป็นกุรุส...ตอนนี้น้ำเริ่มผุด...มันคงโดนถูกกุดหัวแน่..แน่

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

ลือ! ทักษิณโดนจับที่อิตาลี ด้านสุรพงษ์ บอกยังไม่ได้รับรายงาน.....

ทักษิณ ชินวัตร
วอนพรรคประชาธิปัตย์เลิกตามล่าทักษิณเพราะยิ่งหาท่านก็ยิ่งมีคนรัก
Mthai News ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวชาวต่างชาติที่อยู่ในอินเตอร์โพลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกเจ้าหน้าที่ตม.ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี กักตัวไว้ขณะเดินทางเข้าอิตาลี วันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา
ซึ่งคาดว่าพ.ต.ท.คงใช้หนังสือเดินทางของไทย ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการออกหมายจับสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อยู่จึงทำให้ถูกจับ ขณะเดียวกันก็ได้กล่าวว่ารัฐบาลไทยติดต่อไปยังตม.ฟลอเรนซ์ให้ปล่อยตัวแล้ว ซึ่งหากเป็นจริงจะถือว่ากระทำผิดตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพราะหมายจับดังกล่าวยังคงอยู่
ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่​างประเทศ ก็ได้ออกมาเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานดังกล่าว แต่กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีหมายจับตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ซึ่งต้องถาม นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่าการออกมาให้ข่าวลักษณะนี้ต้​องการอะไร
ทั้งนี้ตนเองเคยให้ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ไปตรวจสอบในเรื่องนี้นานมาแล้ว พบว่าตำรวจสากลไม่​เคยประกาศออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่ทางการไทยได้ร้องขอไปสมั​ยรัฐบาลชุดที่แล้ว
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้หนังสือเดินทางสัญชาติไทยหรื​อมอนเตเนโกร ในการเดินทางเข้าประเทศต่างๆ นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่​างประเทศ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีหนังสือเดินทางหลายประเทศ ซึ่งจะใช้หนังสือเดินทางสัญชาติ​ใดนั้นตนเองไม่รับทราบ
ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้เล่มใดที่สะดวกในการเดิ​นทาง ร้อมขอร้องให้พรรคฝ่ายค้านยุติ การตามล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหากยิ่งตาม สังคมไทยก็จะยิ่งรัก พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้น

ที่มา.Mthai News
 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ส.ส.เพื่อไทยคึกคักเตรียมเข้าลาวพบ ทักษิณ เดือน เมษายน !!?

“ยงยุทธ” ไฟเขียวลูกพรรคเข้าลาวพบ “ทักษิณ” ระบุเป็นสิทธิของแต่ละคน อยากไปด้วยเพราะมีเรื่องปรึกษาเยอะ แต่ไม่ว่าง “ยิ่งลักษณ์” โพสต์เฟซบุ๊คให้คำมั่นไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังที่เลือกพรรคเพื่อไทย

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยมีสิทธิและเสรีภาพที่จะเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางมาประเทศลาวในช่วงเดือนหน้า

“ทุกคนคิดถึงท่าน ผมเองก็มีปัญหาเยอะแยะที่อยากปรึกษา แต่ว่าไม่ว่างที่จะไปพบ”

ผู้สื่อข่าวถามว่า อาจมีการวิ่งเต้นขอตำแหน่งเพราะเดือน พ.ค. นี้กลุ่มบ้านเลขที่ 111 จะพ้นโทษตัดสิทธิการเมือง 5 ปี นายยงยุทธกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของการเมือง และต้องยึดเสียงส่วนใหญ่ในพรรค

เมื่อถามว่า จะมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพื่อเปิดพื้นที่ให้กลุ่มบ้านเลขที่ 111 หรือไม่ นายยงยุทธกล่าวว่า คิดกันไปต่างๆนานา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะเป็นผู้มีอำนาจยุบสภา

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Yingluck Shinawatra ถึงการจัดงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2555 พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า “การที่เรามาสู่วันนี้ได้ สิ่งแรกก็คือ มาจากนโยบายพรรคที่แสดงเจตนารมณ์ในการที่จะดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง การแก้ปัญหาปากท้อง การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ แล้วยังมีความสำเร็จของสาขาพรรค ของสมาชิกพรรค ที่ช่วยกันในการถ่ายทอดเจตนารมณ์นี้ไปยังประชาชน ขอให้เราทุกคนนั้นเปลี่ยนความสำเร็จครั้งนี้เป็นพลังในการดูแลพี่น้องประชาชน และเชื่อมั่นว่าทุกเสียงที่พี่น้องประชาชนไว้วางใจเรา เราต้องเคารพ และที่สำคัญ ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ทำให้พี่น้องประชาชนผิดหวังค่ะ”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เสธ.หนั่น VS บิ๊กบัง ใครสั่งรัฐประหาร 19 กันยาฯ - คำถามบางอย่างตายแล้วก็ตอบไม่ได้ !!?

หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 22 มี.ค. มีการเสวนาหัวข้อ "รายงานผลการวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติของสถาบันพระปกเกล้า" โดยผู้ทรงคุณวุฒิ เปิดให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องแสดงความคิดต่อกระบวนการปรองดองในสังคมไทย ระหว่างเสวนา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ลุกขึ้นถามให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช. ตอบเบื้องหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

------------



พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ในการนำเสนอต่อกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเริ่มต้นกระบวนการปรองดองให้ถูกต้อง มิฉะนั้นผลการศึกษาที่จะแถลงก็อาจไร้ผล ผมจึงขออนุญาตใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการตั้งข้อสังเกต ก่อนจะมีการแถลง

ณ วันนี้ย่อมไม่มีผู้ปฏิเสธได้ว่าปัญหาความแตกแยกในสังคมไทย มาถึงจุดที่วิกฤติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเป็นความแตกแยกทางความคิดทางการเมืองที่มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง การศึกษาเพื่อแสวงหาหนทางปรองดอง เป็นความประสงค์ของทุกฝ่าย การระบุหารากเหง้าแห่งการขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่ามาจากสาเหตุอันใด ก็นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

แม้จะเป็นที่รับรู้กันว่าสังคมไทยเริ่มมีปัญหาความขัดแย้งทางความคิดมาแล้วตั้งแต่ก่อนหน้าวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่เราก็ต้องยอมรับกันว่าความขัดแย้งเหล่านั้นอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับพัฒนาการของความขัดแย้งที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยาย2549

หนทางเดียวที่จะนำไปสู่การปรองดองอย่างแท้จริงได้ในเวลานี้ ก็คือการที่คนทุกคนต้องออกมาพูดความจริง เพื่อไขข้อแคลงใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ คนผู้นั้นก็คือ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ความจริงี่ท่านจะต้องทำให้กระจ่างก็คือ

1.ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ ใช่ตัวท่านเองหรือไม่ที่มีเหตุจูงใจส่วนตัวขอให้ท่าพูดความจริง เพราะมิฉะนั้น สาธารณชนทั่วไปยังคงแคลงใจว่าอำมาตย์และผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ เมื่อ 19 กันยายน 2549

2.เมื่อเกิดการปฏิวัติแล้ว ท่านและคณะฯได้เข้าเฝ้าถวายรายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้นำท่านเข้าเฝ้าหรือไม่ และพล.อ.เปรม รู้เห็นกับการปฏวัติหรือไม่ ท่านเคยได้เข้าพบแจ้งเรื่องการปฏิวัติต่อ พล.อ.เปรม ก่อนหน้านั้นหรือไม่

3.ภายหลังเกิดความขัดแย้งทางการเมือง จนเกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศพล.อ.เปรม ได้เคยขอให้ท่านออกมาพูดความจริง โดยผ่าน พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎฐ์ ใช่หรือไม่ และท่านได้พูดความจริงตามที่ร้องขอหรือไม่

"ผมและพรรคชาติไทยพัฒนา ได้พยายามแสวงหาหนทางปรองดองเพื่อประเทศชาติมาดดยตลอด จนถึงกับได้ประกาศเป็นนโยบายหลักของพรรค ทว่าความปรองดองทั้งหมดนี้จะไม่เป็นผล หากท่านไม่ยอมพูดความจริง ขอให้ท่านตอบทีละข้อและทุกข้อ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการปฏิวัติ 19 กันยาย 2549"พล.ต.สนั่น ระบุ

หลังจากนั้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นจากฝ่ายการเมืองแล้วจะแก้กันเองก่อน โดยฝ่ายกรรมาธิการปรองดองฯช่วยกันคิด ก่อนนำไปสู่คนในสังคมไทย ส่วนคำถามที่พล.ต.สนั้น ถามนั้น คำถามบางประการตายแล้วก็ตอบไม่ได้ ถ้าเปิดเผยวันนี้มันเร็ว เร็วหรือไม่ ไม่รู้ วันนี้เราต้องลืมอดีตคิดถึงปัจจุบันแล้วก็สร้างอนาคต

พล.อ.สนธิ ยกงานวิจัยของชาวฝรั่งเศส ชื่อ "รูแปง" กล่าวว่า สังคมไทยเจริญยาก มาจากคนไทยไม่ขยัน โกง อิจฉา และโอ้อวด และก่อนมีการขัดแย้งกัน สังคมไทยมีความรักเอื้ออาทร เห็นใจซึ่งกันและกัน วันนี้หายไป เราทำหลายสิ่งหลายอย่างมาอยู่ในใจของเรา ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการแก้ไข และว่า จากนี้นำรายงานการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าเข้าสภา โดย 38 ท่านผู้ทรงคุณวุฒิที่เสนอความเห็นเข้ามาโดยสภาต้องว่ากันไปตามรูปแบบของสภา ต้องยึดการให้อภัย ลืมอดีตกันเสียบ้างอะไรที่ไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด

ที่มา ข่าวสดออนไลน์


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

ส่องกล้องเขี้ยวเล็บสหรัฐในเอเชีย !!?



