--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

พรีอุส... รัฐเสียหาย หมื่นล้าน...!!?

ในขณะที่นายประมนต์สุธีวงศ์ประธานคณะกรรมการบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทยก็ยังเลือกที่จะหลีกเลี่ยงในการพูดถึงเรื่องนี้

เช่นเดียวกับนายประมนต์สุธีวงศ์ที่เป็นประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย)ก็นิ่งสนิทจนทำให้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ที่ประกาศการต้านโกงทุกรูปแบบเลือกที่จะเอามือซุกหีบไม่ขอเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีนี้

ยังดีที่วันนี้ประเด็นนายกรัฐมนตรีคนดีนายกรัฐมนตรีคนกลางได้กลายเป็นเผือกร้อนทางการเมืองที่โยนทิ้งกันอุตลุดรวมทั้งนายประมนต์สุธีวงศ์ซึ่งก็มีข่าวว่าอยู่ในข่ายที่เหมาะสมในการที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางด้วยเช่นกันนั้นก็ปัดตอบในเรื่องนี้ไปแล้ว

ไม่เช่นนั้นมีหวังโดนวิพากษ์วิจารณ์อ่วมอย่างแน่นอนเพราะเรื่องนี้แม้จะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจของภาคธุรกิจเอกชนก็จริงแต่ส่วนต่างของมูลค่าภาษีระดับหมื่นล้านบาทนั้นถือเป็นผลประโยชน์รายได้ของประเทศไทยผ่านระบบการจัดเก็บภาษีศุลกากรของกรมศุลกากร

ซึ่งหากเก็บได้ก็จะเป็นเงินภาษีเพื่อการพัฒนาประเทศจึงกลายเป็นมุมที่นายประมนต์จะต้องคำนึงให้มากว่าระหว่างผลประโยชน์ของบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทยที่นายประมนต์นั่งเป็นประธานกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ

จะเลือกยึดถือประโยชน์ใดเป็นหลักให้สมกับเป็นคนดีคนที่มีผู้คนเชื่อว่าน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้เพราะต้องไม่ลืมว่าคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีควรต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
ซึ่งวันนี้จากการตรวจสอบความคืบหน้าของบางกอก ทูเดย์กรณีโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทยนำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์โตโยต้ารุ่นพรีอุสจำนวนมากหลายล็อตหลายครั้งแบบแยกสำแดงชนิดสินค้าและประเภทพิกัดรวมทั้งใช้สิทธิยกเว้นอากรและลดอัตราอากรตามมาตรา 12 ยกเว้นอากรและลดอัตราอากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากญี่ปุ่นด้วย

โดยตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555 แล้วที่ฝ่ายปฏิบัติการตรวจสอบสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังได้ตรวจสอบพบความผิดปกติและได้จัดทำ“ใบทักท้วงการตรวจสอบอากร” ระบุว่าการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ในลักษณะCKD (COMPLETE KNOCK DOWN) แล้วนำไปประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูปขายนั้นจริงๆแล้วไม่ควรสามารถแยกชำระอากรตามรายชนิดสินค้าได้

ที่สำคัญด้วยวิธีการดังกล่าวนั้นทางบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทยใช้การแจ้งว่านำเข้าชิ้นส่วนจนทำให้จ่ายอัตราภาษีศุลกากรอยู่ที่ 1-5% เท่านั้นในขณะที่หากเป็นการนำเข้ารถยนต์ทั้งคันจะต้องเสียภาษีนำเข้า 80%

สำหรับบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทยนั่นคือการวางแผนภาษีเพื่อให้บริษัทได้รับประโยชน์สูงสุดตามที่กล่าวอ้างก็จริงแต่สำหรับในมุมของประเทศไทยแล้วไม่ใช่เลยเพราะนั่นคือการขาดไปของรายได้ที่พึงได้ของประเทศชาติ

อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าแหล่งข่าวระดับสูงในกรมศุลกากรยืนยันกับบางกอกทูเดย์ว่ากรณีการแจ้งนำเข้าในลักษณะนี้มีเพียงแค่บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ทำในลักษณะดังกล่าว

บริษัทหรือค่ายรถยนต์อื่นๆในเมืองไทยซึ่งหลายแห่งก็เป็นค่ายรถยนต์สายพันธุ์ญี่ปุ่นเหมือนกันกับโตโยต้าก็ยังไม่ได้ใช้วิธีการแจ้งการนำเข้าแบบโตโยต้าเลยแม้แต่รายเดียว

