รศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ
ระหว่างติดตามสดับตรับฟังวิวาทะสืบเนื่องจากข้อเสนอของเพื่อนอาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ที่ ให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ดังอื้ออึงอยู่นั้น ผมอดนึกเปรียบเทียบไม่ได้ว่า…
สิ่งที่คณะรัฐประหาร คปค. กระทำเมื่อ ๕ ปีก่อนคือการใช้อำนาจปืนลุกขึ้นฉีกกฎหมายสูงสุดของชาติที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยกำกับไว้ทิ้งโดยพลการ
ขณะสิ่งที่คณะนิติราษฎร์ทำตอนนี้คือนำเสนอหลักเหตุผลข้อถกเถียงทางวิชาการเพื่อให้สังคมไทยพิจารณาตัดสินใจลบล้างผลพวงของการละเมิดกฎหมายและอำนาจอธิปไตยของแผ่นดิน โดย คปค. ครั้งนั้น ผ่านกระบวนการและวิธีการโดยชอบในกรอบของกฎหมายปัจจุบัน
เนื้อแท้ที่แตกต่างตรงกันข้ามของสิ่งที่ทั้งสองคณะกระทำ, และปฏิกิริยาที่ต่างกันอย่างสิ้น เชิงต่อกรณีทั้งสองโดยเฉพาะในหมู่นักกฎหมายทนายความและครูบาอาจารย์นิติศาสตร์บางคน ช่างเป็นที่น่าแปลกประหลาดอัศจรรย์ใจเสียนี่กระไร?!?!?
เราจะเข้าใจพวกเขาว่าอย่างไรดี?
มองในแง่ดีที่สุด ผมเข้าใจว่าสิ่งที่นักกฎหมายทนายความและครูบาอาจารย์นิติศาสตร์บางคนพยายามทำ คือปกป้องสถาบันเก่าแก่สำคัญของชาติสถาบันหนึ่งไว้ นั่นคือสถาบันรัฐประหาร!
สถาบันดังกล่าวอยู่คู่กับสถาบันหลักทั้งสามอันได้แก่ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์มาตลอด ยุคการเมืองไทยสมัยใหม่ หน้าที่สำคัญของสถาบันหลักของชาติแห่งที่สี่นี้คือเป็นเครื่องมือหรือวิธี การ (instrument/means) ที่พลังการเมืองบางกลุ่มบางฝ่ายในสังคมการเมืองไทยเก็บไว้ใช้เพื่อปกป้องสถาบันหลักทั้งสามในยามที่พวกเขาเห็นกันไปเองว่าคับขันจำเป็น
สถานะถูกผิดดีชั่วทางศีลธรรม (moral/immoral) ของสิ่งที่เป็นเครื่องมือย่อมไม่มีอยู่ในตัว มันเอง (ก็มันเป็นแค่เครื่องมืออ่ะ…..) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งมันเป็นกลางทางศีลธรรม (amoral) ตราบเท่าที่มันสามารถนำไปสู่เป้าหมายที่พึงประสงค์ มันก็ใช้ได้แล้ว
ในระเบียบวิธีคิดแบบ instrumentalism (อุปกรณ์นิยม), pragmatism (สัมฤทธิ์คตินิยม) หรือ consequentialism (ผลลัพธ์นิยม) นี้ เป้าหมายย่อมเป็นตัวให้ความชอบธรรมกับวิธีการ (The end justifies the means.) หากเป้าหมาย (ปกป้องสถาบันหลักทั้งสาม, ปราบทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ) ถูกต้องชอบธรรมเสียอย่างแล้ว ไม่ว่าวิธีการใด ๆ (รัฐประหาร, ใช้กำลังบังคับปราบปรามประชาชน, ก่อการร้าย ฯลฯ) ก็ใช้ได้ ต่อให้มันผิดเลวชั่วร้ายทางศีลธรรมหรือการเมืองเพียงใดก็ตาม เพราะเป้าหมายที่ถูกต้องย่อมจะเสกบันดาลให้วิธีการดังกล่าวกลายเป็นถูกต้องดีงามในสายตาของผู้ใช้ไปได้โดยปริยาย
ในโลกที่ “จะแมวดำหรือแมวขาวก็ช่าง ขอให้จับหนูได้เป็นพอ” หรือ “จะรัฐประหารหรือระบอบรัฐสภาก็ช่าง ขอให้ปราบคอร์รัปชั่น/ปกป้องสถาบันได้เป็นพอ” นี้ แนวคิดและหลักปฏิบัติ เรื่องสิทธิเสรีภาพ, อำนาจอธิปไตยของประชาชน, หลักนิติธรรม ฯลฯ ย่อมกลายเป็นสิ่งแปลกปลอม และฟุ่มเฟือย มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะ “เมืองไทยเสียอย่าง เรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครอื่นเขาในโลก”, “ความเป็นไทยจะให้ไปเดินตามหลักสากลของฝรั่งมังค่าตะวันตกได้อย่างไร” ฯลฯลฯ
เป็นเรื่องง่ายที่จะฟันธงว่าความคิดข้างต้นต่อต้านประชาธิปไตย ส่วนที่ยุ่งกว่าหน่อยคือ พยายามเข้าใจว่าลำดับเหตุผลตรรกะการคิดที่นำคนฉลาดๆ อย่างท่านไปสู่จุดนั้นมันเป็นอย่างไร?