สหรัฐหวนกลับมาให้ความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ในเอเชียอีกครั้งท่ามกลางความไม่พอใจของจีน และเพิ่มความหวาดระแวงเกี่ยวกับอิทธิพลสหรัฐแก่บางชาติ

ประธานาธิบดีโอบามา ประกาศอย่างชัดเจนว่า การรักษาบทบาทผู้นำทางการทหารในเอเชียตะวันออก จะยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญอันดับแรกของสหรัฐ ในช่วงที่จีนทุ่มเงินมหาศาลในการเสริมสร้างเขี้ยวเล็บให้กับกองทัพ ซึ่งทางเดียวที่จะคานอำนาจจีนได้ ก็คือการเพิ่มกำลังทหารในเอเชียให้มากถึง 1 แสนนาย

ทั้งนี้ กำลังพลในปัจจุบันของสหรัฐในเอเชีย ประกอบด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐมีฐานทัพ 23 แห่ง มีกำลังพลราว 47,000 นาย และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ประธานาธิบดีโอบามา เพิ่งจะลงนามในคำสั่งพิเศษ เพื่อให้ทหารญี่ปุ่น 2,500 นาย จากกองกำลังป้องกันตนเอง เข้าไปประจำการบนแผ่นดินสหรัฐ และยังได้รับไฟเขียวให้ใช้กำลังได้ ในกรณีที่จำเป็นต้องปกป้องผลประโยชน์ของญี่ปุ่นบนแผ่นดินสหรัฐอีกด้วย

เกาหลีใต้ มีกำลังพลรวม 29,000 นาย แต่ต่อมาได้มีการตกลงกันว่า จะลดจำนวนลงให้เหลือ 28,500 นาย ฮาวาย มีกำลังพลจำนวน 42,360 นาย ส่วนฟิลิปปินส์นั้น สหรัฐเคยมีฐานทัพอยู่ในฟิลิปปินส์ แต่ในปี 2535 สหรัฐต้องย้ายฐานทัพออก หลังจากวุฒิสภาฟิลิปปินส์โหวตให้สหรัฐถอนฐานทัพออกจากประเทศอย่างถาวร และปัจจุบัน สหรัฐขอใช้อดีตฐานทัพ สำหรับเป็นจุดเติมน้ำมันเครื่องบินและเรือรบเท่านั้น

สหรัฐ มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ครั้งใหม่ ประเดิมด้วยการเตรียมส่งนาวิกโยธิน 2,500 นาย ไปประจำการที่เมืองดาร์วิน ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย และประชิดกับดินแดนของอินโดนีเซีย ระหว่างปี 2559 ถึง 2560 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับจีน ที่มองว่า สหรัฐกำลังเตรียมขยาย อิทธิพลเข้าไปคุมทะเลจีนใต้

นอกจากนี้ สหรัฐยังเตรียมส่งเรือรบสำหรับปฏิบัติการเขตน้ำตื้นไปยังสิงคโปร์ เพื่อช่วยให้กองกำลังภาคพื้นแปซิฟิก สามารถสับเปลี่ยนกำลังจากที่ตั้งต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มากขึ้น

สหรัฐ กับญี่ปุ่นเห็นชอบร่วมกัน ที่จะเคลื่อนย้ายกำลังพลนาวิกโยธินสหรัฐ ที่ประจำการอยู่ในฐานทัพสหรัฐ บนเกาะโอกินาวาของญี่ปุ่นจำนวน 4,700 นาย ไปประจำการที่ฐานทัพบนเกาะกวมแทน หลังจากเคยตกลงกันไว้ว่าจะเคลื่อนย้ายกำลังพล จากเกาะโอกินาวาไปยังเกาะกวม มากถึง 8,000 นาย รวมทั้ง ย้ายฐานที่ตั้งของฐานทัพอากาศสหรัฐบนเกาะโอกินาวาด้วย

นอกจากนี้ การถูกต่อต้านจากชาวโอกินาวา และแรงกดดันจากการเมืองภายในของญี่ปุ่น ทำให้สหรัฐ เตรียมจะย้ายกำลังพลอีก 3,300 นาย ไปยังฐานทัพอื่น ๆ ในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ฮาวาย หรือออสเตรเลีย

ทั้งนี้ ทหารหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐชุดแรกเกือบ 250 นายจากเกือบ 2,500 นายจะเดินทางไปประจำการที่ออสเตรเลียในเดือนหน้า โดยไปประจำการที่เมืองดาร์วิน ตามแผนการของนายโอบามา ที่ประกาศไว้ระหว่างเยือนออสเตรเลีย เมื่อปลายปีที่แล้วว่าจะส่งกำลังทหารเกือบ 2,500 นาย พร้อมด้วยเครื่องบินรบและเรือรบ ไปประจำการในรัฐนอร์ธเทิร์น เทอร์ริทอรี่ของออสเตรเลียภายในปี 2559

เนื่องจากสหรัฐ ไม่ได้มีฐานทัพในแผ่นดินออสเตรเลีย นาวิกโยธินชุดแรกจะถูกส่งไปประจำที่ค่ายทหารโรเบิร์ตสัน ของกองทัพออสเตรเลีย เพื่อฝึกอบรมและซ้อมรบ โดยจะมีการผลัดเปลี่ยนทหารสหรัฐทุก 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของสหรัฐที่ส่งทหารไปยังออสเตรเลียครั้งนี้ สร้างความกังวลแก่ชาติเพื่อนบ้านในเอเชีย ที่มองว่าสหรัฐ กำลังส่งสัญญาณว่าต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตนในภูมิภาคนี้ หลังจากจีน ขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้เพิ่มมากขึ้น

เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว นายมาร์ตี้ นาตาเลกาว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย บอกว่า การประจำการของนาวิกโยธินสหรัฐ ในออสเตรเลียเป็นสิ่งที่ควรมีการชี้แจงแก่ชาติต่างๆในเอเชียทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน

ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวว่า ความคิดที่จะตั้งฐานประจำการเรือรบหลายลำในสิงคโปร์ กำลังอาจจะต่อยอดไปยังฟิลิปปินส์ รวมถึงไทย แต่ติดอุปสรรคด้านงบประมาณ แต่ตามแผนการที่วางเอาไว้ ในปี 2568 สหรัฐจะประจำการเรือรบชายฝั่ง (littoral combat ship) หลายลำในสิงคโปร์ และอาจส่งอากาศยาน เช่น เครื่องบินพี-8เอ โพไซดอน ซึ่งกำลังพัฒนาเพื่อใช้ในการติดตามเรือดำน้ำ ไปประจำการยังประเทศพันธมิตรตามสนธิสัญญาอย่างเช่น ฟิลิปปินส์ และไทยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐ ไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายทางการเงิน และการทูตของฐานทัพหลักใหม่ ๆในต่างประเทศได้ ดังนั้น กองเรือรุ่นใหม่ในปี 2568 จึงจำเป็นต้องพึ่งพาท่าเรือของประเทศเจ้าถิ่นและสถานที่อื่น ๆ ที่เรือ เครื่องบิน และลูกเรือของสหรัฐ สามารถเติมเชื้อเพลิง แวะพัก ซ่อมบำรุงได้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ย้ำผู้ว่าฯ ห้ามเกียร์ว่าง เร่งแก้ปัญหาหมอกควัน !!?

เผยนายกรัฐมนตรีห่วงปัญหาหมอกควัน สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา ย้ำผู้ว่าฯ ตั้งใจทำงาน ห้ามเกียร์ว่าง เชื่อปัญหาจะคลี่คลาย

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาหมอกควัน โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และผู้แทนกองทัพ ประชุมร่วมกัน เพื่อพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควัน และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไปยังผู้ว่าฯ ภาคเหนือ 9 จังหวัดที่ประสบปัญหา ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และตาก ซึ่งผู้ว่าฯ ได้รายงานสถานการณ์ปัญหาในแต่ละพื้นที่ให้ที่ประชุมได้รับทราบ

นายปรีชา เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ปัญหาหมอกควันเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ และกำชับหน่วยงานที่รับผิดชอบประชุมหาแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งในที่ประชุมกำชับให้ผู้ว่าฯ ซึ่งถือเป็นซีอีโอ บูรณาการการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานในจังหวัด เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา โดยต้องรับผิดชอบ หากเกิดปัญหาในพื้นที่ ซึ่งภาครัฐพร้อมที่จะเข้าไปสนับสนุน แต่ต้องมีการร้องขอมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำฝนเทียม ตลอดจนการสนับสนุนเครื่องมือ

“ไม่ควรโทษว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นผลกระทบมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพราะกระทรวงการต่างประเทศได้ประสาน และขอความร่วมมือไปแล้ว หากผู้ว่าฯ ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ไม่เกียร์ว่าง เชื่อว่าปัญหาจะค่อย ๆ ลดลง ส่วนการดูแลประชาชนที่อยู่ในพื้นที่วิกฤติ มีปัญหาเรื่องฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน ได้กำชับให้สาธารณสุขจังหวัด เข้าไปดูแลสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่แล้ว” นายปรีชา กล่าว.

ที่มา.สำนักข่าวไทย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

ส่งหลักฐานกล่าวหา39คนตามผังล้มเจ้าDSIให้โอกาสครั้งสุดท้าย !!?

ดีเอสไอเซ็งทหารสังกัด กอ.รมน. ขอยืดเวลาเข้าให้ข้อมูลผังล้มเจ้าออกไปไม่มีกำหนด เตรียมทำหนังสือเชิญอีกเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเบี้ยวมา 4 ครั้งแล้ว หากไม่มาจะทำความเห็นสั่งไม่ฟ้องทั้ง 39 คนที่ถูกกล่าวหา

พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐว่าด้วยการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ (คดีล้มเจ้า) เปิดเผยว่า ได้รับการติดต่อจาก พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ทหารสังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาในคดีดังกล่าวขอเลื่อนเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนอย่างไม่มีกำหนด โดยให้เหตุผลว่าจะรอมาพร้อมกับ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก และทหารอีก 2 นาย

“ดีเอสไอจะทำหนังสือถึงนายทหารทั้ง 4 คนอีกครั้ง และจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะก่อนหน้านี้ทำหนังสือเชิญมาให้ปากคำแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง เพื่อให้โอกาสได้ชี้แจงข้อมูลในฐานะเป็นผู้กล่าวหาบุคคลทั้ง 39 รายชื่อที่ปรากฏในแผนผังล้มเจ้า หากยังไม่เข้าพบพนักงานสอบสวนจะหารือกับอัยการเพื่อทำความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ถูกกล่าวหาต่อไป เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถหาพยานหลักฐานการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาได้”

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวยืนยันว่า ไม่เคยเปลี่ยนแนวทางการสอบสวนคดีการเสียชีวิตจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ตามที่นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ออกมาตั้งข้อสังเกตที่แบ่งสอบสวนการตายออกเป็น 3 กลุ่ม ในกรณีของ พล.อ.ร่มเกล้า จากการตรวจสอบพบว่าการเสียชีวิตน่าจะเกิดจากวัตถุระเบิด และร่องรอยบาดแผลน่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มฮาร์ดคอร์ของคนเสื้อแดง

“การที่ศาลเปิดไต่สวนหาสาเหตุการตายของคนเสื้อแดงที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐทำให้ถูกมองว่าคดีมีความคืบหน้าเฉพาะส่วนนี้ แต่การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ไม่มีความคืบหน้า ซึ่งการเปิดไต่สวนของศาลเป็นไปตามขั้นตอนปรกติ ยังไม่ใช่ข้อสรุปของคดี ต้องยอมรับว่าคดีจลาจลหาพยานหลักฐานยาก พิสูจน์ได้ยาก โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดจากฝีมือของกลุ่มฮาร์ดคอร์ เพราะไม่มีใครออกมาพูดหรือให้ข้อมูลอะไรเลย”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************

ตบหน้าแรมโบ้อีสานคำตอบสุดท้าย...อยู่ที่แดงร้าวลึก !!?

เป็นอันว่าเรียบร้อยโรงเรียนโคราชไปแล้ว..

สำหรับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ นายก อบจ.นครราชสีมา ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งภายในของ นปช.ส่วนกลางกับคนเสื้อแดงซึ่งเคลื่อนไหวในพื้นที่

ผลคะแนนรวมอย่างเป็นทางการ..

อันดับ 1..“ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี” อดีต รมต.กระทรวงไอซีที ภริยา “ว่าที่ร้อยตรีไพโรจน์ สุวรรณฉวี” อดีตแกนนำกลุ่ม 3 พี ได้ 487,470 คะแนน

อันดับ 2..“น.พ.สำเริง แหยงกระโทก” อดีตนายก อบจ. ได้ 421,507 คะแนน

และอันดับ 3.. “วิทูร ชาติปฏิมาพงษ์” ได้ 96,482 คะแนน

อันดับ 1 และอันดับ 2 มีผลต่างคะแนน ถึง 65,963 คะแนน นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นนัยยะ ผ่านตัวเลขที่ไม่ธรรมดา เพราะต้องไม่ลืมว่าสถานะของ “หมอแหยง” คือ อดีตนายก อบจ.โคราช หรือแชมป์เก่า

“ขอแสดงความยินดี กับนายก อบจ.คนใหม่ ผมยินดีให้คำปรึกษาปัญหาท้องถิ่น และเข้าไปช่วยเหลือหากได้รับการร้องขอเข้ามา และขอขอบคุณ กว่า 4.2 แสนคะแนนที่เลือกผม แม้จะไปไม่ถึงดวงดาว แต่ก็เป็นกำลังให้ผมสู้ต่อไป ขณะนี้ขอเวลาพักผ่อน ใช้ชีวิตกับครอบครัวสักระยะหนึ่ง จากนั้นจะปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่ และครอบครัว เพื่อกำหนดแนวทางดำเนินชีวิตจะทำอย่างไรต่อไป”

น้ำเสียงของ “หมอแหยง” หลังความพ่ายแพ้ จะว่าไปแล้วไม่ต่างจากสคริปต์เดิมๆ ซึ่งฝ่ายที่ปราชัยในการเลือกตั้งมักจะพูดในทำนองนี้ แต่หากขีดเส้นใต้ไปในวรรคท้ายๆ ที่พูดทำนองว่าจะมีการปรึกษาหารือผู้ใหญ่เพื่อกำหนดแนวทางในอนาคตต่อไป ย่อมบังเกิดแง่มุมที่น่าสนใจ..

ผู้ใหญ่ที่ “หมอแหยง” ระบุถึงนั่นหมายถึงใคร???

เนื่องด้วยที่ผ่านมาดูเหมือนว่า อดีตนายก อบจ.ท่านนี้ จะเข้านอกออกในไปมาหาสู่ผู้หลักผู้ใหญ่มากหน้าหลายตาอยู่พอสมควร

ถอดรหัสไล่เรียงลำดับตามประวัติศาสตร์การเมืองท้องถิ่น แดนโคราชที่ผ่านมาไม่นานเท่าไหร่..

แรกเริ่มเดิมทีที่ “หมอแหยง” ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายก อบจ. โคราช นั้นได้รับการสนับสนุนจาก “เสี่ยกล้วย-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” แกนนำคนสำคัญที่สุดแห่งพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน หรือพรรค ชาติพัฒนาในอดีต

แต่หลังจากการขึ้นดำรงตำแหน่ง “นายกเล็ก” ดูเหมือนว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเริ่มห่างเหินกันออกไปเรื่อยๆ ว่ากันว่า หนึ่งในเงื่อนไขแห่งความห่างเหิน ส่วนหนึ่งมันเกี่ยวข้องกับฐานคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสนามใหญ่ครั้งพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง ที่เจ้าของฐานเสียงเดิมอย่าง “เสี่ยกล้วย” ในฐานะ “พรรคโคราช” ถูกท้าทายจากพรรคสีแดง

สายสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องขาดลงอย่างเป็นการถาวร หลังมีการพลิกขั้วทางการเมืองก่อกำเนิดพรรคภูมิใจไทยและรัฐบาลเทพประทาน ส่งผลให้มีตัวแปรที่ 3 ในสนามโคราช.. โดย “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” ตัดสินใจสะบัดเสื้อแดงไปสวมเสื้อสีน้ำเงิน โยกไปร่วมงานการเมืองกับ “เนวิน ชิดชอบ”

พลันที่การเมืองเปลี่ยนขั้ว พรรคภูมิใจไทย เริ่มเข้ามามีบทบาทในโคราช สายสัมพันธ์ระหว่าง “หมอแหยง” กับพรรคสีน้ำเงินก็เริ่มก่อตัวขึ้น และแล้วผลกระทบต่างๆ ก็เริ่มตามมา

ยิ่งหากจับจากจังหวะก้าวของพรรคสีน้ำเงิน มันย่อมปรากฏชัดว่า ล้วนสวนทางกับพรรคสีแดงในแทบทุกๆ มุมมองและทุกๆ มิติ

ในเมื่อช่วงนั้น “หมอแหยง” คลุกคลีอยู่กับพรรคภูมิใจไทย มันจึงมีผลไปถึงแนวทางการบริหารงานที่ทำให้คนเสื้อแดงในโคราชเริ่มไม่พอใจ เพราะไม่ค่อยให้การสนับสนุนกิจกรรมของ นปช.ในพื้นที่

ส่งผลให้ตลอด 2 ปีกว่าที่ “รัฐบาลเทพประทาน” บริหารประเทศ มันยิ่งทำให้ระยะห่างระหว่าง “หมอแหยง” กับ “คนเสื้อแดง” ทิ้งช่วงออกไปเรื่อยๆ

จนในวันหนึ่งที่ “รัฐบาลเทพประทาน” สิ้นอายุขัย และ ตามมาด้วยชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคเพื่อไทย มันไม่ต่างจากแรงเหวี่ยงซึ่งสวิงกลับมาที่การเมืองสนามเล็กในโคราช บนตรรกะความห่างเหินระหว่างนายก อบจ.โคราช กับคนเสื้อแดง

ชัดเจนว่าสภาพแวดล้อมทางการเมือง..ล้วนไม่เป็นคุณกับ “หมอแหยง” จุดยืนในอดีตกำลังมีแนวโน้มเป็นพิษของแชมป์ที่มุ่งหวังจะป้องกันแชมป์เอาไว้ให้ได้

ถึงบรรทัดนี้ การเมืองสนามเล็กไม่รู้ไปทำกันอีท่าไหน..จึงทอดยอดออกมาเป็นภาพ “หมอแหยง” ควงคู่กับ “แรมโบ้อีสาน- สุภรณ์ อัตถาวงศ์” แกนนำ นปช. ย่างสามขุมหาเสียงในการช่วงชิง เก้าอี้ นายก อบจ.โคราชรอบใหม่ ที่ถือว่ามีเซอร์ไพรส์อยู่พอสมควร

ใครเข้าหาใคร..น้ำจะพึ่งเรือเสือจะพึ่งป่าในรูปแบบใด..ไม่อาจทราบได้ แต่การออกตัวแรงของ “แรมโบ้อีสาน” ได้นำมาซึ่งความไม่พอใจของคนเสื้อแดงโคราชเป็นอันมาก

นั่นนำมาซึ่งความขัดแย้งครั้งใหญ่ภายในระหว่าง นปช. โคราชด้วยกันเอง เล่นกันหนักถึงขั้นที่ “แรมโบ้อีสาน” อ้างอิงมติแกนนำ 32 อำเภอ ปลด “อนุวัฒน์ ทินราช” ประธาน นปช. โคราช กลางอากาศ ด้วยสาเหตุที่ทำงานไม่เข้าขาแกนนำ และเสนอตั้ง “อุบล เอื้อศรี” อดีตผู้ว่าราชการและ ส.ว.นครราชสีมา ซึ่งเป็นคนสนิท “หมอแหยง” มาทำหน้าที่ ประธาน นปช.ฯ แทน

ก่อนจะตามมาซึ่งวาระเอาคืน เมื่อ “อนุวัฒน์” ยกเอามติแกนนำ นปช.สวนกลับเสนอปลด “แรมโบ้อีสาน” ออกจากตำแหน่งประธานที่ปรึกษา นปช.โคราช อันเป็นที่มาแห่งความแตกแยกให้กับคนเสื้อแดงเมืองย่าโม

แนวปะทะที่เกิดขึ้นจากการก้าวเข้ามาของ “หมอแหยง” ในขณะนั้น ใครพูดจริงใครพูดเท็จไม่อาจสืบทราบได้ แต่นั่นก็เป็น ประเด็นที่ทอดยอดออกมาสู่เกมหัก ที่ว่ากันว่า เหล่ามวลชนที่ยืน อยู่ตรงข้าม “หมอแหยง” และ “แรมโบ้อีสาน” หันไปสนับสนุน “ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์”

ดีกรีเป็นถึงขั้นอดีตเสนาบดี แถมพรรคชาติพัฒนายังถูก “เสี่ยกล้วย” รีแบรนดิ้งขึ้นมาใหม่ด้วยการดึง 2 ใน 3 พี เข้ามาผนึกกำลัง แถมระยะหลังเซียนการเมืองโคราชตัวจริงยังได้รับเครดิตจาก “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ว่าเป็นคนวงนอกที่มีแนวโน้มรีเทิร์นสู่เก้าอี้ตัวใหญ่ใน “ครม.ยิ่งลักษณ์” หลังได้รับอิสรภาพทางการเมืองในเดือนพฤษภาคมมากที่สุด

บริบทก่อนเลือกตั้งสนามเล็ก สะท้อนให้เห็นสูตร “พรรคโคราช+แดงโคราช”..

บริบทหลังเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นว่าอะไรคือ “ของจริง” อะไรคือ “ของปลอม”..

คำตอบสุดท้าย “ระนองรักษ์” ชนะ “หมอแหยง”

คำตอบท้ายที่สุด “แรมโบ้อีสาน” โดนตบหน้าฉาดใหญ่ ในวันที่ “แดงโคราชร้าวลึก” จนยากจะเยียวยา???

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ลากตั้งได้ ก็สอยร่วงได้ !!?


