โดย.เมธา มาสขาว
ก่อนหน้านี้โลกของเราวิวัฒน์มาหลายช่วงเวลาและยุคสมัย จนกระทั่งวันที่สังคมของเราพัฒนาแบบก้าวกระโดดด้วยระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ และ Internet จนถึงวันนี้ Google ได้ปฏิวัติระบบความรู้ในโลกให้ง่ายเหมือนรับประทานแคปซูล และ Facebook ก็ได้เชื่อมโยงผู้คนในสังคมโลกให้ใกล้ชิดกันแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสายสัมพันธ์ของมนุษยชาติ

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยก็คือ การถือกำเนิดของ BitCoin สกุลเงินตราสกุลใหม่ของโลกที่เพิ่งกำเนิดขึ้นได้ไม่นาน และว่ากันว่าจะมาปฏิวัติรูปแบบการเงินครั้งใหม่ของโลกในอนาคต ไม่ใช่สกุลเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นสกุลเงินในรุปแบบ Digital ที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันทาง Internet ทั่วไป ไม่มีพิมพ์จำหน่ายจ่ายแจกเหมือนธนบัตร
BitCoin เป็นสกุลเงิน Digital ซึ่งสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องผ่านธนาคารกลางในการทำธุรกรรมทางการเงิน ถูกออกแบบขึ้นครั้งแรกโดย Satoshi Nakamoto บุรุษไร้เงาชาวญี่ปุ่น ซึ่งนำเสนอผ่านรายงานที่ชื่อว่า Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System อันลือลั่นของเขา และนำมาสู่สกุลเงิน Digital ดังกล่าวในเวลาต่อมา

ประเด็นสำคัญของการกำเนิด BitCoin ก็คือ มันเป็นสกุลเงิน Digital ที่อยู่ภายใต้การดูแลของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกของผู้ใช้ทุกๆ คน โดยไม่ต้องพิมพ์ธนบัตรเหมือนสกุลเงินทั่วไป ไม่ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของธนาคารกลางประเทศใด เพื่อลดบทบาทของธนาคารในการกำหนดค่าเงินและการพิมพ์ธนบัตร โดยเฉพาะการบันทึกการทำธุรกรรมการเงิน ซึ่งแทนที่จะต้องให้ธนาคารเป็นผู้ดูแลการโอนเงินของผู้ใช้ แต่ BitCoin ออกแบบให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถรับรู้และช่วยยืนยันการโอนเงินซึ่งกันและกัน ผ่าน Software เครื่องคอมพิวเตอร์ของทุกคนที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายทั่วโลก
อธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือ BitCoin ไม่ต้องพึ่งธนาคารหรือสถาบันทางการเงิน ในการยืนยันสถานะต่างๆ ให้ และบันทึกลงในระบบของธนาคารหรือในสมุดบัญชีเหมือนดังเช่นที่ผ่านมา แต่ผู้ใช้ BitCoin ทั่วโลกรับรู้และยืนยันกันเองผ่านระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรแกรมการเงินดังกล่าวร่วมกัน ผ่านระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้ BitCoin ทั้งหลายมี address หรือเลขที่บัญชีของตนเองอยู่ และซื้อขายสินค้ากันผ่านบัญชีต่างๆ ดังกล่าวได้โดยตรง (โดยไม่ต้องพึ่งนายธนาคารมาการันตีการเงิน)
หากเป็นธนาคารทั่วไปนั้น ธนาคารจะบันทึกข้อมูลทางการเงินของเจ้าของบัญชีไว้ในระบบของธนาคาร แต่ระบบของ BitCoin จะถูกบันทึกไว้ในระบบชื่อว่า Block Chain ซึ่งจะมีข้อมูลของทุกรายการธุรกรรมที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดในระบบโครงข่ายคอมพิวเตอร์ เงินตราหรือธนบัตรโดยปกติแล้วอาจจะถูกกำหนดโดยรัฐบาลและแจกจ่ายโดยธนาคาร แต่ BitCoin เกิดจากการคำนวณและแจกจ่ายให้กับ Miners หรือคนที่สร้างมูลค่าเงิน Digital ในระบบคอมพิวเตอร์ Internet โดยวิธีการ “สร้างเหมือง” ที่มีจำกัดและสมดุลกับผู้ใช้ทั่วโลกผ่านระบบคอมพิวเตอร์ความเร็วสูงที่ถูกลงทุน หรือที่เรียกว่าการ run BitCoin mining software บนคอมพิวเตอร์ของ miners โดย mining software จะทำงานและนำรายการธุรกรรมที่เกิดขึ้นผ่าน Network หรือพื้นที่ในระบบคอมพิวเตอร์โครงข่ายของทุกคนและใส่เข้าไปใน Block Chain (ระบบการโอนเงินจะเคลื่อนที่ผ่าน software ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนที่ run BitCoin mining software หรือ Miners ที่อุทิศพลังงานบางส่วนในคอมพิวเตอร์ให้ระบบ Software BitCoin ดังกล่าว ซึ่งเท่ากับว่า ให้ทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมดังกล่าว เป็นเหมือน “ธนาคาร” ร่วมกัน โดยไม่ต้องมีคนกลางมาทำหน้าที่แทนเหมือนธนาคารในโลกจริง)