ผมคิดว่ามันเป็นอะไรบางอย่างทำนองนี้ครับ…..
แก่นสารส่วนที่เป็นประชาธิปไตย (democratic components) ของระเบียบการเมืองเสรี ประชาธิปไตย (liberal democracy) นั้นคือหลักของการปกครองโดยประชาชน (government by the people)
ผู้ตะขิดตะขวงใจหรือปฏิเสธไม่ยอมรับประชาธิปไตยกล่าวให้ถึงที่สุดก็คือปฏิเสธหลักการนี้แหละ
เพราะ “การปกครองโดยประชาชน” (ซึ่งฟังดูดี) แปลเป็นรูปธรรมในสังคมหนึ่ง ๆ ได้ความว่า (ขอประทานโทษ ใช้ภาษาตลาดเพื่อสื่อความเข้าใจ) “การปกครองโดยพวกมึง”!
พวกมึงน่ะน้า?!? เอื๊อกกกก…. ขืนให้พวกมึงขึ้นมาปกครองก็อิ๊บอ๋ายเท่านั้นเอง
ขึ้นชื่อว่า “ประชาชน” นั้นย่อมน่ารักในทางนามธรรม แต่พอกลายเป็น “พวกมึง” ในทางรูปธรรมแล้ว มันก็รักไม่ค่อยลง เพราะย่อมมีทั้งคนดีคนชั่ว คนฉลาดคนเขลาปะปนคละเคล้ากันไปเป็นธรรมดา และที่แย่ก็ตรงพอปล่อยให้โหวตเสรีเลือกผู้ปกครองตามใจตัวเองทีไร ก็มักจะโหวตผิดเลือกคนโกงคนทุจริตมาทุกที การที่ “ประชาชน” ผู้น่ารักดันโหวตเลือกคนไม่ดีมาสู่อำนาจ ย่อมฟ้องโทนโท่อยู่ว่า “พวกมึง” โง่ (ขาดการศึกษา) หรือชั่ว (ขายเสียงขายสิทธิ์เหมือนขายชีวิตขายชาติ) หรือยังเป็นเด็กอยู่ (ไม่บรรลุวุฒิภาวะ ถูกจูงจมูกได้ง่ายด้วยนโยบายขายฝันสารพัด) ฉะนั้นจึงจำเป็นอยู่เองที่ “พวกกู” (ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง) ผู้มีคุณธรรม สติปัญญาความสามารถและความเป็นไทยจะต้องเข้ามาแบกรับหน้าที่รับผิดชอบปกครองดูแลบ้านเมืองให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตคับขันแตกแยกนี้ไปก่อน, อะแฮ่ม, โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย หากด้วยวิธีอื่นแทน…..
แต่มันจะเป็นไรไป ในเมื่อเป้าหมาย (ปราบคอร์รัปชั่น/ปกป้องสถาบัน) ย่อมสำคัญกว่าวิธีการ (รัฐประหาร), จะแมวดำแมวขาวก็ช่าง ขอให้จับหนู (ตัวใหญ่ หนีไปอยู่ต่างประเทศอีกแล้วตอนนี้) ได้เป็นพอ แหะ ๆ
ปัญหาอยู่ตรงประสบการณ์รอบห้าปีที่ผ่านมาบ่งชี้ชัดว่าเครื่องมือ/วิธีการรัฐประหารนั้น มันไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการปราบทุจริตคอร์รัปชั่น/ปกป้องสถาบันอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้เลย
ตรงกันข้าม ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นยังดำรงอยู่ในวงการรัฐบาลและราชการ, ปัญหาความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติกลับหนักหน่วงร้ายแรงขึ้น, มิหนำซ้ำความแตกแยกขัดแย้งระหว่างคนในชาติกลับรุนแรงลุกลามออกไปถึงขั้นฆ่าฟันกันกลางเมืองล้มตายเรือนร้อยบาดเจ็บเป็นพันเสียหายเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน
นี่คือราคาที่เราจ่ายให้การใช้วิธีการที่ผิดในนามของเป้าหมายที่ถูก แล้วมันคุ้มกันไหม? เรียกชีวิตของผู้ที่ตายไปเพราะผลพวงสืบเนื่องจากรัฐประหารกลับคืนมาได้แม้สักคนหนึ่งไหม? ใครต้องรับผิดชอบ?
ผมอยากเรียนว่าการที่คปค.ยึดอำนาจโดยอ้างเหตุผลในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ ด้วยความเชื่อว่ามีแต่วิธีการรัฐประหารเท่านั้นจะยังความมั่นคงแก่สถาบันหลักของชาติได้ เท่ากับเป็นการลากดึงเอาสถาบันหลักของชาติให้ออกห่างจากรัฐธรรมนูญ, หลักนิติธรรมและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่เอาเข้าจริง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ตั้งอันมั่นคงที่สุดของสถาบันหลักของชาติคืออยู่ที่เดียวกับรัฐธรรมนูญ, หลักนิติธรรมและประชาธิปไตยเท่านั้น
ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหารโดยเนื้อแท้แล้วจะส่งผลช่วยฟื้นฟูและผดุงความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติเคียงข้างรัฐธรรมนูญ, หลักนิติธรรม และประชาธิปไตยเยี่ยงนานาอารยประเทศในที่สุด
ที่มา:Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น