ทองแท้ย่อมต้องไม่กลัวไฟ แต่หากเจอไฟเข้าไป แล้วมีลอกมีร่วงเห็นสีทองที่ชุบไว้ออกแววกระดำกระด่างขึ้นมาให้เห็น แสดงว่าไม่ใช่ทองของแท้

เช่นเดียวกับศึกหนักที่บรรดา ส.ว.สรรหา หรือที่สังคมเรียกว่า ส.ว.ลากตั้ง กำลังเผชิญการตรวจสอบอย่างเข้มข้นของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เจ้าของฉายา “อดีตส.ว.จอมสอย” เข้ามาขอดูเนื้อในของบรรดา ส.ว.สรรหา กลุ่มผยองทางการเมืองในขณะนี้ ว่าเป็นทองแท้ หรือว่า เป็นแค่ทองชุบเอาไว้หลอกตาคน หลอกตาสังคม

ถือเป็นการตรวจสอบที่สร้างเสียงฮือฮาจากสังคมได้เป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะรายแรกที่โดยสอยร่วง ในล็อต 32 คนนี้ คือ นายสัก กอแสงเรือง ที่ไม่ได้มีสถานภาพเป็นแค่ ส.ว.สรรหา ธรรมดาๆเท่านั้น แต่ยังมีดีกรีเป็นนักกฎหมายมือฉมัง ระดับแถวหน้าที่คนในแวดวงสภาทนายความบอกว่าเป็นระดับ “พี่เบิ้ม”

ไม่มีทางที่นักบัญชีอย่างนายเรืองไกร จะมาสอยนักกฎหมายมือทองได้ด้วยประเด็นทางกฎหมายอย่างแน่นอน

แต่สุดท้าย ความจริงย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น แม้จะมีกลไกต่างๆพยายามเข้ามากล่าวอ้างสักเพียงใดก็ตาม แต่การเกาะติดข้อมูลของนายเรืองไกร ก่อนที่จะปล่อยหมัดเด็ด ปล่อยมีดสั้นไปสู่เป้าหมาย ก็ทำให้เห็นแล้วว่า

แม้แต่ 5 เสือ กกต.เองก็ยังถึงกับมึนไปเหมือนกัน หาทางออก หาทางลงแทบไม่ถูกเมื่อเจอกับข้อมูลที่ชัดและตรงประเด็น จนสุดท้ายต้องเลือกไม่ให้นายสักอยู่เป็นเป้า ให้ กกต. ต้องเหนื่อยหนักต่อไปอีก
จำใจ? จำยอม? หรือเพราะจนแต้มที่จะอุ้ม? เป็นเรื่องที่ 5 เสือ กกต. รู้กันเองอยู่ภายในอก แต่ไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้ เพราะเป็นเหมือนเรื่องน้ำท่วมปากก็ตาม แต่บทสรุปก็คือต้องไม่มีนายสักเป็น ส.ว.สรรหา ให้นายเรืองไกรกัดไม่ปล่อย

ปัญหาใหญ่ก็คือ กรณีของนายสัก เป็นเสมือนด่านหน้าที่โยงไปถึง ส.ว.อีก 31 คน ที่ก็ลาออกก่อนครบวาระเหมือนกับนายสักด้วยเช่นกัน จะทำอย่างไร ที่จะไม่ให้มอดไหม้ลามไปหมดทั้งยวง
นายสักหลุดคนเดียวยังไม่เสียหายหรือกระทบกับภาพใหญ่เท่าไรนัก แต่หากว่ายกขโยงกันหมดพวง 32 คนของ ส.ว.สรรหา อันนี้สะเทือนหนักแน่

ทำให้ทาง 5 เสือ กกต.เองก็ต้องงัดไม้เด็ด ออกมาเบรกเกมสอยของนายเรืองไกร โดยนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ ออกมาแจงมติที่ประชุม กกต. ว่าได้เพิกถอนสิทธิการสรรหา ส.ว.ของนายสัก กอแสงเรือง เพียงคนเดียว

โดยบอกว่าจริงๆแล้ว ที่ประชุม กกต.ได้มีมติเอกฉันท์ให้ยกคำร้องของนายเรืองไกร ว่าไม่อาจนำบทเฉพาะกาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 297 มาบังคับใช้ ที่กำหนดให้ ส.ว.ที่มาจากการสรรหาครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 2550 ให้มี วาระ 3 ปี และมิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 1 วาระ มาบังคับใช้กับบุคคลดังกล่าวในการสรรหาคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ

เพราะฉะนั้น ส.ว.สรรหาทั้ง 31 รายที่ได้รับการสรรหา แต่ได้ลาออกก่อนครบวาระ เพื่อเข้ารับการเสนอชื่อสรรหา ส.ว.เมื่อปี 2554 ทาง กกต.จึงยังถือว่าเข้ากับบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ สามารถเข้ารับการสรรหาได้ เช่นเดียวกับการที่ ส.ว.สรรหาชุดแรกอยู่จนครบวาระจนพ้นตำแหน่ง ก็ยังสามารถได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาได้อีก

แปลง่ายๆคือ กกต.พิจารณาว่าไม่ว่าจะลาออกก่อนครบวาระ หรือไม่ได้ลาออกอยู่จนครบวาระ ก็มีสิทธิได้รับการเสนอชื่อเข้ามาสรรหาใหม่เหมือนๆกัน

เล่นเอาอ้าปากค้างไปตามๆกัน เพราะถ้าเช่นนั้นเจตนารมณ์ของกฎหมายจะเขียนให้ต้องมีการเว้นวรรคเอาไว้ทำต่วยตูนอะไรกัน

ซึ่งถ้าแปลตามที่ 5 เสือ กกต. ออกมาในรูปนี้จริงๆต้องเท่ากับว่า แม้แต่นายสักก็ต้องไม่ผิดด้วยเหมือนกัน แต่เพราะนายสักเป็นเผือกร้อน เนื่องจากหลังจากที่รู้ว่านายเรืองไกรยื่นเรื่องสอย ทางด้านนายสักก็ออกมาสอนหนังสือนายเรืองไกรว่า หัดไปอ่านรัฐธรรมนูญให้ดีก่อนมั้ง

จนสังคมมองว่ากลายเป็นคู่ฟัดไปโดยปริยาย ทำให้ กกต.เองก็ต้องหาทางลงด้วยเช่นกัน
นางสดศรีก็เลยต้องอธิบายว่า กรณีของนายสักที่ กกต.ให้เพิกถอนการสรรหา เป็นการพิจารณาคนละประเด็นกันกับ 31 ส.ว. เพราะนายเรืองไกรได้ร้องเพิ่มว่านายสักยังพ้นจาก ส.ว.เลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 จนถึงวันได้รับการเสนอชื่อจากสภาทนายความยังไม่เกิน 5 ปี

ทำให้ กกต.มีมติเอกฉันท์ให้เพิกถอนการสรรหา และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ซึ่งเหมือนกับการที่ กกต.ให้ใบแดง ส.ส. หลังประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง

และเมื่อศาลฎีการับคำร้องจาก กกต.แล้วก็จะมีผลให้นายสักต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ว.จนกว่าศาลจะมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ส่วนที่ กกต.มีมติให้ดำเนินคดีอาญากับนายสักและสภาทนายความนั้น เนื่องจากคณะอนุกรรมการวินิจฉัยบางคณะเห็นว่า ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเป็นผู้รู้กฎหมายดี เมื่อรู้กฎหมายมากแล้วเลี่ยงกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดีอาญ

“กรณีของคุณสักก็อาจมีคนมองว่า ละเลยในแง่การตรวจสอบ ส่วนสำนักงาน กกต.โดยเลขาธิการ กกต.ละเลยหรือไม่ หากศาลวินิจฉัยยืนตาม กกต.ก็อาจมองว่า กรรมการสรรหา ส.ว.ได้ละเลยการตรวจสอบได้หรือไม่ แต่หากจะให้ฟ้อง กกต. 4 คน ที่วินิจฉัยก็คงไม่เกี่ยว เพราะ กกต.พิจารณาตามที่มีผู้ร้องคัดค้านเท่านั้น” นางสดศรีกล่าว

ก่อนหน้านี้ บรรดา 31 ส.ว.ระส่ำหนักจากกรณีของนายสัก แต่เมื่อสุดท้ายเกมพลิกมาเป็นร่วงเดี่ยวแทนร่วงหมู่ บรรดา 31 ส.ว.ก็โล่งอก แต่จะมองหน้านายสักสนิทหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะในขณะที่ ส.ว.ลากตั้งทั้งหลายพยายามพร่ำพูดในเรื่องจริยธรรม ต้องยึดในจริยธรรม แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับนายสักที่โดนเชือดเพียงคนเดียว บรรดา ส.ว.ที่เหลือคิดว่าเป็นการมีจริยธรรมหรือไม่ ที่ปล่อยให้นายสักโดนสอยคนเดียว ในกระบวนการร้องเรียนให้ตรวจสอบอย่างเดียวกันเป๊ะ
หรือจะถือว่า มติ 5 เสือ กกต.ที่ออกมา เป็นโล่กำบังได้เป็นอย่างดีแล้ว

แต่เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่ เพราะการที่นายสักต้องพ้นจากตำแหน่งตามการวินิจฉัยของ กกต. นอกจากมีโทษต้องเว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากพ้นจากตำแหน่งมาไม่เกิน 5 ปีแล้วมาสมัครเข้ารับเป็น ส.ว.สรรหา ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 115 (9)

คือนายสักมีวาระในการดำรงตำแหน่ง ส.ว. เริ่มตั้งแต่ 22 มี.ค.43 - 21 มี.ค. 49 แต่ปรากฏว่าสภาทนายความซึ่งเป็นองค์กรที่เสนอชื่อนายสักเข้ารับการสรรหา ส.ว. เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 54 ซึ่งบวกลบคูณหารแล้ว ก็ขาดไป 10 กว่าวันที่จะครบ 5 ปีจริงๆ

และเมื่อ กกต. จะต้องส่งคำวินิจฉัยให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน ก็เลยเกิดมีคำถามขึ้นมาว่า เรื่องนี้ถ้าจะถามถึงจริยธรรมและความยุติธรรมกันแล้ว น่าจะต้องถามหาความรับผิดชอบไปถึงคณะกรรมการสรรหา ด้วยหรือไม่ ว่าทำอย่างไรจึงผิดพลาดบกพร่องเช่นนี้

ปรากฏว่าเสียงสะท้อนจากสังคมเรื่องนี้ นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา เลขาธิการสภาทนายความ รับว่าเคยถูก กกต.เรียกไปให้การแล้วว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารสภาทนายความ มีมติส่งนายสักเป็น ส.ว.จริง และได้สอบถามนายสักถึงระยะเวลาที่พ้นตำแหน่งจาก ส.ว.ชุดเดิม

โดยนายสักยืนยันว่าพ้นระยะ 5 ปี แล้ว อ้างว่าเกินมา 8 วันแล้วด้วยซ้ำ ทางสภาทนายความจึงเสนอชื่อนายสักในฐานะเป็นหัวหน้าองค์กรไปเป็น ส.ว.

ที่นายสักอ้างว่าเกิน ก็เพราะตีความว่า การเข้ามาดำรงตำแหน่งในช่วงรักษาการ ไม่ใช่ระยะเวลาดำรงตำแหน่งจริงๆ แต่ กกต.วินิจฉัยว่าการดำรงตำแหน่งรักษาการถือว่ายังอยู่ในช่วงเวลาดำรงตำแหน่งจริงๆ จึงยังพ้นตำแหน่งไม่เกิน 5 ปี

ส่วนกรณีมีข่าวว่าจะดำเนินคดีอาญากับกรรมการสภา ทนายความ ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องดำเนินคดีกับกรรมการสรรหาด้วย หากคดีถึงศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง แม้นายสักไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ ส.ว.ได้ แต่จะไม่เกี่ยวกับตำแหน่งนายกสภาทนายความ ที่สำคัญหากศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่ผิด นายสักก็กลับไปเป็น ส.ว.ได้
เรียกว่ายังกะลุ้นกันจนวินาทีสุดท้าย!!