ข้อดีของ BitCoin สกุลเงินที่กำลังแพร่หลายและสะเทือนวงการการเงินโลกในเวลานี้ก็คือ ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ถูกมากกว่าหลายเท่าและรวดเร็ว เมื่อเทียบกับวิธีการทำธุรกรรมผ่านสถาบันทางการเงินทั่วไป เท่าที่ทราบในขณะนี้ค่าธรรมเนียมอาจอยู่ที่ 0.0005 BTC หรือน้อยกว่า 25 สตางค์ต่อ 1 รายการการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงประหยัดกว่าการใช้บัตรเครดิต ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูงมากกว่า จนได้รับการยอมรับในการใช้แลกเปลี่ยนสินค้าหรือแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
ปัจจุบัน BitCoin เป็นเงินสกุลหนึ่งของโลกไปแล้วที่ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นมาก เพราะการไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่ง ในเมืองไทยทราบว่ามีประมาณ 9 บริษัทที่รับทำธุรกรรมการเงินด้านนี้ ขณะที่ประเทศเยอรมนีได้ออกประกาศรับรองให้ BitCoin เป็นสินทรัพย์ส่วนบุคคล เช่นเดียวกับหุ้นและพันธบัตร สามารถถือครองและซื้อขายแลกเปลี่ยนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ถือครอง BitCoin ต้องแจ้งจำนวนที่ถือครองต่อทางการทุกปีเพื่อแสดงว่าเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ เพื่อเรียกเก็บภาษีจากกำไรในการค้า
นอกจากนี้ BitCoin ยังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน นักธุรกิจชาวจีนจำนวนมากถือสินทรัพย์ของตัวเองในรูปของเงิน BitCoin ไว้เพื่อเก็งกำไรค่าเงิน และอีกส่วนหนึ่งอาจเพื่อหลบหนีการควบคุมของทางการ เพราะการเคลื่อนย้ายเงินตราเข้า-ออกประเทศจีนนั้นทำได้ค่อนข้างลำบาก ในขณะที่ธนาคารกลางจีนได้ออกมาห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมการเงินและซื้อขาย BitCoin พร้อมคำเตือนว่า BitCoin ไม่มีสถานะทางกฎหมายและไม่ได้รับการยอมรับจากทางการจีนในฐานะเงินตรา รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยเช่นกัน เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการค้า BitCoin เพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาท
ขณะที่ ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ออกมายืนยันว่าจะไม่เข้าแทรกแซงการรับรองเงิน Digital อย่าง BitCoin โดยเปิดเสรีให้องค์กรธุรกิจต่างๆ สามารถเลือกได้เองว่าจะยอมรับการจ่ายค่าสินค้าและบริการด้วยเงิน BitCoin หรือไม่ แม้หลายประเทศยังไม่ยอมรับให้สถานะทางกฎหมายในฐานะเงินตราก็ตาม

อย่างไรก็ตาม BitCoin อาจจะกลายเป็นสกุลเงิน Digital ที่จะมาปฏิวัติระบบการเงินโลกในไม่ช้าก็เร็วนี้อย่างแน่นอน, นับตั้งแต่ อาณาจักร Rothschilds ได้เข้าควบคุมระบบการเงินและยึดกุมธนาคารกลางในหลายประเทศเมื่อกว่า 200 ปีก่อน จนกลายมาเป็นผู้ควบคุมระบบการเงินโลกในปัจจุบัน จนกระทั่งพวกเขามีอำนาจใน ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งสามารถผลิตธนบัตรเองได้โดยไม่ต้องมีทองคำสำรองประเทศเดียวในโลกในเวลานี้ และยังเป็นเจ้าของธนาคารขนาดใหญ่และอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
เพราะว่าระบบการเงินในปัจจุบัน แม้ถูกควบคุมด้วยธนาคารชาติต่างๆ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ในการกำหนดค่าเงินของตนเองด้วยการพิมพ์ธนบัตร, ดอกเบี้ย, เงินสำรองหรือกระบวนการต่างๆ ก็ตาม แต่ถึงที่สุดแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราถูกควบคุมระบบการเงินโดยกลุ่มทุนการเงินระดับโลกอีกต่อหนึ่งอยู่ดี
ดังนั้น แนวคิดการสร้างระบบการเงินสกุล Digital แทนที่นโยบายการเงินจากธนาคาร โดยออกแบบให้ทุกคนช่วยกันยืนยันรับรองเงินตราและการโอนเงินซึ่งกันและกันแทนที่ระบบธนาคารดังกล่าวนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจและท้าทายระบบการเงินในโลกทุนนิยมแบบเก่ายิ่งนัก.
หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรก คอลัมน์โลกและเรา (เมธา มาสขาว) หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2557
1) ปัจจุบัน Federal Bureau of Investigation (FBI) เข้ามาถือครอง BitCoin จำนวนมากจนว่ากันว่าเป็นรายใหญ่รายหนึ่งของโลก เพื่อเข้ามาสืบสวนติดตามการฟอกเงินหรืออาชญากรรมทางการเงินในเครือข่ายยาเสพติดที่อาจใช้เงิน DIgital ในการซื้อข่ายถ่ายโอนและแลกเปลี่ยนเงินตรา เนื่องจากการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของทุกคนเป็นตัวผ่านและยืนยันการโอน จึงทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบัญชีทางการเงินต่างๆ เป็นของผู้ใดบ้าง ผ่านระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งค่อนข้างแฮกยาก หากมีผู้ใช้มากขึ้นๆ ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีผู้ใช้หลายล้านคน
2) ค่าเงิน BitCoin ปัจจุบันอยู่ที่ 1 BitCoin ต่อ 13,954-15,219 บาท (7 เมษายน 2557 - https://bitcoin.co.th) และเคยขึ้นถึง 30,000 บาทต่อ 1 BitCoin ซึ่งถือว่าค่าเงิน BitCoin มีความผันผวนเป็นอย่างมาก และขึ้นลงตามอุปสงค์(demand) และอุปทาน (supply) ของโลก ปัจจุบันมีมีผู้คนจำนวนมากเกร็งกำไรค่าเงินดังกล่าวในทางที่ผิด เหมือนการเล่นพนัน โดยขายบ้าน ขายรถ ซื้อ-ขาย เกร็งกำไรค่าเงินดังกล่าว ซึ่งอาจนำมาสู่การล้มละลายได้
จำนวนผู้ใช้บิทคอยน์ ในจำนวนนี้ประกอบด้วยธุรกิจเกี่ยวกับอิฐและครก ธุรกิจร้านอาหาร อพาร์ตเมนท์ให้เช่า บริษัทกฎหมายและธุรกิจบริการออนไลน์เช่น Namecheap, WordPress, Reddit และ Flattr ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 มูลค่าบิทคอยน์ทั้งหมดในระบบอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้าน USD โดยมีมูลค่าการทำธุรกรรมเกี่ยวกับบิทคอยน์ประมาณหลายล้าน USDในแต่ละวัน
3) BitCoin สร้างขึ้นโดย Satoshi Nakamoto บุคคลลึกลับที่อ้างว่าตัวเองมาจากประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่มีข้อมูลอื่นใดเดี่ยวกับตัวเขา เขาใช้อีเมลจากบริการฟรีเพื่อพูดคุยในเมลลิ่งลิสด้านการเข้ารหัส เขาเริ่มพัฒนา BitCoin ในปี 2007 และเปิดเผยมันออกมาในปี 2009 (เอกสารการออกแบบ (PDF)) จากนั้นจึงค่อยๆ ลดบทบาทตัวเองลงไป จนกระทั่งหายตัวไปในที่สุด เชื่อกันว่าชื่อ Satoshi ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะเพื่อโครงการนี้ เมื่อพิจารณาจากความเชี่ยวชาญด้านการเข้ารหัสที่สูงมาก แต่กลับไม่มีชื่อนี้ในวงการวิชาการการเข้ารหัส เช่น บทความในวารสารวิชาการหรืองานประชุมวิชาการใดๆ ที่เป็นที่รู้จัก โดเมนหลักของโครงการคือ BitCoin.org นั้นถูกจดทะเบียนกับบริษัทรับจดทะเบียนแบบปกปิดตัวตนก่อนจะโอนให้กับ Martti Malmi หนึ่งในนักพัฒนาหลักของโครงการชาวฟินแลนด์ สิ่งที่ระบุตัวตนของ Satoshi เข้าได้จริงๆ มีเพียงกุญแจ PGP ที่ใช้ติดต่ออีเมลกับเขาเท่านั้น
BitCoin เป็นหน่วยเงินใช้ชื่อย่อสกุลเงินว่า BTC ใช้สัญลักษณ์ B⃦ แทนหน่วยเงินแต่เนื่องจากเป็นอักขระที่ไม่ได้รับความนิยม หลายครั้งเราจึงเห็นเว็บที่รับเงิน BitCoin ใช้สัญลักษณ์เงินบาท (฿) แทน โดยตัวเงินจะสามารถแบ่งย่อยไปได้ถึงทศนิยมแปดหลัก เรียกหน่วยย่อยที่สุดว่า satoshi ตามชื่อผู้ให้กำเนิดมัน
การออกแบบของ BitCoin อาศัยการเชื่อมต่อ P2P ของโลกอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก โดยหลักการแล้ว การโอนเงินทุกครั้งจะต้องประกาศออกไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกที่รันโปรแกรม BitCoin อยู่ ทำให้ทุกคนรับรู้ว่ามีการโอนเงินก้อนใดไปยังใครบ้าง เงินแต่ละก้อนสามารถแตกออกเป็นเงินย่อยๆ ได้ ทุกครั้งที่คนๆ หนึ่งจะโอนเงินไปให้กับคนอื่นจะเป็นการแตกเงินออกเป็นสองก้อน นั่นคือการโอนให้ยังปลายทาง และที่เหลือโอนกลับเข้าตัวเอง (https://www.blognone.com/node/35180)
