อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยุค “รัฐบาล คมช. (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ) กลายเป็นบุคคลที่สังคมจับตามากที่สุดคนหนึ่ง ภายหลังมีกระแสข่าวหลุดออกมาว่าคือ “ผู้อยู่เบื้องหลัง วางหมาก-วางเกม ให้กับม็อบกบฎ กปปส.
แต่แม้วันนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่กลับตรวจสอบพบว่า ในเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และเหตุการณ์รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ปรากฏชื่อ เข้าไป มีบทบาท กับเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหารทั้ง 2 อย่างชัดเจน
และเมื่อตรวจสอบยังพบว่า การรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง ยังมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการออกประกาศ-คำสั่ง ไปจนถึง ความเคลื่อนไหวต่างๆ
กปปส.2557 – สุเทพ เทือกสุบรรณ แม้จะปฏิบัติการยังไม่แล้วเสร็จ แต่ก็ได้ดำเนินการ แถลงการณ์ยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 โดยอ้างว่า “คณะรัฐมนตรี”ถือว่าเป็นโมฆะแล้ว และประเทศตกอยู่ในภาวะสุญญากาศ ขอประชาชนมั่นใจประชาภิวัฒน์ โดยจะมีการเร่งจัดหา “นายกรัฐมนตรี” ของประชาชน
2.การสั่งจำกัดสิทธิประชาชน –ห้ามชุมนุมการเมือง-ห้ามกิจกรรมพรรคการเมือง
รสช.2534 – ออกประกาศ รสช.ฉบับที่ 7 ห้ามชุมนุมทางการเมือง และประกาศ รสช.ฉบับที่ 20 ห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือจัดกิจกรรมทางการ
แต่แม้วันนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่กลับตรวจสอบพบว่า ในเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และเหตุการณ์รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ปรากฏชื่อ เข้าไป มีบทบาท กับเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหารทั้ง 2 อย่างชัดเจน
และเมื่อตรวจสอบยังพบว่า การรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง ยังมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการออกประกาศ-คำสั่ง ไปจนถึง ความเคลื่อนไหวต่างๆ
ที่สำคัญ ก็คือ “ประกาศ-คำสั่งและความเคลื่อนไหว” ของทั้ง 2 เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น กลับมีความใกล้เคียงอย่างยิ่งกับ “ประกาศ-คำสั่งและความเคลื่อนไหว” ของ “รัฎฐาธิปัตย์ กปปส.” อย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” และปฏิบัติการต่างๆของม็อบกบฎอย่างชัดเจนอย่างน้อย 8 เหตุการณ์ด้วยกัน
1.กรณีการประกาศยึดอำนาจ และการฉีกรัฐธรรมนูญ
รสช.2534 – ปฏิบัติการยึดอำนาจ 23 กุมภาพันธ์ 2534 และได้มีการแถลงการณ์ยึดอำนาจในวันเดียวกัน
คมช..2549 – ปฏิบัติการยึดอำนาจวันที่ 19 กันยายน 2549 เมื่อกระทำการจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้มีการแถลงในวันที่ 20 กันยายน 2549
1.กรณีการประกาศยึดอำนาจ และการฉีกรัฐธรรมนูญ
รสช.2534 – ปฏิบัติการยึดอำนาจ 23 กุมภาพันธ์ 2534 และได้มีการแถลงการณ์ยึดอำนาจในวันเดียวกัน
คมช..2549 – ปฏิบัติการยึดอำนาจวันที่ 19 กันยายน 2549 เมื่อกระทำการจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้มีการแถลงในวันที่ 20 กันยายน 2549
กปปส.2557 – สุเทพ เทือกสุบรรณ แม้จะปฏิบัติการยังไม่แล้วเสร็จ แต่ก็ได้ดำเนินการ แถลงการณ์ยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 โดยอ้างว่า “คณะรัฐมนตรี”ถือว่าเป็นโมฆะแล้ว และประเทศตกอยู่ในภาวะสุญญากาศ ขอประชาชนมั่นใจประชาภิวัฒน์ โดยจะมีการเร่งจัดหา “นายกรัฐมนตรี” ของประชาชน
2.การสั่งจำกัดสิทธิประชาชน –ห้ามชุมนุมการเมือง-ห้ามกิจกรรมพรรคการเมือง