เช่นเดียวกับทางด้านของ นายเรืองไกร เอง ดูเหมือนว่าลึกๆยังคาใจกับมติ ของ 5 เสือ กกต.ที่ออกมาแบบพลิกล็อกป็อกช่าป็อกดื้อๆ ก็เลยงัดหลักฐานใหม่ ขึ้นมาสร้างความหนักใจให้กับ กกต.อีก โดยใช้ข้อมูลใหม่ว่า มี ส.ว.ประมาณ 10 คน ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งได้ตรวจสอบกับสำนักงานเขตต่างๆแล้ว ก็จะยื่นเรื่องให้ กกต.พิจารณา เพื่อส่งศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไป

ซึ่งข้อนี้เป็นพื้นฐานกฎหมายเลยว่า ถ้าไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งก็จะขาดสิทธิทางการเมือง
นอกจากนี้ในประเด็นตรวจสอบ ส.ว.สรรหา ปรากฏว่านายเรืองไกร ยังได้ไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณี น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ไปขึ้นเวทีพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาโจมตีรัฐบาล ซึ่งแสดงถึงความไม่เป็นกลางทางการเมือง ที่ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญที่รัฐธรรมนูญกำหนดต่อผู้ที่จะมาเป็น ส.ว.
นายเรืองไกรตั้งข้อสังเกตุด้วยว่า จริงๆได้ยื่นเรื่องของ น.ส.รสนา กับทางผู้ตรวจการไปก่อนที่จะมีกรณีตรวจสอบนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนางนลินี ทวีสิน ซึ่งกรณีนั้นใช้เวลาตรวจสอบแค่ 15 วัน ก็แจ้งผลออกมาแล้ว แต่ทำไมกรณี น.ส.รสนา ที่ถือเป็น ส.ว.ที่ได้รับคะแนนเลือกตั้งสูงสุดของประเทศ จึงยังไม่มีการแจ้งผลออกมา

จะไม่ตรวจสอบเลยหรือว่าเป็นกลางทางการเมืองจริงหรือไม่
กรณีอ้างว่าไปขึ้นเวทีเพื่อให้ข้อมูลเรื่องราคาน้ำมัน แต่หากยึดตามประมวลจริยธรรมจริง ก็ควรไปขึ้นเวทีที่เป็นกลาง ไม่ใช่ไปขึ้นเวทีของพรรคการเมืองไม่ใช่หรือ
งานนี้เจอการบ้านจากนายเรืองไกร ให้ต้องตอบคำถามกับสังคมกันโดยถ้วนหน้า
และแน่นอนว่า กกต.เองก็ยังไม่สามารถยุติเรื่องได้ง่าย เพราะนายเรืองไกร ใช้สิทธิ์ผู้ร้องขอให้ กกต. เพิกถอนสิทธิ์ ส.ว สรรหา 31 คน ได้ยื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อขออุทธรณ์คำวินิจฉัยของกกต. ที่ได้ยกคำร้องกรณีให้เพิกถอนสิทธิ์ 31 ส.ว.แล้ว

โดยระบุว่าในเมื่อ กกต. ได้สรุปและแถลงแล้วว่า ส.ว. สรรหาทั้ง 31 รายลาออกก่อนครบวาระ จึงแปลได้ว่า ส.ว.สรรหาทั้ง 31 ราย ไม่ได้อยู่ครบวาระตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 297 อย่างชัดเจน และย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องวินิจฉัยไปตามความในมาตรา 115(9) และมาตรา 116 วรรคสอง การสรรหาจึงไม่ชอบ ส.ว.สรรหาดังกล่าวจะต้องเว้นวรรคไปเป็นเวลา 5 ปีเช่นกัน

จึงเห็นได้ว่า การวินิจฉัยของ กกต. ย่อมขัดกับข้อเท็จจริงที่ กกต. ได้สรุปออกมาโดยข้อเท็จจริง เลยอุทธรณ์ให้พิจารณาทบทวนข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงให้ถ่องแท้อีกครั้งหนึ่ง และส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัยต่อไปตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 240 วรรคสองต่อไป

แถมยังให้ข้อมูลอีกด้วยว่า เมื่อก่อนหน้าเว็ปไซค์ ของกกต. จะสามารถตรวจสอบสิทธิ์การเลือกตั้งของ ส.ว.ได้ โดยการป้อนเลขบัตรประจำตัวประชาชน แต่ขณะนี้หลังจากที่ได้ยื่นเรื่อง 10 ส.ว.ไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง กลับมีการปิดหน้าเว็ปส่วนนี้ไปแล้ว เปิดมามีแต่หน้าต่าง ไม่มีเนื้อหาที่จะตรวจสอบได้
ไม่รู้ว่ามีใคร มีบารมีใหญ่โต ถึงขนาดลบหน้าเว็ปขององค์กรอิสระได้ อยากให้ กกต.ตรวจสอบด้วย
รวมทั้งเพื่อต้องการให้ กกต. เป็นกลไกการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพและสร้างการยอมรับให้กับสังคมได้อย่างแท้จริง นายเรืองไกรจึงได้จัดเต็มการบ้านให้ กกต.ไปด้วยอีกประเด็นหนึ่ง

นั่นคือการยื่นคำร้องเพิ่มเติมเพื่อขอให้กกต. ให้พิจารณากรณีที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้เลือก นายมนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ไปเป็นกรรมการสรรหา ส.ว.คราวที่ผ่านมา ว่าอาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่?

เนื่องจากตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส อาจไม่เข้าลักษณะผู้พิพากษาในศาลฎีกาตามความในมาตรา 11 ของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 และไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 113 วรรคหนึ่ง

ซึ่งจะส่งผลให้คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาไม่ชอบตามไปด้วย
เป็นอีกหนึ่งงานเข้า ที่ 5 เสือ กกต. คงต้องมึนอีกเช่นเคย เพราะกรณีนี้ถ้าใช่ตามที่นายเรืองไกรตั้งข้อสังเกตุก็แปลว่า ส.ว.ทั้งหมดที่คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาได้สรรหาเข้ามานั้น ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบตามไปด้วยเช่นกัน

เพราะฉะนั้นงานนี้ กกต. หนีไม่พ้นต้องเหนื่อยอีกอย่างแน่นอน
แต่ก็เป็นบทเรียนให้ใครก็ตามที่คิดว่า มีอำนาจสามารถลากตั้งเข้ามาได้เสียอย่าง
ก็ย่อมต้องเจอตรวจสอบเพื่อสอยได้เช่นกัน!!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชาติคางคก !!?

ไม่มีความสำนึก ในจิตใจที่เป็นธรรมซะเลย ว่าตัวเองนั้น “ยางหัวจะตก”
ทุกฝ่ายผนึกกำลังใจ เพื่อบัดกรีประเทศไทย ให้เป็นหนึ่งเดียว
ชูธง ความปรองดอง ความสมานฉันท์ไมตรี กันให้เกรียว
แต่มีบางพรรค บางก๊วน บางพวก สวมวิญญาณเป็น “จระเข้ขวางคลอง” ปิดหนทางการเดิน..เพราะรู้ว่าถ้าคนในชาติสามัคคี ก็จะไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้ง จึงต้องทำให้ประเทศแตกเข้าไว้
พฤติการณ์ตอกย้ำ..เป็นพวกมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ?.ประเทศตกต่ำ ก็เพราะพวกนี้ปะไร

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฆ่าประชาชน
คดีเข้าสู่โหมด แห่งกระบวนการยุติธรรมแล้ว..ต่อไปก็จะเหลือว่า ใครคือ “หัวหน้าโจร”
แต่รับประกันซ่อมฟรี สำนวนที่สั่งฟ้อง ไม่มี “ชายชุดดำ” ที่รัฐบาลอำมหิต กล่าวอ้าง ว่าเป็น “มือสังหาร” ชาวบ้านที่เป็นนักรบประชาธิปไตย
เท่าที่ทราบ “บิ๊กเหลิม ดาวเทียม” ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ รับรองว่าไม่มีชายชุดดำ ลั่นสไนเปอร์ ไปฆ่าใคร
ความจริงจะประจักษ์ ชัดตาคา ว่าใครเป็นผู้ออกคำสั่งฆ่าประชาชน จนมียอดคนตายสูงลิบ
แล้วจะรู้ว่า ผู้นำฟันน้ำนม...มีพฤติการณ์ไม่เพราะสม..ระดมคน ฆ่าคน โดยตาไม่กระพริบ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“คนเดือนตุลาฯ”
สร้างเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ สู้กับเผด็จการฟาสซิสต์ จึงไม่สำควร ที่จะให้ผู้รักประชาธิปไตยเต็มใบ ต้องมาด่า
“บุรุษเสื้อกั๊ก” ธีรยุทธ บุญมี และ “สมบัติ ธำรงธัญวงศ์”แห่งนิด้า ต้องรักษาคุณภาพเต็มร้อย เข้าไว้
เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ..อุดมการณ์นั้น ก็ต้องแปรเปลี่ยนไม่ได้
ถึงบางครั้ง จะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง ก็ไม่มีใครเอามาเป็นเรื่อง ทะเลาะกับปัจเจกชนเช่นท่าน..แต่ขณะเดียวกัน บริบท ของท่านต้องมั่นใจ เป็น “คนเดือนตุลาฯ” ที่กล้าสู้รบกับเผด็จการ
อย่าให้ใครด่าเอาสนุก..ว่าเป็นพวกมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก..มันจะจุกหน้าอกเอานะท่าน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชนักยังติดหลัง
คดีรถดับเพลิง ตอกย้ำ ว่าคดีมีมูล เป็นที่โด่งดัง
ก่อน “หล่อเล็ก” อภิรักษ์ โกษะโยธิน คีย์แมนใหญ่แห่งพรรคประชาธิปัตย์ จะออกมาตำหนิ “นายกฯปู “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไร้ประสิทธิภาพ แก้ปัญหาของแพงไม่เป็นสับประรด
นี่ก็สร้างภาพ ออกมาด่า เพื่อเอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้กับคนอื่น..ตามสไตล์สาวไส้คนอื่นหมด
ถ้าดีจริง จงรีบสร้างภาพพจน์ เกี่ยวกับคดีรถดับเพลิง ให้สะอาดหมดจด สิเจ้านาย
ทำว่าตัวเองเป็นทองแท้..แต่หลายคนมองว่า น่าจะเป็นหอกข้างแคร่..คดีตัวเองยังแก้ไม่ได้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อำนาจมากับภาระที่ยิ่งใหญ่
“บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องแสดงให้เห็นว่า เป็นชายชาติเสือ ที่ใครหมิ่นไม่ได้
ถึงช่วงนี้, ท่านจะไม่แสดงบทบาทอะไร เป็นที่เข้าตากรรมการนัก
เดือนเมษายน มีเทศกาลย้ายทหารระดับบิ๊ก ท่านต้องแอ็คชั่น สร้างเรตติ้ง แก่ตัวเองให้มั่กๆ
กับการโยกย้ายในกองทัพอากาศ ว่าจะโยก “บิ๊กเฟื่อง” พล.อ.อ.อิทธิพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. เมื่อทำงานเข้าขากันไม่ได้.. จึงทำให้งาน “รัฐบาลปู” กระปลกกระเพลี้ย
เมื่อเป็นรมว.กลาโหมต้องคุมกองทัพได้..ฉะนั้น,อย่าเห็นขี้ดีกว่าไส้...ใครที่ไม่ทำตาม ก็ย้ายฟ้าผ่าออกไปเสีย

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
***************************************************************

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

เปิดบทวิเคราะห์การเมือง ธีรยุทธ บุญมี ฉบับเต็ม ผ่าทางตันการเมืองไทย !!?

นายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์การเมืองไทยแนวโน้มของวิกฤติปัจจุบัน ดังนี้

1.ยุคของการเมืองปัจจุบันยุคของทักษิณ-การเมืองรากหญ้า ประชานิยม

1. การเมืองยุคของทักษิณ ช่วงเกือบ 15 ปีที่พรรคการเมืองของทักษิณชนะการเลือกตั้งทั่วไป ได้เสียงข้างมากติดต่อกัน รวมทั้งสามารถขยายฐานรากหญ้า เสื้อแดง ระดมพลไปเลือกตั้งและชุมนุมประท้วงได้อย่างกว้างขวาง สะท้อนว่าทักษิณกลายเป็น 1 ใน 3 ของผู้มีบารมีทางการเมืองในช่วงหลัง พ.ศ. 2500 ที่มีบทบาทเปลี่ยนโฉมการเมืองไทย ซึ่งได้แก่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ทักษิณจะช่วยให้การเมืองไทยดีขึ้นหรือประเทศล่มจมยังเป็นสิ่งต้องพิสูจน์อีกยาวนาน

2. เกิดการเมืองรากหญ้า-ประชานิยม วิกฤติการเมืองไทยรุนแรง เพราะการไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ที่รุนแรงที่สุดคือการไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย เพราะมองว่าไม่ใช่ของจริง ไม่ต้องสนใจจริงจัง เช่น ฝ่ายอนุรักษ์มองว่า เสื้อแดงไม่มีตัวตนเพราะถูกจ้างมา โง่จึงถูกหลอกมา ไร้การศึกษาจึงถูกชักจูงโดยทักษิณ แต่ชาวรากหญ้าเสื้อแดงกลับมองว่า ทักษิณมีบุญคุณล้นเหลือคือ (ก) นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ช่วยผ่อนเบารายจ่ายของคนจนอย่างมาก

นอกจากแก้การเจ็บไข้ร่างกายแล้ว ยังแก้เจ็บใจที่แต่ก่อนไปสถานพยาบาลแล้วถูกดูถูกปฏิเสธ (ข) ชาวบ้านมองกองทุนและโครงการช่วยคนจนต่างๆ ว่าเป็นก้าวแรกที่มีการช่วยเหลือทางวัตถุโดยตรงและจริงจังแก่ชาวบ้าน (ค) ชาวบ้านชอบความรวดเร็วและเด็ดขาดเอาจริงเอาจังของทักษิณ โดยเฉพาะในการปราบปรามยาเสพติด (ผลการวิจัยเบื้องต้นพบว่า ปัญหายาเสพติดกระทบโดยตรงต่อครอบครัวคนชั้นกลางล่าง ชั้นล่าง หรือคนจนในเขตเมืองมากกว่าที่คิด และลดลงมากในช่วงทักษิณ) ส่วนเสื้อแดงก็ไม่ยอมรับเสื้อเหลือง มองเป็นพวกไม่มีเหตุผล ความคิด เพราะคลั่ง “ชาติ” คลั่ง “เจ้า”

3. การเมืองรากหญ้ามีความสำคัญต่อประชาธิปไตย ถ้าจะมองพัฒนาการการเมืองไทยในด้านสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้ว ในช่วงราชาธิปไตยชาวบ้านไม่มีทั้งเสรีภาพและศักดิ์ศรี ต่อมาในช่วงเผด็จการทหารมีบางส่วนได้มีศักดิ์ศรีแต่ไม่มีเสรีภาพ ชนชั้นกลางในสังคมไทยเพิ่งจะมีเสรีภาพก็ในช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2516 และชาวบ้านระดับรากหญ้าเองก็มามีเสรีภาพในการแสดงออกหลัง 19 กันยายน 2549 การเมืองรากหญ้าจึงเป็นดัชนีบ่งชี้พัฒนาการของสิทธิเสรีภาพในสังคมไทย แม้จะเป็นช่วงเริ่มต้นก็ตาม อย่างไรก็ตาม ประชานิยมน่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงในอนาคต
อย่างไรก็ตาม พลังรากหญ้า เสื้อแดงมีลักษณะเฉพาะ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และการชุมนุมเป็นคราวๆ ยังไม่เป็นขบวนการการเมือง ไม่มีเป้าหมายอุดมการณ์ที่ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองแต่อย่างใด

2.รากเหง้าของวิกฤติ
1. เรารวมศูนย์มากเกินไป ท้ายที่สุดศูนย์กลางเอาไม่อยู่
ก่อนรัตนโกสินทร์ไทยไม่ได้ปกครองแบบรวมศูนย์เบ็ดเสร็จ มีความหลากหลายของรูปแบบการปกครอง ขนบ วัฒนธรรม เพิ่งมีการรวมศูนย์เบ็ดเสร็จทุกด้านในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยรัฐเป็นเจ้าของและผู้ใช้ทรัพยากรทุกอย่าง เชิดชูส่วนกลาง กดเหยียดของเดิม จึงเกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม ความน้อยเนื้อต่ำใจในหลาย ๆ ด้านฝังลึกอยู่ เนื่องจากทุกอย่างรวมศูนย์ที่รัฐ ทั้งอำนาจและทรัพยากร ชนชั้นนำที่เข้ามามีอำนาจการเมืองล้วนหยิบฉวยใช้ประโยชน์จากรัฐทั้งสิ้น

ส่วนชาวบ้านเกือบไม่เคยได้อะไรจากรัฐ จึงตำหนิชาวบ้านเต็มที่ไม่ได้ เมื่อประเทศต้องการให้มาลงคะแนนเป็นรากฐานให้ประชาธิปไตย พวกเขาจึงถือเป็นอำนาจต่อรองในการซื้อ-ขายเสียง ขอโครงการเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านตื้นตันใจกับทักษิณที่ใช้ประชานิยมผันเอาเงินของรัฐไปช่วยชาวบ้านอย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง แม้ตัวเองจะไม่ยอมจ่ายแม้แต่สตางค์แดงเดียวก็ตาม
ตัวอย่างความไม่ชอบธรรมอันเนื่องมาจากการรวมศูนย์มากเกินไป ซึ่งต้องร่วมกันแก้ไข คือ

(ก) ความเหลื่อมล้ำในเรื่องรายได้ คุณภาพชีวิต อำนาจในการใช้และควบคุมทรัพยากรพื้นฐาน ตั้งแต่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แร่ธาตุ ป่าไม้ การสื่อสาร โครงสร้างพื้นฐาน สุขภาพอนามัย ฯลฯ มีอยู่มากและได้พูดกันมากแล้ว

(ข) ประวัติศาสตร์เป็นความภาคภูมิใจของคน ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เราเน้นประวัติศาสตร์แบบกษัตริย์นิยมเป็นรัชกาลๆ ไป เกือบไม่มีเรื่องราวของคน อาชีพ สถานะอื่น ไม่มีประวัติศาสตร์สังคมโดยรวม

ไม่มีการเขียนประวัติศาสตร์ว่าคนอาชีพต่างๆ มีส่วนสร้างสังคมอย่างไร ราวกับว่าไม่มีพวกเขาอยู่ ความรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของประเทศจึงเกิดน้อย สถานที่สาธารณะของเรามีรูปปั้น มีชื่อถนน สะพาน อาคาร สวนสาธารณะ ฯลฯ ตามพระนามพระมหากษัตริย์ เกือบไม่มีชื่อของปราชญ์ชาวไทย พระ ทูต นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร สถาปนิก นายแพทย์ นักสำรวจ นักเศรษฐศาสตร์ นักแต่งเพลง กวี ศิลปิน ดารา นักกีฬา เช่น ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ปรีดี พนมยงค์ พระยาอนุมานราชธน พุทธทาสภิกขุ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ กุหลาบ สายประดิษฐ์ สุนทราภรณ์ มิตร ชัยบัญชา สุรพล สมบัติเจริญ ปรีดา จุลละมณฑล รวมทั้งบุคคลสำคัญของท้องถิ่นต่างๆ ในต่างประเทศเช่นราชสำนักอังกฤษให้อิสริยาภรณ์กับหลากหลายอาชีพ แม้แต่ชาวต่างประเทศ เปเล่ เอลตัน จอห์น บิล เกทส์ เดวิด เบคแฮม ฯลฯ ในขณะที่เรามีให้กับข้าราชการทหาร พลเรือน และภริยา กับนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่

(ค) ภาษา ขนบประเพณี วัฒนธรรม ของท้องถิ่นถูกทอดทิ้งละเลยไปมาก เช่น มีการรื้อถอนคุ้มจวนเจ้าเมือง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่สวยงาม แล้วสร้างศาลากลางที่อัปลักษณ์แบบไทยภาคกลางลงไปแทน วัดวาจำนวนมากก็ถูกเปลี่ยนเป็นแบบวัดภาคกลางแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีการใช้ภาษาบาลี ไปเป็นชื่อถนน อำเภอ ตำบล แทนชื่อท้องถิ่น ฯลฯ ยิ่งสร้างความแปลกแยก แทนที่จะสร้างความเข้าใจ เคารพซึ่งกันและกัน

ชาวบ้านรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมมาตลอดชีวิต ถูกดูหมิ่นดูแคลน ไม่มีศักดิ์ศรีของตัวเองให้เกิดความเคารพความรับผิดชอบตัวเอง เมื่อชนชั้นกลางในเมืองต่อต้านคนที่มีบุญคุณเช่นทักษิณ จนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน ขึ้น พวกเขาจึงรู้สึกว่ายิ่งถูกซ้ำเติม ไม่ได้รับความเป็นธรรม ศูนย์กลางใช้ 2 มาตรฐานต่อพวกเขา จึงเกิดการไม่ยอมรับอำนาจของศูนย์กลางขยายตัวกว้างขวางขึ้น
2. ความต่างในค่านิยม ความคิดพื้นฐานระหว่างรากหญ้ากับชนชั้นนำ ตอกย้ำความไม่เข้าใจกันเพิ่มมากขึ้น