หลายคนเชื่อว่าชื่อนี้สร้างขึ้นมาปิดบังตัวตนที่แท้จริงของผู้สร้าง BitCoin โดยเฉพาะ หลักฐานทุกอย่างของ Satoshi ถูกเข้ารหัสปิดบังตัวตนไว้เป็นอย่างดี ทำให้การสืบกลับไปถึงตัวผู้สร้างแทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถึงกระนั้น Ted Nelson โปรแกรมเมอร์ผู้โด่งดัง ก็ได้กล่าวอ้างว่าผู้สร้าง BitCoin คือ Shinichi Mochizuki โดยสังเกตจากระดับความรู้ความสามารถและรูปแบบการนำเสนอผลงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Shinichi Mochizuki สำเร็จการศึกษาระดับ Ph.D. ในสาขาคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Princeton ด้วยวัย 22 ปี และได้รับตำแหน่งทางวิชาการเป็นศาสตราจารย์ใน 11 ปีให้หลัง ผลงานที่สำคัญคือการพิสูจน์ข้อคาดการณ์ abc
อย่างไรก็ตามก็ไม่เป็นที่ยืนยันว่า Shinichi Mochizuki กับ Satoshi Nakamoto เป็นคนๆ เดียวกันแต่อย่างใด
ขณะที่นิตยสาร Newsweek ได้ตีพิมพ์สกู๊ปข่าวที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบิตคอยในสัปดาห์นี้ Leah McGrath Goodman นักเขียนและนักข่าวสืบสวนของ Newsweek ได้ไปค้นพบกับ Satoshi Nakamoto ที่เป็นตัวเป็นตนจริง ซึ่งน่าแปลกใจว่าชายที่ดูท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนนี้จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความนิยมใน Cryptocurrency
Satoshi ที่ Newsweek อ้างว่าเป็นตัวจริงนี้ไม่ใช่เด็กฉลาดในโตเกียว หรือสายลับ หรือกลุ่มนักพัฒนา ไม่มีความลึกลับอะไรแม้แต่นามแฝงก็ไม่มี เค้าอายุ 64 ปี เป็นคนแคลิฟอร์เนียที่รักในคณิตศาสตร์ การเข้ารหัส และโมเดลรถไฟจำลอง McGrath Goodman อ้างว่าแบ็คกราวของเค้ายังไม่ชัดเจนทั้งหมด แต่ที่เด่นชัดคือเค้าเป็นนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ทำงานในโครงการลับขององค์กรเอกชนและกองทัพสหรัฐ
เค้าไม่ได้มีไลฟ์สต์ชิวิตแบบที่ออกไปจิบค๊อกเทลและใช้จ่ายด้วยบิตคอยที่เฟรนช์ริวีเอราหรูหราอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ Nakamoto อาศัยอยู่ที่เมืองเทมเปิล รัฐแคลิฟอร์เนียอันเงียบสงบ ปลอดภัย ไม่ใช่อย่างที่คุณคาดคิดว่าชายคนนี้จะมีบิตคอยมูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์
ตามที่ McGrath Goodman รายงาน Nakamoto ไม่ได้ตื่นเต้นเมื่อเจอผู้สื่อข่าวที่บ้านของเค้า และเค้าโทรเรียกตำรวจ จนนักข่าวต้องบอกกับตำรวจว่าเค้าเป็นผู้ที่ประดิษฐ์คิดค้นบิตคอย และทำให้ตำรวจแปลกประหลาดใจเช่นกัน
Nakamoto บอกกับนักข่าวว่า ผมไม่ได้มีส่วนร่วมกับมันอีกแล้วและไม่สามารถจะพูดคุยเกี่ยวกับมันได้
อีกทั้งไม่มีใครรู้เลยว่าเค้าเป็นคนสร้างบิตคอยน์แม้แต่ครอบครัวของเค้าเอง ไม่ แม้แต่เพื่อนหรือคนในท้องที่ พี่ชายของเค้าบอกกับ Newsweek ว่าเค้าเป็นคนอัจฉริยะแต่ชอบสันโดษและไม่ชอบคุยเกี่ยวกับงานของเค้าเอง ทั้งเค้าก็ไม่เคยรับรู้การมีส่วนร่วมของ Nakamoto ในบิตคอยน์เลย
Newsweek ติดตาม Nakamoto ผ่านทางบริษัทหนึ่งที่เค้าเคยซื้อส่วนประกอบของโมเดลรถไฟไอน้ำ ซึ่งได้รับชิ้นส่วนจากอังกฤษและญี่ปุ่น และเค้าได้ทำรถไฟจำลองตั้งแต่วัยรุ่น อีกทั้งยังทำเครื่องจักรเองด้วย
Nakamoto ไม่ใช้เวลากับการพูดคุยกับนักข่าว เค้าบอกว่ามีสิ่งที่ดีกว่าต้องทำ (ที่มา: coindesk)
* ทั้งนี้ล่าสุดยังไม่ยืนยันว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ และเค้าได้ปฏิเสธในสิ่งที่ Newweeks กล่าวอ้าง*
หลังข่าวของ Newsweek เผยแพร่ออกมาว่าพบ Satoshi Nakamoto ตอนนี้บัญชีของ Satoshi Nakamoto บนเว็บ P2P Foundation ที่ไม่เคลื่อนไหวมานานสามปีเต็มก็โพสความเห็นสั้นๆ อีกครั้งว่า“ผมไม่ใช่ Dorian Nakamoto”
Gavin Andresen หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Bitcoin Foundation ออกมาเขียนจดหมายเปิดผนึกบน Reddit ระบุว่าผิดหวังกับนักเขียนและสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวจำนวนมากจนกระทั่งคนอื่นๆ สามารถตามหาตัวคนในบทความได้โดยง่าย และหลักฐานทั้งหมดที่ Newsweek แสดงได้ก็เป็นเพียงหลักฐานแวดล้อมเท่านั้น นอกจากข้อความที่บอกว่า “ผมไม่ได้เกี่ยวกับมันแล้ว” ซึ่ง Dorian อาจจะพูดเพื่อให้นักข่าวออกไปให้พ้นๆ จากบ้านของเขาเท่านั้น
Leah McGrath Goodman นักเขียนของ Newsweek ผู้เขียนบทความนี้ระบุว่าจะพยายามตอบคำถามเกี่ยวกับบทความนี้ และอ้างว่าข้อมูลเช่นที่อยู่และทะเบียนรถของ Dorian Nakamoto นั้นเป็นข้อมูลสาธารณะอยู่แล้ว (Forbes)