รสช.2534 – ออกประกาศ รสช.ฉบับที่ 7 ห้ามชุมนุมทางการเมือง และประกาศ รสช.ฉบับที่ 20 ห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือจัดกิจกรรมทางการ
คมช.2549 – ออกประกาศ คปค.ฉบับที่ 7 ห้ามชุมนุมทางการเมือง และประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 ห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือจัดกิจกรรมทางการเมือง
กปปส.2557 – ปฏิบัติการยังไม่สำเร็จ แต่ก็พยายามขัดขวางการเลือกตั้ง ไม่ให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รัฎฐาธิปัตย์ กปปส. ปราศรัยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2556 ระบุว่า “จะตั้งสภาประชาชน เลือกคนที่ประชาชนเชื่อถือไว้วางใจมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ใช่คนของพรรคไหนทั้งนั้น”
กปปส.2557- สุเทพ เทือกสุบรรณ แม้จะประกาศปฏิบัติการ “ประชาภิวัฒน์” ยึดอำนาจโดยประชาชน” แต่ยังไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้ให้มีความชัดเจนว่าท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีการฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 เนื่องจาก “รัฐธรรมนูญ” กำหนดให้ “นายกรัฐมนตรี” จะต้องเป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ซึ่งในทุกข้อเสนอ กปปส. นั้น “นายกรัฐมนตรี” ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แม้แต่แนวทางเดียว ดังนั้นจึงค่อนข้างที่จะชัดเจนว่าหากปฏิบัติการของ กปปส.สำเร็จ ก็ต้องมีการฉีกรัฐธรรมนูญและเป็นไปได้สูงที่จะต้องมีการนิรโทษกรรมให้กับ “แกนนำ กปปส.” เนื่องจากโดนคดีร้ายแรงด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงค่อนข้างจะชัดเจนว่า เหตุการณ์ รัฐประหาร 2534 และ รัฐประหาร 2549 มีปรากฎการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นและคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด
โดยทั้งสองครั้งมีความเชื่อมโยงกับเขา ในฐานะมือกฎหมายใหญ่
ที่น่าสนใจไปยิ่งกว่านั้นคือ เหตุการณ์ทั้งหมดสอดคล้องกับสิ่งที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ปฏิบัติการและประกาศออกมาตลอดระยะเวลาที่มีการจัดการชุมนุม
ซึ่งคนที่จะ ตอบ ได้ชัดเจนว่า ทั้ง 3 เหตุการณ์ เกี่ยวข้องกันหรือไม่ และเป็น ฝีมือ การวางหมาก-วางเกมของใคร ที่สำคัญคือ คนๆนั้น เป็น คนเดียวกัน หรือไม่ ก็คงหนีไม่พ้น คนชื่อ มีชัย ฤชุพันธุ์
3.การสั่งข้าราชการมารายงานตัว โดยเฉพาะข้าราชการถูกมองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองก็ถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่ง
รสช.2534 – ประกาศ รสช.ฉบับที่ 12 มีคำสั่งให้ข้าราชการมารายงานตัว ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534
คมช.2549- คำสั่ง คปค. ที่ 11/2549 ลงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2549 เรื่องให้ข้าราชการมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อความเหมาะสมและประโยชน์แก่ราชการ โยกย้าย 4 นายตำรวจ มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ได้รับเงินเดือนตามสังกัดเดิมไปพลางก่อน ได้แก่
พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ นักบริหาร 11
พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นักบริหาร 11
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.
พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.
พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ นักบริหาร 11
พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นักบริหาร 11
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.
พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.
