--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

เติมสุขกับเทศกาล สงกรานต์ !!?

โดย วิไล อักขระสมชีพ

นับถอยหลังเข้าสู่เทศกาล "สงกรานต์"หรือ "ปีใหม่ไทย" ในไม่กี่วันข้างหน้า เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ทุกคนจะเล่นสาดน้ำเฮฮากันแบบสุขสุด ๆ กันไป

น่าจะเป็นวันหยุดยาวที่อุณหภูมิการเมืองคลายความร้อนแรงกันชั่วขณะหนึ่ง

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ดัชนีความสุขคนไทยจะกลับมาดีขึ้น และเป็นวันที่ได้กลับไปพบหน้าญาติมิตรสหายกัน

ก็ขอให้ทุกคนเก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ กันไว้เป็นพลังใจกลับมาดำเนินชีวิต

โดยเฉพาะคนกรุง ก่อนจะกลับมาใช้ชีวิตคนเมืองตามปกติ ท่ามกลางมรสุมการเมืองไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ซึ่งกดดันประเทศไทยเดินช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน

โดย เฉพาะประเทศเวียดนามที่เวลานี้เป็นเดอะสตาร์ในเวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นักลงทุนต่างชาติดาหน้ากันเข้าไปลงทุนไม่น้อย ขณะที่รัฐบาลมีการพัฒนาสาธารณูปโภคค่อนข้างเยอะมาก

มีการสร้างทางด่วนเพิ่มอีกเพื่อเชื่อมเส้นทางเศรษฐกิจรองรับเออีซี

ยิ่งช่วงที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูงานของตลาดทุนในฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้รับฟังข้อมูลการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วของเวียดนาม อันเนื่องมาจากภาครัฐที่มีการขยายการลงทุนด้านสาธารณูปโภคไม่น้อย โดยได้เข้ามาระดมทุนผ่านตลาดพันธบัตร จนทำให้ปีที่แล้วตลาดพันธบัตรเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นฮานอยด้วย

ขณะที่ตลาดหุ้นพบว่า บริษัทส่วนใหญ่ที่เข้ามาจดทะเบียนเป็นบริษัทลูกของรัฐบาลนั่นเอง ซึ่งในเวียดนามมี 2 ตลาดหุ้นหลัก คือ ตลาดหุ้นฮานอย และตลาดหุ้นโฮจิมินห์

แต่ว่าตลาดหุ้นโฮจิมินห์จะมีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นฮานอย โดยตลาดหุ้นโฮจิมินห์มีมูลค่าราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป)อยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท ขณะที่ยอดซื้อขาย (วอลุ่ม เทรด) ประมาณ 2.6 พันล้านบาท ส่วนราคาหุ้นถูกหรือไม่วัดจากค่าพีอี (ราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) พบว่าอยู่ที่ 13 เท่า ส่วนตลาดหุ้นฮานอย มีขนาดมาร์เก็ตแคป 1.9 แสนล้านบาท มีวอลุ่มเทรดประมาณ 900 ล้านบาท มีค่าพีอีสูง 19 เท่า สะท้อนราคาหุ้นจะแพงกว่าโฮจิมินห์

นอกจากนี้ยังมีตลาดหุ้น OTC (Over the Counter) อีก ซึ่งจะเป็นตลาดรองรับบริษัทที่ต้องการเตรียมตัวเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นหลัก ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดเล็กที่นำหุ้นเข้ามาซื้อขายกัน

แม้วันนี้ตลาดทุนของเวียดนามอยู่ในระหว่างการพัฒนากฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ได้มาตรฐานสากล แต่นักลงทุนที่มาเปิดบัญชีเล่นหุ้นมีจำนวน 1.2 ล้านบัญชีทีเดียว ซึ่งเยอะกว่าประเทศไทยที่มีนักลงทุนเปิดบัญชีเพียง 9.7 แสนบัญชีเอง หากเทียบกับจำนวนคนแล้ว เวียดนามมีประชากรมากถึง 93 ล้านคน ขณะที่คนไทยมีจำนวนประชากรราว 66-67 ล้านคน

อีกสิ่งที่น่าสนใจของเวียดนาม คือ อาชีพที่ได้รับความนิยมมากสุดในเวียดนาม คือ ทหาร ตำรวจ ครู ซึ่งไกด์เล่าว่าเป็นอาชีพที่ได้รับเงินเดือนสูงสุด และถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติได้รับการยกย่อง เป็นอาชีพที่เข้าทำงานยากจะเน้นคัดคุณภาพของคนอย่างมาก ขณะที่อาชีพหมอ วิศวะ ไม่ได้

ติดอยู่ในอันดับต้น อย่างไรก็ตาม ชาวเวียดนามจะมีอาชีพหลัก "ชาวนา" และเห็นว่าขณะนี้ รัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ เรียกว่ามุ่งมั่นปักธง "แข่งขัน" กับประเทศไทยกันทีเดียว

ขณะที่วันนี้ การเมืองของประเทศไทยยัง "จมปลักแห่งสี" ของความขัดแย้งกันมาหลายปี จนมาถึงวันนี้แตกแยกจนเกินจะเยียวยา ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศล่าช้าลง ขณะที่เพื่อนบ้านรอบ ๆ เดินหน้าประเทศกันแบบไม่รั้งรอกันอีกแล้ว

ผู้เขียนมีหนังสือพ็อตเกตบุ๊กที่น่าอ่านมานำเสนอ "คิด-เขียน" เขียนโดย บรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคิน-ภัทร ที่วันนี้ผันชีวิตมาเดินบนเส้นทางอินเวสต์เมนต์แบงเกอร์ จากอดีต คลุกคลีวงการตลาดทุนมายาวนาน ถือเป็นเทรดเดอร์รุ่นเก๋าสมัยเคาะกระดานตลาดหุ้นไทย เขาก้าวขึ้นมาสู่เก้าอี้ "ประธานกรรมการหลักทรัพย์ ภัทร"

หนังสือทั้งสองเล่มนี้ได้จั่วหัวไว้หน้าปกว่า "สารรักถึงนักเล่นหุ้น ทำไมผมถึงไม่กล้าเล่นหุ้น + สารรักถึงมวลมหาประชาชน ทางออกและก้าวต่อไปของสังคมไทย"

สงกรานต์นี้ ผู้เขียนวางแผนจะอ่านหนังสือ 2 เล่มนี้ หลังจากที่พลิก ๆ ดู หลายเรื่องน่าสนใจ อาทิ ตลาดหุ้นที่ดีเป็นอย่างไร, ภาวะวุ่น ภาวะหุ้น, ทำไมผมไม่ กล้าเล่นหุ้น, 6 เหตุผล ทำไมเราไม่ควรเล่นหุ้นด้วยตนเอง, ทางออกจากกับดักความขัดแย้ง, หลักมั่ว ๆ ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์, มหากาพย์ต้มยำกุ้ง,เราจะเจอวิกฤตเศรษฐกิจแบบเดียวกับปี 2540 กันอีกไหม ?, ชีวิต...คิดง่าย ๆ Simple Like That, จากพี่เตาถึงน้อง ๆเป็นต้น

และจะมาเล่าให้ฟังต่อ ๆ กันไป

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น