4) อ่านรายงาน Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System ของ Satoshi ์Nakamoto ได้ที่
https://bitcoin.org/bitcoin.pdf
ก่อนหน้านี้โลกของเราวิวัฒน์มาหลายช่วงเวลาและยุคสมัย จนกระทั่งวันที่สังคมของเราพัฒนาแบบก้าวกระโดดด้วยระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ และ Internet จนถึงวันนี้ Google ได้ปฏิวัติระบบความรู้ในโลกให้ง่ายเหมือนรับประทานแคปซูล และ Facebook ก็ได้เชื่อมโยงผู้คนในสังคมโลกให้ใกล้ชิดกันแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสายสัมพันธ์ของมนุษยชาติ
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยก็คือ การถือกำเนิดของ BitCoin สกุลเงินตราสกุลใหม่ของโลกที่เพิ่งกำเนิดขึ้นได้ไม่นาน และว่ากันว่าจะมาปฏิวัติรูปแบบการเงินครั้งใหม่ของโลกในอนาคต ไม่ใช่สกุลเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นสกุลเงินในรุปแบบ Digital ที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันทาง Internet ทั่วไป ไม่มีพิมพ์จำหน่ายจ่ายแจกเหมือนธนบัตร
BitCoin เป็นสกุลเงิน Digital ซึ่งสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องผ่านธนาคารกลางในการทำธุรกรรมทางการเงิน ถูกออกแบบขึ้นครั้งแรกโดย Satoshi Nakamoto บุรุษไร้เงาชาวญี่ปุ่น ซึ่งนำเสนอผ่านรายงานที่ชื่อว่า Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System อันลือลั่นของเขา และนำมาสู่สกุลเงิน Digital ดังกล่าวในเวลาต่อมา
ประเด็นสำคัญของการกำเนิด BitCoin ก็คือ มันเป็นสกุลเงิน Digital ที่อยู่ภายใต้การดูแลของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกของผู้ใช้ทุกๆ คน โดยไม่ต้องพิมพ์ธนบัตรเหมือนสกุลเงินทั่วไป ไม่ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของธนาคารกลางประเทศใด เพื่อลดบทบาทของธนาคารในการกำหนดค่าเงินและการพิมพ์ธนบัตร โดยเฉพาะการบันทึกการทำธุรกรรมการเงิน ซึ่งแทนที่จะต้องให้ธนาคารเป็นผู้ดูแลการโอนเงินของผู้ใช้ แต่ BitCoin ออกแบบให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถรับรู้และช่วยยืนยันการโอนเงินซึ่งกันและกัน ผ่าน Software เครื่องคอมพิวเตอร์ของทุกคนที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายทั่วโลก
อธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือ BitCoin ไม่ต้องพึ่งธนาคารหรือสถาบันทางการเงิน ในการยืนยันสถานะต่างๆ ให้ และบันทึกลงในระบบของธนาคารหรือในสมุดบัญชีเหมือนดังเช่นที่ผ่านมา แต่ผู้ใช้ BitCoin ทั่วโลกรับรู้และยืนยันกันเองผ่านระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรแกรมการเงินดังกล่าวร่วมกัน ผ่านระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้ BitCoin ทั้งหลายมี address หรือเลขที่บัญชีของตนเองอยู่ และซื้อขายสินค้ากันผ่านบัญชีต่างๆ ดังกล่าวได้โดยตรง (โดยไม่ต้องพึ่งนายธนาคารมาการันตีการเงิน)
หากเป็นธนาคารทั่วไปนั้น ธนาคารจะบันทึกข้อมูลทางการเงินของเจ้าของบัญชีไว้ในระบบของธนาคาร แต่ระบบของ BitCoin จะถูกบันทึกไว้ในระบบชื่อว่า Block Chain ซึ่งจะมีข้อมูลของทุกรายการธุรกรรมที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดในระบบโครงข่ายคอมพิวเตอร์ เงินตราหรือธนบัตรโดยปกติแล้วอาจจะถูกกำหนดโดยรัฐบาลและแจกจ่ายโดยธนาคาร แต่ BitCoin เกิดจากการคำนวณและแจกจ่ายให้กับ Miners หรือคนที่สร้างมูลค่าเงิน Digital ในระบบคอมพิวเตอร์ Internet โดยวิธีการ “สร้างเหมือง” ที่มีจำกัดและสมดุลกับผู้ใช้ทั่วโลกผ่านระบบคอมพิวเตอร์ความเร็วสูงที่ถูกลงทุน หรือที่เรียกว่าการ run BitCoin mining software บนคอมพิวเตอร์ของ miners โดย mining software จะทำงานและนำรายการธุรกรรมที่เกิดขึ้นผ่าน Network หรือพื้นที่ในระบบคอมพิวเตอร์โครงข่ายของทุกคนและใส่เข้าไปใน Block Chain (ระบบการโอนเงินจะเคลื่อนที่ผ่าน software ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนที่ run BitCoin mining software หรือ Miners ที่อุทิศพลังงานบางส่วนในคอมพิวเตอร์ให้ระบบ Software BitCoin ดังกล่าว ซึ่งเท่ากับว่า ให้ทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมดังกล่าว เป็นเหมือน “ธนาคาร” ร่วมกัน โดยไม่ต้องมีคนกลางมาทำหน้าที่แทนเหมือนธนาคารในโลกจริง)