ชาวบ้านอยู่กับความยากจนมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย จึงชอบวัตถุจับต้องได้อย่างเห็นชัดๆ ชอบความไวทันใจแบบปาฏิหาริย์ ชาวบ้านจึงชอบตะกรุด หลวงพ่อคูณ (กูให้มึงรวย) แทงหวย ชอบทองคำ ซึ่งบ่งบอกถึงความรวยชัดๆ (มวยไทยเก่งๆ ได้แจกสร้อยทองคำ) ชาวบ้านยังมีค่านิยมแบบนักเลง มีน้ำใจให้กัน พึ่งพากันได้ ชอบฮีโร่หรือวีรบุรุษที่สร้างความหวัง (ส่วนใหญ่ไม่สมหวัง) ให้กับตน ชอบผู้นำที่ฉับไว กล้าได้กล้าเสีย ไม่ต้องยกแม่น้ำทั้งห้า ส่วนคนชั้นสูงชอบระเบียบ ความสงบ เรียบร้อย เพราะเท่ากับว่าคนที่ต่ำกว่ายอมรับโครงสร้างอำนาจเดิม และมองว่าระเบียบเป็นสิ่งเดียวกับประสิทธิภาพ

แต่เมื่อใช้กับระบบราชการที่มีอยู่มานานจึงเชื่องช้า (นี่เป็นค่านิยมหลักของประชาธิปัตย์ที่ถูกวิจารณ์หนักมาตลอด) ชนชั้นสูงชั้นกลางเน้นการพึ่งตนเองและระบบ เน้นวัตถุเหมือนชาวบ้านเช่นกันแต่พยายามมีคำอธิบาย พวกเขาเน้นนามธรรม และชอบเทศนาคุณธรรม ความดี จึงเป็นที่มาของความต่างระหว่างประชาธิปไตยกินได้ของชาวบ้านกับประชาธิปไตยดูได้ของชนชั้นสูง

ความแตกต่างในค่านิยมระหว่างชนชั้นล่าง และชนชั้นสูง/กลาง

ชั้นล่าง ค่านิยมชีวิตทั่วไป ชอบความง่าย สนุกสนาน รู้สึกชีวิตไม่เป็นธรรม ชอบวัตถุจับต้องได้ เน้นการพึ่งพา ช่วยเหลือกัน ใจกว้างใจนักเลง

ชั้นสูง/กลาง ชอบระเบียบ กระบวนการ ความสงบเรียบร้อย มารยาท ชีวิตเป็นโอกาส ช่องทางเปิดกว้าง ชอบนามธรรม เน้นคุณธรรม ความดี (แต่ก็ชอบวัตถุ) เน้นการพึ่งตนเอง ช่วยตนเอง

ค่านิยมทางการเมือง
ชั้นล่างชอบ ผู้นำวีรบุรุษ นโยบายประชานิยม ประชาธิปไตยกินได้

สำหรับนักการเมือง ประชาธิปไตย (กู) ได้กิน

ชั้นสูง/กลาง ไม่ชอบทักษิณที่ไม่เคารพกติกา ไม่ชอบประชานิยม เพราะทำให้คนไม่รับผิดชอบตนเอง ชอบ

ประชาธิปไตยคนดี (เพราะพวกเราเป็นคนดี) หรือประชาธิปไตยดูได้ เผด็จการคนดีก็รับได้

3.มุมมองใหม่ของปรากฏการณ์ของ การเมืองรากหญ้า ขบถ”คนเล็กคนน้อย”

1. จะเข้าใจปรากฏการณ์เสื้อแดงได้ดีขึ้น ถ้ามามองทฤษฎีวงจรอุบาทว์หรือทฤษฎีสองนคราฯ ให้ลึกลงในระดับโครงสร้าง เราเคยอธิบายว่าการเมืองไทยเป็นสองนคราธิปไตย คือคนชนบทตั้งรัฐบาล คนเมืองล้มรัฐบาล หรือคนชนบทซื้อ-ชายเสียงเลือกตั้ง นักการเมืองถอนทุน ชนชั้นกลางไม่พอใจ ทหารรัฐประหารเลือกตั้งใหม่

แต่นี่เป็นการมองเชิงปรากฏการณ์ ถ้ามองเชิงโครงสร้างเราจะมองเห็นวงจรของการเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจการเมืองซ้อนทับอยู่ คือ ชนบทเป็นแหล่งที่มาของทรัพยากร แรงงานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และเป็นแหล่งที่มาที่ชอบธรรมให้กับประชาธิปไตย (ซึ่งก็คือการเลือกตั้ง) ส่วนเมืองเป็นแหล่งผลิตใช้ทรัพยากร และเป็นผู้ใช้อำนาจประชาธิปไตย และเพื่อให้วงจรนี้ดำรงต่อไปได้ก็มีการครอบงำชาวบ้าน โดยวาทกรรมความสำคัญของศูนย์กลาง ของประชาธิปไตยคนดี และมาตรการสุดท้ายคือรัฐประหาร

ประเทศตะวันตกไม่เกิดวงจรอุบาทว์นี้ เพราะเขาทำให้ประชาชนทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ มีส่วนร่วมรับผิดชอบ กล้าใช้สิทธิเสรีภาพของตน ประชาธิปไตยในต่างประเทศไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ต้องมีการลงทุนด้านสังคม การศึกษา ค่านิยม เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม รับผิดชอบ กลุ่มธุรกิจ ธนาคาร อุตสาหกรรม และภาคสังคมเป็นตัวหลักในการสร้างมหาวิทยาลัย โรงเรียน พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ ที่ประชุม ชุมชน หอศิลป์ ที่ฟังดนตรี สร้างสังคมที่ดี สวยงาม น่าอยู่ น่ารับผิดชอบร่วมกัน ฯลฯ

ชนชั้นนำไทยละเลยภารกิจนี้โดยสิ้นเชิง กลับโยนความไม่เป็นประชาธิปไตยไปที่ชาวบ้าน ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 ชนชั้นสูงของไทยสร้างค่านิยม อุดมการณ์แบบนิยมกษัตริย์ ทหารเน้นอุดมการณ์ความมั่นคง ส่วนกลุ่มทุน ธุรกิจต่างๆ ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบหรือร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือสร้างบรรยากาศประชาธิปไตยขึ้นเลย ชนบทจึงเป็นแหล่งที่มาของทรัพยากร แรงงานสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ และเป็นผู้ลงคะแนนเสียง หรือแหล่งที่มาของความชอบธรรม (legitimacy) ของประชาธิปไตยที่ดึงดูดเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยที่ตัวเองเกือบไม่ได้อะไร

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านก็รู้ดีว่าอำนาจต่อรองทำให้เกิดผลประโยชน์ได้ เมื่อคนเมืองต้องการให้พวกเขาลงคะแนนเลือกตั้ง การซื้อ-ขายเสียงอย่างเป็นระบบ การของบโครงการเข้าหมู่บ้านจึงเริ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 2521 และขยายตัวเรื่อยมา สังคมทั่วไปประณามว่าเป็นเหมือนมะเร็งร้ายของประชาธิปไตย แต่ถ้าจะมองว่าเป็นการแบ่งปัน ขอคืน ของชาวชนบทก็ได้เช่นกัน

การเกิดขึ้นของการเมืองรากหญ้าจึงเสมือนเป็นกระบวนการย้อนกลับที่จะดึงเอาอำนาจ ความมั่งคั่ง ศักดิ์ศรี ความภูมิใจ กลับคืนสู่ชนบท จะเป็นสิ่งที่ดีมากและเกิดผลยั่งยืนแก่ประชาธิปไตยถ้ากระบวนการนี้ยั่งยืน แล้วสร้างความเป็นธรรมในที่สุด เพราะความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำต่างๆ เป็นรากเหง้าลึกที่สุดที่ทำให้เกิดปัญหาเหลือง-แดง การเมืองรากหญ้า-ประชานิยม (ดูแผนภาพประกอบ)

2. เกิดการเมืองแบบ 2 ขั้วอำนาจ เมืองไทยยุค 2 ก๊ก ก๊ก “คนเลว” โจโฉ จะชนะก๊ก “คนดี” เล่าปี่-ขงเบ้ง
ขณะที่การเมืองไทยกำลังก่อรูปเป็น 2 ศูนย์อำนาจ คือ ศูนย์อำนาจฝ่ายอนุรักษนิยมกับศูนย์อำนาจรากหญ้า ซึ่งเป็นภาวะที่ทั้งน่าสนใจและน่าเป็นห่วงมากที่สุดเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงการเมืองทั้งหมดที่ผ่านมา ภาวะ 2 ศูนย์อำนาจจะแบ่งประเทศออกเป็น 2 ส่วน แต่ละส่วนมีฐานที่มั่น ที่มาความชอบธรรม (legitimacy) ควบคุมอำนาจที่ต่างกันชัดเจน

(ก)จากนโยบายประชานิยม ซึ่งจะหลากหลายขึ้น ทั้งประชานิยม เศรษฐกิจ อาชีพ สังคม (กองทุนสตรี การแจกคอมพิวเตอร์แทบเล็ตให้เด็กนักเรียน[3]) ประชานิยมด้านอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี

(ข) จากคนเล็กคนน้อย จากหลากหลายอาชีพ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเหยียด เช่น ตำรวจ อัยการ พ่อค้า แม่ค้า (ไม่จำเป็นต้องเป็นคนจนหรือยศชั้นต่ำ)

จะเห็นได้ว่าฝ่ายเสื้อแดง-รากหญ้าอยู่ในสถานะได้เปรียบ ฝ่ายอนุรักษ์เสียเปรียบ เพราะ (ก) แนวทางและวาทกรรมในการต่อสู้ของเสื้อแดงจูงใจคนเล็กคนน้อย (แต่เป็นคนส่วนใหญ่ได้) ส่วนของความคิดอนุรักษ์จำกัดอยู่ในเรื่องชาติและพระมหากษัตริย์ (ข) เสื้อแดงมีความชอบธรรมในเรื่องประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความชอบธรรมสากลของโลกปัจจุบัน

ส่วนความชอบธรรมของฝ่ายอนุรักษ์เป็นเชิงประวัติศาสตร์ประเพณีซึ่งเกาแก่และสึกกร่อนได้ (ค) วิสัยทัศน์ของพลังอนุรักษ์ตีบตันจึงเป็นฝ่ายตั้งรับ ในขณะที่ฝ่ายรากหญ้าเส้นทางเปิดกว้างเพราะสามารถคิดสิ่งใหม่ๆ มาให้กับชาวบ้านได้ โดยมีงบประมาณ ทรัพยากรรองรับ

ภาวะ 2 ศูนย์กลางไม่เป็นผลดีในที่สุดต้องเหลือเพียงศูนย์เดียว ในระยะยาวโอกาสของพลังฝ่ายรากหญ้ามีมากกว่า

4.บทสรุป
ไม่มีทางออกในระยะใกล้ มีแต่สิ่งที่ต้องทำเพื่อทางออกระยะยาว

1. ไม่มีทางออกจากการรอมชอมในระยะสั้น เพราะปัญหาฝังลึกมานาน ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าตัวเองถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีปากเสียงมานาน อีกฝ่ายศรัทธาในสถาบันที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมานาน ต่างเชื่อว่าอีกฝ่ายจะล้มล้างหรือซ้ำเติมฝ่ายตน