สำหรับความคืบหน้าล่าสุดของคดีนี้ปรากฏว่าทางบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทยได้อุทธรณ์เพื่อสู้คดีตามสิทธิ์โดยได้มีการนำเงินหมื่นกว่าล้านบาทไปวางศาลไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งประเด็นในการสู้คดีของทางโตโยต้าก็คือการอ้างว่าเป็นการนำเข้ามาเพื่อการผลิตต่อเนื่องจากชิ้นส่วนที่นำเข้ามาทั้งหมดนั้นยังไม่สามารถที่จะประกอบเป็นรถยนต์เพื่อออกขายได้ในทันทีแต่ยังต้องมีการนำชิ้นส่วนอื่นๆมาประกอบเพิ่มด้วย

แต่ในขณะที่ทางกรมศุลกากรก็สู้ในประเด็นที่ว่าจริงๆแล้วชิ้นส่วนที่นำเข้ามานั้นถือว่าเป็นองค์ประกอบที่ครบในการที่จะประกอบเป็นรถยนต์แล้วเพราะมีชิ้นส่วนประกอบเกินกว่า 80% ของรถยนต์ที่จะประกอบเพื่อจำหน่าย

การที่อ้างว่ายังมีชิ้นส่วนประดับยนต์อีก 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ที่ต้องนำมาประกอบเพิ่มเติมก่อนจึงจะออกขายได้นั้นไม่ได้เป็นองค์ประกอบสาระสำคัญในการเป็นรถยนต์เป็นแค่เพียงส่วนที่เพิ่มเข้ามาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นการนำชิ้นส่วนCKDเข้ามานั่นเอง

คือทางโตโยต้าจะอ้างว่าไม่ได้นำเข้าชิ้นส่วนมาครบทั้งคันยังมีส่วนอื่นที่ใช้ชิ้นส่วนในไทยเข้าไปประกอบเช่นมียางซีลมีผ้าบุอะไรพวกนี้แต่ทางกรมศุลกากรเรามองว่าการที่มีตัวถังมีประตูมีเครื่องยนต์มีล้อมีอุปกรณืหลุกๆเข้ามาเกิน 80% มันก็คือรถยนต์ทั้งคันแล้วตรงนี้จึงเป็นประเด็นที่สู้กันอยู่โดยเรื่องไม่ได้เงียบไปแต่อย่างใด”

แต่สิ่งที่ทางกรมศุลกากรมองด้วยความเป็นห่วงก็คือกรณีของโตโยต้าพรีอุสกำลังถูกจับตามองจากบรรดาผู้นำเข้ารถยนต์จดประกอบว่าสุดท้ายแล้วหากการอ้างว่าโตโยต้าพรีอุสต่างจากรถยนต์จดประกอบที่เอาเข้ามาขันน๊อตประกอบเข้าด้วยกันก็เป็นรถสำเร็จได้เลยแต่มีชิ้นส่วนเล็กๆน้อยๆเข้ามาประกอบเพิ่มเติมด้วยซึ่งหากว่าโตโยต้าชนะและสามารถทำได้เชื่อว่าบรรดาผู้นำเข้ารถยนต์จดประกอบก็จะเอาบ้างคือเอาชิ้นส่วนเข้ามา 80% แล้วมาหาชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มเติมภายหลังอีกแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นก็สามารถทำได้แล้ว

ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่รถจดประกอบจะเต็มไปหมดแต่รายได้รัฐที่พึงได้ก็จะได้รับผลกระทบอย่างมากด้วยดังนั้นจึงอยากให้บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทยซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่หากินในเมืองไทยมานานกว่า 51 ปีมีกำไรไปแล้วมากมายมหาศาลน่าจะคำนึงถึงจุดละเอียดอ่อนตรงนี้บ้างไม่ใช่คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของบริษัทเป็นหลักแล้วพยายามหาช่องเลี่ยงกฏเลี่ยงบาลีอย่างที่มีการต่อสู้คดีกันอยู่ในขณะนี้

งานนี้ก็คงต้องดูฝีมือของนายราฆพศรีศุภอรรถอธิบดีกรมศุลกากรว่าจะรักษาผลประโยชน์ของชาติได้เพียงใดซึ่งทางบางกอกทูเดย์อยู่ระหว่างนัดหมายเพื่อขอสัมภาษณ์พิเศษอยู่

ส่วนนายประมนต์ สุธีวงศ์ เองก็คงต้องปล่อยให้เป็นจุดวัดใจว่าในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าวิธีการนี้กำลังถูกจ้องมองตาเป็นมันจากกลุ่มธุรกิจรถยนต์จดประกอบสีเทาๆ ทั้งหลายว่าหากโตโยต้าทำได้ก็จะทำบ้างนั้นนายประมนต์คิดเช่นไร

ในเมื่อไม่ต้องการให้คนโกงมีที่ยืนแต่คนที่อยู่ในขบวนการต้านโกงกลับกำลังสร้างตัวอย่างหรือชี้ช่องให้คนอื่นซิกแซกบ้าง


อย่างนี้จะเรียกว่าต้านโกงอย่างจริงจังได้หรือ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น