ข้อดีของ BitCoin สกุลเงินที่กำลังแพร่หลายและสะเทือนวงการการเงินโลกในเวลานี้ก็คือ ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ถูกมากกว่าหลายเท่าและรวดเร็ว เมื่อเทียบกับวิธีการทำธุรกรรมผ่านสถาบันทางการเงินทั่วไป เท่าที่ทราบในขณะนี้ค่าธรรมเนียมอาจอยู่ที่ 0.0005 BTC หรือน้อยกว่า 25 สตางค์ต่อ 1 รายการการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงประหยัดกว่าการใช้บัตรเครดิต ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูงมากกว่า จนได้รับการยอมรับในการใช้แลกเปลี่ยนสินค้าหรือแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
ปัจจุบัน BitCoin เป็นเงินสกุลหนึ่งของโลกไปแล้วที่ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นมาก เพราะการไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่ง ในเมืองไทยทราบว่ามีประมาณ 9 บริษัทที่รับทำธุรกรรมการเงินด้านนี้ ขณะที่ประเทศเยอรมนีได้ออกประกาศรับรองให้ BitCoin เป็นสินทรัพย์ส่วนบุคคล เช่นเดียวกับหุ้นและพันธบัตร สามารถถือครองและซื้อขายแลกเปลี่ยนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ถือครอง BitCoin ต้องแจ้งจำนวนที่ถือครองต่อทางการทุกปีเพื่อแสดงว่าเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ เพื่อเรียกเก็บภาษีจากกำไรในการค้า
นอกจากนี้ BitCoin ยังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน นักธุรกิจชาวจีนจำนวนมากถือสินทรัพย์ของตัวเองในรูปของเงิน BitCoin ไว้เพื่อเก็งกำไรค่าเงิน และอีกส่วนหนึ่งอาจเพื่อหลบหนีการควบคุมของทางการ เพราะการเคลื่อนย้ายเงินตราเข้า-ออกประเทศจีนนั้นทำได้ค่อนข้างลำบาก ในขณะที่ธนาคารกลางจีนได้ออกมาห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมการเงินและซื้อขาย BitCoin พร้อมคำเตือนว่า BitCoin ไม่มีสถานะทางกฎหมายและไม่ได้รับการยอมรับจากทางการจีนในฐานะเงินตรา รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยเช่นกัน เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการค้า BitCoin เพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาท
ขณะที่ ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ออกมายืนยันว่าจะไม่เข้าแทรกแซงการรับรองเงิน Digital อย่าง BitCoin โดยเปิดเสรีให้องค์กรธุรกิจต่างๆ สามารถเลือกได้เองว่าจะยอมรับการจ่ายค่าสินค้าและบริการด้วยเงิน BitCoin หรือไม่ แม้หลายประเทศยังไม่ยอมรับให้สถานะทางกฎหมายในฐานะเงินตราก็ตาม
อย่างไรก็ตาม BitCoin อาจจะกลายเป็นสกุลเงิน Digital ที่จะมาปฏิวัติระบบการเงินโลกในไม่ช้าก็เร็วนี้อย่างแน่นอน, นับตั้งแต่ อาณาจักร Rothschilds ได้เข้าควบคุมระบบการเงินและยึดกุมธนาคารกลางในหลายประเทศเมื่อกว่า 200 ปีก่อน จนกลายมาเป็นผู้ควบคุมระบบการเงินโลกในปัจจุบัน จนกระทั่งพวกเขามีอำนาจใน ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งสามารถผลิตธนบัตรเองได้โดยไม่ต้องมีทองคำสำรองประเทศเดียวในโลกในเวลานี้ และยังเป็นเจ้าของธนาคารขนาดใหญ่และอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
เพราะว่าระบบการเงินในปัจจุบัน แม้ถูกควบคุมด้วยธนาคารชาติต่างๆ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ในการกำหนดค่าเงินของตนเองด้วยการพิมพ์ธนบัตร, ดอกเบี้ย, เงินสำรองหรือกระบวนการต่างๆ ก็ตาม แต่ถึงที่สุดแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราถูกควบคุมระบบการเงินโดยกลุ่มทุนการเงินระดับโลกอีกต่อหนึ่งอยู่ดี
ดังนั้น แนวคิดการสร้างระบบการเงินสกุล Digital แทนที่นโยบายการเงินจากธนาคาร โดยออกแบบให้ทุกคนช่วยกันยืนยันรับรองเงินตราและการโอนเงินซึ่งกันและกันแทนที่ระบบธนาคารดังกล่าวนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจและท้าทายระบบการเงินในโลกทุนนิยมแบบเก่ายิ่งนัก.
หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรก คอลัมน์โลกและเรา (เมธา มาสขาว) หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2557
1) ปัจจุบัน Federal Bureau of Investigation (FBI) เข้ามาถือครอง BitCoin จำนวนมากจนว่ากันว่าเป็นรายใหญ่รายหนึ่งของโลก เพื่อเข้ามาสืบสวนติดตามการฟอกเงินหรืออาชญากรรมทางการเงินในเครือข่ายยาเสพติดที่อาจใช้เงิน DIgital ในการซื้อข่ายถ่ายโอนและแลกเปลี่ยนเงินตรา เนื่องจากการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของทุกคนเป็นตัวผ่านและยืนยันการโอน จึงทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบัญชีทางการเงินต่างๆ เป็นของผู้ใดบ้าง ผ่านระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งค่อนข้างแฮกยาก หากมีผู้ใช้มากขึ้นๆ ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีผู้ใช้หลายล้านคน
2) ค่าเงิน BitCoin ปัจจุบันอยู่ที่ 1 BitCoin ต่อ 13,954-15,219 บาท (7 เมษายน 2557 - https://bitcoin.co.th) และเคยขึ้นถึง 30,000 บาทต่อ 1 BitCoin ซึ่งถือว่าค่าเงิน BitCoin มีความผันผวนเป็นอย่างมาก และขึ้นลงตามอุปสงค์(demand) และอุปทาน (supply) ของโลก ปัจจุบันมีมีผู้คนจำนวนมากเกร็งกำไรค่าเงินดังกล่าวในทางที่ผิด เหมือนการเล่นพนัน โดยขายบ้าน ขายรถ ซื้อ-ขาย เกร็งกำไรค่าเงินดังกล่าว ซึ่งอาจนำมาสู่การล้มละลายได้
จำนวนผู้ใช้บิทคอยน์ ในจำนวนนี้ประกอบด้วยธุรกิจเกี่ยวกับอิฐและครก ธุรกิจร้านอาหาร อพาร์ตเมนท์ให้เช่า บริษัทกฎหมายและธุรกิจบริการออนไลน์เช่น Namecheap, WordPress, Reddit และ Flattr ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 มูลค่าบิทคอยน์ทั้งหมดในระบบอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้าน USD โดยมีมูลค่าการทำธุรกรรมเกี่ยวกับบิทคอยน์ประมาณหลายล้าน USDในแต่ละวัน
3) BitCoin สร้างขึ้นโดย Satoshi Nakamoto บุคคลลึกลับที่อ้างว่าตัวเองมาจากประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่มีข้อมูลอื่นใดเดี่ยวกับตัวเขา เขาใช้อีเมลจากบริการฟรีเพื่อพูดคุยในเมลลิ่งลิสด้านการเข้ารหัส เขาเริ่มพัฒนา BitCoin ในปี 2007 และเปิดเผยมันออกมาในปี 2009 (เอกสารการออกแบบ (PDF)) จากนั้นจึงค่อยๆ ลดบทบาทตัวเองลงไป จนกระทั่งหายตัวไปในที่สุด เชื่อกันว่าชื่อ Satoshi ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะเพื่อโครงการนี้ เมื่อพิจารณาจากความเชี่ยวชาญด้านการเข้ารหัสที่สูงมาก แต่กลับไม่มีชื่อนี้ในวงการวิชาการการเข้ารหัส เช่น บทความในวารสารวิชาการหรืองานประชุมวิชาการใดๆ ที่เป็นที่รู้จัก โดเมนหลักของโครงการคือ BitCoin.org นั้นถูกจดทะเบียนกับบริษัทรับจดทะเบียนแบบปกปิดตัวตนก่อนจะโอนให้กับ Martti Malmi หนึ่งในนักพัฒนาหลักของโครงการชาวฟินแลนด์ สิ่งที่ระบุตัวตนของ Satoshi เข้าได้จริงๆ มีเพียงกุญแจ PGP ที่ใช้ติดต่ออีเมลกับเขาเท่านั้น
BitCoin เป็นหน่วยเงินใช้ชื่อย่อสกุลเงินว่า BTC ใช้สัญลักษณ์ B⃦ แทนหน่วยเงินแต่เนื่องจากเป็นอักขระที่ไม่ได้รับความนิยม หลายครั้งเราจึงเห็นเว็บที่รับเงิน BitCoin ใช้สัญลักษณ์เงินบาท (฿) แทน โดยตัวเงินจะสามารถแบ่งย่อยไปได้ถึงทศนิยมแปดหลัก เรียกหน่วยย่อยที่สุดว่า satoshi ตามชื่อผู้ให้กำเนิดมัน
การออกแบบของ BitCoin อาศัยการเชื่อมต่อ P2P ของโลกอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก โดยหลักการแล้ว การโอนเงินทุกครั้งจะต้องประกาศออกไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกที่รันโปรแกรม BitCoin อยู่ ทำให้ทุกคนรับรู้ว่ามีการโอนเงินก้อนใดไปยังใครบ้าง เงินแต่ละก้อนสามารถแตกออกเป็นเงินย่อยๆ ได้ ทุกครั้งที่คนๆ หนึ่งจะโอนเงินไปให้กับคนอื่นจะเป็นการแตกเงินออกเป็นสองก้อน นั่นคือการโอนให้ยังปลายทาง และที่เหลือโอนกลับเข้าตัวเอง (https://www.blognone.com/node/35180)
หลายคนเชื่อว่าชื่อนี้สร้างขึ้นมาปิดบังตัวตนที่แท้จริงของผู้สร้าง BitCoin โดยเฉพาะ หลักฐานทุกอย่างของ Satoshi ถูกเข้ารหัสปิดบังตัวตนไว้เป็นอย่างดี ทำให้การสืบกลับไปถึงตัวผู้สร้างแทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถึงกระนั้น Ted Nelson โปรแกรมเมอร์ผู้โด่งดัง ก็ได้กล่าวอ้างว่าผู้สร้าง BitCoin คือ Shinichi Mochizuki โดยสังเกตจากระดับความรู้ความสามารถและรูปแบบการนำเสนอผลงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Shinichi Mochizuki สำเร็จการศึกษาระดับ Ph.D. ในสาขาคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Princeton ด้วยวัย 22 ปี และได้รับตำแหน่งทางวิชาการเป็นศาสตราจารย์ใน 11 ปีให้หลัง ผลงานที่สำคัญคือการพิสูจน์ข้อคาดการณ์ abc