กปปส.2557 – 27 ธันวาคม 2556 “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รัฎฐาธิปัตย์ กปปส.ปราศรัยขู่อาฆาตข้าราชการจำนวนมาก ในทุกๆทิศทาง โดยจะมีการเอาผิดตามกฎหมายไปจนถึงการจะใช้อำนาจในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและขู่ว่าจะมีการอายัดทรัพย์สินด้วย อาทิ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. , พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร., นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ
4.การออกคำสั่งควบคุมสิทธิเสรีภาพสื่อสารมวลชน
รสช.2534- ประกาศ รสช.ฉบับที่ 9 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ให้สื่อวิทยุและโทรทัศน์งดเผยแพร่ราชการปกติของสถานี และให้สถานีวิทยุถ่ายทอดกระจายเสียงจากสถานีวิทยุกองพลที่ 1 รักษาพระองค์เท่านั้น ส่วนสถานีโทรทัศน์ให้ถ่ายทอดออกรายการจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เท่านั้น
คมช.2549- ประกาศ คปค.ฉบับที่ 10 ขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวสาร โดยอ้างเรื่องการเกิดความแตกแยกความสามัคคี
4.การออกคำสั่งควบคุมสิทธิเสรีภาพสื่อสารมวลชน
รสช.2534- ประกาศ รสช.ฉบับที่ 9 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ให้สื่อวิทยุและโทรทัศน์งดเผยแพร่ราชการปกติของสถานี และให้สถานีวิทยุถ่ายทอดกระจายเสียงจากสถานีวิทยุกองพลที่ 1 รักษาพระองค์เท่านั้น ส่วนสถานีโทรทัศน์ให้ถ่ายทอดออกรายการจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เท่านั้น
คมช.2549- ประกาศ คปค.ฉบับที่ 10 ขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวสาร โดยอ้างเรื่องการเกิดความแตกแยกความสามัคคี
กปปส.2557 – สุเทพ เทือกสุบรรณ แถลง เมื่อ 1 ธันวาคม 2557 ให้ข้าราชการหยุดงานตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม และสั่งไม่ให้ “สื่อมวลชน” เสนอข่าวรัฐบาล โดยให้ทุกสำนักนำเสนอข่าวของ กปปส.

5.การกำจัดนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ด้วยการออกคำสั่งให้มีรายงานตัวและมีการควบคุมตัว
5.การกำจัดนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ด้วยการออกคำสั่งให้มีรายงานตัวและมีการควบคุมตัว
รสช.2534 – มีความพยายามจับกุมบุคคล 3 คนในวันที่ก่อการรัฐประหาร คือ พล.ต.มนูญ รูปขจร นายไกรศักด์ ชุณหะวัณ และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แต่ทั้ง 3 คนได้ ลี้ภัยไปต่างประเทศ
คมช.2549 – ควบคุมตัว นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จาก คำสั่งคณะปฏิรูปฉบับที่ 9/2549 ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2549
กปปส.2557- สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ปราศรัยอย่างชัดเจนว่าจะมีการระดมมวลชนไล่ล่า “นายกรัฐมนตรี” โดยจะมีการติดตามเพื่อควบคุมตัว “นายกรัฐมนตรี” และ “รัฐมนตรี” ทุกคน และในวันที่ 14 มกราคม 2557 “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ยัง
ปราศรัยเปิด รายชื่อบัญชีดำ ที่จะดำเนินการบุกจับตัว ประกอบด้วย 1.นายสุรพงษ์ โตวิจักขณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 2.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 3.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี 4.นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 5.นายภูมิธรรม เวชชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ 6.นายปลอดประสพ สุรัสสวี รองนายกรัฐมนตรี

6.การดำเนินการเพื่ออายัดทรัพย์สินของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง อย่างไม่เป็นธรรม
รสช.2534 – ประกาศ รสช.ฉบับที่ 26 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 ให้อายัดและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สิน พร้อมตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน” ขึ้นมา มีจำนวน 7 คนโดยมี “พล.อ.สิทธิ์ จิรโรจน์” เป็นประธาน เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินและเตรียมการไปสู่การ “ยึดทรัพย์” นักการเมืองและบุคคลที่อยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับคณะยึดอำนาจ
6.การดำเนินการเพื่ออายัดทรัพย์สินของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง อย่างไม่เป็นธรรม
รสช.2534 – ประกาศ รสช.ฉบับที่ 26 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 ให้อายัดและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สิน พร้อมตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน” ขึ้นมา มีจำนวน 7 คนโดยมี “พล.อ.สิทธิ์ จิรโรจน์” เป็นประธาน เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินและเตรียมการไปสู่การ “ยึดทรัพย์” นักการเมืองและบุคคลที่อยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับคณะยึดอำนาจ
คมช.2549- ประกาศ คปค.ฉบับที่ 23 ลงวันที่ 24 กันยายน 2549 ให้มี “คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน” ให้ตรวจสอบโครงการตามนโยบายต่างๆของรัฐบาลที่ถูกยึดอำนาจอย่างละเอียด พร้อมตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จากนั้นก็มี ประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) มาตรวจสอบข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ คมช.กล่าวหารัฐบาลชุดก่อน เพื่อเป็นการปูทางไปสู่การ “ยึดทรัพย์” นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม
กปปส.2557- สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศบ่อยครั้งว่า หากได้เป็น “รัฎฐาธิปัตย์” เมื่อไรจะยึดทรัพย์นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทันที
7.การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งคณะรัฐมนตรี เพื่อสืบทอดอำนาจ
รสช.2534 – พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้มีการประกาศใช้ “ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2534” เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2534 จากนั้นก็ได้เสนอชื่อ “นายอานันท์ ปันยารชุน” เป็นนายกรัฐมนตรี
กปปส.2557- สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศบ่อยครั้งว่า หากได้เป็น “รัฎฐาธิปัตย์” เมื่อไรจะยึดทรัพย์นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทันที
7.การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งคณะรัฐมนตรี เพื่อสืบทอดอำนาจ
รสช.2534 – พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้มีการประกาศใช้ “ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2534” เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2534 จากนั้นก็ได้เสนอชื่อ “นายอานันท์ ปันยารชุน” เป็นนายกรัฐมนตรี
คมช.2549 – พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) ได้ ประกาศใช้ “รัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ.2549” ในวันที่ 1 ตุลาคม 2549 จากนั้นก็มีการเสนอชื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันเดียวกัน
กปปส.2557 – สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศจะเป็น “รัฎฐาธิปัตย์” ในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี และรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง นายกฯคนกลาง ด้วยตัวเอง
8.การกระทำในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่-นิรโทษกรรมตัวเอง
รสช.2534 – ประกาศใช้ ธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2534 ในวันที่ 1 มีนาคม 2534 โดยนิรโทษกรรมตัวเองเอาไว้ในมาตรา 32
8.การกระทำในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่-นิรโทษกรรมตัวเอง
รสช.2534 – ประกาศใช้ ธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2534 ในวันที่ 1 มีนาคม 2534 โดยนิรโทษกรรมตัวเองเอาไว้ในมาตรา 32
คมช.2549- ประกาศใช้ “รัฐธรรมนูญแห่งราอาณาจักรไทย (ชั่วคราว) พ.ศ.2549” ในวันที่ 1 ตุลาคม 2549 โดยนิรโทษกรรมตัวเองเอาไว้ในมาตรา 37
กปปส.2557- สุเทพ เทือกสุบรรณ แม้จะประกาศปฏิบัติการ “ประชาภิวัฒน์” ยึดอำนาจโดยประชาชน” แต่ยังไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้ให้มีความชัดเจนว่าท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีการฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 เนื่องจาก “รัฐธรรมนูญ” กำหนดให้ “นายกรัฐมนตรี” จะต้องเป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ซึ่งในทุกข้อเสนอ กปปส. นั้น “นายกรัฐมนตรี” ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แม้แต่แนวทางเดียว ดังนั้นจึงค่อนข้างที่จะชัดเจนว่าหากปฏิบัติการของ กปปส.สำเร็จ ก็ต้องมีการฉีกรัฐธรรมนูญและเป็นไปได้สูงที่จะต้องมีการนิรโทษกรรมให้กับ “แกนนำ กปปส.” เนื่องจากโดนคดีร้ายแรงด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงค่อนข้างจะชัดเจนว่า เหตุการณ์ รัฐประหาร 2534 และ รัฐประหาร 2549 มีปรากฎการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นและคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด
โดยทั้งสองครั้งมีความเชื่อมโยงกับเขา ในฐานะมือกฎหมายใหญ่
ที่น่าสนใจไปยิ่งกว่านั้นคือ เหตุการณ์ทั้งหมดสอดคล้องกับสิ่งที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ปฏิบัติการและประกาศออกมาตลอดระยะเวลาที่มีการจัดการชุมนุม
ซึ่งคนที่จะ ตอบ ได้ชัดเจนว่า ทั้ง 3 เหตุการณ์ เกี่ยวข้องกันหรือไม่ และเป็น ฝีมือ การวางหมาก-วางเกมของใคร ที่สำคัญคือ คนๆนั้น เป็น คนเดียวกัน หรือไม่ ก็คงหนีไม่พ้น คนชื่อ มีชัย ฤชุพันธุ์
ที่มา.พระนครสาส์น
--------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น