2. การขยายตัวของขั้วทักษิณ-รากหญ้า มีโอกาสทำให้เกิดการแตกร้าวระดับโครงสร้างและสถาบันมากขึ้น
ดังที่กล่าวว่า วงจรการเมืองเป็นเสมือนการย้อนเอาอำนาจ รายได้ ศักดิ์ศรี ความภูมิใจ ความยุติธรรมกลับคืน เส้นแบ่งระหว่าง 2 ศูนย์อำนาจนอกจากจะเป็นความเสียเปรียบ/ได้เปรียบ คนต่ำต้อย/คนชั้นสูง มีแนวโน้มขยายเป็นเรื่องอัตลักษณ์ (คนอีสาน เหนือ ใต้ กรุงเทพฯ) วัฒนธรรม ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับการเมืองประชาธิปไตยในแง่ที่จะเกิดความหลากหลายทางอัตลักษณ์ วัฒนธรรม การตระหนักในอำนาจ ศักดิ์ศรีของตนเองกับคนไทยอย่างกว้างขวางที่สุด เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต แต่ถ้าเป็นวงจรการเมืองแบบเอาคืนหรือทีใครทีมันอย่างสุดขั้ว ก็จะเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อได้ และจะเป็นเรื่องเสียหายเกิดความเสียหายร้ายแรงที่สุดถ้าเส้นแบ่งขั้วขัดแย้งขยายเข้าไปสู่สถาบันกองทัพ ศาล เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม บ้านเมืองจะผ่านความรุนแรงไปได้อย่างน้อยช่วงหนึ่งถ้าทักษิณและเพื่อไทยมองเห็นว่า เวลาอยู่กับฝ่ายตน ไม่จำเป็นต้องกดดันให้มีการเผชิญหน้าของมวลชน และใช้เวลาดังกล่าวแก้ไขความไม่ถูกต้อง ซึ่งมีมาช้านานให้ดีขึ้น แต่ก็ควรมุ่งเชิงโครงสร้างและค่านิยมที่ควรมากกว่า

3. ต้องมีการปรับกระบวนทัศน์หรือแม่บทความคิดใหม่ว่า ประเทศไทยควรเป็นอย่างไร ทั้งในด้านการเมืองการปกครอง การปฏิรูปปรับปรุงสถาบัน องค์กร สำคัญๆ ต่างๆ ทั้งหมด อาทิ

รูปแบบการปกครองประเทศควรเป็นอย่างไร ควรจะกระจายอำนาจการตัดสินใจในทางเศรษฐกิจ การศึกษาในระดับภูมิภาค การพัฒนาท้องถิ่นเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไร

เป็นที่ประจักษ์ชัดจากความขัดแย้งปัจจุบันว่า ได้ลุกลามไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ นักวิชาการรวมทั้งนักคิดที่ใกล้ชิดราชสำนัก เช่น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

นพ.ประเวศ วะสี อานันท์ ปันยารชุน ควรสร้างการศึกษาค้นคว้า สร้างความรู้ที่ถูกต้องว่า สถาบันกษัตริย์ควรจะดำรงอยู่ในระบบเสรีประชาธิปไตยและโลกาภิวัตน์อย่างไร โดยส่วนตัวผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการอนุรักษ์สุดขั้วบางส่วน ที่พยายามจะหวนกลับมายกย่องให้พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ มีพระราชอำนาจทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการย้อนยุค สถาบันพระมหากษัตริย์จะดำรงอยู่ในสังคมเสรีประชาธิปไตยและโลกยุคข่าวสารได้ยั่งยืน ก็ต้องเป็นสถาบันที่มีสถานะเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอย่างแท้จริง

นอกจากจะมีหน้าที่ ภารกิจตามรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยแล้ว ยังมีภารกิจตามขนบประเพณี ทางศาสนา วัฒนธรรม และที่สังคมคาดหวัง เช่น เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นแหล่งที่มาของเกียรติยศ จริยธรรม คุณธรรม พิธีกรรมต่างๆ เป็นต้น

นักเศรษฐศาสตร์สำคัญทั่วโลกล้วนสรุปว่า นโยบายประชานิยมแม้จะมีส่วนดีในหลายด้านแต่ก็ล้มเหลวในที่สุดในทุกประเทศที่เคยใช้มา เพราะเกิดปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนและเงินเฟ้อรุนแรง สังคมต้องช่วยกันกดดัน วิพากษ์ วิจารณ์ทักษิณและพรรคเพื่อไทยทีจะพัฒนาเปลี่ยนรูปนโยบายนี้ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง

ผู้ที่ควรร่วมคิด ผลักดันประเด็นข้างต้นควรเป็น นักวิชาการเสื้อเหลือง แดง และนักวิชาการทั่วไปที่ไม่ยึดแนวสุดขั้วจนปฏิเสธอีกฝ่ายหนึ่ง ภาคธุรกิจ กลุ่มทุนใหญ่ ซึ่งอยู่ตรงกลางมากที่สุด แต่ก็มีผลได้ผลเสียจากความขัดแย้งปัจจุบันมากที่สุด ควรมีบทบาทชดเชยสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ ด้วยการลงทุนสร้างความยุติธรรม บรรยากาศ ค่านิยมประชาธิปไตยให้กว้างขวางที่สุด

4.การเกิดขั้วทางอำนาจนี้ คงดำเนินต่อไปอีกยาวนาน มีโอกาสเกิดการชุมนุมประท้วงรุนแรงขึ้นได้อีก จำเป็นที่เราต้องยกระดับให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยเข้มแข็ง (strong democracy) ที่ใช้ทั้งสิทธิและเสรีภาพและตามลักษณะที่เข้มแข็งทั้ง 3 ด้าน (strong right, strong freedom, strong responsibility) คือเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ขณะเดียวกันก็รักษาสิทธิของตน รับผิดชอบต่อสิทธิเสรีภาพของตนเต็มที่

สิ่งที่ต้องทำ
1. ต้องปรับกระบวนทัศน์หรือแม่บทความคิดว่าประเทศไทยควรเป็นอย่างไรใหม่ ประเทศไทยเราคงไม่อยู่ ดำรงอยู่ และก้าวหน้าต่อไปด้วยแนวคิดง่ายๆ ว่าไทยเป็นเมืองสงบ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำไม่มีใครอดตาย เป็นประเทศที่ยึดมั่นใน “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เพราะมีความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม โลกาภิวัตน์ การปฏิวัติทางเทคโนโลยีสื่อสาร ฯลฯ เกิดขึ้น เราต้องตั้งคำถามต่อปัญหาใหญ่ๆ ของประเทศใหม่ทั้งหมด เช่น

เราจะมีประชาธิปไตยแบบไหน จะมีประชาธิปไตยรากหญ้าที่มีการตรวจสอบ สกัดกั้นการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองได้ไหม จะพัฒนาองค์กรตรวจสอบอย่างไร

นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองบทเรียนประวัติศาสตร์ว่า ประชานิยมที่ถูกนำมาใช้ล้มเหลวในที่สุด แต่บางส่วนมองว่ามีด้านที่ดีในเชิงการเมือง สังคม ความยุติธรรม และอื่นๆ นักเศรษฐศาสตร์ไทยต้องเพิ่มการถกเถียง ถ่ายทอดความรู้ทัศนะในประเด็นดังกล่าวแก่สังคมให้กว้างขวางที่สุด

2. ทุกฝ่ายทั้งเหลือง-แดง ทุกสถาบันของประเทศ ควรปรับตัวให้เข้ากับสภาวการณ์ใหม่ด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี หรือเป็นการยอมรับแรงกดดันจากอีกฝ่าย

3. ทุกฝ่ายต้องเคารพสิทธิของผู้อื่น ขณะเดียวกันก็เคารพสิทธิ กล้าใช้สิทธิของตนเอง เช่น ไม่ควรยินยอมให้พลังฝ่ายใดทำรุนแรงเกินเหตุ เช่น การยึดทำเนียบ การขับไล่ล้มการประชุมนานาชาติ การยึดสนามบินสุวรรณภูมิ การยึดราชประสงค์ จนเกิดการปราบปรามและการเผาราชประสงค์อีกต่อไป แต่ละฝ่ายควรรักษาสิทธิของตนเองอย่างจริงจัง เพราะการกระทำดังกล่าวแม้จะอ้างว่าทำด้วยเจตนามุ่งหมายที่ดี แต่เมื่อเกิดผลเสียหายขึ้นแล้วก็ต้องมีผู้รับผิดชอบ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเท่าเทียมกัน เพื่อรักษาระบบยุติธรรมของประเทศเอาไว้ ส่วนจะมีการนิรโทษกรรมหรือไม่ เป็นเรื่องที่สังคมทั้งหมดจะช่วยกันพิจารณา

4. โดยส่วนตัวผู้เขียนยังเชื่อว่าทักษิณไม่ได้เชื่อมั่นการสร้างประชาธิปไตยรากหญ้าจริงๆ จะเห็นได้จากการปราศรัยกับชาวบ้าน ไม่ได้เห็นประเด็นที่เป็นโครงสร้างยั่งยืน นอกจากอ้อนวอนขอกลับมาเมืองไทย ทักษิณมีลักษณะเป็นผู้นำการตลาดมากกว่าผู้นำประชาธิปไตย ทักษิณมุ่งหวังรากหญ้าเป็นลูกค้าซื้อสินค้าของตนเป็นประจำสม่ำเสมอ มากกว่าจะให้รากหญ้าเป็นรากฐานที่ยั่งยืนมั่นคงของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทย อนาคตการเมืองไทยจึงจะยังเป็นเครื่องหมายคำถามที่จะอยู่กับคนชื่อทักษิณอยู่อีกต่อไปนานพอสมควร

5. โดยส่วนตัวผู้เขียนยังเชื่อว่าทักษิณไม่ได้เชื่อมั่นการสร้างประชาธิปไตยรากหญ้าจริงๆ จะเห็นได้จากการปราศรัยกับชาวบ้าน ไม่ได้เห็นประเด็นที่เป็นโครงสร้างยั่งยืน นอกจากอ้อนวอนขอกลับมาเมืองไทย ทักษิณมีลักษณะเป็นผู้นำการตลาดมากกว่าผู้นำประชาธิปไตย ทักษิณมุ่งหวังรากหญ้าเป็นลูกค้าซื้อสินค้าของตนเป็นประจำสม่ำเสมอมากกว่าจะให้รากหญ้าเป็นรากฐานที่ยั่งยืนมั่นคงของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทย หรือเป็นขบวนการการเมืองที่มีเป้าหมาย อุดมการณ์การเมืองที่มีความสามารถชี้ทางออกที่เหมาะสมให้สังคมไทยได้ ซึ่งเท่ากับประเทศเราแตกแยก ด่าทอกันเอง ใช้ความรุนแรงต่อกันเพียงเพื่อแก้ปัญหาการซุกหุ้น หนีภาษี ความไม่รู้จักอิ่มในทรัพย์สิน อำนาจของทักษิณเท่านั้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++