อย่างไรก็ตามก็ไม่เป็นที่ยืนยันว่า Shinichi Mochizuki กับ Satoshi Nakamoto เป็นคนๆ เดียวกันแต่อย่างใด
ขณะที่นิตยสาร Newsweek ได้ตีพิมพ์สกู๊ปข่าวที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบิตคอยในสัปดาห์นี้ Leah McGrath Goodman นักเขียนและนักข่าวสืบสวนของ Newsweek ได้ไปค้นพบกับ Satoshi Nakamoto ที่เป็นตัวเป็นตนจริง ซึ่งน่าแปลกใจว่าชายที่ดูท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนนี้จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความนิยมใน Cryptocurrency
Satoshi ที่ Newsweek อ้างว่าเป็นตัวจริงนี้ไม่ใช่เด็กฉลาดในโตเกียว หรือสายลับ หรือกลุ่มนักพัฒนา ไม่มีความลึกลับอะไรแม้แต่นามแฝงก็ไม่มี เค้าอายุ 64 ปี เป็นคนแคลิฟอร์เนียที่รักในคณิตศาสตร์ การเข้ารหัส และโมเดลรถไฟจำลอง McGrath Goodman อ้างว่าแบ็คกราวของเค้ายังไม่ชัดเจนทั้งหมด แต่ที่เด่นชัดคือเค้าเป็นนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ทำงานในโครงการลับขององค์กรเอกชนและกองทัพสหรัฐ
เค้าไม่ได้มีไลฟ์สต์ชิวิตแบบที่ออกไปจิบค๊อกเทลและใช้จ่ายด้วยบิตคอยที่เฟรนช์ริวีเอราหรูหราอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ Nakamoto อาศัยอยู่ที่เมืองเทมเปิล รัฐแคลิฟอร์เนียอันเงียบสงบ ปลอดภัย ไม่ใช่อย่างที่คุณคาดคิดว่าชายคนนี้จะมีบิตคอยมูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์
ตามที่ McGrath Goodman รายงาน Nakamoto ไม่ได้ตื่นเต้นเมื่อเจอผู้สื่อข่าวที่บ้านของเค้า และเค้าโทรเรียกตำรวจ จนนักข่าวต้องบอกกับตำรวจว่าเค้าเป็นผู้ที่ประดิษฐ์คิดค้นบิตคอย และทำให้ตำรวจแปลกประหลาดใจเช่นกัน
Nakamoto บอกกับนักข่าวว่า ผมไม่ได้มีส่วนร่วมกับมันอีกแล้วและไม่สามารถจะพูดคุยเกี่ยวกับมันได้
อีกทั้งไม่มีใครรู้เลยว่าเค้าเป็นคนสร้างบิตคอยน์แม้แต่ครอบครัวของเค้าเอง ไม่ แม้แต่เพื่อนหรือคนในท้องที่ พี่ชายของเค้าบอกกับ Newsweek ว่าเค้าเป็นคนอัจฉริยะแต่ชอบสันโดษและไม่ชอบคุยเกี่ยวกับงานของเค้าเอง ทั้งเค้าก็ไม่เคยรับรู้การมีส่วนร่วมของ Nakamoto ในบิตคอยน์เลย
Newsweek ติดตาม Nakamoto ผ่านทางบริษัทหนึ่งที่เค้าเคยซื้อส่วนประกอบของโมเดลรถไฟไอน้ำ ซึ่งได้รับชิ้นส่วนจากอังกฤษและญี่ปุ่น และเค้าได้ทำรถไฟจำลองตั้งแต่วัยรุ่น อีกทั้งยังทำเครื่องจักรเองด้วย
Nakamoto ไม่ใช้เวลากับการพูดคุยกับนักข่าว เค้าบอกว่ามีสิ่งที่ดีกว่าต้องทำ (ที่มา: coindesk)
* ทั้งนี้ล่าสุดยังไม่ยืนยันว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ และเค้าได้ปฏิเสธในสิ่งที่ Newweeks กล่าวอ้าง*
หลังข่าวของ Newsweek เผยแพร่ออกมาว่าพบ Satoshi Nakamoto ตอนนี้บัญชีของ Satoshi Nakamoto บนเว็บ P2P Foundation ที่ไม่เคลื่อนไหวมานานสามปีเต็มก็โพสความเห็นสั้นๆ อีกครั้งว่า“ผมไม่ใช่ Dorian Nakamoto”
Gavin Andresen หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Bitcoin Foundation ออกมาเขียนจดหมายเปิดผนึกบน Reddit ระบุว่าผิดหวังกับนักเขียนและสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวจำนวนมากจนกระทั่งคนอื่นๆ สามารถตามหาตัวคนในบทความได้โดยง่าย และหลักฐานทั้งหมดที่ Newsweek แสดงได้ก็เป็นเพียงหลักฐานแวดล้อมเท่านั้น นอกจากข้อความที่บอกว่า “ผมไม่ได้เกี่ยวกับมันแล้ว” ซึ่ง Dorian อาจจะพูดเพื่อให้นักข่าวออกไปให้พ้นๆ จากบ้านของเขาเท่านั้น
Leah McGrath Goodman นักเขียนของ Newsweek ผู้เขียนบทความนี้ระบุว่าจะพยายามตอบคำถามเกี่ยวกับบทความนี้ และอ้างว่าข้อมูลเช่นที่อยู่และทะเบียนรถของ Dorian Nakamoto นั้นเป็นข้อมูลสาธารณะอยู่แล้ว (Forbes)
4) อ่านรายงาน Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System ของ Satoshi ์Nakamoto ได้ที่
https://bitcoin.org/bitcoin.pdf
ที่มา.Siam Intelligence Unit
------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น